หัวขโมยแห่งบารามอส{ภาค1} มงกุฏแห่งใจ

7.8

เขียนโดย WhenSasukefollowers

วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 23.00 น.

  3 บท
  1 วิจารณ์
  7,691 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556 00.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) การสอบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“คาโล วาเน-บลี เจ้าชายแห่ง คาโนวาล”

 

 

 

เสียงประกาศเรียกชื่อผู้สมัครที่แสนสะดุดหูสองคนพ่อลูกที่กำลังตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ นัยน์ตาคมกริบของเฟรินจ้องมองร่างเด็กหนุ่มผมสีทองวัยเดียวกันที่เดินผ่านหน้าเขาไปยังผู้ขานชื่อ เจ้าของร่างมีดวงหน้าสงบเยือกเย็น สงบไร้อารมณ์ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม หรือความรู้สึกใดๆนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างคมกริบที่มุ่งมั่น การย่างก้าวแฝงประกายแห่งอำนาจ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ทรงเครื่องแต่งกายแห่งราชนิกูลแต่ทุกการกระทำกลับสะท้อนถึงสายเลือดสีน้ำเงินได้อย่างเด่นชัด

 

 

 

“เอาคนนี้แน่มั้ยพ่อ” เฟรินกระซิบถามขณะที่คนเป็นพ่อเริ่มกลืนน้ำลายเอื๊อก จากนั้นเสียงบ่นกระปอดกระแปดก็เริ่มตามมา

 

 

 

“แม้แต่ไฮคิงยังไม่ท่ามากเท่านี้ หาคนอื่นเถอะ”

 

 

 

“พูดยังกับพ่อเคยเห็นไฮคิง” คนเป็นลูกดักคอตามนิสัย แล้วเสียงประกาศเรียกชื่อต่อไปก็เล่นเอาเขาแทบสะดุ้ง

 

 

 

“เฟริน เดอเบอโรว์ หัวขโมยแห่งบารามอส” 

 

 

 

เสียงประกาศที่ดังไปทั่วลานกว้างหน้ากำแพงสูงสิบเมตรทำเอาทุกคนสอดส่ายสายตามองดูบุคคลที่ถูกขานชื่อ มันน่าสนใจน้อยเมื่อไหร่ ก็ฉายาหัวขโมยกับโรงเรียนพระราชามันเข้ากันที่ไหนล่ะ

 

 

 

“บ้าจริงๆ ไปใช้ชื่อจริงสมัครทำไมเนี่ย” 

 

เฟรินบ่นอุ่บขณะที่คนเป็นพ่อเอาแต่ดันหลังให้ลูกรีบๆออกไป

 

 

 

หงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็สาวเท้าเดินฝ่าทุกคนที่กำลังตั้งตาคอยการปรากฎตัวของเขาออกไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับการทดสอบ หนุ่มน้อยฉีกยิ้มเพื่อมารยาทไปตลอดทาง แต่นัยน์ตาคมๆของเฟรินยามนี้กลับยิ้มไม่ออกเลยสักนิด 

 

 

 

“เฟริน หัวขโมย?” ชายร่างยักษ์สูงกว่า สองเมตร ผู้ทำหน้าที่เป็นคนขานรายชื่อมองหน้าเขาพร้อมรอยยิ้มขำๆ

 

 

 

“ไอ้คำว่าหัวขโมยนั่น ไม่ต้องอ่านก็ได้” เฟรินย้อนกลับหงุดหงิด แต่ความหงุดหงิดของเขาทำได้แต่เพียงกระตุ้นเสียงหัวเราะคิกๆจากคนที่ได้ยินเท่านั้นเอง

 

 

 

“สวัสดี” เฟรินก้าวเท้าเร็วๆไปเอ่ยทักทายเจ้าชายคนที่ยืนนำอยู่หน้าเขาอย่างพยายามเลี่ยงจากสถานการณ์ที่ทำให้เขาขายขี้หน้า แต่มันต้องทำให้เขาฉีกยิ้มไม่ออกเมื่อนัยน์ตานิ่งๆจาก คาโล เจ้าชายคนสำคัญกวาดมองเขาพร้อมรอยยิ้มเหยียด

 

 

 

“ขโมยก็คือขโมย ย่อมกลายเป็นพระราชาไปไม่ได้”

 

 

 

ขณะที่เฟรินกำลังกระพริบตาปริบๆอย่างนึกไม่ออกว่าจะต่อประโยคอะไรถึงจะเข้าท่า รายชื่อต่อไปที่กำลังประกาศก็ทำให้เขาลืมเรื่องถูกดูแคลนเป็นปลิดทิ้ง

 

 

 

“โร เซวาเรส ขอทานแห่งทริสทอร์”

 

 

 

คราวนี้เฟรินถึงกับขยับรอยยิ้ม สะกดอารมณ์ขันของตัวเองอย่างที่สุด แล้วแกล้งผิวปากฟิ้วพร้อมกับบ่นพึมพำขึ้นให้ได้ยินว่า

 

 

 

“ถ้าขอทานยังร่วมเรียนกับเจ้าชายได้ ขโมยก็อาจเป็นพระราชาได้ก็ได้”

 

 

 

นัยน์ตาคมๆของคาโลฉายวาบตวัดมองคนปากดีทันควัน เฟรินแกล้งปั้นหน้าซื่อก่อนจะแสร้งเบือนหน้าเปื้อนรอยยิ้มของตัวเองไปทางอื่น

 

 

 

“เฟริน เดอเบอโรว์ หัวขโมยแห่งบารามอสใช่ไหม” 

 

 

 

ชื่อของเขาถูกเรียกอีกครั้ง ให้เจ้าตัวสะดุ้งจากภวังค์ มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของเฟรินที่เห็นชายชราที่มีทั้งผมทั้งเคราสีเงินยาวมากขนาดนี้ เขาต้องยอมรับว่าทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ นัยน์ตาที่เบิกกว้างของเขามันคงทำให้บุรุษเบื้องหน้านึกขำจนขยับรอยยิ้ม

 

 

 

“คะ..ครับ” เฟรินตอบรับตะกุกตะกัก ก่อนจะถอนหายใจลึกๆเรียกความเชื่อมั่นคืนมา นึกในใจว่า ชายเบื้องหน้าในชุดนักปราชญ์สีเทานี่ คงจะเป็น จอมปราชญ์เลโมธี ดวงหน้าชรานั่นเต็มไปด้วยรอยเ่ยวย่นแต่กลับดูไม่น่าเกลียดเหมือนคนแก่ทั่วไป นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มยังคงฉายประกายฉลาดและอ่อนโยนอย่างแจ่มชัด ชวนให้รู้สึกอบอุ่นและเป็นมิตร แต่ก็ระคนหวาดเกรงและระแวดระวังในเวลาเดียวกัน

 

 

 

“สวัสดีครับ” เฟรินกล่าวทักทายจอมปราชญ์เบื้องหน้า ก่อนจะมองไปยังชายชราอีกสองคน และบุรุษและสตรีอีกสามสี่คนในห้อง ซึ่งคาดว่าคงจะเป็นคณะกรรมการคุมสอบหรือไม่ก็อาจารย์ในโรงเรียนแห่งนี้

 

 

 

“ก่อนอื่น เธอไปนั่งที่เก้าอี้ตัวนั้น เราจะเริ่มทดสอบศักยภาพของการเป็นกษัตริย์ก่อน” ชายหนวดเรียวในชุดผ้าคลุมสีน้ำตาลพูดพร้อมกับชี้มือไปที่เก้าอี้ไม้ตัวโตที่ตั้งอยู่กลางห้อง เบื้องหน้ามีสิ่งของตั้งอยู่บนแท่นสี่แท่น 

 

 

 

“นั่นคงจะเป็น ดาบแห่งกษัตริย์ คทาแห่งนักรบ แหวนแห่งปราชญ์ และ มงกุฎแห่งใจสินะครับ” พูดแล้วก็แทบตะครุบปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน 

 

 

 

“รู้จักด้วยเหรอ เฟริน เดอเบอโรว์” เลโมธีกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ นัยน์ตาสบกับเขาราวกับคนรู้ทัน เฟรินยิ้มเจื่อนตัดสินใจจะไม่พูดอะไรอีก รีบก้าวเท้าเข้าไปยืนอยู่หน้าเก้าอี้ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เอื้อมมือลูบสาบเสื้อของตัวเองที่ซ่อน เครื่องมือแสนวิเศษ ไว้ แล้วค่อยหย่อนตัวนั่งลง

 

 

 

ทันทีที่นั่งเจ้าตัวก็แทบลุกพรวดจากเก้าอี้แทบไม่ทัน เพราะความรู้สึกมันร้อนวาบ แถมสิ่งวิเศษเบื้องหน้าก็พากันฉายแสงขึ้นพร้อมๆกันสว่างจ้า

 

 

 

“ไอ้เครื่องมือเฮงซวย” เฟรินบ่นพึมพำลอดลมหายใจ หันไปยิ้มเจื่อนๆให้กับสีหน้าที่บอกความสนใจของเลโมธี ไม่คิดแม้แต่จะหันไปมองปฏิกริยาของคนอื่น กัดฟันกรอดแล้วคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง 

 

 

 

ก็ไอ้ตำราบ้าๆนั่นบอกว่า ถ้าอยากให้สิ่งวิเศษอันไหนฉายแสงก็ให้ขยับตัวไปใกล้อันนั้น แล้วไอ้ของสี่อย่างดันตั้งอยู่ข้างหน้าเหมือนกันหมด จะให้ขยับตัวยังไงล่ะเนี่ย

 

 

 

“ขอลองอีกทีแล้วกันนะครับ เมื่อกี้มัน..เอ่อ ตื่นเต้นไปหน่อย”

 

 

 

“บอกซะก่อนนะว่าอย่าเล่นลูกไม้” ชายหนวดเรียวผู้คุมการสอบขั้นนี้เริ่มส่งเสียงข่มขู่

 

 

 

“ให้เขาลองอีกที เบ-ทรูส” เลโมธีกล่าวพร้อมหัวเราะหึๆ 

 

 

 

เฟรินรวบรวมความกล้าหย่อนตัวนั่งลงอีกครั้ง สิ่งวิเศษสี่อย่างส่องแสงจ้าขึ้นพร้อมกันอีก คราวนี้เจ้าตัวตัดสินใจเพ่งสติโยกตัวไปที่ดาบที่เด่นที่อยู่ตรงหน้ามากที่สุด นึกภาวนาในใจให้มันได้ผล เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ แสงจากคทาวูบดับลงก่อน ตามมาด้วยมงกุฎ แล้วก็แหวน สุดท้ายเหลือเพียงดาบที่ส่องแสงสว่างจ้าไปทั่วห้อง สว่างที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น สว่างแต่ไม่แสบตา สว่างแต่นุ่มนวล มีเสน่ห์จนชวนให้แทบไม่อยากคลาดสายตาไปไหน

 

 

 

จอมปราชญ์ขยับรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตบมือเรียกสติของเฟรินให้กลับคืนมา

 

 

 

“พอแล้วเฟริน ลุกขึ้นได้แล้ว”

 

 

 

คำเรียกชวนให้เฟรินใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ ไม่เหลือความมั่นใจในผลสอบเลยสักนิด ก็มันดันสว่างแล้วค่อยๆดับ มันจะถือว่าผ่านการทดสอบหรือเปล่านี่สิ ไอ้เครื่องมือสับปะรังเค

 

 

 

นึกด่ามันในใจ แต่เบื้องหน้าก็ยังคงยิ้มใจดีสู้เสือตามประสา

 

 

 

“คราวนี้เชิญตามมาทางนี้จ้ะเฟริน” หญิงร่างท้วมเล็กที่มีแววตาใจดีเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม พร้อมกับจับไหล่ของเฟรินเบาๆเดินนำผ่านเปิดประตูไปยังอีกห้องที่อยู่ข้างๆ 

 

 

 

สอบตก

 

 

 

ความคิดแรกของเด็กหนุ่ม ในเมื่อตามตำราว่าเขาจะต้องสอบสัมภาษณ์กับเลโมธีจึงจะครบกระบวนการสอบ 

 

 

 

ถูกจับได้ว่าทุจริต

 

 

 

ความคิดที่สองที่ทำให้เหงื่อเริ่มซึม

 

 

 

ประตูห้องปิดลง แล้วหญิงวัยกลางคนในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มคนที่พาเขามาก็เริ่มเอ่ยคำพูด

 

 

 

“เชิญนั่งก่อนเฟริน เดอเบอโรว์ เรียกฉันว่ามิซแรมเชลก็ได้ เราจะเริ่มสอบสัมภาษณ์กันที่นี่”

 

 

 

“สอบสัมภาษณ์ ไม่ใช่ว่าผมสอบตกแล้วเหรอครับ” หลุดคำพูดที่ไม่ควรพูดอีกจนได้ แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มแหยๆเมื่ออาจารย์คนสอบสัมภาษณ์ของเขาเริ่มหัวเราะเบาๆ

 

 

 

“ทำไมคิดว่าตัวเองสอบตกล่ะ เฟริน”

 

 

 

ขุดหลุมฝังตัวเอง

 

 

 

เป็นความคิดแรกในคำตอบของคำถามนี้ แต่เจ้าตัวกลับเอาแต่หัวเราะแหะๆ

 

 

 

“เอาล่ะจ้ะ มีสิ่งของสี่สิ่งคือ ดาบ แหวน มงกุฎ และคทา” ดวงหน้าเฟรินเริ่มระบายรอยยิ้ม “คำถามแรก ถ้าได้เป็นกษัตริย์ สิ่งของที่ต้องการจะถือหรือสวมเป็นอันดับแรกคืออะไร”

 

 

 

รอยยิ้มเด็กหนุ่มเริ่มซีด เขาควรจะรู้อยู่แล้วว่ามันจะออกมาตามโพยซังกะบ๊วยนั่นได้ยังไงเล่า! 

 

 

 

สวมอะไร ถืออะไรล่ะ บ้าชะมัด

 

 

 

“แหวน” เฟรินตัดใจตอบ “เวลาแต่งตัวก็ต้องสวมแหวนก่อน ค่อยใส่มงกุฎ สพายดาบ แล้วค่อยถือคทา ดังนั้นต้องแหวน” มิซแรมเชลขยับรอยยิ้มน้อยๆบันทึกคำตอบของเฟรินลงสมุดแต่ไม่ได้ว่าอะไร ขณะที่ฝ่ายเฟรินเริ่มลอบถอนหายใจอย่างปลงสังเวช

 

 

 

“คำถามที่สองนะจ๊ะ สิ่งที่ต้องการได้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกษัตริย์ของตัวเองคืออะไร” 

 

 

 

“ดาบ” เฟรินตอบ พอเห็นคิ้วของมิซแรมเชลเลิกขึ้นเล็กน้อยก็รีบสาธยาย “แน่นอนต้องเป็นดาบ ความแข็งของดาบ แสดงถึงความเข้มแข็งอดทน ข้อนี้เป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ของพระราชา ความคมของดาบแสดงถึงความคมเฉียบขาดของสติปัญญาอันชาญฉลาด ผู้ถือดาบแสดงถึงอำนาจ ผู้ถือดาบแสดงถึงพลัง ผู้ถือดาบแสดงถึงความกล้าหาญ” 

 

 

 

รอยยิ้มของมิซแรมเชลกว้างขึ้น ขณะที่รอยยิ้มของเฟรินเริ่มชืดลง รู้สึกราวกับตัวเองกำลังโฆษณาขายดาบก็ไม่ปาน งี่เง่าจนนึกอยากเอาหัวโขกข้างฝา แต่แน่นอนว่าต้องไม่ใช่หัวเขา ถ้าจะต้องเป็นหัวใครสักคน หัวคนแรกที่เขาจะเลือกก็คือหัวของ นายมาดัส เดอเบอโรว์

 

 

 

“คำถามที่สาม สิ่งที่ต้องการมอบให้กับประชาชนในแคว้นของตนคืออะไร”

 

 

 

ทันทีที่ฟังคำถาม เฟรินก็ถึงกับยิ้มกริ่ม นึกขันอะไรขึ้นมาในใจก่อนจะรีบตอบคำถาม

 

 

 

“มงกุฎ”

 

 

 

คำตอบที่มิซแรมเชลเลิกคิ้วสูงขึ้นด้วยความสนใจ เฟรินหัวเราะเบาๆ

 

 

 

“ใครๆก็อยากเป็นพระราชานี่ครับมิซแรมเชล ตั้งแต่เจ้าชายยันขอทานยังพากันแห่มาสมัครเข้าเรียนที่นี่ ยกมงกุฎให้เลยคงเข้าท่าที่สุด”

 

 

 

มิซแรมเชลหัวเราะกับคำตอบก่อนจะยิ้มน้อยๆ 

 

“เอาล่ะจ๊ะ คำถามสุดท้ายนะ ถ้าถึงเวลาที่เธอจะต้องสละทิ้งทุกอย่าง ของสี่อย่างที่ว่ามานี่ ให้ลำดับของที่จะทิ้งอย่างแรกจนถึงอย่างสุดท้าย”

 

 

 

“ถ้าจะให้ทิ้ง... อย่างแรกของที่หนักที่สุดก็ต้องทิ้งก่อน ดังนั้นต้องเริ่มจากมงกุฎ ต่อมา...คงเป็นแหวน อย่างน้อยดาบยังเอาไว้ป้องกันตัว แล้วต่อมาก็คงต้องเป็นดาบ สุดท้ายถึงค่อยทิ้งคทา”

 

 

 

“ทำไมถึงเลือกทิ้งคทาเป็นอย่างสุดท้ายล่ะ”

 

 

 

“คทาก็เหมือนไม้ที่เอาไว้ค้ำยันตัว คนแก่ก็ต้องถือไม้เท้า คนเจ็บก็ต้องใช้ไม้เท้า คนเดินไม่ไหวก็ต้องใช้ไม้เท้า แล้วจะเอาไม้ค้ำทิ้งไปก่อนได้ยังไงล่ะครับ” 

 

 

 

มิซแรมเชลยิ้มกว้างอย่างขำการสาธยายของเฟริน ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบแฟ้มเอกสารที่ตั้งกองอยู่บนโต๊ะทำงานไม่ไกลมายื่นส่งให้

 

 

 

“เอาล่ะจ้ะ เอาเป็นว่าเธอสอบผ่านเข้าโรงเรียนพระราชา”

 

 

 

“สอบผ่าน” เฟรินแทบกลืนน้ำลายเอื้อก ก็ทำไมมันง่ายขนาดนี้ทั้งที่เขาตอบคำถามได้มั่วซั่วไปหมดขนาดนั้น

 

 

 

“ใช่สอบผ่าน เธอเซ็นต์ชื่อเข้าเป็นนักเรียนที่นี่ แล้วออกจากห้องนี้ไปพบพ่อของเธอได้ ตอนนี้พ่อของเธอคงจะอยู่ในห้องถัดไปและติดต่อชำระค่าเรียนต่างๆเรียบร้อยแล้ว” 

 

 

 

มิซแรมเชลยื่นปากกาพร้อมชี้ตำแหน่งที่ต้องเซ็นต์ชื่อ จากนั้นเธอก็ส่งแฟ้มสีม่วงบุทองที่มีสัญลักษณ์ตัว อี กับตัว เค บนปกแฟ้มชัดเจนให้ พร้อมกับหยิบเอกสารชุดหนึ่งจากแฟ้มมาชี้แจงให้ฟัง

 

 

 

“นี่เป็นรายละเอียดของที่เธอจะต้องซื้อเพื่อพร้อมจะเข้าเรียน ขอให้จัดหาของต่างๆที่จำเป็นให้พร้อมและมาเข้าเรียนภายในอาทิตย์หน้า”

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา