God Problem : หมายถึงรัก

7.8

เขียนโดย ก่อนหวาน

วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 11.08 น.

  22 ตอน
  7 วิจารณ์
  21.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 02.13 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ชีวิตที่เหมือนจะคุ้ม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

 

          เสียงกริ่งหน้าประตูดังเป็นจังหวะ 3 ช่า สลับรัวๆซ้ำๆอยู่นานมันทำให้ผมรำคาญและโมโหอย่างมาก

 

พยายามดันตัวเองเพื่อลุกขึ้้นจากเตียงด้วยอาการเมาค้างจากเมื่อคืน ผมหัวเสียเล็กน้อยแต่ชั่งเถอะเรามาโฟกัสใน

 

จุดนี้ดีกว่า ว่าใครกันนะบังอาจมากดกริ่งหน้าห้องแบบนี้

 

          "ใจเย็นๆครับบบบ" ผมลากเสียงตะโกนตอบกลับไปในสภาพงัวเงียเต็มที่ ทันทีที่ผมปลดล๊อคประตูแรงดัน

 

อันมหาศาลที่อยู่ภายนอกดันเข้ามา จนเกือบทำให้ผมหงายลงไปกองกับพื้น แต่โชคดียังมีกำแพงเป็นช่วยฉุดรั้งตัว

 

ผมเอาไว้ ผมค่อยๆหรี่ตามองหน้าผู้กระทำผิดผู้นั้น แต่ผมมองหน้าไม่ชัดได้ยินแต่เสียงที่บ่นๆๆๆๆๆๆ รอบข้างผมอึง

 

คนึงไปหมด ผมค่อยๆเบิกพระตาของผมให้กว้างเพื่อมองให้ชัดๆ อ๋อ!! เธอคือน้ำค้างนี่เอง แล้วเธอมาทำอะไร

 

ละ??

 

          "รีบอาบน้ำแล้วไปเรียนได้แล้ววว กระเป๋าชั้นอยู่ใต้เบาะนาย" หนึ่งในประโยคนับร้อยนับพันที่พุ่งมาทิ่ม

 

แทงใส่แก้วหูผม ทำให้ผมลืมเธอไปสนิทเลยว่าเธอคือดาวคณะของพวกเรา  เธอบ่นเสียยิ่งกว่าพี่สาวแท้ๆของผม

 

เสียอีกคงเป็นเพราะเธออารมณ์เสียที่ผมลืมคืนกระเป๋าเธอละมั้ง

 

         ผมค่อยๆตะเกียกตะกายร่างของผมแล้วเดินไปยังห้องน้ำทันทีโดยไม่พูดไม่จา ด้วยอารมณ์ขณะนั้นทำให้

 

ผมแต่งตัวอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยภายในไม่ถึง 20 นาที ผมรีบออกจากห้องนอนตายังคงแอบมองนาฬิกาว่า พึ่งจะ 7

 

โมงแท้ๆแต่ความรู้สึกผมมันแปลกๆชอบกล

 

          "นายสติดีหรือเปล่า อาทิตย์นี้เขาหยุดเทศกาลปีใหม่" เสียงเดิมพูดออกมาจากด้านหลังของผมทางโซฟา

 

          "นี่เธอเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเมื่อกี้หมายความว่ายังไง" ผมเริ่มไม่ค่อยแน่ใจกลับคำพูดของเธอ

 

          "ชั้นว่าชั้นพูดชัดเจนนะ" ผมพึ่งสังเกตุเธอว่าเธอไม่ได้ไส่ชุดนักศึกษา เป็นแค่ชุด Private ธรรมดา จนดู

 

เหมือนชุดนอนด้วยซ้ำ

 

          "ก็เมื่อกี้เธอบอกว่า..."

 

          "กินข้าวมั๊ย" เธอตัดบททันทีทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบ ผมรู้สึกได้ถึงกระเพาะของผมที่มันเรียกร้องหาข้าว

 

อย่างหนักหน่วง ผมไม่รอช้ารีบไปนั่งที่โต๊ะรออาหารมาเสริฟตรงหน้า ผมไม่บรรจงกินอย่างที่ีเคยทำเมื่ออยู่ข้างนอก

 

ผมใส่กับอาหารจานนี้ยับเลยละ ไม่รู้ว่าอร่อยหรือเป็นเพราะหิวก็ไม่รู้สินะ

 

          "คงต้องเก็บมื้อนี้ไว้เป็นคอลเลคชั่นเลยนะเนี่ย" ผมพูดขึ้นหลังจากที่เงียบเพื่อซัดข้าวเข้าไป

 

          "ทำไมล่ะ"

 

          "ก็มันอร่อยมากๆไง และอีกอย่างผมไม่ค่อยเจอมันนานแล้วด้วย เจ้า 7 นาฬิกาเนี่ยเพราะส่วนใหญ่เราตื่น

 

8-9โมง เกือบทุกครั้งที่เรียนเลยละ ตื่นเช้าแบบนี้ตอนสุดท้ายก็ เรียน ม.ปลายละ" ผมอธิบายอย่างชัดเจน

 

         "ชีวิตเธอน่าเศร้าเนอะ วันนี้ชั้นจะพาเธอไปทำในสิ่งที่ไม่เคยทำดีมั๊ย" เธอยิงคำถามมาที่ผม

 

          "ดูท่าเธอยังไม่กินอะไรละสิ" ผมมองใบหน้าที่ดูโทรมแต่ก็ยังสวยของเธอ

 

          "ก็บ้านเธอไม่มีอะไรกินเลยนะสิ ครัวก็สะอาดเอี่ยม คงจะไม่ได้ทำอาหารกินเองนานแล้วละสิ มีแค่ไข่สอง

 

ฟองในตู้เย็นแค่นั้นเอง อาหารแห้งหรือเนื้อหมูอะไรก็ไม่มีเลย โชคดีที่ยังพอมีผงชูรส กลับซีอิ๊วขาวนะ ไม่งั้นนาย

 

ได้กินไข่ต้มจริงๆด้วย" เธอดูพูดประชดผมหรือว่าผมคิดไปเองก็ไม่รู้สินะ

 

          "คิดออกยัง" เธอพูดขึ้นหลังจากที่เธอถามผมถึงสิ่งที่ยังไม่เคยทำมาก่อน

 

...รู้มั๊ย ผมไม่อยากคิดถึงอนาคตเลย เพราะมันเร็วจนผมคิดไม่ทัน...

 

         ในท้ายที่สุดผมก็คิดไม่ออกอาจจะคิดออกแต่ไม่กล้าพูดออกไป เธอเลยตั้งคำถามกับผมมากมาย อย่าง

 

เช่น เคยกินบะหมี่ลอยฟ้ามั๊ย นวดหน้าทำสปามั๊ย นวดเท้าด้วยปลา วิ่งจ๊อกกิ้ง ว์้อของใหม่ๆเข้ามาในชีวิต และอีก

 

มากมาย ซึ่งบางทีผมก็หัวเราะในใจ พูดถึงการซื้อของเข้ามาในชีวิตผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย เพราะพี่สาวผมจะ

 

เตรียมทุกอย่างให้ผมพร้อมเลยละ เพราะพี่สาวผมชอบไปเดินห้างบ่อยๆ เฮ้อ!! นานแล้วสินะที่ไม่ค่อยมีใครเจ้ากี้

 

เจ้าการเหมือนพี่สาวขนาดนี้ และผมก็ไม่ค่อยดูแลตัวเองเลย

 

          "วันนี้เราจะไปช๊อปปิ้งกันโอเค๊" ประโยคบังคับของเธอทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เลือก

 

          "งั้นเราจะไม่ไปรถมอไซกันนะ เพราะของต้องเยอะแน่ๆ"

 

          "แล้วเราจะไปกันยังไง" ผมพาเธอออกจากห้องของผมแล้วตรงไปที่จอดรถชั้นใต้ดิน เป็นที่จอดวีไอพีเสีย

 

เป็นรายเดินประตูเหล็กที่กั้นระหว่างรถกับตัวพวกเราค่อยๆเลื่อนขึ้น เธอหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าตกใจ

 

          "นายจะพาเราหงายปะเนี่ย" เธอถามขึ้นหลังจากที่พวกเรากำลังออกจากที่นั่น

 

          "ยอมอดข้าวอดน้ำเพื่อมาเสริมสวย ผู้หญิงนี่เข้าใจยากเนอะ" ผมไม่สนใจคำถามเธอแล้วเปลี่ยนเรื่อง

 

          "อะไร ใครอด เราไม่อดนะ เพราะจะใช้เงินเธอยังไงละ" ผมสะอึกนิดนึงแล้วมองหน้าค้างขณะรถติดไฟแดงอยู่

 

          "เหตุผลอะไรทำไมต้องจ่ายเงินให้เธอด้วย"

 

          "ก็กระเป๋าตังค์ชั้นอยู่ใต้เบาะนายนะสิ" เธอมองกลับมาด้วยสายตาค้อนเล็กน้อยแต่ก็ยังคงความสวยใสไว้เหมือนเดิม

 

เราสองคนซื้อของใช้ภายในบ้านกันจนเสร็จ ผมได้เสื้อตัวใหม่กับพวกของแห้ง เช่น ซอสหอย เนื้อหมู แฮม ส่วน

 

ใหญ่เป็นอาหารไว้ทำกิน ส่วนมือขวาของผมที่น้ำหนักเยอะกว่าอีกฝั่ง มีเสื้อผ้าของเธอ เครื่องสำอาง ครีมอะไรก็

 

ไม่รู้ ฟังคนขายครีมเขาบอกว่าก่อนนอน ต้องทา 7 หลอด จะบ้าหรือเปล่า 7 หลอด ไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ เธอใช้

 

เงินผมจนเกลือบกระเป๋าขาด

 

          "ทำไมมันเผ็ดอย่างนี้ ข้าวก็ติดมือ แล้วนี่ทำไมมีเลือดด้วย อ๊ากก" ผมพูดกับเธอเบาๆหลังจาก เราแวะกินส้มตำกันข้างทาง

 

          "คนไทยเรียกว่า ส้มตำ ชั้นชอบมากเลยนะ มันทำให้เราคิดถึงแม่ ส่วนจานที่มีเลือดนั้นลาบเลือดละ หมู

 

แดดเดียว แล้วก็คอหมู ของโปรดเลย เธอไม่เคยกินหรอ" เธอแนะนำอาหารแต่ละอย่างบนโต๊ะเหมือนพนักงาน

 

ขายอย่างไรอย่างนั้นเลย

 

          "ไม่เคยอะ กินอยู่ 2 อย่าง มาม่าต้ม กับไข่เจียว อื้มม บางทีมีไข่ดาวด้วยถ้าวันนั้นขี้เกียจนั่งตีไข่"

 

          "เธอนี่เป็นคนโชคร้าย หรือ โชคดีเนี่ย" เธอพูดขึ้นหลังจากกินน้ำเปล่าไปอึกหนึ่ง

 

          "แต่ก็อร่อยนะ แปลกใหม่ดี" ผมพูดขึ้นขณะที่ปั้นข้าวเหนียวเหมือนที่เธอทำแล้วจิ้มน้ำจิ้มคอหมู

 

          "โรคจิตอะดิ เห็นนายชอบกินแต่ลาบเลือด เป็นแวมไพร์รึเปล่า"

 

          "รู้ตัวจริงเราได้ไง ความลับเก็บมา 500 กว่าปีแล้วนะ" เธอมองหน้าผม

 

          "กวนตรีน" ผมได้ยินมาสองครั้งเห็นจะได้แล้วมั้ง ที่จริงเธอน่ารักเกินกว่าจะพูดอะไรที่ไพเราะเพราะพริ้งนะ

 

แต่เธอตรงกันข้ามกันเลยละ เธอเป็นคนง่ายๆ ผมคงตกหลุมรักเธอแล้วละมั้ง

 

          เราสองคนกลับมาถึงห้องของเธอหลังจากผมต้องขออนุญาตเธอเข้าห้องน้ำเพราะอั้นไม่ไหวแล้ว คงเป็น

 

พิษจากส้มตำเมื่อตอนเที่ยงแน่ๆ แต่คราวนี้ห้องน้ำของเธอไม่มีเสื้อในของเธอแขวนอยู่เหมือนเมื่อวันนั้นแล้ว เธอ

 

คงอายมากเลยสินะ ผมหัวเราะในใจ

 

          "ว่าไงเพื่อป๊อด" ผมรับโทรศัพท์ขณะที่จัดข้าวของเก็บเข้าที่อยู่ที่ห้องของตัวเอง หลังจากที่แยกตัวออกมาจากน้ำค้าง

 

          "ปีใหม่เที่ยวไหนวะเพื่อน เรามีแผนจะไปเขาใหญ่กันไปด้วยกันป่าว" เที่ยวอีกแล้วหรอวันๆนึงมันทำอะไรกันเนี่ย

 

          "ตังหมดเกลี้ยงเลยวะ" ผมหาเหตุผลแก้ตัว

 

          "มาได้ๆนานๆทีมึงจะไม่มีเงินกับเขามั่ง" มันเกลี้ยกล่อมผมแต่สุดท้ายผมก็ไม่ไปกับมัน เพราะอะไรนะหรือ

 

ผมไม่บอกหรอก ฮ่าๆ

 

          "จะไปเที่ยวกับสาวแล้วไม่บอกกุหรอ" ป๊อดยิงคำถามขึ้น ผมรีบวางหูแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ผมโชคดีนะที่

 

เกิดมาโชคดีในเรื่องของเพื่อน ของแบบนี้พบเจอกันตามท้องถนนซะที่ไหนกันละ สิ่งล้ำค่าที่เรียกว่าเพื่อนละนะ ให้

 

เป็นให้ตายยังไงผมก็ไม่ทิ้งมันเลยซักครั้ง ชีวิตนี้ผมคุ้มค่าแล้วที่เกิดมาเจอเพื่อนรักที่ชื่อ สังสรรค์ แพรสุพัตร ชื่อ

 

จริงมันก็บอกแล้ว สังสรรค์ เกิดมาแล้วเอาแต่เที่ยว แต่ผมคงต้องเริ่มความคิดใหม่หลังจากมาเจอกับเธอ ชีวิตผมยัง

 

ไม่คุ้มสิถ้าไม่ได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต กะลาที่เคยครอบผมซึ่งเป็นกบที่อยู่ข้างในนั้นถูกง้างออกโดยผู้หญิงที่ชื่อ น้ำค้าง

 

ผมว่าผมคงรักเธอเข้าแล้วละ

          

 

 

 

   

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา