The moon'story (Full moon พันธนาการแห่งดวงจันทร์)

8.7

เขียนโดย Sara

วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.48 น.

  6 chapter
  11 วิจารณ์
  8,971 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 08.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Moonnight

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Moonnight

 

 

                “แอมมี่ระวัง!” เสียงเตือนของหญิงสาวผู้เป็นเพื่อนดังขึ้นหลังจากที่เด็กสาวผู้ถูกเตือนกำลังจะถูกรถคาเมโร่สีเหลืองคันงามเฉี่ยวก้น

          พระเจ้าเหอะ วันนี้มันวันอะไรของเธอกันนะ มันต้องเป็นวันที่ซวยสุดๆแหงๆ หลังจากที่เธอมั่นใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอหวิดเกือบได้ไปเฝ้าพระเจ้า หลังจากที่ตอนเช้าเธอลื่นตกบันไดที่บ้านห้าขั้น และมั่นใจอีกทีว่าวันนี้เธอดวงซวยตอนที่คนขายลูกโป่งข้างทางทำลูกโป่งแตกเสียงดังข้างหูเธออย่างกับเครื่องบินทิ้งระเบิด และมั่นใจอีกครั้งตอนที่ยายแก่หลังค่อมบนรถเมล์ทำตะกร้าไข่อีสเตอร์หล่นใส่เท้าเธอ และเหตุการณ์เมื่อกี้คือครั้งล่าสุดที่เธอมั่นใจว่าวันนี้เธอโคตรจะสุดซวย

                “พระเจ้าเถอะ เพื่อนรักวันนี้เธอไปทำอะไรมารึเปล่าเนี่ย โชคร้ายกว่าโจน ออฟ อาค อีกนะเนี่ย” เจ้าหล่อนว่าขณะที่กำลังพากันไปลั้ลลาหลังเลิกเรียน

          “เกี่ยวอะไรกับโจน ออฟ อาค ย่ะหล่อน” เธอถาม ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าเพื่อนซี้คนนี้บ้านิยาย(อิงประวัตศาสตร์)มาก

                เจสสิก้าดีดนิ้วดังเปาะ “ก็เจ้าหล่อนถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเลยถูกจับเผาทั้งเป็น” แล้วเธอก็ท่าชี้นิ้วเลียนแบบอาจารย์ประวัติศาสตร์แว่นกรอบเฉี่ยว “เป็นวีรสตรีผู้เสียสละ”

                “ไว้รอให้ฉันเป็นวีรสตรีก่อนละกัน” แอมมี่แขวะ

                “อ้าๆๆ ก็ไม่แน่น้า” หญิงสาวล้อเสียงสูง “บางทีอาจจะมีผู้ชายล้ำๆหุ่นนักกีฬานอนเจ็บใกล้ตายรอให้เธอไปช่วยก็ได้”

                แอมมมี่ส่ายหัวพลางเปิดประตูร้านกาแฟเข้าไป “ใครเค้าจะมานอนใกล้ตายอยู่แถวนี้”

                “งั้นแถวอื่นเป็นไง!” เจสสิก้ารีบพูดขึ้น

                แอมมี่ได้แต่ส่ายหน้าก่อนที่จะสั่งเมนูจากพนักงาน

                “สมูทตี้โยเกิร์ตสูตรไดเอ็ท” เจสสิก้าสั่งอย่างชำนาญ เห็นได้ชัดว่าเป็นแม่สาวผู้รักสุขภาพ หุ่นดี และรักการไดเอ็ท

                “เอาช็อกโกแล็ตเย็นกับ เค้กช็อกโกแล็ต” แอมมี่สั่งบ้าง เจสสิก้าได้ยินดังนั้นจึงทำตาโตก่อนพูด

                “เพื่อนรักค่ะ แบบนี้ก็อ้วนแย่น่ะสิค่ะ” หญิงสาวจีบปากจีบคอ ซึ่งแอมมี่ทำได้แต่ยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ “เฮ้อ อิจฉาจริงๆพวกที่ขนาดอัดแคลลอรี่เข้าไปเกือบสองพันกิโลแคลลอรี่ต่อวันก็ไม่อ้วน”

          “มันอยู่ในปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันต่างหาก” แอมมี่แย้ง

                “ย่ะ” เจสสิก้าตอบก่อนที่เธอจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก จนถึงขนาดสะกิดเพื่อนรัว “แอมมี่ๆๆ พระเจ้าเถอะ ดูนั่นสิ!” หญิงสาวพูดอย่างตื่นเต้น

                “อะไรอย่างนั้นเหรอ” แอมมี่ถาม พลางหันหลังกลับไปทางทิศที่เจสสิก้าชี้ หญิงสาวขมวดคิ้ว “อะไรของเธอ”

                เจสสิก้าตีมือเพื่อนสาวอย่างแรงพลางส่งเสียงจิ๊ “อะไรอะไร ก็นั่นไง พ่อนักบาสรูปหล่อ สูงยาวเข่าดี หน้าตาคมเข้ม มาดนิ่ง โอ้ พระเจ้า สวรรค์โปรด...” หญิงสาวเพ้อยาวเหยียด

“จะมีซักวันที่ฉันจะได้เข้าไปควงแขนล่ำๆนั่นมั้ยน้า” หญิงสาวทำตาเพ้อฝันก่อนจะหันมาทางเพื่อน “โอ๊ะ ขอโทษที” เธอบอก แอมมี่ได้แต่ทำหน้างงๆ

                แอมมี่มองชายหนุ่มที่ทำให้เพื่อนของเธอเพ้อขนาดอยากจะลงไปดิ้นตายที่พื้นเหมือนคนอยากยา เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ไม่ล้ำมากตามแบบฉบับนักกีฬา ออกจะติดผอมนิดๆด้วยซ้ำ ผมสีน้ำตาลไหม้ตัดซอยระต้นคอ และมีผิวสีแทน ดวงหน้าคมคาย และดวงตาสีฟ้าที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล ชุดไปรเวทแค่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนก็ทำให้เขาดูดีได้

                แอมมี่มองชายหนุ่มที่มาซื้อกาแฟกับเพื่อนตาแทบไม่กระพริบ ติดตรงที่ว่า

                “เขาเป็นใครเหรอ”

                เพล้ง!

                ทันใดนั้นโลกในนิยายแสนฝันของสาวช่างฝันนามเจสสิก้าก็แตกลงแทบไม่มีชิ้นดี “เธอว่าอะไรนะ!!” หญิงสาวร้องเสียงดังเหมือนได้ยินว่าโลกจะแตก คนทั้งร้านมองมาที่เธอ

พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งทำถาดเสิร์ฟตกเสียง เคร้ง-ง ดังกังวาลเหมือนดนตรีประกอบฉาก

เมื่อชายหนุ่มคนนั้นหันมามอง เจสสิก้ารีบหุบปากตัวเองทันทีแล้วทำเป็นว่าไม่มีอะไร

พนักงานสาวเก็บถาดที่ตก ก่อนที่พนักงานอีกคนจะยกถาดน้ำของพวกแอมมี่มา

 พอดีกับตอนที่แอมมี่กำลังจะอ้าปากพูด เจสสิก้าก็ขัด

                “หยุด!”

          พนักงานเสิร์ฟสาวชะงักในท่าถือเค้กที่กำลังจะวางบนโต๊ะ “อ...เอ่อ จะไม่รับเหรอค่ะ”

                หญิงสาวทั้งสองชะงัก ก่อนที่เจสสิก้าจะทำหน้าเจื่อนแล้วบอก “เอ้อ เปล่าๆค่ะ เชิญเลย”

                พนักงานสาววางเค้กช้อกโกแล็ตของแอมมี่ลง สมูทตี้โยเกิร์ตสูตรไดเอ็ทของเจสสิก้า และตามด้วยช็อกโกแล็ตเย็น

                แอมมี่ถอนหายใจ “ฉันแค่ถามว่าเค้าชื่ออะไร ไม่เห็นจะต้องตะโกนเรียกความสนใจขนาดนั้น”

                “ฉันเปล่าเรียกความสนใจย่ะ เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ”

          “เมื่อกี้เธอบอกให้ฉันหยุดพูด” แอมมี่ทำหน้าซื่อ เจสสิก้าส่งเสียงจิ๊

                “ฉันแค่บิลด์อารมณ์เฉยๆ” หญิงสาวแย้ง

                “ฉันถามว่าเขาเป็นใคร”

                “ฮะ”

                เกิดความเงียบระหว่างสองสาวขึ้นชั้วขณะ ก่อนที่แอมมี่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบด้วยการถอนหายใจหลังจากที่คิดว่าเพื่อนของเธอบิลด์อารมณ์บ่อยเกินไป

                “เฮ้อ ช่างมันเถอะ” แอมมี่ตัดบทพลางตักเค้กเข้าปาก

                “ช่างมันไม่ได้ แอมมี่ นั่นมันนักกีฬาระดับแนวหน้าของโรงเรียนเลยนะ หล่อ เท่ ขวัญใจสาวๆ” เจสสิก้ากลับมาทำตาเพ้อฝันอีกครั้ง

                “งั้นเหรอ”

                “งั้นเหรอ? งั้นเหรออะไรค่ะเพื่อน เพื่อนทำเหมือนไม่รู้จักเค้างั้นแหละ” หญิงสาวถามแบบไม่อยากจะเชื่อปานว่าเพื่อนของเธอไม่ได้ใส่บรา

                “ไม่รู้สิ” แอมมี่ตอบสั้นๆ จะว่ายังไงดีล่ะ เธอรู้สึกเหมือนไม่เคยคุ้นหน้าเขาเลย แต่ก็คุ้นอยู่หน่อยๆนะ

                “โถ เพื่อนค่ะ ถึงแม้ว่าเพื่อนจะเรียนไม่เก่ง คิดเลขได้ชุ่ยสุดๆ แต่วิชาดนตรีของเพื่อนจะขั้นเทพ แต่เพื่อนก็ต้องเผื่อหูไว้ฟังข่าวสารมั่งนะค่ะ”

                “อย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวกินเค้กต่อ

                “ค่ะ เขาคือลูคัส แม็คฟอกซ์ มือหนึ่งด้านกีฬาและอัจฉริยะคณิตศาสตร์เลยนะค่ะ นี่เพื่อนไม่รู้จักหรอ” เจสสิก้าพูด

                “คงงั้นมั้ง”

                “เค้าอยู่ห้องเอ ข้างๆเราเองนะ”

                “อ่ะ” ก็เท่ากับว่าเขาอยู่เกรดสิบเท่าเธอ

                “เค้าเคยมาติวคณิตก่อนสอบวัดระดับความรู้ให้กับห้องเราด้วยนะ”

                “อ่าฮะ”

                “เค้าเคยเป็นตัวนำแข่งบาสชนะกีฬาสีโรงเรียนมาแล้วสี่ปีนะค่ะเพื่อน” หญิงสาวบอก

                “อือฮึ”

                “เทอมนี้เค้าลงเรียนวิชาดนตรีเหมือนกับเราด้วยนะค่ะ”

                “...”

                “เธอเล่นเปียโน” เจสสิก้าเตือน

                “ฉันรู้” หญิงสาวตอบพลางวางช้อนเค้กลงช้าๆ

                “เค้าเล่นไวโอลินคู่กับเธอด้วยนะ”

                “...” แอมมี่ค่อยๆยกช็อกโกแล็ตเย็นขึ้นดื่ม

                “แล้วเมื่อวันวาเลนไทร์ที่แล้วเธอสองคนเพิ่งจะเลิกคบกันเองนะ!”

                พรวด!

                “ตายแล้วเพื่อน!” แอมมี่ที่อยู่ดีๆก็สำลักน้ำออกมาแล้วไอแค่กๆ “เป็นอะไรรึเปล่า” เจสสิก้ารีบหยิบทิชชู่ให้

                แอมมี่ส่ายหัวพลางไอสำลักน้ำ “เปล่าๆ ช็อกโกแล็ตมันร้อน”

                เจสสิก้าเงียบ

                “เธอสั่งช็อกโกแล็ตเย็นนะ”

                เออ ใช่

                “มันเย็นไปจนชาปากน่ะ”  เจ้าตัวแก้ ชาปากแล้วสำลักน้ำ แถได้อีก

                “เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ หรือว่าเพราะฉันพูดเรื่องนั้นไป ขอโทษทีนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่รื้อเอาเรื่องนั้นมาพูดน่ะ แบบว่าที่การเลิกกันทำให้ความรู้สึกของพวกเธอมันกดดันและกระอักกระอ่วนน่ะ” เจสสิก้าพูดเองเออเอง “แต่ก็นะเธอไม่เห็นจำเป็นต้องทำท่าทางเย็นชาขนาดนั้นเลยก็ได้นี่นา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนเงียบๆอยู่แล้วก็เถอะ” ประโยคหลังหญิงสาวพูดเบาๆแบบกระซิบ

                “เปล่า ไม่ใช่”

                “ไม่ใช่งั้นเหรอ หรือเป็นเพราะว่าวันนี้เธอดวงซวยหนักสมองก็เลยถูกกระทบกระเทือน” เจ้าหล่อนหาสาเหตุ “หวังว่าวิชาความรู้ของเธอจะไปหายไปนะ”

                “เพ้อเจ้ออะไรของเธอ ฉันไม่ได้เป็นอะไร พูดอย่างกับฉันความจำเสื่อมอย่างนั้นแหละ”

                เจสสิก้าตีมือหญิงสาว “ก็เธอทำเหมือนว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆนี่นา”

                แอมมี่ส่ายหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ พลางเลื่อนแก้วสมูทตี้โยเกิร์ตไปข้างหน้าเพื่อนแล้วบอกให้กินซะ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปตรงทางหน้าร้านเห็นชายหนุ่มกับเพื่อนกำลังเดินออกไป

                เขาหันมามองเธอ เธอมองเขา ก่อนที่เธอจะหันหน้ากลับมา

               

                รถเมล์คันสีเหลืองจอดลงตรงป้ายรถเมล์ข้างทาง ก่อนที่หญิงสาวเกรดสิบจะเดินลงมาแล้วรถเมล์ก็ค่อยๆเคลื่อนออกไป ไฟฟ้าข้างทางเริ่มเปิดเป็นระยะๆก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินและความมืดจะเป็นฝ่ายเข้ามาเยือน บ้านหลายๆหลังที่ตั้งอยู่อย่างไม่เบียดเสียดเริ่มจะเปิดไฟบ้างแล้วมีหลายๆคนกำลังเดินทางกลับบ้าน หนึ่งในนั้นส่งยิ้มให้เธอ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนและใจดีคนหนึ่ง แอมมี่เดินเลี้ยวเข้าทางที่จะไปถึงบ้านมันเป็นถนนที่ไม่ค่อยเปลี่ยวมากนัก เพราะยังมีบ้านหลายๆหลังกระจายตัวออกไป ข้างหลังจะเป็นผืนป่าที่เริ่มจะมืดมิดเธอกลับมาช่วงเวลานี้เป็นประจำและไม่ได้มีอันตรายอะไร ไม่มีฆาตกรต่อเนื่องที่วิ่งไล่ฟันหญิงสาว ไม่มีหมาบ้าออกอาละวาด และไม่มีขโมย

               ที่วิลฟอลส์แห่งนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นเพียงแค่เมืองเล็กที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและมีฟาร์มต่างๆมากมาย แต่บ้านเธอไม่ได้ทำฟาร์มหรอก มันเป็นแค่บ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งเท่านั้น

                หญิงสาวสะพายกระเป๋าด้วยไหล่ข้างขวาท่าทางทะมัดทะแมง เธอใส่เสื้อแบบสบายๆ กางเกงยีนส์ขายาวและรองเท้าผ้าใบ ผมสีทองหยักเป็นลอนมักจะถูกผูกรวบไว้ด้านหลัง เธอไม่ชอบใส่กระโปรงหรือรองเท้าส้นสูงเพราะอย่างน้อยเวลามีไอ้บ้าคนไหนที่วิ่งมากระชากกระเป๋าเธอจะได้วิ่งไล่ตามมันทัน ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ค่อยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็ตาม

               แอมมี่เดินไปตามทางท้องฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม วันนี้เธอดูกังวลและหวาดๆเนื่องจากวันนี้ทั้งวันเธอได้ประจักษ์แล้วว่ามันเป็นวันที่มหาซวยของเธอ ดีไม่ดีบางทีอาจจะมีรถสักคันวิ่งมาเฉี่ยวก้นเธออีกก็ได้ หญิงสาวคิดแล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น  เธอรู้สึกเสียวที่ต้นคอมันเป็นปกติเวลาที่เรารู้สึกกลัว หรือรู้สึกว่ามีใครสักคนตามหลังเรามา หญิงสาวรีบหันหลังแล้วเหวี่ยงกระเป๋าเป้ออกไปหวังจะป้องกันตัว

                ...แต่มันไม่มีอะไร ความว่างเปล่าปรากฏตรงหน้า ป่ารอบๆดูเงียบสงัดไม่มีความเคลื่อนไหว มันเหมือนกับตอนที่เรากำลังดูหนังสยองขวัญแล้วพอถึงฉากไคลแม็กซ์ทุกๆสิ่งจะหยุดเคลื่อนไหว ไม่มีเสียง ไม่อะไรขยับ ลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหวติง แล้วพอถึงตอนนี้สิ่งที่เรากลัวที่สุดมันก็กระโจนออกมาหาเรา

                   ตอนนี้เธอก็รู้สึกอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด เดินกลับบ้านผ่านทางนี้ เวลานี้ทุกวัน เธอคงวิ่งกระเจิงกลับบ้านไปอย่างเร็วแล้ว

                    หญิงสาวถอนหายใจแล้วหันกลับมาก่อนที่เธอจะสะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่อมีนกกาตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าเธอไป มันบินผ่านหลังคาบ้านแล้วหายไปในป่ามืด พลางส่งเสียงร้องเป็นระยะๆที่ดูเหมือนว่ามันจะดังก้องอยู่ในหัวของเธอ

                    แอมมี่ปัดความกังวลออกจากหัว แล้วเหวี่ยงกระเป๋าสะพายใส่ไหล่ขวาแล้วออกเดิน

                    บ้านของเธอมืดสนิท ตอนนี้ยังไม่เย็นมากนัก หญิงสาวมองดูนาฬิกาที่ข้อมือห้าโมงกว่าๆแล้ว สงสัยยังไม่มีใครกลับมาบ้าน ตามจริงจะใช้คำว่าไม่มีใครเลยไม่ได้ เพราะว่าเธออยู่กับน้องชายเกรดเก้าแค่สองคน สเตฟาน โรเบิร์ตสัน เป็นน้องชายจอมเถลไถลของเธอ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่สเตฟานก็เรียนเก่งกว่าเธอเสียอีก

                    เธอเปิดประตูบ้านเข้าไปก่อนจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ประตูไม่ได้ล็อค...

                   จำได้ว่าตอนที่เธอออกจากบ้านเมื่อเช้าพร้อมกับสเตฟานเธอเป็นคนล็อคประตูเองกับมือ หรือว่าเธอจำผิดบางทีเธออาจจะไม่ได้ล็อค หญิงสาวคิดแล้วเดินไปทางหน้าต่างทางขวาเธอคุ้ยแปลงดอกพริมโรสที่ติดอยู่กับหน้าต่างก่อนที่จะหยิบกุญแจบ้านออกมา บ้านหลังนี้มีกุญแจบ้านแค่ดอกเดียวเท่านั้น และตอนนี้มันก็อยู่ในมือเธอ แอมมี่พยายามนึกถึงเมื่อเช้า

                    ใช่ ตอนนั้นน่าจะประมาณซักเจ็ดโมงกว่าๆ เธอกับสเตฟานกำลังจะไปโรงเรียน คนที่ถือกุญแจคือสเตฟานไม่ใช่เธอ... แต่ตอนนั้นสเตฟานลืมโทรศัพท์เขาจึงวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วเอากุญแจบ้านให้เธอ เธอจำได้ว่าตอนนั้นยังเห็นเจ้าพายแอปเปิ้ล แมวของคุณซาร่าที่เป็นเพื่อนบ้านนอนอยู่ในสวนบ้านของเธอ  ถึงแม้ว่ารั้วไม้สีขาวที่บ้านจะสูงแต่มันก็มีต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ที่เขตหน้าบ้านของคุณซ่าร่า กิ่งของมันยื่นเข้ามาในเขตบ้านของฉัน เจ้าแมวนั้นคงจะปีนต้นไม้ข้ามมาเหมือนที่มันเคยทำอยู่เป็นประจำ

                    แล้วสเตฟานก็ออกมา เขามักจะบ่นว่าตัวเองขี้ลืมบ่อยๆ เธอตบหัวเขาเชิงหยอกล้อ แล้วเธอก็เป็นคนไปล็อคประตูก่อนที่จะเอากุญแจไปใส่ไว้ในถาดดอกไม้ริบหน้าต่างเพื่อซ่อนมัน แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไป

                     แต่ตอนนี้กุญแจอยู่ที่เธอ ถ้าเป็นสเตฟาน ถ้าเขากลับมาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอากุญแจไปซ่อนเพราะตอนที่คนใดคนหนึ่งอยู่บ้านก็จะเก็บกุญแจไว้ในบ้าน

                     หมายความว่าตอนนี้ มีใครคนหนึ่งกำลังอยู่ในบ้านของเธอ ใครก็ตามที่ไม่ใช่สเตฟาน...และเธอ...

                     แอมมี่ค่อยเปิดประตูบ้านเข้าไป มันส่งเสียงออดแอดนิดหน่อยจากการฝืดของบานพับประตู เจ้าแมวพายแอปเปิ้ลกระโดดลงจากต้นเมเปิ้ลที่หน้าบ้าน มันร้องเหมียวออกมาแล้วนอนลงที่โคนต้นไม้ แอมมี่เดินเข้าบ้าน ความมืดโรยรายอยู่รอบตัวของเธอพร้อมกับความเงียบ เธอคลำมือไปที่ผนังข้างๆเพื่อหาสวิตช์ไฟแล้วเปิดมัน ถึงแม้ว่าการเปิดไฟในเวลาที่เราคิดว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ในบ้านมันจะเสี่ยง แต่เธอก็ไม่ยอมอยู่ในที่มืดเวลาแบบนี้หรอก มันจะยิ่งเสี่ยงไปกันใหญ่ ถ้าเธอปิดไฟเธอก็ไม่เห็นมัน มันก็ไม่เห็นเธอ แต่มันต้องได้ยินเสียงเธอแน่ๆ เพราะงั้น เปิดไฟให้เห็นกันทั้งสองฝ่ายไปเลยจะโอเคกว่า

                  ห้องรับแขกตรงหน้าสว่างแต่ที่เหลือมืด ก็แน่นอนเพราะที่มันเป็นสวิตช์ไฟเฉพาะห้อง

                  นาฬิกาที่ฝาผนังส่งเสียง ติ๊ก...ติ๊ก ...ติ๊ก ตามเข็มวินาทีที่เคลื่อนที่ ตอนนี้ห้าโมงห้าสิบแล้วแต่สเตฟานยังไม่กลับบ้าน ดูจากห้องรับแขกและห้องครัวที่ว่างเปล่า เธอวางกระเป๋าไว้ที่โซฟาก่อนมองรอบบ้านอย่างระแวดระวัง

                   เธอยังกังวลที่ประตูบ้านไม่ได้ล็อก ถ้าหากว่ามีขโมยเข้าบ้าน มันอาจจะมาก่อนหน้านั้นแล้วกลับไปแล้ว หรือตรงกันข้ามมันอาจจะเพิ่งมาแล้วยังอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอเดินเข้าไปในครัวก่อนจะหยิบไม้เบสบอลเหล็กที่วางพิงอยู่ข้างตู้เย็นแล้วเริ่มเดินสำรวจบ้าน

                ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะไม่เป็นปกติ แต่มันก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอในเวลาที่เราอยู่คนเดียว หรือกำลังกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูผิดหูผิดตากันไปหมดผิดแผกไปจากเดิมทั้งๆที่ความจริงมันไม่มีอะไร ความรู้สึกหวาดระแวงมักจะทำให้ร่างกายทรยศอยู่เสมอๆ รู้สึกเหมือนมีคนเดินตามหลังมา ความรู้สึกว่าหูฝาดอยู่บ่อยๆ บางครั้งอาจจะได้ยินเหมือนสิ่งของตก ตอนนี้เธอก็กำลังรู้สึกอย่างนั้น หญิงสาวกระชับไม้เบสบอลในมือแน่น

                เธอรู้สึกว่าเยินเสียงกรีดร้อง เสียงกรีดร้องของตัวเองในความฝันและเสียงของบางอย่างตกลงมา มันเหมือนความฝันในความจริงที่เธอสูญเสียพ่อกับแม่ไป เสียงกรีดร้องของเธอเองมันกำลังก้องอยู่ในหัว เลือดที่ไหลลงตามพื้นในยามที่บ้านมืดสนิทส่องสะท้อนแสงไฟดวงน้อยๆที่โคมไฟจากหัวเตียงเป็นเหมือนทับทิมสีแดงที่กำลังแวววาวอยู่ในความมืด

                 ทุกสิ่งที่อย่างที่อยู่ในความมืดมักน่ากลัวและหวาดผวา แม้แต่ตอนนี้ที่ไปยังเปิดอยู่แต่เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมัดมืดไปหมด

                  เธอเดินผ่านเปียโนหลังสีดำขณะกำลังหวาดระแวงไปด้วย และร่างกายก็ทรยศไปแล้ว ขาของเธอกำลังสั่นเสียงต่างๆในความฝันกำลังไหลหลั่งออกมา เสียงกรีดร้องและเสียงลังตก...เสียงลังเก็บของกำลังตก และความมืด

                   หญิงสาวหันขวับ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เสียงในความฝัน แต่เป็นเสียงของบางอย่างกำลังตกจริงๆ อาจจะเป็นลังที่อยู่ในห้องเก็บของ และมันก็ไม่ใช่ความมืดที่เธอคิดไปเอง เพราะตอนนี้ไฟดับลงแล้วหรืออาจะมีใครสักคนไปดับไฟ ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

                     แอมมี่สูดหายใจเข้าลึกๆพยายามที่จะไม่หายใจแรงนัก สองเท้าค่อยๆก้าวถอยหลังไปจนชิดผนังและพยายามอยู่ให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่ประสาทหูของเธอจะเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ แต่มันก็ไม่มีเสียงอะไรเลย เธอไม่ได้กลัวความมืด นั่นคือความสัตย์จริง

                     แสงสีนวลของพระจันทร์สาดส่องเข้ามาในหน้าต่างๆทำให้พอจะมองเห็นทางสลัวๆ เธอจะไปตรงไหนก่อนที่ ที่ห้องเก็บของหรือว่าสวิตช์ไฟ หญิงสาวตัดสินใจจะกลับไปทางประตูหน้าบ้านเพื่อเปิดไฟก่อนที่จะคิดนั้นมันจะหยุดชะงักลง...แล้วถ้าเกิดว่าสาเหตุที่ไฟดับมันไม่ได้มาจากสวิตช์ไฟตรงห้องรับแขกล่ะ แต่ถ้ามันมาจากคัทเอาท์ที่ห้องเก็บของล่ะ

                     ความลังเลใจมักจะมีมากเสมอในเวลานี้ เมื่อเราอยู่ในที่มืด ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูเหมือนเป็นทางตันไปหมด แต่แทนที่สมองของเราจะตันจนคิดอะไรไม่ออก มันกลับดันคิดไปได้ต่างๆนาๆ แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่ดีนักมันมักจะเป็นจินตนาการที่น่ากลัวเสมอ

                     แอมมี่ตันสินใจเดินไปยังห้องเก็บของ เธอเดินคลำมือไปตามผนังเพื่อไม่ใช่ชนกับอะไรเข้า ถึงแม้ว่าจะมีแสงจากดวงจันทร์อยู่หน่อยๆแต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เธอมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร

 

                     มันไม่น่าแปลกใจหรอกนะเมื่อเห็นประตูของห้องเก็บของมันปิดอยู่ ในหนังก็แบบนี้บ่อยๆสิ่งที่ดูปกติเกินไปมันก็เป็นสิ่งที่ผิดปกติจนน่ากลัว เธอยืนอยู่ที่หน้าห้องเก็บของ กำลังวัดใจอยู่ว่าจะเข้าไปหรือไม่เข้า และมือวัดใจเสร็จก็ต้องมาทำการวัดดวงต่อว่า เมื่อเปิดประตูเข้าไปเธอจะไม่โดนอะไรก็ตามเสียบเข้าที่หัว

                      บางครั้งจินตนาการคนเรามันก็น่ากลัวจริงๆ

                       หญิงสาวค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาไปจับลูกบิดประตู ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเปิดประตูเข้าไป อย่างโชคร้ายที่บานพับประตูมันฝืดบวกกับที่เป็นประตูไม้เก่าๆทำให้มันส่งเสียงออดแอดออกมา แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรพุ่งมาเสียบเธอ เธอคว้าไฟฉายที่วางอยู่บนโต๊ะออกมาเปิดก่อนจะลืมไปว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกใครก็ตามที่อยู่ในบ้านหลังนี้ว่า เฮ้ ฉันอยู่ตรงนี้ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามตอนนี้เธอเปิดมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                       ไม่มีใครอยู่ในห้องเก็บของนอกจากลังเก่าๆที่กองสุมเกือบมิดหัว และของอะไรที่ตามที่ไม่ใช้แล้วแต่ก็ไม่อยากทิ้งของใครบางคนที่วางกองระเกะระกะ แต่มันก็มีลังที่เห็นๆอยู่ว่ามันตกลงมาจริงๆ

                       เธอกวาดไฟฉายส่องไปรอบๆเพื่อหาคัทเอาท์

                       มันอยู่ตรงนั้น ลึกเข้าไปข้างในสุด แต่ก็น่าแปลกใจที่คัทเอาท์มันอยู่เหมือนเดิม ไม่มีใครไปเอามันลงเพื่อตัดไฟให้ไฟดับ

                       อย่างนี้ก็แสดงว่าไฟดับสินะ หรือไม่ก็เป็นสวิตช์ไฟตรงห้องรับแขก

                        เสียงของหล่นโครมครามดังขึ้นอีกครั้ง ถ้าหูเธอไม่ได้ฝาดไปเองมันก็ดังมากจากห้องรับแขก

                        แอมมี่วิ่งตรงไปที่ห้องรับแขกทั้งๆถือไฟฉายไปด้วย มีเงาตะคุ่มๆโผล่ออกมา แล้วก็ดวงไฟเล็กๆสว่างๆที่โต๊ะ ตอนนี้เธอไม่สนหรอกว่ามันคืออะไร หญิงสาวเงื้อไม้เบสบอลที่มือขวาไปตรงที่เงานั้นอย่างสุดแรงพร้อมจับส่องไฟฉายไปที่ใบหน้าของเจ้าของเงา

                       ไม้เบสบอลหยุดลงเพราะคนตรงหน้ารับมันไว้ทันก่อนที่จะถูกฟาดหัวแตก แต่มันก็ไม่น่าตกใจเท่ากับเจ้าของมือที่กำลังรับไม้เบสบอล

                    “สเตฟาน!!”

                     “แอมมี่” น้องชายของเธอนั่นเอง “โห่ ทำอะไรของพี่เนี่ย จะฆ่ากันเลยรึไง” เจ้าน้องชายโอดครวญ

                     แอมมี่เอาไม้เบสบอลลงทิ้งที่พื้น “แล้วนายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย” เธอถามแล้วมองไปที่โต๊ะที่มีอุปกรณ์ทดลองไฟฟ้าวางอยู่ “การบ้านเหรอ”

                     “อ่าฮะ” สเตฟานตอบสั้นๆ “เพราะงั้นผมก็เลยต้องปิดไฟ แต่แล้วอยู่ๆก็มีคนบ้าที่ไหนวิ่งเอาไม้เบสบอลมาฟาดหัวผมก็ไม่รู้”

                     เธอแทบจะแยกเขี้ยวให้น้องชายทันที “ก็แล้วถ้าเป็นนายจะทำแบบฉันมั้ยล่ะ”

                     สเตฟานหันมายิ้ม “ทำ”

                     พูดจบแอมมี่ก็คว้าอะไรสักอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะเขวี้ยงใส่หัวน้องชายตัวแสบทันที แต่เจ้าตัวดันหลบทัน “โอ๊ย พี่ อย่านะ เนี่ยของแพงนะ ถ้าพังไปใครจะซื้อให้ใหม่ล่ะ” เขาบ่นพลางหยิบอะไรก็ตามที่เธอก็ไม่รู้ว่าอะไรที่เขวี้ยงไปเมื่อกี้มาโบกหยอยๆพร้อมบ่นเป็นตุเป็นตะ

                  ช่างปะไร เธอบ่นในใจ

                  “ว่าแต่กลับมาตั้งนานแล้วทำไมไม่เอากุญแจบ้านมาเก็บไว้ในบ้าน” เธอพูด สเตฟานที่กำลังมือง่วนอยู่กับการบ้านตอบโดยไม่หันมามอง

                  “พี่พูดอะไร พี่ต่างหากที่ต้องเอาไปเก็บอ่ะ ผมเพิ่งจะกลับมาเมื่อกี้เองนะ”

                 “อะไรนะ!!” หญิงสาวร้อง

                  สเตฟานหันมามองเธออย่างไม่เข้าใจ “มีอะไรเหรอ”

                  แอมมี่หน้าซีด “ตอนที่พี่กลับมาบ้าน...ประตูมันไม่ได้ล็อก”

                 พูดจบก็มีเสียงดังโครมดังๆมาจากชั้นสอง สองพี่น้องสะดุ้งทันที

                 “งานนี้คงมีอะไรจริงๆแล้วล่ะ” สเตฟานพูดพลางคว้าไม้เบสบอลขึ้นมา “พี่รออยู่นี่” เขาสั่ง เธอพยักหน้ารับ

          ที่วิลฟอลส์นี่ไม่เคยมีขโมย ไม่ว่าจะกี่ปีๆที่นี่ก็สงบสุข แล้วใครหน้าไหนมันกล้ามาป่วนที่นี่กัน สเตฟานค่อยๆย่องขึ้นบันไดไม้อย่างช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียง เขารู้ว่ามันดังมาจากห้องไหนระหว่างห้องของเขาเองกับของแอมมี่ ข้างบนนี้มีเพียงแค่สองห้องเท่านั้น ตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่เขานอนร่วมห้องกับพี่สาวแต่ตอนนี้เราแยกห้องกันแล้ว เพราะห้องของพ่อกับแม่...ไม่มีใครกลับมานอน

                เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของแอมมี่ มันไม่มีเสียงของสิ่งผิดปกติ นอกจากเสียงลม...

          มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในห้องของพี่ของเขา

                เขาเป็นคนที่หูดี...ดีมากๆ เรื่องนี้พี่สาวของเข้าก็รู้ดี

                เขาค่อยๆเปิดประตูห้องเข้าไป และไม่พบเจออะไรนอกซะจากห้องที่สว่างสลัวๆ ข้าวของที่ถูกรื้อจนเละเทะไปหมดและหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้ ผ่านม่านสีขาวพลิ้วไหวเบาๆ เขาเดินไปดูที่หน้าต่าง ข้างล่างมีแต่ความมืด เขาแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่แสงจันทร์สีนวลๆนั้นก็พอจะทำให้มองเห็นอะไรรางๆได้

                เขาสีดำที่เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วแล้วหายไปที่ป่า

                หัวขโมยตัวแสบ

                เขาหันมามองห้องของพี่สาว นึกภาพตอนที่เจ้าตัวมาเจอได้เลย

                “นี่มันอะไรกันเนี่ย!” นั่นไง

          แอมมี่แทบจะช็อกเมื่อเห็นสภาพห้องของตัวเองที่เจ้าน้องชายของเธอยืนกินลมดูวิวห้องรกๆอยู่ตรงหน้าต่าง

                สเตฟานยักไหล่ “ตัวการหนีเข้าป่าไปเรียบร้อยแล้ว”

                เธอเปิดไฟ พระเจ้าเหอะ มันรกจริงๆ ข้าวของถูกรื้อออกมาหมดและส่วนใหญ่กองอยู่ที่พื้น

                “เจ้าหมอนี่มันก็มีคุณธรรมอยู่บ้างนะ” สเตฟานบอก

                เธอหันไปค้อนขวับทันที “คุณธรรมบ้าบออะไร”

                “เอ้า ก็อย่างน้อยมันก็ไม่รื้อพวกบรา หรือกางเกงในพี่ออกมาไง” พูดจบเจ้าตัวก็แทบจะหลบสมุดลอยไม่ทันแถมยังหัวเราะหึๆอีก

                “ออกไปเลยไป” หญิงสาวไล่พลางจะเริ่มเก็บของ โชคยังดีที่เงินแล้วก็ของมีค่าไม่หายไป...

                “พี่ดูโอเคกว่าที่ผมคิดอีกนะ” สเตฟานพูดขึ้นหลังจากที่เงียบไปสักพัก ในมือของเขาถืออัลบั้มรูปอยู่

                “พูดอะไร” เธอถาม

เขาหันมามองเธอ “ช่างมันเถอะ ผมไปทำการบ้านก่อนละกัน” สเตฟานพูดพร้อมกับเอาอัลบั้มรูปมาใส่ในมือเธอแล้วเดินออกไป

                หญิงสาวมองอัลบั้มรูปในมือ มันเป็นรูปคู่ของเธอเองกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่สเตฟาน ใบหน้าของเธอดูยิ้มแย้มและมีความสุขในอ้อมกอดของผู้ชายคนนั้น

                ลูคัส แม็กฟอกซ์

                เธอสับสนและไม่เข้าใจ หัวสมองของเธอเริ่มจะว่างเปล่าอีกครั้ง เธอเดินไปที่หน้าต่างและดูรูปอย่างเหม่อลอย แสงเย็นๆของพระจันทร์ดวงกลมโตสะท้อนรูปภาพส่องประกายเหมือนมีมนต์ขลัง แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงๆสิ่งที่เธอรู้และแน่ใจอยู่ตอนนี้คือ

...เธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้

                ผู้ชายที่ชื่อ ลูคัส แม็กฟอกซ์ สิ่งเดียวที่รู้อยู่มีเพียงแค่ชื่อที่ยังอยู่ในหัวสมองเท่านั้น

=======================================================

 

แบนเนอร์เด็กดีค่ะ

สวัสดีค่ะ บทที่หนึ่งอัพแล้ว

ฝากด้วยนะค่ะ แล้วในฐานะที่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก

จึงอยากจะขอคอมเม้นท์หน่อยค่ะ

ขอแบบหนักๆเลยนะ จัดหนักมาเลยค่ะ

เพราะว่าเป็นเรื่องแรกเลยอยากได้คำแนะนำหน่อย

ขอบคุณมากค่ะ

(เรียนหนัก สงครามอดนอน)

****รักนะวิ้งๆ***

(24/08/13/22:30)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา