The moon'story (Full moon พันธนาการแห่งดวงจันทร์)

8.7

เขียนโดย Sara

วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.48 น.

  6 chapter
  11 วิจารณ์
  8,969 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 08.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) sometings

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่3

Somethings

                แอมมี่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของเย็นนี้ไปกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพราะเธอต้องรีบปั่นรายงานชีวะวิทยาให้เสร็จทันส่งวันจันทร์ (จริงๆพรุ่งนี้เธอหยุดนะ แต่ขี้เกียจมาไล่ตามงานทีหลัง) ตอนนี้เธอก็เกรดสิบแล้ว หลายคนถามเธอว่าอยากจะเป็นอะไรตอนโตขึ้น เธอไม่ค่อยจะมีความฝันแบบนี้อยู่ในหัวนัก ตอนอยู่เกรดสองเธอฝันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ พอโตขึ้นมาหน่อยก็อยากเป็นครู หลังจากนั้นก็อยากเป็นนักดาราศาสตร์ ความฝันของเธอแทบจะเปลี่ยนทุกครั้งเมื่อโตขึ้น มันไม่เคยแน่นอนและดำรงอยู่ได้นานเลยสักครั้ง

                หลายๆคนเริ่มจะวางแผนเรียนต่อในขณะที่เธอกำลังตัดสินใจให้ตัวเองไม่ได้ ขนาดสเตฟานยังรู้เลยว่าตัวเองอยากเป็นอะไร อันที่จริงก็ไม่เชิงหรอก เขาอยากทำงานอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า ซึ่งเธอเห็นว่ามันไม่น่าจะน่าสนใจขนาดนั้น แต่สเตฟานก็ชอบจริงๆแหละ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีฟีโรโมนของวัยรุ่นชายอย่างเต็มตัว แอลกอฮอล ผับ บาร์ ปาร์ตี้ และผู้หญิง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ติดยาซึ่งนั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี

                ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว แต่สเตฟานยังไม่กลับบ้าน แน่นอนว่าเขามักจะเถลไถลอย่างนี้เสมอ แต่เขาก็ไม่เคยที่จะไม่โทรหาเธอเวลาไปข้างนอก แต่วันนี้เขายังไม่โทรมา บางทีเธอควรจะโทรตามเจ้าน้องชายตัวแสบนั่น

                เธอหยิบโทรศัพท์ก่อนจะโทรหาสเตฟาน ไม่นานเขาก็รับสาย

                “เฮ้ ว่าไง แอมมี่เหรอ” เสียงของสเตฟานตะโกนแข่งกับเสียงดนตรีอันเมามันของผับแห่งหนึ่ง “ผมกำลังสนุก” เขาบอก

                “แน่นอนสิ ถ้านายไม่สนุกนายจะไปที่นั่นทำไม” แอมมี่กรอกเสียงใส่โทรศัพท์ ปลายสายแค่หัวเราะกลับมา เธอรู้สึกว่าเสียงในโทรศัพท์ดูสั่นๆชอบกล แล้วก็มีเสียงเฮฮาปาร์ตี้รวมถึงเสียงของผู้หญิงหลุดลอดออกมา เหมือนว่าจะอยู่ใกล้ๆกับโทรศัพท์ของน้องชายเธอด้วย

                อยู่บนฟลอร์เต้นรำนัวเนียกับผู้หญิงแหงๆ เธอคิด

                “ว่าแต่พี่มีอะไรรึเปล่า” ปลายสายถามกลับ

                “แค่จะบอกว่าอย่ากลับดึกนักนะ” เสียงเพลงดังกระหึ่มยิ่งกว่าเดิมทำให้หญิงสาวนิ่วหน้า

                “ผมขอวันนี้วันเดียว เพิ่งจะสอบฟิสิกส์เสร็จ ขอระบายอารมณ์หน่อย” เขาบ่นน้อยๆพลางหัวเราะไปด้วย อย่างไรก็ตามเธอไม่คิดว่าเขาจะหัวเราะให้เธอมากกว่าหญิงสาวคนไหนก็ตามที่มาเกาะแกะนัวเนียอยู่ใกล้ๆเขา

                “งั้นก็อย่าดึกให้มากนัก” เธออย้ำคำเดิม

                “โอเคฮะ” สเตฟานรับคำก่อนจะบอกลาแล้ววางสาย เขาดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ว่าง่าย ซึ่งเขาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่เขาดูดื้อรั้นกว่านี้ แต่เมื่อเหตุการณ์อันน่าตกใจนั้นเกิดขึ้นและทำให้เราเหลือกันอยู่แค่สองคน เขาก็ดูเหมือนว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่...ในหลายๆด้าน(ลิสต์รายการแอลกอฮอล เที่ยวกลางคืน บ้าผู้หญิงนั่นลงไปด้วย) แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสเตฟานก็ดูจะเป็นน้องชายที่แสนดีของเธอ

                อ้อ จะบอกว่าสเตฟานยังไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที เขาดูเหมือนจะ...เรื่องมากในเรื่องพวกนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็เข้าหาคนเก่งได้ดีกว่าเธอ เป็นหนุ่มสังคมอะไรทำนองนั้น

                พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วมันก็ทำให้เธอนึกถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ลูคัส เขาเป็นคนที่ไม่เคยอยู่ในความทรงจำของเธอก่อนหน้านั้นเลย แต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้เธอกำลังนึกถึงเขาอยู่ เธอเคยคิดว่าเธอรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นบ้างแต่ก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากผมสีน้ำตาลไหม้ ดวงตาสีฟ้าที่แสนจะเย็นชายและใบหน้าที่นิ่งขรึมนั่น สายตาที่มองมาที่เธอมันมีประกายไม่พอใจหน่อยๆ นั่นทำให้เธอคิดอยู่เสมอว่าเธอเคยไปทำอะไรให้เขา

                ถ้าเกิดสมมติว่าเธอความจำเสื่อมจริงๆ มันคงจะต้องมีเรื่องราวอะไรบางอย่างที่น่าซับซ้อนเกิดขึ้น เจสสิก้าบอกว่าเธอเคยเลิกกับเขา นั่นก็แสดงว่าเธอกับเขาต้องเคยคบกัน นั่นหมายถึงว่าเธอมีความสัมพันกับเขาตามแบบคนเป็นแฟนกัน เคยออกเดท กลับบ้านด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน พูดคุยเรื่องราวต่างๆในขณะที่กำลังจับมือกัน และต้องเคยจูบกัน วินาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนกับว่าอยากจูบกับเขาจริงๆ ริมฝีบางเอิบอิ่มนั่น และมันก็เป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวที่เธอต้องรีบไล่ความรู้สึกนั่นออกไป

                เกิดอะไรขึ้นกับเธอในวันวาเลนไทร์ที่ผ่านมากันแค่ นับๆดูมันก็เพียงแค่ห้าเดือนกว่าๆเท่านั้น

                แอมมี่ลุกจากโต๊ะ นั่นเป็นแค่สมมติฐานของเธอ แล้วถ้านั่นมันเป็นจริงล่ะก็มันก็น่าจะมีหลักฐานบางอย่าง ดังนั้นเธอจึงไปที่ลิ้นชักแล้วหยับอัลบั้มรูปออกมา จำได้ว่าสเตฟานเป็นคนยื่นให้เธอในตอนที่ขโมยขึ้นบ้าน มันมีเพียงแค่รูปเดียวเท่านั้น รูปถ่ายคู่ของเธอและลูคัส เธอกำลังยิ้ม เขาก็กำลังยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่จริงใจและออบอุ่น ลูคัสดูหล่อเหล่าและน่าหลงใหลมากขึ้นเมื่อมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า และเขาดูติดจะน่ารักด้วยซ้ำ เธอเผลอยิ้มให้กับภาพนั้น มันดูคุ้นเคยในแบบที่เธอรู้สึก แต่แค่รูปถ่ายใบเดียวมันยังบอกอะไรได้ไม่มากนัก

                บางทีเธอน่าจะมีไดอารี่สักเล่มที่จดความประทับใจที่มีต่อเขา ตอนที่ไปพวกเธอเริ่มคบกัน เดทครั้งแรก บอกรักครั้งแรก เมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายมันออกจะแปร่งเมื่องนึกถึงสภาพของเธอและเขาในตอนนี้ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่เคยจดไดอารี่เลย

                ภายในห้องไม่มีอะไรที่แปลกประหลาดนอกจากภาพถ่ายใบนี้ที่เธอเพิ่งจะเคยเห็น เหมือนกับอยู่ก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าของห้วงแห่งความทรงจำ เธอถือภาพถ่ายใบนั้นเดินไปเดินมาสักพัก สังเกตรายละเอียดภายในรูป ภาพนี้ดูเหมือนจะถ่ายจากสวนสาธารณะแห่งใดแห่งหนึ่ง มีต้นไม้ ดอกไม้ มีทะเลสาปสีฟ้าที่ล้อมรอบไปด้วยป่าสน พวกเธอถ่ายติดแค่ครึ่งบนลงมาหน่อย เธอใส่เสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อฮู้ดสีดำน่าจะสวมกางเกงยีนส์ขายาว(เพราะเธอไม่มีกางเกงยีนส์ขาสั้น ถ้านั่นเป็นกรณีที่เธอใส่เสื้อผ้าของใครอยู่ก็ไม่รู้ก็เป็นอีกกเรื่องหนึ่ง แต่เสื้อฮู้ดนั่นของเธอแน่ๆ เพราะตอนนี้เธอกำลังเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบมันออกมา เป็นเสื้อแบบในรูปจริงๆ) ส่วนลูคัสเขาก็สวมเสื้อยืดสีเทาและเจ๊กเก็ตยีนส์ดูเท่มาก เขาก็น่าจะใส่กางเกงยีนส์เหมือนกับเธอด้วย เธอกับเขามาทำอะไรกันในที่แบบนี้นะ อาจจะกำลังออกเดทหรือกำลังไปปิกนิก แต่ไม่ว่าจะยังไงเหตุการณืนี้ไม่ได้มีแค่เธอกับเขาเพียงสองคนแน่ เพราะมันต้องมีบุคคลปริศนาที่ถ่ายรูปให้เขากับเธอ เธออยากรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ ตัวเองก็ดันไม่รู้อะไรเลย จะให้ไปถามลูคัส เธอก็คงจะกล้า ฉะนั้นถามคนที่ถ่ายรูปให้พวกเธอดีกว่าถ้าเพียงแต่ว่าเธอรู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร ดีไม่ดีอาจจะเป็นเจสสิก้าก็ได้

                เธอไปรู้ว่าเธอจ้องรูปใบนี้นานแค่ไหน สิ่งเดียวที่เธอมองคือใบหน้ายิ้มแย้มของลูคัส ในยามที่เธอยืนพิงหน้าต่างรอยยิ้มนั้นดูจะสว่างไสว เธอปรารถนาอยากจะเห็นรอยยิ้มนั้นจริงๆ                เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังคิดถึงเขาแม้กระทั่งยามนอนหลับ ไม่รู้ตัวด้วยว่ากำลังกอดรูปถ่ายใบนั้นอย่างหวงแหน และไม่รู้ตัวแม้กระทั่งว่าเธอกำลังปรารถนาจูบของเขาขนาดไหน

 

                เธอตื่นมาตอนเช้าวันเสาร์ วันนี้ถือว่าเป็นวันสบายเลยทีเดียว เพราะเธอกับสเตฟานนัดกันไปเดินป่าตามประสาพี่น้อง ทั้งเธอและสเตฟานรักการเดินป่าสืบเนื่องมาจากพ่อของพวกเธอ ตอนเด็กๆครอบครัวของเธอจะพากันไปเดินป่าทุกวันเสาร์ของทุกอาทิตย์ เราไปปิกนิกกันในที่ที่ไม่เหมือนใคร เสเตฟานกำลังใส่รองเท้าบูตสีดำเงาวับ ขณะที่แอมมี่กำลังจัดของใส่เป้อย่างอารมณ์ดี

                "เตรียมของครบหรือยัง" เธอถามเสียงใส

                "เรียบร้อยแล้วฮะ" เขาตอบพลางมองหน้าพี่สาวหลังจากผูกเชือกรองเท้าเสร็จ "วันนี้พี่ดูอารมณ์ดีนะ" เขาบอก

                "แล้วนายไม่อารมณ์ดีอย่างนั้นเหรอ เวลาที่เรากำลังจะไปปิกนิกเดินป่า" เธอพูดขณะหยิบแยมส้มใส่กระเป๋าเป็นอย่างสุดท้ายแล้วปิดประเป๋า

                สเตฟานยักไหล่แบบไม่ค่อยใส่ใจ

                ความจริงสาเหตุอาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนก็ได้ ยอมรับว่าเธอนึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้นอยู่ตลอดเวลา เธอฝัน เธอฝันถึงลูคัส ฝันว่าเขามาหาเธอที่ห้อง ยิ้มให้เธอและจูบเธอ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝันแต่มันกลับทำให้หัวใจของเธอเต้นและสั่นอย่างรุนแรงได้

                "คงไม่ลืมของแล้วนะ" เธอถามเพื่อกลบเกลื่อนความคิดดตัวเอง สเตฟานส่ายหัวแล้วลุกขึ้นยืนก่อนที่เขาจะมองขึ้นไปยังชั้นบน

                "มีอะไรเหหรอ" เธอถาม สเตฟานเงียบไปสักพักเหมือนกับใช้ความคิด เขารู้สึกเหมือนกับว่ามันมีความเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างบนชั้นสอง ตำแหน่งตรงห้องของพี่เขาเอง

                "สเตฟาน" แอมมี่เรียก

                "ผมแค่...ผมว่าผมลืมของ เดี๋ยวผมมา" พูดจบเขาก็เดินขึ้นไปชั้นสองทันที ไม่ผิดแน่ เขารู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างบนนั้น เขารีบเปิดประตูห้องของแอมมี่ แล้วเขาก็ต้องตะลึงกับผู้บุกรุกอีกครั้ง  มันใส่ชุดคลุมสีดำทั้งตัวกำลังยืนอยู่กลางห้องเหม่อมองไปทางตู้เสื้อผ้า ก่อนที่จะหันมาเห็นเขา

                อะไรกันเนี่ย!! ทำไมพักนี้หัวขโมยในวิลฟอลส์ถึงเยอะอย่างนี้ เขาวิ่งเข้าไปหมายจะจับตัวหัวขโมย แต่หมอนั่นกลับกระโดดลงหน้าต่างลงไป เขารีบวิ่งไปดูก็เห็นหลังไวๆวิ่งปีนกำแพงแล้วหนีไปตามถนน เขารีบกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจทันที แล้วมองตรวจสอบข้างล่างอีกรอบ ปิดหน้าต่าง ก่อนที่จะลงไปข้างล่าง

                เขามีพรสวรรค์บางอย่างที่ไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด...

                พี่สาวของเขากำลังนั่งกัดเล็บตัวเอง เธอมักจะทำอย่างนั้นเวลากังวล ทันทีที่เธอเห็นเขาเธอก็รีบถามทันที "มีอะไรงั้นเหรอ เมื่อกี้พี่เห็นตัวอะไรกระโดดลงมาด้วยแหละ"

                ไม่ใช่ตัวอะไร แต่เป็นใครต่างหาก เขาคิด

                "แมวน่ะฮะ" เขาบอก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงเลือกที่จะปิดบังเรื่องที่มีคนเข้ามาให้ห้องของแอมมี่

                "แมวเหรอ?" เธอถาม

                "ฮะ สงสัยจะเป็นเจ้าพายแอปเปิ้ลแน่ๆ พี่ลืมปิดหน้าต่างน่ะ มันคงปีนต้นไม้เข้ามาอีกตามเคย แต่ตอนนี้ผมปิดหน้าต่างให้แล้วล่ะ" เขาบอก

                "งั้นเหรอ โชคดีไป" รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เธอมักจะขี้ระแวงบ่อยๆ

                แล้วสองพี่น้องก็ออกจากบ้านโดยไม่ลืมสำรวจความเรียบร้อย ไม่มีการเปิดน้ำทิ้งไว้ ไม่มีการลืมปิดเตาแก๊ส หรือรายการอื่นๆที่อาจจะทำให้บ้านพังลงไปในพริบตาหรือการต้องเสียค่าน้ำค่าไฟเพิ่มภายในวันหยุดสุดสัปดาห์เพียงแค่วันเดียว

                พวกเธอไม่ลืมที่จะล็อกประตูบ้านและเก็บกุญแจไว้กับตัว เนื่องจากคราวนี้ต้องออกไปพร้อมกันและกลับพร้อมกัน แอมมี่เหลือบไปเห็นเจ้าเหมียวพายแอปเปิ้ลกำลังนอนหาวหวอดๆอยู่ใต้ต้นเมเปิลหน้าบ้าน มันร้องหง่าวออกมาทีหนึ่งก่อนจะกลับไปหลับขดตัวอยู่บนพื้นหญ้า

                แอมมี่และสเตฟานให้วิธีการเดินเท้าแทนที่จะใช้รถ แน่ล่ะก็บ้านขอพวกเธอไม่มีรถกระบะหรือบีเอ็มดับเบิ้ลยู จะมีก็แต่บิ๊กไบค์ดูคาตี้ปีสองพันสิบเอ็ดคันงามของน้องชายเธอที่แทบจะไม่เคยสตาร์ทเลยนอกจากวันที่เจ้าตัวตั้งใจจะออกไปอวดสาวอย่างเดียว

                สามกิโลเมตรกว่าจะถึงที่ที่พวกเธอจะไปเดินป่า แถวนี้เป็นเขตภูเขา มีถนนเพียงแค่สายเดียวที่ไม่ค่อยจะมีรถวิ่งขึ้นวิ่งลงมากนัก พวกเธอเดินข้ามถนนและตรงเข้าป่าไปตามทางเดินชื้นๆที่ร่มรื่น ทางเดินดูโล่งเตียนผิดปกติเหมือนกับว่ามีคนหลายคนเดินผ่านและเหยียบย่ำต้นหญ้าบางต้นที่มีอยู่น้อนนิดให้ราบไปกับพื้นดิน แถมตามต้นไม้บางต้นยังมีรอยขีดเขียดที่ดูเหมือนสัญลักษณ์ประหลาดๆหรือตัวอักษร

                "คณะลูกเสือแน่ๆเลย" สเตฟานบอกขณะกำลังหักกิ่งไม้ยาวๆมาเป็นไม้ค้ำให้กับตัวเองและเธอ พลางชี้ไปที่รอยขีดเล็กๆที่ต้นไม้ "ลายมือเด็กๆ" เขายิ้ม

                "อ-มิ-เลีย" เธออ่านลายตัวอักษร

                "ชื่อเหมือนพี่เลยแฮะ"

               

                 "เห็นอยู่ชัดๆว่ามันไม่เหมือน" เธอบอก สเตฟานหัวเราะออกมา "อยากรู้จังว่าพวกนั้นไปตั้งแคมป์กันที่ไหน" เธอหมายถึงพวกลูกเสือ

 

                "คงสักที่ไหนป่านั้นแหละ" สเตฟานตอบสั้นๆขณะเอาไม้ตีพงหญ้ารอบๆ

 

                เธอชอบเวลาอยู่กับน้องชาย มันเหมือนกับว่าชีวิตนี้ของเธอไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากเขา เราอยู่กันสองคน สเตฟานเป็นเด็กดีมากถึงแม้ว่าเขาจะไม่เด็กแล้วก็ตาม สเตฟานเรียนเก่งกว่าเธอหลายเท่า(นั่นเพราะเขาหัวสมองดี)เขาบอกกับเธอตอนที่เสียครอบครัวไปว่า เขาจะเป็นคนดูแลเธอเอง เพราะเขาเป็นผู้ชาย แล้วก็เป็นน้องชายของเธอด้วย ในตอนนั้นเธอแซวเขากลับไปว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ไปเป็นทหาร เขาก็บอกกลับมาว่า ถ้าเขาไปเป็นทหารเขาก็จะไม่ได้อยู่บ้านน่ะสิ นั่นทำให้เธอยิ้มออกมา

 

                พอคิดถึงตอนนี้เธอก็เผลอยิ้มออกมาทันที ทำให้สเตฟานที่เดินอยู่ข้างหน้าบังเอิญหันมาเห็นจึงถามงงๆ

 

                "ยิ้มอะไรของพี่"

 

                เธอส่ายหัวแล้วกระโดดกอดคอสเตฟานจนเขาแทบหัวทิ่ม แล้วยิ้มร่า "เปล่า ก็แค่รู้สึกดีที่วันนี้ไม่ต้องนั่งท่องสูตรแคลลูลัสอยู่ที่บ้าน"

 

 

 

 

 

                ทะเลสาปสีฟ้าเป็นภาพแรกที่สะท้อนเข้าตาเธอทันทีที่มาถึงที่หมาย เธอวางของลงบนพื้นกรวดแล้วเดินไปล้างหน้า น้ำในทะเลสาปใสมาก วิวข้างหลังเป็นภูเขาที่มีต้นสนขึ้นอยู่เต็มไปหมด ตรงนี้สามารถมองเห็นดาวได้ทั่วฟ้าในตอนกลางคืน วันนี้เธอกับสเตฟานจึงเอาเต้นท์มาด้วยเพื่อที่จะได้นอนค้างที่นี่ หลายคนอาจจะไม่ชอบนอนกลางดินกินกลางทรายในป่าแบบนี้ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าได้มาอยู่ที่นี่ต้องไม่อยากกลับแน่ๆ เหมือนกับตอนที่พ่อพาเธอมาครั้งแรกตอนเธออายุสิบขวบ            จำได้ว่าตอนนั้นเธอร้องไห้เป็นใหญ่เป็นโตเพราะอยากจะกลับบ้าน แต่สเตฟานที่ตอนนั้นอายุแค่เก้าขวบกลับแค่หัวเราะออกมาแล้วกอดเธอไว้แล้วเธอก็เผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีเธอก็เห็นดวงดาวนับล้านบนท้องฟ้าเป็นสิ่งแรก วินาทีนั้นเธอก็แทบจะลืมไปเลยว่าเธอเกลียดการอยู่ในป่ามากแค่ไหน สเตฟานที่นอนอยู่ข้างๆเธอถามออกมาว่า มันสวยไหม เธอไม่ตอบอะไรมากมายกว่าการพยักหน้า แล้วตอนนั้เธอก็จำได้ด้วยว่าพ่อเล่านิทานให้เราฟัง

 

                "ผมว่าผมรู้แล้วว่าลูกเสือพวกนั้นไปเข้าค่ายตั้งแคมป์กันที่ไหน" สเตฟานพูดออกมากขณะก้มลงล้างหน้าข้างๆเธอ

 

                "ที่ไหนเหรอ" เธอถาม

 

                เขาหันมายิ้มให้เธอแล้วชี้ไปยังอีกฟากของทะเลสาปที่มีเต้นท์กางอยู่สิบกว่าหลังเป็นได้แต่ไม่มีคนเลยสักคน แสดงว่ายังเธอทางกันมาไม่ถึง ทำไมตอนแรกเธอไม่เห็นนะ

 

                "โอ้ งานนี้คงได้สนุกพิลึก" เธอพูดขำๆ

 

                สเตฟานลุกขึ้นยืนก่อนจะพูด "เอาล่ะ ทีนี้ก็ถึงตาเราบ้าง เรามีอะไร เสบียง เต็นท์ ไฟแช็ก ไฟฉาย บลาๆๆ" แล้วเขาก็หันมาทางเธอ "ขาดก็แต่ฟืน"

 

                "งั้นนายไปเก็บฟืน ส่วนพี่จะกางเต้นท์ให้" เธอบอกแบบสั่ง สเตฟานหันขวับทันที

 

                "โห่พี่ อะไรอ่ะ ทำไมใช้ผม"

 

                "ก็เพราะว่านายเป็นผู้ชาย" เธอบอก เขาทำหน้ามุ่ย "แล้วนายก็เป็นน้องชายที่แสนจะเก่งกาจของฉัน" เธอพูดแบบเล่นๆ แต่สเตฟานก็ดีดนิ้วดังเปาะ

 

                "ใช่เลย งั้นพี่รออยู่ที่นี่ กางเต็นท์ไป ส่วนผมไปหาฟืนให้เอง" พูดจบเขาก็เดินไปหยิบมีดสั้นแล้วเข้าป่าไปอีกรอบ

 

                มุกชมน้องชายของเธอนี้ใช้ได้ผลประจำ

 

                ระหว่างนั้นเธอก็จัดการกางเต็นท์ไป ถึงแม้จะเผลอแอบลืมๆวิธีการกางเต็นท์ไปบ้างก็ตาม ดังนั้นเธอจึงใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการกางเต็นท์ให้มันออกมาเป็นรูปเป็นร่างของเต็นท์จริงๆ หลังจากนั้นก็ยกสำภาระข้าวของต่างๆไปไว้ข้างในเต็นท์รวมถึงการเอาชุดโต๊ะและเก้าอี้ปิกนิกออกมากางข้างนอกสำหรับดินเนอร์สุดโรแมนติกกับน้องชาย ฉะนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการกินมาร์ชเมลโล่ย่างริมทะเลสาบอย่างนี้

 

                คณะลูกเสือที่เดินทางกลับมากันแล้วก็เริ่มทำกิจกรรมต่างๆของตนเอง เด็กหญิงคนหนึ่งในคณะลูกเสือหันมาโบกมือให้เธอไกลๆ ตอนนี้ก็สี่โมงกว่าแล้ว เกือบจะห้าโมง เธอหันไปมองข้างหลังแต่ยังไม่มีวี่แววของสเตฟาน ดังนั้นเธอถึงตัดสินใจฆ่าเวลาด้วยการลากเก้าอี้ปิกนิกไปทางทะเลสาบแล้วถอดรองเท้าบูทสีดำออก เท้าของเธอแดงเถือกเพราะว่าเดินติดต่อกันเป็นเวลานาน มันเจ็บนิดหน่อย แต่เธอก็ชินแล้ว

 

                หญิงสาวเอาน้ำจุ่มลงไปในทะเลสาบตรงที่ตื้นๆ ให้น้ำเย็นๆไหลผ่านเท้าของเธอ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าสายน้ำนั้นแผ่ความสดชื่นเข้าสู่ตัวของเธอ ไล่จากฝ่าเท้าขึ้นมาเรื่อยๆทำให้เธอรู้สึกอยากถอดเสื้อผ้าโดดลงไปในทะเลสาบ ถ้าไม่ติดที่ว่ามีคณะลูกเสืออยู่                 แอมมี่เหม่อมองภูมิทัศน์ของทะเลสาบ น้ำไหลมาจากช่องว่างแคบๆของภูเขาข้างหน้าที่อยู่ตรงข้าง ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ ทางซ้ายและขวาเป็นผืนป่าสนรวมถึงตรงที่เธออยู่ด้วยผืนน้ำและป่าถูกคั่นกลางด้วยพื้นหินกรวดสีขาวแทนที่จะเป็นทรายหรือดิน คณะลูกเสือกางเต็นท์อยู่ทางซ้ายมือห่างออกไปทำให้เห็นใครเป็นใครไม่ค่อยจะชัดเจนนัก

 

                แอมมี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงดาวกำลังขึ้น เธอได้ยินเสียงก้อนกรวดขยับเหมือนมีคนเดินมาทางด้านหลัง

 

                “ไง สเตฟาน” เธอหันไปเรียกน้องชาย

 

                แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เธอคิดว่าเขากลับมาแล้วซะอีก แอมมี่มองนาฬิกาข้อมือ ห้าโมงแล้ว แต่สเตฟานยังไม่มาน้องชายของเธอเข้าป่าไปได้เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว เธอเริ่มจะเป็นห่วงน้องชายใจหนึ่งก็คิดอยากจะไปตามหาแต่ก็กลัวว่าพอเขากลับมาแล้วจะไม่เห็นเดี๋ยวก็ได้กลายเป็นเรื่องยุ่งกันไปใหญ่ เธอกำลังจะหยิบโทรศัพท์ออกมาแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าในป่าแบบนี้จะไปหาสัญญาณโทรศัพท์ได้จากไหน เธอจึงให้เวลาตัวเองสิบนาทีนั่งอยู่เฉยๆ หลังจากนี้ถ้าเขายังไม่มาเธอคงต้องเข้าไปตามหา

 

                แล้วเธอก็ต้องลุกสวมรองเท้าเพื่อเข้าป่าจนได้ หลังจากนั่งรอเกือบสิบนาทีแล้วเขายังไม่มา เธอหันไปมองแค้มป์ลูกเสือที่เริ่มจะจุดกองไฟชุมนุมกันแล้ว เธอเข้าไปในเต็นท์เพื่อนเอาไฟฉายและมีดพับแล้วเดินเข้าป่าทันที

 

                ถึงแม้ข้างนอกนั้นจะดูไม่ค่อยมืด แต่พอเข้ามาในป่าที่มีแต่ร่มเงาต้นไม้แบบนี้ทำให้เหมือนเธอหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง จากที่สว่างๆก็มืดทันที แต่เธอก็ไม่ได้ใช้ไฟฉาย

 

                “สเตฟาน!” เธอตะโกนเรียก เสียงของเธอดังก้องอยู่ในป่าที่เงียบสงัด ถึงจะบอกว่าเย็นแล้วก็เถอะ แต่ถึงอย่างน้องก็น่าจะมีเสียงนกร้องหรืออะไรบ้างเถอะ ทันใดนั้นใบไม้บนต้นไม้ก็ขยับทำให้เธอสะดุ้งแล้วทันไปหาเสียงทันที

 

                แม่นกกำลังป้อนอาหารลูกนกในโพรง

 

                หญิงสาวถอนหายใจ เพิ่งคิดถึงเสียงไปหยกๆยังไม่ทันได้หายใจก็มีเสียงจริงๆ

 

                “สเตฟาน!” เธอเรียกน้องชายอีกครั้ง ต่อด้วยครั้งที่สองและสามต่อไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับมาเลย

 

                เด็กคนนั้นไปหาฟืนลึกถึงไหนกันนะ เธอคิดพลางเปิดไฟฉาย

 

                ป่านี่เริ่มจะมืดแล้วจริงๆ ขอแค่อย่ามีอะไรเกิดขึ้นกับน้องชายของเธอเลย เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน และดูเหมือนเธอจะลืมคิดเรื่องหลงป่าไปแล้วด้วยเพราะเดินเข้ามาลึกขนาดนี้

 

                เธอเป็นห่วงน้อง สเตฟานหยิบแต่มีดไป แต่ไม่ได้เอาไฟฉายไปด้วย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าต่อให้ในมือมีอาวุธแต่เราไม่เห็นอะไรเลย หัวใจของเธอเริ่มจะเต้นและกระตุกเมื่อได้ยินเสียงหมาป่าหอน แต่แทนที่เธอจะยืนตัวอข็งเกรงยืนอยู่กับที่ ฝีเท้าของเธอกับเร่งเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง ขณะที่ปากของเธอก็ร้องเรียกชื่อของน้องชายไปด้วย

 

                เธอไม่รู้หรอกว่าวิ่งไปทางไหนรู้แค่ว่าถ้ามันมีทางให้วิ่งต่อไปข้างหน้าเธอก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆ เธอเป็นคนสัญชาตญานดี กับในป่าด้วยแล้วยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะเธอกับพ่อมาเดินป่าด้วยกันตั้งแต่เธอยังเด็ก ความมืดโรยตัวเข้ามารอบกายเหมือนกับเงาสีดำที่กำลังจะกลืนกินเธอ  ไม่มีเสียงอะไรในป่านอกซะจากเสียงสวบสาบและเสียงเรียกร้องชื่อน้องชายของเธอ

 

                หญิงสาวชะงัก

 

                เสียงสวบสาบอย่างนั้นเหรอ

 

                เธอนิ่งเพื่อฟังเสียง มันมีเสียงสวบสาบเหมือนคนกำลังเดินอยู่จริงๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอกลัวมากไปกว่าเสียงที่ตามมาด้วย

 

                เสียงเพลงแจ่มกังวานเหมือนดังอยู่ในหู ทำนองเพลงที่เยือกเย็นและคุ้นเคย ไม่มีอะไรที่น่ากลัวและสามารถตรึงให้เธอยืนอยู่กับที่มากไปกว่านี้อีกแล้ว เธอคุ้นเคยกับเสียงนี้และรู้สึกขนลุก เย็นเยียบไปทั้งร่างกาย เพราะคงไม่มีใครอารมณ์ดีจนมาร้องเพลงในป่าในเวลาแบบนี้ เสียงนั้นเริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ ในขณะที่เธอเดินตามเสียงนั้นไปอย่างไม่รู้ตัว มันเหมือนกับเธอโดนท่วงทำนองเพลงนั้นสะกดจิตกลายเป็นเชือกที่ผูดมัดตัวเธอให้เธอเดินตามไป

 

                เธอกำลังฝันอย่างนั้นเหรอ

 

                ฝันไปรึเปล่า?

 

                แอมมี่เดินตามเสียงนั้นไปในขณะที่มือก็แหวกใบไม้ที่เกะกะขวางทางเดินออกไป เธอมองไปรอบๆตัวแต่ก็ไม่เห็นอะไร ไฟฉายเจ้ากรรมก็ดับลงแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ เพราะมันยังมีแสงสว่างของอะไรก็ตามที่พอจะทำให้เธอมองเห็นทาง อาจจะเป็นแสงจันทร์

 

                เธอยังไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนอกซะจากความมืดสลัวๆและเสียงร้องเพลงที่ยานคางและเย็นเยียบ ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร หรืออาจจะเป็นภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่สำเนียงอเมริกัน อาจจะเป็นบริติช ไม่ก็อิตาลี แต่ถึงอย่างไรเธอก็ฟังมันไม่ออก

 

                เธอสับสน เธอกำลังอยู่ในโลกของความฝันหรือความจริงกันแน่ ต้องเป็นความจริงอยู่แล้วสิ เพราะเธอมาที่ป่า...เพื่ออะไรล่ะ แล้วเธอกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...

 

                ไม่รู้

 

                ไร้สึกความรู้สึกและสัมผัสอะไรทั้งนั้น นอกจากเสียงเพลงที่ดังอย่างแผ่วเบา จนถึงตอนนี้เธอก็ไม่รู้ที่มาของเสียงนั้น ไม่พบกับความเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น แสงสีนวลสาดส่องลงมาจากฟ้ายามค่ำคืน มือของเธอแหวกกิ่งไม้ไปเรื่อยๆ จนเผลอไปโดนกับกิ่งไม้ที่เย็นๆเข้า และพอเธอเดินต่อไปไม่ได้ข้างหน้าไม่ได้นั่นแหละเธอถึงได้รู้ มันไม่ใช่กิ่งไม้ แต่เป็นเหล็ก...เหล็กสีดำ พอเธอเงยหน้าถึงได้รู้ว่านี่เป็นประตูเหล็กแบบในฝัน สรุปแล้วเธอกำลังยืนอยู่ที่ไหนกันแน่ ระหว่างปัจจุบันกับความฝัน หรือเป็นเสี้ยวต่อตรงกลางของทั้งสองอย่าง

 

                เธอรู้สึกเหมือนกับว่าสติของเธอที่หลุดลอยไปมันกลับมาแล้ว เธอสัมผัสกับความเย็นของเหล็กนั้นอย่างเต็มมือ เสียงร้องเพลงยังไม่หยุดเพียงแต่มันเบาลงแล้วเท่านั้น เหมือนกำลังห่างไกลไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็กำลังจะหยุดลง บรรยากาศเย็นพัดโอบล้อมอยู่รอบตัวเธอ ข้างหน้าคือประตูเหล็กดัดอันใหญ่และสวยงาม ตรงกลางของประตูทั้งสองบานเป็นเหล็กดัดโค้งรูปตัวเอสที่อยู่ในวงกลมที่เป็นลวดลายของเถาวัลย์และดูเหมือนจะเป็นรูปของสัตว์อะไรซักอย่างที่ต่อกันด้วย

 

                ความเงียบมาเยือนจริงแล้ว เสียงร้องเพลงนั่นหยุดลงแล้ว แสงสีนวลบนท้องฟ้าค่อยๆจางลงๆ และทันทีก็กลับมาสว่างจ้าจนเธอต้องยกแขนขึ้นบัง

 

                “แอมมี่!”

 

หญิงสาวค่อยๆลดมือลงเพื่อตอบสนองต่อเสียงเรียกของเธอตรงหน้า  แสงไฟเริ่มสว่างน้อยลงเธอถึงรู้ว่าแสงที่ส่องจ้านั้นไม่ใช่แสงจันทร์แต่เป็นแสงจากไฟฉายที่คนตรงหน้าของเธอถืออยู่

 

                "สเตฟาน"

 

                "แอมมี่ พี่มาทำอะไรที่นี่เนี่ย" เขาถาม เธอถึงรู้ตัวว่าตัวเองเข้าป่ามืดๆนี่มาทำไม เธอหันไปมองด้านหลัง มันไม่มีอะไรนอกจากผืนป่าสีดำที่มืดสนิท หมอกควันสีขาวจางๆลอยละพื้นดิน ไม่มีประตู ไม่มีเสียงเดินสวบสาบ และไม่มีเสียงร้องเพลง ไม่มีอะไรทั้งนั้น...

 

                "ก็ออกมาตามหานายน่ะสิ" เธอตอบเสียงเรียบ

 

                "ออกมาตามหาผมจริงๆด้วย" สเตฟานบอกพลางเกาคอแก้เก้อ "โทษที ผมหลงทางนิดหน่อย"

 

                "แล้วฟืนล่ะ" เธอถาม

 

                "ผมเอาไปเก็บไว้ที่แค้มป์แล้ว แต่พอไปถึงผมถึงได้รู้ว่าพี่สาวตัวเองหายไป ผมนั่งรอพี่ตั้งสิบนาทีแต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่เห็นพี่ ผมถึงได้ออกมาตามหา ผมห่วงพี่แทบตาย” ประโยคหลังเขาหันไปพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้ยินอยู่ดี หญิงสาวเอื้อมมือไปโยกหัวน้องชายเล่นเบาๆ

 

                "แต่พี่นี่กล้าจัง เดินเข้าป่ามืดๆมาโดยทิ้งไฟฉายไว้ด้วย" เขาบอกพลางยื่นไฟฉายในมือให้เธอ แล้วเปิดไฟฉายอีกกระบอกในมือของเขาเสียงของมันดัง แกร็ก  "พี่ทำมันตก มองเห็นทางได้ยังไงกันน่ะ" เขาพูดเบาๆ

 

                เธอรับไฟฉายจากมือน้องชายมา ความเย็นจากผิวของมันแล่นเข้าสู่มือเธอจนเธอเกือบเผลอปล่อยมันตกพื้น

 

                "มีอะไรรึเปล่าฮะ" สเตฟานถามหลังจากเห็นพี่สาวของตัวเองทำท่าทางเก้ๆกังๆ

 

                "เปล่าหรอก" แอมมี่ส่ายหัว

 

                "กลับกันเถอะฮะ" เขาบอกแล้วเอื้อมมือมาจูงมือเธอเพื่อกลับแคมป์ "พี่คงไม่ได้ตามแสงหิ่งห้อยมาหรอกนะ ที่บอกว่าขนาดทำไฟตกแล้วยังเดินเข้าป่ามืดๆมาได้ ขนาดผมเปิดไฟฉายมายังแทบจะมองอะไรไม่เห็น"

 

                "ก็มันมีแสงจริงๆนี่" เธอบอก

 

                "แสงหิ่งห้อยล่ะสิ"

 

                "แสงจันทร์ต่างหาก หิ่งห้อยเล็กขนาดนั้นมันจะมองเห็นทางได้ยังไง" เธอบ่นอุบ

 

                สเตฟานหยุดเดินทันที เขาชะงักเร็วซะจนเธอแทบจะชนหลังเขา "แสงจันทร์?" เขาถามเสียงสูง

 

                "มีอะไร"

 

                สเตฟานมองหน้าพี่สาวตัวเองก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วพูด "แอมมี่ เราไม่มีวันเข้าป่ามาตั้งแค้มป์ดูดาวกันในวันที่มีพระจันทร์ขึ้นหรอกนะ"

 

                เธอเงียบ แสงจากไฟฉายทำให้เธอมองเป็นสีหน้างงงวยของน้องชายลางๆ หญิงสาวเงยหน้ามองขึ้นฟ้า มันไม่มีพระจันทร์จริงๆ มีก็แต่ดาวดวงเล็กๆที่ขึ้นกันกระจัดกระจาย แสงดาวแค่นั้นไม่มีทางทำให้เธอมองเห็นทางได้แน่ๆ นี่ยังไม่รวมถึงเงาของต้นไม้ที่พร้อมจะบดบังแสงที่สาดส่องลงมาจากข้างบน แต่เธอเห็นทางจริงๆนะ เธอจะมองเห็นทางได้ยังไงถ้ามันไม่มีแสง

 

                "แอมมี่ พี่เป็นอะไรรึเปล่า" สเตฟานถาม ขณะที่เธอรับรู้ได้ถึงมือของเขาที่บีบมือเธอแน่น

 

                "เปล่า" เธอส่ายหัว "พี่ไม่เป็นอะไร"

 

                สเตฟานยังคงข้องใจเธออยู่ "แล้วพี่เดินเข้ามาในป่าที่มืดๆแบบนี้ได้ยังไงโดยไม่บาดเจ็บ เดินในป่าตอนนี้มันอันตรายจะตาย"

 

                แอมมี่มองหน้าน้องชานก็จะยิ้มร่าออกมาแล้วชูไฟฉายขนาดพกพาสีแดงที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอออกมา "ไอ้นี่ไง" เท่านั้นเองสเตฟานก็แทบจะสลัดมือเธอทิ้งทันที

 

                "พี่แกล้มผม" เขาโอดครวญ

 

                "ต้องโทษนายแหละที่ออกมานานเกินไปทำให้พี่ต้องเข้ามาตามหาในที่มืดๆแบบนี้" เธอบอก

 

                "คร้าบ คร้าบ ที่นี้ก็ไปกันเถอะผมหิวแล้ว เหนื่อยด้วย" เขาบอกแล้วจับมือเธอเดินต่อ

 

                เมื่อกี้เธอวัดดวงเอา เธอไม่รู้หรอกว่าในกระเป๋ากางเกงของเธอมีไฟฉาย แต่เธอจำได้ว่าเธอใส่มันไว้ก่อนออกมาจากบ้าน เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเธอมองเห็นทางทั้งๆที่มันมีแสง และที่สำคัญทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเจอไปเมื่อสักครู่มันเหมือนกับในความฝัน เสียงร้องเพลงนั่นที่เป็นเพลงเดิมๆ เสียงร้องที่หวานและทำนองที่เยียบเย็นนั่นเธอได้ยินแทบจะทุกคืนในความฝัน เพียงแต่ในตอนนี้ที่ความเป็นจริงเธอไม่เห็นตัวคนร้อง แต่ที่แน่ๆประตูที่ปรากฏนั่นต้องเป็นของจริงถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะหายไปแล้วก็ตาม

 

                อีกโลกหนึ่ง เธออยากจะพูดแบบนั้น เหมือนกับว่าเธอเดินหลงเข้ามาในโลกที่แตกต่างหลังจากนั้นก็กลับมาที่เดิมทันทีที่น้องชายของเธอปรากฏตัว ที่ไหนสักแห่งในป่าแห่งนี้ต้องมีความลับอะไรบางอย่างแน่ๆ ความลับที่เธออาจจะมีข้อข้องเกี่ยวด้วย

 

                หญิงสาวมองกลับไปทางด้านหลังหวังว่าจะพบอะไรสักอย่าง แต่มันก็ไม่มีอะไร โรงละครเมื่อครู่จบลงแล้ว และมันจะต้องกลับมาแสดงอีกครั้งแน่เมื่อเธอเดินเข้าไปอีกครั้ง เธอมองขึ้นบนท้องฟ้า คืนนี้ไม่มีดวงจันทร์จริงๆ เธอมองน้องชายที่เดินนำอยู่ข้างหน้า มือของเข้าก็กุมมือของเธอไว้ราวกับว่าจะไม่มีทางปล่อยมันออก ไม่นานนักพวกเธอก็กลับมาถึงทะเลสาบตรงที่เธอตั้งแค้มป์ไว้ น่าแปลกที่คราวนี้ทั้งเธอและสเตฟานไม่มีใครสับสนทางเดินในป่า อยู่ๆพวกเธอก็มุ่งตรงและมาที่นี่ถึงได้โดยไม่มีใครหลงหรือถามออกมาว่า มันต้องไปทางไหนต่อ การเข้าป่าตั้งแต่เล็กๆของพวกเธอมันทำให้สัญชาตญานการเดินป่าของพวกเธอทั้งสองคนนั้นดี

 

                "ถึงซะที" สเตฟานปล่อยมือเธอแล้วบิดขี้เกียจ

 

                ตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างในป่าด้านหลัง กิ่งไม้กิ่งหนึ่งขยับก่อนที่มันจะค่อยๆกับมานิ่งเหมือนเดิม เธอรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนหรืออะไรบางอย่างกำลังแอบมองเธออยู่ในป่านั่น เฝ้ามองและรอคอยอย่างเงียบๆ...

 

                "มีอะไรฮะ" สเตฟานหันมาถาม

 

                แอมมี่ส่ายหัว "เปล่าหรอก...  เอาล่ะทีนี้ก็ดินเนอร์กันดีกว่า" หญิงสาวพูดตัดบนแล้วเดินไปยังโต๊ะปิกนิกเพื่อจุดไฟ เธอตัดความกังวลทั้งหมดออดจากหัวขณะหยิบฟืนที่สเตฟานเอามาวางไว้เพื่อจุดไฟ โดยที่ไม่รู้เลยว่าสเตฟาน น้องชายของเธอกำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เขามองเข้าไปในป่า เขารู้ดีว่าอะไรบางอย่างที่พี่เห็นเขาอาจจะไม่เห็นก็จริง แต่อะไรบางอย่างที่พี่ได้ยินหรือว่าไม่ได้ยิน...เขาจะได้ยิน แล้วตอนนี้เขาก็ได้ยินเสียงในป่านั่น เสียงขยับของใบไม้ และเสียงวิ่งอย่างรวดเร็วปานสายลมที่วิ่งห่างออกไป

 

                "เฮ้ นายจะยืนอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่" เสียงของพี่สาวเรียกเขา เขาหันไปยิ้มให้ตามปกติเหมือนทุกครั้งที่เขาได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขา

 

                เขาเข้าไปในเต็นท์แล้วมองหาถุงมาร์ชเมลโล่ในกระเป๋าในเต็นท์แล้วเดินออกมา "อากาศดีจัง"

 

 

 

====================================================

สวัสดีค่ะ มาอัพให้แล้วค่ะ

ตอนนี้ปิดเทอมแล้วววว (เย่ \^O^/)

แต่ก็ต้องไปปั่นโปรเจกต่อ T^T

เอาเป็นว่าขอบคุณที่ติดตาม (และสนใจ)นิยายเรื่องนี้นะค่ะ

แล้วก็ขอคำแนะนำด้วย ติ ชมได้ค่ะ

แล้วเจอกันค่ะ

***รักนะวิ้งๆ***

(30/09/2013/19:21)

====================================================

สวัสดีค่าาา อัพต่อให้จบตอนแล้วนะค่ะ

(หลังจากหายไปปั่นโปรเจคมา ฮา)

ตอนนี้คิดว่าจะลง Chapter ละครึ่งตอน

เพราะไม่มีเวลาแต่ง 555 แต่ก็จะพยายามไม่ให้หายไปนานนะ

เพราะเดี๋ยวนิยายจะค้าง ฮา

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

***รักนะวิ้งๆ***

(22/10/2013/18:48)

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา