Half Blood Knight : เปิดตำนาน อัศวินสองพันธุ์

9.0

เขียนโดย Fenris

วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.07 น.

  6
  2 วิจารณ์
  9,374 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 19.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ตอนที่ 4 แม้จะกินอยู่ เรื่องก็วิ่งเข้าหาได้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 ตอนที่ 4 แม้จะกินอยู่ เรื่องก็วิ่งเข้าหาได้

 

                รอบ ๆ สิ่งก่อสร้างอาคารสีขาวขนาดยักษ์ มีผู้คนมากหน้าหลายตายืนออกันอยู่อย่างแน่นขนัด ไม่ใช่ว่ามันมีงานเทศกาลอะไรหรอกนะแต่เพราะวันนี้เป็นวันรับสมัครอัศวินเข้ากองพันธ์ คนเกือบทั้งอาณาจักรต่างมากันทั้งนั้น ทั้งชาวบ้านธรรมดา ๆ พ่อค้าแม่ค้าที่ถือโอกาสพากันตั้งร้านตั้งแผงขายของหาทางกอบโกยกำไรเข้ากระเป๋า และไอ้พวกที่ยืนต่อคิวยาวเหยียดนั่นด้วย ก็พวกนักสู้ จอมเวทย์ นักบวชทั้งหลายแหล่นั้นแหละ เรียกได้ว่ามากันเยอะซะจนพื้นที่กว้าง ๆ นั่นแคบไปถนัดตา

                ขนาดข้าที่นั่งมองอยู่ในที่โล่ง ๆ ห่างออกมาตั้งมาก ยังเห็นแล้วรู้สึกคลื่นไส้อยากคายแซนวิชที่เพิ่งกินไปออกมาตงิด ๆ นี่ถ้ามีกระป๋องใบยักษ์ ๆ ตกลงมาครอบซะหน่อยข้าจะไม่แปลกใจเลยถ้ามีคนเข้าใจผิดว่ามันเป็นปลากระป๋อง ไม่รู้ทนเดินกันไปได้ยังไง ให้ตายสิ ถ้าไม่ใช่เพราะยัยเจ๊โหดเทเลอร์บังคับ (ขมขู่) ให้มานะ ข้าไม่มีทางนั่งอยู่ตรงนี้แน่!

                ข้าเสยผมที่ขอให้เทเลอร์ตัดให้มันสั้นแค่คออย่าหงุดหงิด ยัยเจ๊นั่นเล่นตัดทรงอะไรก็ไม่รู้รำคาญข้างหน้าซะมัด ก้มลงมองกระดาษในมือที่ถูกกรอกประวัติส่วนตัว (ปลอม) ลงไปอย่างเรียบร้อย ด้วยลายมือสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวที่ข้าไม่คิดจะกล้าหือ กับจดหมายที่ถูกเซ็นต์ชื่อไว้แล้วก็ได้แต่กลุ้มใจ จะให้ข้าทำไงล่ะนอกจากจะต้องไปยืนต่อแถวแบบชาวบ้านเขา

                แม้จะตั้งใจอย่างนั้นแต่ข้าก็ยังยืนมองอย่างลังเลอยู่วงนอก ก็แหมข้ายังไม่อยากเข้าเป็นไปส่วนร่วมในปลากระป๋องนี่ กวาดสายตาไปทั่วหาแถวที่สั้นที่สุดแต่มันก็เป็นแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ และแล้วก็ถึงเวลาที่ข้าต้องตัดสินใจ

                ข้าว่า...

                เดี๋ยวค่อยมาใหม่ดีกว่า

                ว่าแล้วก็พับใบสมัครเก็บไว้ในกางเกงพร้อมกับหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้น ถึงแม้กระดาษแผ่นมันจะใหญ่เกินกระเป๋าจนโผล่ออกไปสักหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าขอแค่ใส่มันได้และข้าไม่ต้องถือก็เป็นพอ

                เป็นอย่างที่คาด และรู้สึกดีกว่าเป็นไหน ๆ พอเริ่มออกห่างจากลานประลองผู้คนก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ข้าเดินทอดน่องไปตามถนนเรื่อยเปื่อยเพื่อเป็นการฆ่าเวลาและหาอะไรกินเล่น ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนแถวที่ต่อคิวก็คงจะไม่มีวันสั้นลงอย่างแน่นอน และแม้ว่าชะตาข้าอาจจะขาดได้ซึ่งมันเละเป็นชิ้น ๆ แน่ถ้าข้าไม่ได้ไปยื่นใบสมัครหรือไปยื่นไม่ทัน

                แต่เฮ้อ... ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์จะไปยืนขาแข็งให้เมื่อยตุ่มเล่นนี่หนา

                ดังนั้นตอนนี้ข้าขอผลาญเงินที่เพิ่งได้มาจากเทเลอร์ดีกว่า เพื่อความสุขและโยชน์ส่วนตน

สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่นาน ๆ ทีและนานโคตร ๆ กว่าข้าจะได้มาสัมผัส ร้านรวงต่าง ๆ ถูกเปิดมากมายและมากกว่าปกติจนแน่นขนัด เสียงพูดคุยโหวกเหวกโวยวายของพวกแม่ค้าพ่อค้า ผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินเลือกซื้อของ มันแทบไม่ได้ต่างจากชุมนุมของชาวมังกรเลยสักนิด จะมีก็แค่สินค้าของขายจำพวกของกินและของบางพวกเท่านั้นที่ดูแปลกตาสุด ๆ แต่อย่างน้อยก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นของสุดแสนจะคุ้นเคยสำหรับข้า

                นั่นคือ...

                “เนื้อย่าง!”

                ข้าร้องขึ้นอย่างดีใจรีบตรงดิ่งไปทันทีที่เห็น เนื้อย่างนับสิบไม้ถูกย้ายขึ้นจากเตามาวาเรียงไว้บนถาด กลิ่นหอมที่โชยออกมาทำข้าน้ำลายส่อรีบปาดออกแทบไม่ทัน

                “ผมขอยี่สิบไม้ฮะ คุณป้า”

                หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ พูดด้วยน้ำเสียงใจดีว่า “แหมพ่อหนูสั่งซะเยอะเลย แล้วจะทานหมดหรือจ๊ะ”

ข้าพยักน้าหงึกหงักขานรับเสียงใส “แน่นอนฮะ”

                “จ้า ๆ” เธอยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับท่าทางของข้าที่ไม่บอกก็รู้ว่าตอนนี้ตาเป็นประกายขนาดไหน ก่อนจะนำเนื้อเสียบไม้ชุดใหม่วางลงบนเตา ถ่านร้อนสงเสียงฉ่า ๆ เมื่อน้ำหยดลงไป

                “มานั่งนี่ก่อนมา อีกสักพักก็ได้แล้วล่ะ” หญิงวัยกลางคนว่าพลางตบมือลงบนลังข้างหลังร้าน เห็นดังนั้นข้าจึงไม่รีรอจะขึ้นไปนั่งตามที่เธอกล่าว บอกแล้วว่าเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากยืนให้เมื่อย มีที่นั่งให้ฟรีแล้วทำไมข้าจะไม่นั่งล่ะ

                “ทำไมถึงมีคนอยากเป็นอัศวินกันเยอะนักล่ะครับ คุณป้า” ข้าเอ่ยถามขณะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าท้องที่แจ่มใสไร้เมฆปกคลุม

                “หนูไม่รู้หนอจ๊ะว่าที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นกองพันธ์อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดน่ะ โดยเฉพาะกองพันธ์พิเศษมีคนฝันอยากจะเข้ามากที่สุดเลยล่ะ พวกเขาเป็นอัศวินที่เก่งที่สุดและขึ้นตรงต่อพวกราชวงศ์เท่านั้น เห็นเขาว่ากันว่าปัจจุบันมีสมาชิกเพียงแค่ 8 คนเอง แล้วที่หนูเห็นว่าคนเยอะมันก็เพราะว่าวันนี้มันเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะรับสมัคร”

                ข้าเหลือบมองคุณป้าที่กำลังงงวนอยู่กับการพลิกเนื้อย่างบนเตา ก่อนจะละสายตากลับไปแกว่งขามองท้องฟ้าเช่นเดิม

                “หรอฮะ”

                “นี่จ๊ะได้แล้ว” ไม่นานเนื้อย่างร้อน ๆ หอมฉุยยี่สิบไม้ก็ถูกยื่นมาให้ พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงวัยกลางคน “100 เหรียญจ๊ะ”

                ข้ากระโดดลงจากลังไม้ยื่นมือรับมันมา เมื่อกี้ป้าแกว่าไงนะ 100 เหรียญหรอ ถูกไปไหมครับป้าหรือข้าจะหูฝาดหว่า

                “ป้าลดให้” ว่าพร้อมขยิบตาให้อย่างน่ารักสมวัย มันช่างเป็นสามคำที่ทำให้ข้าตาวาวได้ไม่ยากพร้อมด้วยรอยยิ้มที่กว้างเสียจดเห็นฟันครบทุกซี่

                “ขอบคุณครับ” เสียงดังฟังชัดและไม่ลืมที่จะหยิบเงินให้

                ข้าเดินออกมายกไม้ขึ้นกัดอย่างไม่รีรอ รสชาติของน้ำซอสและความหวานจากเนื้อแผ่ซ่านในปาก บวกกับกลิ่นควันของถ่านนิด ๆ และเนื้อเคี้ยวง่ายนุ่มนิ่มอย่าบอกใคร อา เนี่ยแหละสวรรค์!

                เดินไปกินไปทำหน้าฟินอย่างมีความสุข เนื้อย่างในมือลงจำนวนลงอย่างรวดเร็วกับสปีดการกินที่ข้ามั่นใจว่าไม่เคยเป็นรองใคร จนกระทั่งมาถึงไม้สุดท้าย... ไม้สุดท้ายที่ข้าสุดแสนจะเสียดายไม่อยากให้มันหายไปเลยแม้แต่น้อย

                ใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า ‘เวลาแห่งความสุขมักจะไม่ยังยืนและหมดลงเร็ว’ ข้าเชื่อมันมาตลอดนั่นแหละ เคยไม่เคยยอมรับได้สักที

                สุดท้ายเพื่อความอร่อยและข้าก็ไม่ถึงกับตายถ้ามันหมด ไม้สุดท้ายจึงถูกนำเข้าปากในที่สุด

                แต่... มีคนเคยกล่าวไว้เช่นกันว่า ‘เมื่อไหร่ที่มีความสุขมักจะมีมารผจญ’

                พลั่ก

                “โอ๊ย” เสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นจนเจ็บระบมกระเทือนถึงหัวจนมึนไปหมด ยังไม่ทันที่สติสะตังจะกลับมาแล้วลืมตามองไอบ้าที่บังอาจมาชนข้า ก็ดันถูกฉุด ไม่สิ เล่นดึงแขนแรงจนแทบหลุดแบบนี้เรียกกระชากเถอะ! ชนคนไม่พอยังไม่ขอโทษอีกแถมจะช่วยดี ๆ ก็ไม่ได้รู้ไหมว่ากระชากแบบนั้นมันเจ็บนะหา!

                ไอ้บ้าเอ้ย!!

                ลืมตาโพล่ขมวดคิ้วขุ่นไม่พอใจอย่างแรง มือยกจับแขนที่ล็อคคออยู่เตรียมบิดออกโทษฐานทำข้าหายใจไม่ออก แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรเย็น ๆ ตรงลำคอ และต้องกลืนน้ำลายลงดังเอื๊อกเพราะมันคือมีด!

                ......

                ก็... พยายามทำให้ฟิลมันมาอยู่น่ะนะ แต่ให้ตายสิ! ไม่มีอะไรสร้างสรรค์กว่านี้แล้วใช่ไหม ขอเถอะอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่มีดหรือปืน ซ้ำซากจำเจอยู่ได้ไม่เบื่อกับบ้างหรือไง หรือกลัวคนอื่นไม่รู้ว่ากำลังจับคนอื่นเป็นตัวประกันอยู่น่ะห๊ะ!

                มังกรเซงเว้ย!

                “มันอยู่นั่นไง”

                ข้ามองไปทางต้นเสียงเห็นชายห้าคนพร้อมดาบในมือที่ตั้งท่าเตรียมพร้อม พวกเขาใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวสีแดงเลือดหมูที่ลงกลางมีเส้นสีทองสองเส้นลากยาวลงมาจนชายเสื้อคาดทับด้วยเข็มขัดสีดำ บริเวณแขนตั้งแต่ข้อศอกลงมาจนถึงมือถูกหุ้มด้วยปลอกแขนที่ทำมาจากหนังสีน้ำตาลเข้ม กางเกงสีน้ำตาลเข้มสีเดียวกันกับปลอกแขน รองเท้าบูทหนังสีน้ำตาลยาวถึงหน้าขา ตามข้อศอก ข้อมือ  หัวเข่า และหน้าขามีเกราะอ่อนติดไว้เช่นเดียวกับช่วงลำตัวและไหล่ข้างขวา ส่วนทางไหล่ซ้ายที่ไม่มีเกราะหุ้มอยู่ถูกประดับด้วยตราสัญลักษณ์รูปโล่กับดาบที่ไขว้กันอยู่ด้านหน้าและที่สะดุดตาข้ามากที่สุดก็คือปีกมังกรที่โอบทั้งสองอย่างไว้ตรงกลาง

                ตราสัญลักษณ์ประจำอาณาจักรเดอวาเนีย

                เผอิญว่าข้ายังไม่โง่พอที่จะไม่รู้ว่าไอ้พวกนั้นเป็นอัศวิน และมาตามจับไอ้บ้าที่ยืนอยู่ข้างหลังข้านี่  เอาสิข้าก็อยากรู้นักว่าจะจัดการกับคนร้ายยังไง ข้าขอยืนรับบทเป็นตัวประกันที่ดีรอดูเรื่องสนุก ๆ อยู่ตรงนี้ละกัน

                รอบด้านก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูง แต่ไม่เคยคิดที่จะมาช่วยเลย ไม่แต่ยืนล้อมเป็นวงกลมรอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไป พร้อมกับเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์

                “อย่าขยับนะ! ไม่งั้นฉันจะเชือดเจ้าหนูนี่ซะ” ข้าสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงข่มขู่ที่ดังอยู่ข้างหู ไอ้คนร้ายมันล็อคคอข้าแน่นขึ้นพร้อมกับกดมีดลงมาจนข้ารู้สึกเจ็บแปลบที่คอก่อนที่จะมีของเหลวไหลออกมาเล็กน้อย

                ไอ้หมอนี่มันทำข้าเลือดออก! ไอ้บ้าเอ้ยใครให้กดมีดลงมาห๊ะ! เดี๋ยวพ่อเจื๋อนทิ้งมันเลยดีไหม! เป็นแค่ผู้ร้ายธรรมดาแท้ ๆ เป็นแค่ตัวประกอบแท้ ๆ

                ไอ้...

                ไอ้...

                ......

                ข้าหลับตาหายใจเข้าจนสุดแล้วค่อย ๆ ผ่อนออก ใจร่ม ๆ ไว้เรย์ อย่างเพิ่งเขวี้ยงมันออกไปแกยังเขวี้ยงมันออกไปไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้แกเป็นเด็กอยู่นะ เด็กอายุ 14 ที่ไหนเขาจะเขวี้ยงผู้ชายตัวโต ๆ กันได้มั่ง แล้วที่นี่ก็มีคนอยู่กันตั้งเยอะ แกยังคงไม่อยากจะทำตัวเด่นใช่ไหม เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ

                “ขอทางหน่อย ๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังฝูงชน ก่อนที่ปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขามีผมสีทรายซอยสั้นยาวประบ่าและดวงตาสีคาราเมลที่ฉายแววรักสนุกอยู่เต็มเปี่ยม เขาพยายามดันตัวผู้คนแทรกตัวออกมาจนกระทั้งหลุดออกมาในที่สุด

                “ฮ้า ยืนมุ่งดูอะไรกันอยู่หรอ ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะแต่ช่วยยืนให้มีที่เดินหน่อยก็ดี สงสารคนที่จะไปอีกฝั่งหน่อยเถอะ” เขาพูดพลางปัดเนื้อปัดตัวจัดเสื้อโค้ชสีดำของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง แล้วก็หันไปจ๊ะกับพวกอัศวินห้าคนที่หันมองมาชายหนุ่มอย่างตกใจ

                “อ้าว หวัดดีพวกนายมาทำอะไรกันตรงนี้น่ะ” แล้วพ่อคุณก็ยังอารมณ์ทักทายชาวบ้านอีกไม่ได้เห็นไอ้ผู้ร้ายที่ยืนหัวโด่งอยู่ตรงนี้เลยสักนิด รอบด้านเงียบสนิทมีแต่เสียงพูดคุยฝ่ายเดียวของชายหัวสีทรายกับเหล่าอัศวินที่ชักจะเหงื่อตกกับท่าทางหน้าระรื่นยิ้มแย้มแจ่มผิดเวลาของชายตรงหน้า

                “เออ คุณทริคกี้ครับ” นายอัศวินคนหนึ่งตัดสินใจเอ่ยปากออกมานสถานการณ์ที่ไม่คิดจะสนใจคนรอบข้างของชายที่ชื่อทริคกี้

                ทริคกี้ แหม... ชื่อซะน่ารักเชียว

                “หือ?” เจ้าตัวก็ยังมีการยิ้มหน้าบานอีก

                “คือว่า...”

                “เฮ้ย!! ไอ้หน้าอ่อนตรงนั้นน่ะ” เป็นอีกครั้งทีข้าสะดุ้งกับเสียงที่ดังอยู่ข้างหู แตกต่างกันหน่อยที่ครั้งนี้มันเต็มไม่ด้วยความเกรี้ยวกราด

                ไอ้คนหน้าอ่อนที่ถูกเรียกเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีใครอีกสองคนที่เขาควรจะสนใจ ใบหน้าที่ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มหันไปตามเสียงที่คาดว่าจะเรียกตัวเอง แถมยังตีหน้าเซ่อชี้นิ้วเข้าหาตัวถามกลับด้วยความงง ๆ อีกต่างหาก

                “ไอ้หน้าอ่อน? ฉันหรอ”

                อยากจะบอกพ่อคุณเหลือเกินว่า

                “เออ! แกนั่นแหละ!”

                ใช่แล้ว! คำนั้นเลย เหมือนเราจะใจตรงกันนะครับ พ่อคนร้าย

                “อยากให้ไอ้เด็กนี่ตายนักใช่ไหมห๊ะ!” ว่าพลางจิ้มมีดเข้ามาอีก ดีนะที่คราวนี้ไม่เรียกเลือดข้าออกไปอีกรอบ ไม่งั้นข้าได้เจื้อนมันทิ้งแน่

                เขามองข้าอย่างสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า และเท้าจรดหัว แน่นอนว่าเมินไอ้คนร้ายสนิท แล้วแย้มยิ้มออกมาราวกับถูกใจอะไรบางอย่าง ซึ่งอะไรบางอย่างนั้นมันไม่ดีต่อตัวข้าแน่

                “เฮ้ย! แกจะทำอะไรน่ะ หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!” คนร้ายเริ่มตะคอกเสียงดัง ชี้มีดไปทางไอ้คุณทริคกี้ที่ก้าวขาตรงเข้ามาแบบไม่กลัวว่ามีดมันกลับมาเชือดคอข้าเลยสักนิด แถมมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเสียด้วย

                ถามจริงนอกจากทำหน้ายิ้มพี่แกทำอย่างอื่นได้ไหม

                “ฉันบอกให้แกหยุดไงวะ!!” มันก็ยังคงตะคอกไม่หยุด ตากรอกสายไปมาเหงื่อแตกพลักแขนที่ล็อคคอข้าอยู่เริ่มเย็นเฉียบ ไม่บอกก็รู้ว่าไอ้นี่มันตื่นเต้นแล้วก็เริ่มกลัวคนตรงหน้าขึ้นมาบ้างแล้วแหงม

                ข้าแอบกรอกตาอย่างหน่าย ๆ ดูท่าว่าการอยู่เฉยยอมเป็นตัวประกันแบบดี ๆ มันไม่สนุกเลยสักนิด รู้อย่างนี้ซัดมันซะให้หมอบเลยตั้งแต่แรกก็ดี จะได้ไม่ต้องทนรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ กับสายตาที่ไอ้บ้าทริคกี้นั่นมองมาด้วย!

                “ก็ฉันไม่หยุดแล้วจะทำไม” ว่าแล้วเหยียดยิ้มแบบกวน ๆ มือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ชสาวเท้าเข้ามาไม่หยุด

                “หึ ฉันก็จะฆ่าไอ้เด็กนี่ไง!” มีดเปลี่ยนเป้าหมายทำคมมาทางข้าตามที่พูด ขณะที่ข้าเองก็มองดูมันด้วยความเฉยชา มันถูกยกขึ้น และแทงลงมา

                ปึก

                มีดในมือถูกปัดทิ้งโดยทริคกี้ที่เข้ามาประชิดตัวในพริบตา มันลอยคว้าอยู่กลางอากาศอย่างสวยงาม ทันทีที่มีดหลุดออกไปจากมือชายหนุ่มก็จัดจับแขนข้างนั้นของคนร้ายแล้วบิดไปข้างหลังอย่างแรง พร้อมกับมีดที่ตกลงบนพื้นส่งเสียงดังเคร้ง

                “โอ๊ย” คนร้ายร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด ส่งผลให้แขนข้างที่ล็อคคอแขนคลายออกข้าก็รีบมุดออกมานอกวงอย่างรู้หน้าที่ ทริคกี้เตะขาไปที่ข้อพับจนคนร้ายทรุดตัวลงพร้อม ๆ กับรวบแขนอีกข้างเข้ามาแล้วใช้ขากดตัวไว้กับพื้น

                “ไอ้...” เสียงของคนร้ายหลุดมาแค่นั้นก่อนที่จะโดนสันมือสับเข้าที่คอ สลบเมือดคาที่หมดสิทธิ์โวยวาย

                ข้ายกมือลูบคอที่ยังคงเจ็บ ๆ อยู่รู้สึกว่าเลือดจะไม่ไหลแล้ว คนร้ายถูกจัดการเรียบร้อยแถมยังรวดเร็วทันใจอีกต่างหาก พวกอัศวินห้าคนที่มาก่อนหน้านี้กลายเป็นตัวประกอบไปในทันทีที่ทริคกี้โผล่มา รีบวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทรายอย่างรู้งาน

                เมื่อเรื่องจบฝูงชนก็สลายตามระเบียบกลับไปดำเนินกิจกรรมที่ค้างไว้ตามเดิม ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และมันทำให้ข้าระลึกได้ว่าตัวเองก็ควรที่จะออกจากตรงนี้ได้แล้วเหมือนกัน

                “เฮ้ เจ้าหนู...อ้าว” หลังจากจัดการให้พวกอัศวินพาตัวคนร้ายไปเรียบร้อย ทริคกี้ก็หันกลับมาพูดกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกจับเป็นตัวประกัน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อจุดที่เด็กคนนั้นควรยืนอยู่กลับว่างเปล่า หันซ้ายหันขวาก็ไม่เจอหัวแดง ๆ สีเด่นนั่นเลยแม้แต่เงา

                เขาเกาหัวตัวเองเบา ๆ ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย จะถามชื่อสักหน่อยเจ้าเด็กนั่นก็ชิ่งออกไปไวเสียเหลือเกิน ตั้งแต่ที่มองสำรวจเจ้าเด็กนั่นมันทำให้เขารู้สึกสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะแววตาเบื่อหน่ายที่แสดงออกมากับท่าทีที่นิ่งเฉยจนถึงกับเฉยชาไม่มีอาการหวาดกลัวมีดที่จ่ออยู่ที่คอเลยสักนิด ทั้งที่เด็กคนอื่นน่าจะกลัวจนตัวสั่นไปด้วยซ้ำ แล้วถ้ามีฝีมือทำไม่ไม่จัดการคนร้ายไปเลยแต่กลับยืนนิ่งให้จับเป็นตัวประกันซะอย่างนั้น  

                “หือ?” แล้วสายตาเขาก็ไปสะดุดกับกระดาษสีขาวที่ตกอยู่ใกล้ ๆ ทริคกี้ก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาแล้วคลี่มันออก เมื่อเห็นว่ามันเป็นอะไรเขาก็ขยับยิ้มออกมาก่อนจะเก็บใส่เสื้อโค้ชของตัวเอง เดินผิวปากไปอย่างอารมณ์ดี

                จะไม่ให้เขาอารมณ์ดีได้ไงล่ะ ก็ในเมื่อกระดาษแผ่นนั้นน่ะเป็นใบสมัครเข้ากองพันธ์อัศวิน และรูปที่ติดอยู่ก็เป็นรูปของเจ้าเด็กนั่นซะด้วย แถมยังมีจดหมายของคนคนนั้นแนบมาอีก

                หึหึ เป็นเด็กที่น่าสนใจจริง ๆ เลยน้า เรย์ซิส ทวินเทล

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา