Sulfur Love (RE-Write)

9.2

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.57 น.

  57 บท
  25 วิจารณ์
  122.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556 17.52 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

47) Special[Thames&Ice] ...แต่ปางก่อน...

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

☃ Special[Thames&Ice]☃

...แต่ปางก่อน...

 

สยาม  (พ.ศ.๒๔๓๑)

 

“ไปเอาน้ำมาล้างเท้าข้าซิ!”

ข้าสั่งคนรับใช้เบื้องหน้า    นัยน์ตาสีนิลมองข้าอย่างนิ่งสงบก่อนจะพยักหน้ารับ

“อิษฎา!  ลูกทำอย่างนี้ไม่ได้นะ  ไอ้สายชล....ไม่สิ  คุณหนูสายชล”

ท่านพ่อข้าพูดอย่างโอนอ่อน  คุณหนูอะไรกัน!  ตราบใดที่ยังไม่ออกจากเรือนข้าก็ต้องเป็นเบี้ยล่างของข้าสิ!   ข้าสะบัดหน้ากระฟัดกระเฟียดด้วยความโมโห   จู่ๆก็มียายแก่มั่งมีจากพระนครที่ไหนก็ไม่รู้โผล่มาที่เรือนแล้วมาขอรับไอ้สายชลไป   บอกแต่เพียงว่าเป็นหลานที่ถูกโจรลักพาตัวมา   แค่จ่ายค่าตัวแล้วก็นำตัวข้ารับใช้ของข้าไปแค่นั้นหรือ   ทำไมท่านพ่อทำอะไรไม่ปรึกษาข้าบ้าง   ข้ารับใช้ดีๆแบบนี้จะหาได้จากไหนอีก

“ถ้าท่านย่ายังไม่มารับ  ข้าก็ยังเป็นข้ารับใช้คุณหนูอยู่ขอรับ”

ข้ากระตุกยิ้มยินดีที่ได้ยินว่าสายชลยังอยากรับใช้ข้าอยู่

“อย่าเลยๆ  ถ้าคุณหญิงปัทมามาเห็นเข้าคงจะไม่งาม”  

ท่านพ่อเอ่ยห้ามอีกรอบ  แต่ร่างสูงโปร่งก็เดินไปยกอ่างมาล้างเท้าให้ข้าอยู่ดี   ข้าทอดสายตามองใบหน้าเรียบเฉยที่ก้มๆเงยๆสบตาข้า   ไม่รู้ว่ามันจะคิดอย่างไร   อาจจะกำลังโกรธแค้นข้าอยู่ก็ได้   ตอนนี้มันเป็นถึงลูกพระยาแล้วมาล้างเท้าอย่างนี้คงไม่พอใจละสิ

“ข้าว่าน้ำมันร้อนไปนะ” 

“ขออภัยขอรับ  ข้าจะไปเปลี่ยนมาใหม่”

ข้าพยักพลางเชิดหน้ามองตามแผ่นหลังกว้างไป

 

ตึก!!

 

เสียงไม้เท้าตอกพื้นดังสนั่น   หญิงวัยชราจ้องมองมาที่ข้าและท่านพ่ออย่างโกรธเคือง   มือเหี่ยวย่นกำไม้เท้าแน่นจนสั่นไปหมด   เหอะ!  มาเร็วดีนี่

“ท่านขุน!  ท่านขุนทำเยี่ยงนี้กับหลานข้าได้อย่างไรกัน!!”

ยายแก่หงำเหงือกยืนโวยวายพลางฟาดไม้เท้ากันพื้น

“เออ...คือ  ข้า..”

“ก่อนจะไปข้าก็อยากทำงานรับใช้นายเก่าซะก่อน  ถือซะว่าชดใช้หนี้บุญคุณที่เขาเคยได้ให้ที่คุ้มกลาหัวข้า”

สายชลออกรับแทนพ่อข้าที่นั่งหน้าขาวซีดเป็นไก่ต้ม   ดูพูดจาเข้าสิ!  อย่างกับลูกพูดดีไม่มีผิด   อ่อ...กำลังจะไปเป็นลูกพระยาคงต้องว่าท่าพูดจาดีๆสินะ

ข้าเดินกระแทกส้นตึงตังเข้าห้องลงกลอนประตู   ไม่อยากอยู่เห็นหน้ายายแก่นั่น  

                .....ไอ้สายชล!  ไอ้คนอกตัญญู!!.....

                เสียแรงที่ข้าให้ท่านพ่อซื้อตัวมา   ท่านพ่อก็เหมือนกันแค่เห็นทองกองตรงหน้าก็ปล่อยมันให้คนอื่นไป!!   สุดท้ายมันก็ไปจากข้า!!  ไหนใครเคยบอกว่าจะดูแลข้า!  ใครเคยบอกว่าจะอยู่ข้างกายข้า!  ปกป้องข้า!  

....คนหลอกลวง....

 

                ก๊อกๆ

 

                เสียงเคาะประตูปลุกข้าตื่นจากห้วงความคิด   ข้าปาดน้ำตาตัวเองอย่างเสียดาย   ข้าผิดหวังกับสิ่งที่มันทำ  ทำไมต้องไปจากข้าด้วย!!

                “คุณหนูขอรับ...”

                เสียงทุ้มกังวานเอ่ยเรียกข้า   ข้านั่งนิ่งเอาหลังพิงขอบเตียงฟังอย่างสงบ   คงจะไปแล้วสินะ   ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องมาลาข้าหรอก   ในเมื่อตอนเอ็งตัดสินใจเอ็งยังไม่มาถามข้าสักคำ

                “คุณหนู...  เปิดประตูเถิดขอรับ”

                ไอ้สายชลยังคงพูดต่อ   ข้าเมินหน้าออกจากประตู   ข้าไม่อยากเจอมัน

จะไปไหนก็รีบไปซะ

                “คุณหนูขอรับ..”

                เสียงเรียกที่แผ่วลงกับเสียงเท้าที่ไกลออกไปทำให้หัวใจกระตุกวูบ   กำมือเม้มปากแน่นมองไปยังประตูห้อง   ...นี่เอ็งจะไปจริงๆหรอ...

                “...ข้ากราบลา..”

 

                ปัง!

 

                “เอ็งทำบ้าอะไรของเอ็ง!!”

                ข้ารีบวิ่งไปรับมือกับหัวมันที่กำลังจะก้มลงติดพื้น   ไม่ต้องถึงกับต้องกราบกันหรอก   อีกอย่างมันเป็นลูกพระยา  ข้าเป็นแค่ลูกขุนธรรมดา   ให้เอ็งมากราบข้าคนเขาคงเอาเอ็งไปนินทา

                “คุณหนู...”

                สายชลเอ่ยเสียงแผ่ว   ใบหน้าคมคายฉายแววเป็นกังวลกับขอบตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้ของข้า   ทำไมข้าต้องร้องไห้เพราะเอ็ง!!

                “ไปซะ!  ข้าไม่อยากเห็นหน้าเอ็งแล้ว!!”

                ข้าสะบัดตัวเข้าห้องไปร่างสูงโปร่งตามมาคว้าข้อมือข้าไว้   ข้าพยายามสะบัดมือที่บีบรัดข้าให้หลุด   มือใหญ่จับหน้าข้าให้หันไปมอง

 

                เพี๊ยะ!

 

                ข้าฟาดฝ่ามือไปยังใบหน้าหล่อราวกับรูปสลัก   สายชลมองหน้าข้าด้วยแววตาที่ข้าอ่านไม่ออก   มือใหญ่คลายออกจากข้อมือข้า  

...ข้า...ข้าไม่ได้ตั้งใจ  จะตบเอ็งนะ....

                “บังอาจนัก!  ออกไปจากห้องข้านะ!!”

                ข้าละคำขอโทษที่ควรพูดหันไปขับไสไล่ส่งมันแทน   ข้าผลักร่างใหญ่ออกไปให้พ้นประตูแล้วปิดประตูลงกลอนขังตัวเองไว้ในห้องอย่างเดิม

                “ฮึก...ทำไม..ทำไมต้องไป  ฮือ  ด้วย...”

                ข้าฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือสั่นเทาของตนเอง   บอกลากันทั้งทีแต่ข้ากลับทำให้มันได้รับแต่ความทรงจำเลวร้าย   แต่ช่วยไม่ได้......เอ็งทำให้ข้าเสียใจก่อน

 

 

 

 

๔ ปีต่อมา

 

                “อิษฎารีบเก็บของเร็วลูก!!”

                “มีเหตุอะไรหรือขอรับ  ท่านแม่”

                ข้าเอ่ยถาม  ดูท่าทางท่านแม่เร่งรีบนัก   มือสวยหยิบฉวยข้าวของของข้าใส่ถุงย่าม

                “ท่านแม่...”

                “เราต้องรีบไปจากที่นี่!!”

                “ไปไหนขอรับ”

                “อย่าเพิ่งถาม  ตามแม่มาเร็ว!!”

                อย่าถาม   พูดอย่างนี้ข้ายิ่งอยากรู้เข้าไปอีก   ข้าถือถุงย่ามวิ่งตามท่านแม่ลงจากเรือนไปขึ้นรถม้าคลุมหลังคาโค้ง   รถขนทาสชัดๆ

                “ถอดเสื้อออกลูก”

                ท่านแม่ดึงเสื้อข้าออกจากตัวแล้วโยนทิ้งข้างทาง   ผ้าแพรอย่างดีเอามาโยนทิ้งข้างทางเช่นนี้หรือ

                “เกิดะไรขึ้นกันแน่”  ข้าถาม

                “พ่อของลูก...”

                ท่านแม่บีบไหล่ข้า  ใบหน้างดงามยามนี้กับดูเศราสลด     ข้าบีบมือสวยเบาๆให้ท่านแม่ใจเย็นลง   มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ...

                “พระคลัง...พวกพระคลังกำลังตามมาจับพ่อลูก”

                “จับท่านพ่อ!  ทำไม...”

                “พ่อของลูกลักลอบค้าของผูกชาด  แล้วถูกทางการจับได้...เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก   เราจะถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดชดใช้ให้ทางการ”

                ทรัพย์สินทั้งหมด   แม้แต่ลูกเมียด้วยงั้นสิ...

                “ท่านพ่อทำเยี่ยงนั้นจริงหรือท่านแม่...”

                พ่อของข้าหวังโลภถึงขนาดทำเรื่องต้องห้ามร้ายแรงขนาดนี้เชียวหรือ

                “แม่เชื่อว่าพ่อลูกต้องถูกใส่ร้าย   แม่จึงต้องไปหาคนมาช่วยพ่อของลูกไง”

                มือสวยปาดน้ำตาออกจากใบหน้างามก่อนจะดึงข้าเข้าไปกอด    พ่อข้าต้องไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่ ...

 

 

 

                เสียงกีบเท้าหยุดลง   ข้าปรือตาขึ้นช้าๆมองไปรอบด้าน   มือสวยฉุดข้าให้เดินลงไป   เรือนหลังงามโอบล้อมไปด้วยต้นกระจงสีเขียวเรียงแพสวยงาม    ชายร่างสูงใหญ่ดูท่าเป็นผู้รากมากดีเดินลงมาต้อนรับข้าและท่านแม่ก่อนจะเชื้อเชิญให้ขึ้นไปบนเรือน

                “ข้าได้ยินเรื่องแล้ว  และรู้ว่าเจ้าต้องมาที่นี่”

                ชายคนนั้นบอกพลางส่งยิ้มให้แม่ข้า

                “ข้ามีเรื่องขอให้ท่านช่วย”  ท่านแม่บอก

                “เรื่องอะไรรึ”

                “เรื่อง...สามีข้า   สามีข้าไม่ได้ทำผิด   สามีข้าโดนใส่ความ!”

                “ใส่ความ?  เจ้ามีหลักฐานอะไรมายืนยันละ”

                ท่านแม่นั่งนิ่งก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ   ชายคนนั้นวางจอกน้ำชาพลางส่ายหัวไปมาอย่างหมดทางช่วยเช่นกัน

                “ท่านช่วยยืดเรื่องคดีไปก่อนได้หรือไม่   ท่านเป็นเป็นเพื่อนกับเสนาบดีกรมยุติธรรมมิใช่รึ”  ท่านแม่บอกต่อ

                “มันก็ได้ละนะ  แต่จะให้ข้าช่วยเจ้า...โดยไม่มีสิ่งตอบแทนน้ำใจให้เลย  ข้าว่ามันยังไงอยู่นะ”

                สายตาคมกริบไล่มองไปตามเรือนร่างท่านแม่   ท่านแม่รีบยกผ้าแพรขึ้นคลุมไหล่ปิดบังสายตาน่าเกลียดนั่น

                “ฮ่าๆ  แหมๆข้าไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า”  ชายคนนั้นบอกพลางโบกมือไปมา

                “ข้าเห็นว่าท่านเป็นสหายเก่าของคุณพี่  ข้าจะไม่ถือโกรธที่ท่านมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น”

                “แต่ข้ามีอะไรแลกเปลี่ยนให้เจ้าทำ”

                “เรื่องอะไรรึ”

                “ไปฆ่าหลวงธีราธรให้ข้า!!”

                ข้ากับท่านแม่ถึงกับผงะตัวอย่างตกใจ   ให้ไปฆ่าคนรึ!!  ใครจะไปทำเรื่องโหดร้ายอย่างนั้นได้   แม่ฆ่าน่ะ  มดสักตัวยังไม่เคยเหยียบเลยด้วยซ้ำนะ!!

                “ท่าน..”

                “ทำไม่ได้รึ  งั้นข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้..”

                ท่านแม่ก้มหน้านิ่งมือสวยกำเข้าหากัน   ข้ารู้ว่าท่านแม่กำลังลำบากใจ   ท่านแม่ทำเรื่องอย่างนี้ไม่ได้แน่   แต่ก็อยากช่วยท่านพ่อสินะ

                “ข้าจะทำเอง!” 

                ข้าประกาศก้อง  ท่านแม่เหลือบมองหน้าข้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ   ข้ารู้ว่าท่านแม่อยากช่วยท่านพ่อ   และข้าก็ไม่อยากให้ท่านแม่ต้องมือเปื้อนเลือด   ฉะนั้นเรื่องนี้ข้าจะเป็นคนทำเอง!

                “อิษฎา...”

                “ข้าจะช่วยท่านพ่อให้ได้” 

                ข้าบีบมือท่านแม่เบาๆ

                “ดี!  ถ้าเจ้าทำงานสำเร็จข้าจะช่วยเจ้า”  ผู้ชายคนนั้นบอก

                “รักษาวาจาของท่านด้วยก็แล้วกัน!”

               

 

 

 

 

                “เจ้าจงเข้าไปเป็นทาสในเรือนหลวงธีราธร   สบโอกาสก็ลงมือฆ่ามันซะ”

                ข้าตัดสินใจทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าไปเสียแล้ว   ข้าเดินตามหลังบ่าวในเรือนหลวงธีราธรมาเรื่อยๆ   ตอนนี้ข้าถูกซื้อตัวมาแล้ว   เป็นไปตามแผนที่ไอ้เศรษฐีนั่นวางเอาไว้เลย

                “ไปซะนานได้ทาสดีๆมาบ้างหรือป่าว”

                ผู้หญิงรุ่นป้าเอ่ยถามคนที่ซื้อข้ามา   ดวงตาตวัดเฉียงเหมือนงิ้วไล่มองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า   ไม่พอยังเดินมาจับต้องตัวข้าอีกต่างหาก

                “เอ็งมาจากที่ใด”  ป้าคนนั้นถามข้า  

                “ข้า...ข้ามาจากเพชรบุรีขอรับ”  ข้าตอบ

                “หือ?  ทำไมผิวเจ้าถึงขาวนัก  แถมมือยังอ่อนนุ่มอย่างกับไม่คยหยิบจับงานการอะไรเลย”

                งานข้าก็เคยหยิบนะ   ข้าเคยช่วยท่านพ่อเขียนงานส่งราชการอยู่เหมือนกัน   ส่วนผิวข้า  มันก็ขาวอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

                “โอ้ยป้า!  จะไต่สวนอะไรนักหนาละ   มันไม่ใช่นักโทษซะหน่อย”

ผู้ชายที่เป็นบ่าวใกล้ๆบอก

                “เอ็งเป็นผู้ดีตกอับหรือไง”  ป้าถามต่อ

                “ป้า~  มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมันสิ”

                “ไอ้ทับ! เอ็งไม่เสือ ก สักเรื่องได้มั้ยวะ!”

                ป้าแกหันไปเอ็ดบ่าวที่ยืนต่อล้อต่อเถียงกับแกอยู่

                “ว่าไง  เอ็งเป็นลูกผู้ดีรึ”  ป้าหันมาถามข้าอีก

                “ก็ไม่เชิง  แต่ตอนนี้บ้านข้ายากจนมาก  ข้าเลยถูกขายมาเป็นทาส” ข้าตอบ

                “เหอะ!  น่าสมน้ำหน้านัก  มาอยู่อย่าเอานิสัยคุณหนูของเอ็งมาใช้ละ”

                “ขอรับ”

                ข้าพยักหน้าเล็กน้อย   หวังว่าที่เรือนข้าคงไม่มีบ่าวที่อวดดีตีปีกข่มคนอื่นหรอกนะ

                “ขอโทษแทนป้าช้อยแกด้วยนะ  อย่าไปเอาคำแกมาใส่หัวเลย  จะหนักหัวเอาซะป่าวๆ”  ทับบอกพลางตบบ่าข้าเบาๆ

                “อืม”   ข้าพยักหน้ารับ

                “ที่ข้าซื้อเองมาเพราะดูสะอาดสะอ้านดี   เอาไว้อยู่รับใช้ใกล้ๆคุณหลวง”

                “คุณหลวง...หลวงธีราธรรึ”

                “ก็ใช่น่ะสิ  ไปๆไปช่วยข้ายกสำรับขึ้นเรือนเร็ว   จะได้ไปให้คุณท่านเห็นหน้าเอ็งด้วย”

                ปกติแล้วคนบนเรือนน่าจะไปหาซื้อทาสด้วยตัวเอง   ไม่ใช่ฝากบ่าวให้ไปซื้อแบบนี้   ดูแล้วคนบนเรือนนี้คงจะหยิ่งไม่อยากย่างเท้าไปในที่สกปรกอย่างโรงค้าทาสสินะ   ข้ายกสำรับอาหารเดินตามทับไป   เรือนหลวงอะไรนั่นก็กว้างอยู่   มีคนรับใช้เดินกันเพ่นพ่านเต็มไปหมด  คงจะรวยไม่ใช่เล่น

                “นั่นน่ะรึ  ทาสคนใหม่”

                เสียงสั่นเครือเล็กน้อยเพราะความชราเอ่ยถาม  ข้าเงยหน้ามองหญิงแก่ที่นั่งร้อยพวงมาลัยอยู่บนที่นั่ง    ดวงตาสีอ่อนเลือนลางมองมายังข้าก่อนที่ยายคนนั้นจะเบิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ   แต่ข้าสิตาโตเท่าไข่ห่าน    โลกช่างกลมนัก!

                “เจ้านั่นมัน....”

                ยายแก่เอ่ยพลางชี้มาทางข้าก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าตกใจเป็นกระตุกยิ้มเย้ยหยัน

                “ไม่คิดว่าคุณหนูเรือนขุนเกรียงไกรจะมาเป็นทาสรับใช้ที่เรือนของข้า”

                ยายแก่นั่นว่าพลางหัวเราะคิกคักอย่างสะใจ  ขอให้หมากติดคอเสียทีเถิด   ข้าละหมั่นไส้นัก!

                “ซื้อทาสมาได้ถูกใจข้าจริงๆ  มาเอารางวัลไป”

                ยายแก่เรียกทับให้เข้าไปเอาถุงรางวัล  

                “เหตุใดเอ็งจึงได้ถูกขายมาเป็นทาสเล่า”  ยายแก่ถาม

                “มันบอกว่าครอบครัวมันยากจนเจ้าค่ะคุณท่าน”  ป้าช้อยตอบ

                “ฮ่าๆ  ยากแค้นจนตกขายลูกกินเชียวรึ  น่าสมเพชนัก!”

                ข้าก้มหมอบกำมือแน่น   ข้าไม่ได้ตกอับ  ทรัพย์สินข้าก็ยังพอมีติดตัว  เพียงแต่ที่ข้ามาที่นี่เพื่อจะมาฆ่าหลวงธีราธรนั่นต่างหาก!!

                “คุณหลวงกลับมาแล้วขอรับ”

                บ่าวผ้านุ่งแดงคลานเข้ามาบอก   เสียงฝีเท้าย่ำลงบนพื้นไม้เรียกให้ข้าหันไปมองบุรุษชุดขาวที่กำลังเดินมา   มือหนายกขึ้นหยิบหมวกที่ทับเรือนผมสีเข้มออก   ใบหน้ารูปสลักคลายสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อยก่อนจะตีหน้าเรียบเฉย   ดวงตาสีรัตติกาลเหลือบมองมายังข้าที่สีสีผิวผิดแปลกจากผู้อื่นอย่างสงสัย   และเมื่อดวงตานั่นสบตากับข้าตรงๆข้ากลับรีบเบือนหน้าผลุบลงกับพื้น

                ....สวรรค์ช่างใจร้ายนัก....

                นี่ข้าต้องมารับใช้ขี้ข้าเก่าตัวเองงั้นรึ!!

                “อิษฎา...”

                เสียงทุ้มเอ่ยชื่อข้าก่อนจะก้าวย่างเข้ามาหาข้า   ทำไมต้องเกิดเรื่องบ้าๆนี่ขึ้นกับข้า!!

                “ปล่อยข้านะ!”

                ข้าหมอบลงกับพื้นพลางสะบัดมือใหญ่ที่เกาะกุมแขนขาอยู่   ทั้งที่น่าจะโตมาตัวใหญไล่เลี่ยกัน   แต่มันกลับตัวสูงใหญ่และเรี่ยวแรงเยอะกว่าข้า   เมื่อเทียบกันแล้วตัวข้าเล็กอย่างกับคนขี้โรคไม่มีผิด

                “บอกให้ปล่อยไง!”

                ข้าตวาดเสียงดังพลางเงื้อมืออีกข้าขึ้น

 

                หมับ!

 

                “จะตบข้าอีกหรือไง!!”

                สายชล....ไม่สิ  คุณหลวงต่างหาก   มันตวาดข้าดังลั่น   ด้วยตาเรียบเย็นมองข้าอย่างห้ามปรามก่อนที่มันจะสะบัดตัวข้าทิ้งลงกระแทกพื้น

                “อย่ามาขึ้นเสียงใส่ข้า!”

                ทุกสายตามองตรงมาที่ข้าที่นอนนอนอยู่บนพื้น   ยายแก่นั่นกระตุกยิ้มอย่างพอใจกับการกระทำป่าเถื่อนของหลานชาย   ข้าเม้มปากอย่างอดกลั้นทั้งเจ็บ  ทั้งอาย   ไหนจะต้องมารับใช้มันอีก!!  ข้ารู้สึกเหมือนศักดิ์ศรีของข้าถูกกระทืบแหลกไปหมดแล้ว...

                “อิช้อย”  ยายแก่เรียก

                “เจ้าค่ะ”

                “พามันไปอบรมมารยาทการเป็นขี้ข้าที่ดีหน่อยไป”

                “เจ้าค่ะ”

                ป้าช้อยหันมามองข้าตาเขียวปั๊ดก่อนจะเดินมาจิกหัวข้าลากลงจากเรือน

                “มานี่!!”

                “ข้าเจ็บนะ!”

                นางไม่ฟังเสียงร้องโอดครวญของข้าลากข้าออกมาอย่างกับหมูกับหมา   ขาพยายามสับขาลงบันไดไม่ให้ล้มมาตลอดทาง

 

                ผลุบ!

 

                นางผลักข้าให้เข้าไปกับผนังก่อนจะหันไปหยิบหวายก้านยาวออกมา

                “จะทำอะไรน่ะ!!”  ข้าร้องเสียงดัง

                “ก็อบรมเอ็งน่ะสิ!!”

                “อย่า!  ขะ..ข้ากลัวแล้ว  ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว!!”

                ข้ามองหวายสีเข้มอย่างหวาดกลัว   ข้าเคยเห็นพวกบ่าวถูกทำโทษด้วยหวาย   หลังของพวกมันไม่มีชินดีเลย   เป็นรอยเลือดแตกซิบๆเต็มไปหมด   ข้าถอยตัวหนีด้วยความกลัว   แต่ก็ไม่พ้น

 

                วืด~

 

                เพี๊ยะ!

 

                ราวกับถูกคมมีดกรีดลงบนผิว   เสียงเนื้อที่ถูกฟาดดังซะน่ากลัว  ข้าก้มมองแขนตัวเองที่แดงเถือกเป็นแนวยาว   เจ็บ....ทำไมมันเจ็บอย่างนี้   ข้าอยากจะร้องไห้ให้ได้เลย   ทำไมข้าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย....

 

 

 

 

                “โอ้ย!”

                ข้าร้องเสียงหลง   นางช้อยตัวดีนั่นฟาดแขนข้าซะเลือดอาบเลย     แต่ก็ยังดีที่นางยังพอเมตตาข้าอยู่บางเลยโดนไปแค่ห้าหกทีที่แขนกับขา   คงเห็นว่าข้าร้องไห้น่าสงสารกระมัง

                “เอ็งไหวหรือป่าว  ไอ้อัษ”  ทับถาม

                “อืม  ค่อยยังชั่วแล้วละ”  ข้าบอกพลางยิ้มบางๆ

                “เอ็งไปนั่งถอนหญ้าดีกว่า  ส่วนดินพวกนี้เดี๋ยวข้าขนเอง”

                “แต่ว่า...”

                ข้าไม่อยากเอาเปรียบใครนี่นา

                “เอ็งเจ็บอยู่นี่นะ  ทำงานหนักเดี๋ยวแผลหายช้าเอา”

                ทับบอกพลางลูบหัวข้าเบาๆ   เอ็งช่างเป็นคนดีจริงๆเลยนะ   ข้ายิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง   ข้าย่อตัวลงนั่งถอนหญ้าต้นสีเหลืองๆออก   น่าเสียดายนะถ้าจะถอนต้นดอกสีม่วงเหมือนปลายพู่กันนี่ทิ้ง   ออกจะสวยแท้ๆแต่เป็นได้แค่ดอกหญ้าไร้ค่า

                “ไอ้อิษ!  คุณหลวงเรียกเอ็งน่ะ”

                คนใช้บนเรือนบอกข้า   ข้าพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกเดินตามนางไป     ร่างสูงโปร่งที่นั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่หยุดมองข้าชั่วครู่

                “มาแล้วเจ้าค่ะ”

                “อืม  ออกไปให้หมด  ให้มันอยู่รับใช้ข้าคนเดียวพอ”

                คุณหลวงบอก   บ่าวรอบๆบริเวณจึงพากันเดินออกไปจนเหลือเพียงข้ากับคุณหลวง     ใบหน้าคมก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ   ส่วนข้าก็ก้าวเท้าไปยืนชิดกำแพงอีกฟาก    ไม่อยากจะอยู่ใกล้เลย  เดี๋ยวมันจะทำให้ข้าโดนตีอีก

                “กลางวันแสกๆยืนพลอดรักกับผู้ชาย  ระวังฟ้าจะผ่าเอา”

                หลวงธีราธรเอ่ย  ยืนพลอดรักอะไร   ประสาทเสียไปแล้วหรือไงกัน

ข้าก้มหน้ายืนนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน   อาจจะไม่ได้พูดดับข้าก็ได้   เพราะข้าไม่ได้ไปยืนพลอดรักกับผู้ชายเสียหน่อย

                “นี่..”

                ข้าไม่ได้ชื่อนี่   เรียกใครก็ไม่รู้นะ   คนทำงานมากแล้วบ้ากันไปหมดเลยสินะ  ชอบพูดเองเออเองอยู่คนเดียว

                “ข้าเรียกไม่ได้ยืนรึ”

                “ข้าไม่รู้ว่าท่านเรียกข้านี่”

                “ตรงนี้ก็มีแค่เจ้ากับข้า  จะให้ข้าเรียกหมาที่ไหน!”

                “ที่ท้ายสวนมีหมาอยู่   ข้าจะไปจับมาให้แล้วกัน”

                “อย่ามายียวนกวนข้านะ!”

                “ข้าป่าวซะหน่อย”

                ข้าทำลอยหน้าลอยตา   มันติดเป็นนิสัยไปเสียแล้วละ    นัยน์ตาสีเข้มจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง   ร่างสูงใหญ่เดินตรงดิ่วมาหาข้าอย่างว่องไวจนข้าเดินหนีไม่ทัน

 

                ตึง!

 

                ลำแขนแกร่งวางล้อมข้าไว้ชิดกับกำแพง   ตอนนี้ข้าติดอยู่ในปราการของมันซะแล้ว

                “อยากกินหวายอีกหรือไง”

                เสียงทุ้มขู่   ข้าเอียงหน้าหลบดวงตาคมที่จ้องมองข้าแทบทะลุยันกระดูก   มือใหญ่จับต้นแขนข้า  ข้าแทบจะกรีดร้องแล้วลงไปดิ้น   นอกจากจับแล้วมันยังบีบแผลข้าอีก!!

                “เวลาเจ้านายถามทำไมไม่ตอบ  อยากลองดีหรอ”

                “เจ็บ...”  ข้าพูด

                “ข้าไม่ได้ถ้าว่าเข้าเจ็บไม่เจ็บซะหน่อย”

                “ปล่อยข้า!!”

                ข้าดึงมือมันออกจากแขน   ใบหน้าหล่อเหลามองข้าอย่างเอาความ   ตายละ!!  ข้าเผลอขึ้นเสียงอีกแล้ว  เวรกรรม!

                “ขะ..ข้า”  ข้าไม่ได้จะตวาดนะ  แต่ว่า...มันกำลังขึ้น

                “เสียงดีนัก   ข้าจะให้เจ้าร้องซะให้พอ!”

                มือใหญ่บีบทับบนแขนข้า   ข้ากลืนเสียงร้องลงคอยกมือขึ้นดันแขนแกร่งออก    จะแก้แค้นที่ข้าเคยทำไว้ตอนก่อนโน้นหรือไง    ข้าเงยหน้าสบแววตานิ่งสนิท   ความเจ็บปวดทำให้บ่อน้ำตาข้าตื้นขึ้นมา   ข้าต้องไม่ร้องไห้!  แต่ข้าเจ็บ....ทำไมต้องทำรุนแรงกับข้าด้วย!!

                “ขะ...ข้าเจ็บ  อื้ม”

                ข้าเม้มปากอย่างสุดทนน้ำตาข้ามันจะล่วงลงมาแล้ว  

                “ข้าช่วยทำให้เอ็งน่าสงสารขึ้นไง  ไอ้ทับมันจะได้ปลอบเอ็ง  ไม่ดีรึ!”

                “....เกี่ยวอะไรกัน  ทับปลอบข้าแล้วมันผิดหรือ..”

                “ผิด!  ถ้าข้าไม่อนุญาตใครก็ห้ามแตะต้องเอ็ง!!”

                “.....จะเก็บข้าไว้กลั่นแกล้งคนเดียวหรือไรกัน...”

                “ใช่!”

                โหดร้ายนัก!!  ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้คอยดูเถอะ   ข้าจ้องดวงตาคมอย่างไม่ยอมแพ้  

                “อวดดีนัก  จ้องข้าด้วยแววตาเช่นนั้น!”

                “จ้องก็ไม่ได้! อะไรก็ไม่ได้!  ท่านจะเอายังไงกับข้า!!”

                “เจ้านี่มัน...”

                ร่างสูงพลักข้าลงกับพื้นแล้วเดินกลับไปนั่งหน้าบึ้งที่โต๊ะอย่างเดิม   ข้ามองแขนตัวเองที่มีเลือดไหลออกมา   ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย   จิตใจโหดร้าย  ข้าเกลียดเอ็งที่สุด!!  สายชลที่แสนดีของข้ามันตายไปจากเอ็งแล้วสินะ!!

                “ออกไป!  ไปหาเสื้อมาใส่ซะด้วย  ผิวขาวซีดอย่างกับผีแบบนั้นถ้าใครมาเห็นเข้า  เขาจะหาว่าเรือนข้ามีผี”

                ข้าเม้มปากพลางมองร่างสูงที่นั่งเมินข้า    ข้าลากร่างกายอ่อนแอของข้าหลบมาให้พ้นรัศมีของมัน   ข้าขาวก็ผิดสินะ  ข้าผิดไปหมดทุกอย่าง....

                “ไอ้อิษ!”

                เสียงยายแก่นั่น   ข้าหันไปมองยายแก่ที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่บนที่นั่ง   

                “มาเอาทองข้าไปเก็บในห้องให้หน่อยสิ”

                ข้าพยักหน้ารับแล้วคลานเข้าไปหา   มือเหี่ยวย่นหยิบทางเส้นยาวลงกล่องก่อนจะยื่นกล่องใบนั้นมาให้ข้า

                “เอาวางไว้ที่โต๊ะแป้งละ”

                ข้าพยักหน้าอีกรอบแล้วเอากล่องไปเก็บในห้องให้     นี่ข้ามาที่นี่เพื่อข้าไอ้หลวงธีราธรนั่นหรือมาให้มันฆ่าข้าทั้งเป็นกันแน่นะ

 

 

 

 

 

                “ไอ้อิษ! คุณหลวงเรียกไปที่เรือน!!”

                เรียกอีกแล้ว   ข้าถอนหาใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นปัดเนื้อตัวที่เปอะดินออก

                “โห้ย!  เอ็งจะเป็นลูกรักของคุณหลวงแล้วรึเนี่ย”  ทับเอ่ยแหย่

                “รักปานจะแหกอกข้าไปโยนให้ไก่กินน่ะสิ”

                “รีบไปเถอะดูจะมีเรื่องเร่งด่วนนะ”

                “อืม”

                ข้ากับทับรีบวิ่งไปที่เรือน   คนบนเรือนมองมาที่ข้าเป็นตาเดียว  หลวงธีราธรก้าวเท้ายาวๆเข้ามาหาข้าก่อนจะชูสร้อยสีทองอร่ามมาตรงหน้าข้า

                “อะไร”  ข้าถามอย่างมึนงง

                “ข้าสิต้องถามว่ามันไปอยู่ในห้องเอ็งได้ยังไง”

                เสียงนิ่งเรียบบอกกล่าว  เล่นเอาข้ายิ่งปวดหัวเข้าไปอีก   ข้ามองไปทางเจ้าของสร้อยที่ตีหน้าขึงขังมองมาทางข้า   ข้าทำอะไรผิด!!

                   “ข้า...ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย  ว่าเจ้าจะตกอับถึงขั้นต้องขโมยสร้อยข้า”

                ยายแก่นั่นพูดไปสะบัดพัดไป  

                “ข้าไม่ได้ขโมย!!”  ข้าบอก

                “ไม่ได้ขโมย  แต่ข้าเจอมันในห้องเอ็ง!!”  นางป้าช้อยบอก

                ข้ายืนตาเหลือก  อยู่ดีๆก็โดนโยนความผิดมาให้ซะแล้ว

                “ข้าไม่ได้เอาไป”  ข้าบอก

                “เจ้าฉวยโอกาสเอาไปตอนที่ข้าใช้ให้เอากล่องไปเก็บใช่มั้ย!!”  ยายแก่ขึ้นเสียง

                “ข้าป่าวนะ...ข้าไม่ได้ทำ”

                “ปากแข็งนัก!  ก็ข้าเป็นคนไปค้นมันมาจากห้องเอ็ง   ตอนข้าเอ๊ะใจว่าสร้อยข้ามันหายไป   เจ้าเป็นคนสุดท้ายที่หยิบกล่องนั่นมิใช่รึ!!”

                “ปรักปรำกันชัดๆนะยายแก่   ถึงข้าจะจนแต่ข้าก็มีศักดิ์ศรีพอไม่ทำเรื่องแบบนั้นให้เสื่อมแก่ตัวข้าหรอก!!”

                ข้ายืนประจันหน้ามองยายแก่นั่น   ข้าไม่ผิด   ทำไมต้องปรักปรำข้าด้วย  ข้าไปเผาเรือนพวกมันทิ้งรึไง  ถึงได้หาเรื่องข้านัก  ไอ้หลานก็ทำข้าถูกตีไปแล้ว  ยายแก่นี่ก็จะเอาด้วยสินะ   อยากตีข้านักก็เอาเลย!!

                “ข้าจะถ้าเอ็งอีกครั้ง  ถ้ายอมรับมา....ข้าจะไม่เอาเรื่อง”

                “หลานย่า...”

                “ว่าอย่างไรอิษฎา” 

                ยายแก่นั่นมองหน้าข้าอย่างคาดหวังคำตอบ   ข้าหันกลับมาสบดวงตาคมอีกครั้ง   ถ้าข้าบอกว่าข้าทำเอ็งก็จะไม่เอาโทษข้าใช่มั้ย.....  

“ข้าไม่ได้ทำ!”

แต่ตัวข้าหยิ่งทระนงตนนัก   ข้าไม่ยอมรับผิดที่ข้าไม่ได้ก่อเด็ดขาด   ใบหน้าคมคายถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“ไปหยิบหวายมา  ข้าจะเฆี่ยนมัน..”

ริมฝีปากเรียวขบเม้มเข้าหากันแน่   ดวงหน้าคมหันมามองข้าอีกครั้ง   เอ็งหวังให้ข้าตอบว่าข้าทำสินะ   ไม่มีวัน!   ชายร่างยักษ์สองคนนำข้าไปผูกไว้กับเสาเรือน   มือใหญ่เง้อไม้สุดแขนก่อนจะฟาดลงกลางหลังข้า

 

เพี๊ยะ!

 

ข้ากัดปากแน่นจนเลือดซิบออกมา   เจ็บแสบเหลือเกิน   เนื้อข้าคงแตกแล้ว   ข้ามองไปยังยายแก่ที่ยิ้มเยาะข้าอย่างอาฆาต    รอก่อนเถอะ   ข้าจะฆ่าให้หมดบ้านเลยคอยดูเถอะ

“จะยอมรับได้หรือยัง”  คุณหลวงถาม

“ข้าไม่ผิด..”

“ยอมรับซะ  แล้วข้าจะเลิกเฆี่ยนเอ็ง...”

“ไม่..”

“ยอมรับซักที!!  เอ็งอยากให้ข้าเฆี่ยนเอ็งจนตายเลยหรือไง!!!”

“ก็ตามใจท่านสิ...”

“อิษฎา.... เอ็งมันดื้อนัก   ดื้อไม่เปลี่ยนเลย...”

ยังเห็นแก่เยื่อใยความเป็นนายบ่าวแต่เก่าก่อนอยู่หรือไง   ถึงไม่กล้าเฆี่ยนข้า...

“ไม่ต้องเปลืองน้ำลายไปถามมันหรอก  เฆี่ยนไปเรื่อยๆ  เดี๋ยวมันก็ยอมรับออกมาเอง”

ยายแก่ปากดี!  ถึงตายข้าก็จะมาหลอกเอ็งให้หัวโกลนเลย!! 

 

เพี๊ยะ!

 

ไม่รู้ว่าข้าถูกตีไปเท่าไหร่   แต่มันมากเกินไป  มากจนข้าขี้เกรียจนับต่อ   ข้าเม้มปากข่มเสียงสะอื้นอ่อนแอไว้ภายใน   ข้าชักอยากจะหนีไปจากที่นี่แล้ว   แต่ถ้าข้ากลับไป   ท่านพ่อก็จะโดนอาญาเพราะถูกคนใส่ร้ายเหมือนที่ข้าโดนใส่ร้ายตอนนี้   ท่านพ่อคงกำลังทรมาณอยู่ก็เป็นแน่....   ข้าพยายามคุมสติที่พร่าเลือน   ขาของข้ามันไหวเอนไปหมด   ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้   ข้าผ่อนลมหายใจอ่อนล้าลอดผ่านริมฝีปาก    ภาวนาขอให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

...อิษฎา  เอ็งจะมาตายเพราะโดนเฆี่ยนไม่ได้นะ!!...

 

 

 

 

 

ร่างบางปล่อยกายลงสู่พื้น    บ่าวทั้งหลายมองภาพตรงหน้าอย่างเวทนา  แต่กลับมีหนึ่งในนั้นลุกขึ้นคว้าร่างบอบบางไว้ก่อนตกสู่พื้น     ร่างสูงทรงอำนาจยืนกำหมัดแน่มองบ่าวในเรือนอย่างไม่สบอารมณ์

“พอเถอะขอรับคุณหลวง    ไอ้อิษมันจะตายแล้วนะขอรับ”

“มันยังไม่รับสารภาพ  ข้าจะเฆี่ยนมันต่อ”

น้ำเสียงแข็งกร้าวตอกกลับ   มันน่าโมโหนักที่มีคนมาออกโรงปกป้องร่างเล็กที่นอนนิ่งสนิท   ความมืดที่เกาะกุมในจิตใจทำให้ร่างสูงอยากจะทุบตีชายที่บังอาจมาแตะต้องร่างบอบบางนั่น

“อย่าเลยขอรับ  ข้าขอร้อง”

“เอ็งจะรับหวายแทนมันมั้ยละ!!”

“ขอรับ  ข้าจะรับแทนมันเอง...”

 

วืด~

 

แก๊ะ~

 

มือใหญ่ปาหวายลงพื้น   สร้างความตกใจแก่ผู้เป็นย่ามาก    นัยน์ตาดำสนิททอดมองร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้อื่นด้วยสายตาอ่อนแรง   ใบหน้าหวานที่หลับพริ้มอยู่ในอ้อมแขนนั่น   ถ้ารู้ตัวว่ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขาคงโวยวายเป็นแน่

“พามันลงไป”

ร่างสูงเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะก้าวเท้าเข้าห้องนอนตนเองไป

 

เพล้ง!

 

ร่างสูงเขวี้ยงแจกันทรงสวยกระแทกกับกำแพงระบายอารมณ์    ร่างสูงในสภาพหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินไปนั่งกุมขมับอยู่บนเตียง

.....นี่ข้าทำอะไรลงไป....

                ร่างบอบบางที่แค่บีบเพียงเล็กน้อยก็แทบจะแตกหักได้   กลับถูกเขาเฆี่ยนซะจนสลบ   ภาพสีขาวเนียนละเอียดที่อาบนองไปด้วยเลือด   คราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มสีชาดบางๆ   ดวงตากลมโตที่มองเขาอย่างตัดพ้อเมื่อเขาไม่ยุติธรรม

ทั้งหมด....ยังวนเวียนอยู่ในหัวเขา

                “แค่รับๆไปแค่นั้น....เอ็งก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว  ทำไม...ทำไมดื้ออย่างนี้นะ”

                ตัวเขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันไม่ยุติธรรม   อีกฝ่ายเป็นถึงย่า   ใครบ้างจะกล้าไต่สวนเอาความเอาย่าตัวเอง    ร่างสูงหยิบกระปุกยาบรรเทาอาการปวดเดินลงไปทางเรือนคนรับใช้   ดวงตาคมทอดมองไปยังเรือนหลังเล็กที่ไม่มีประตูปิดก่อนจะเดินเข้าไป

                “คุณหลวง!”

                ทับเอ่ยออกมาอย่างตกใจก่อนจะรีบถอยตัวเองลงมานั่งบนพื้น

                “เอาให้มันกินด้วย”

                เสียงทุ้มเอ่ยนิ่งเรียบ   ทับยื่นมือมารับกระปุกยาสีขาวไปแล้วเอ่ยขอบคุณ

                “ข้าขอบคุณแทนไอ้อิษมันด้วยนะขอรับ”

                ใบหน้ารูปสลักพยักรับเบาๆพลางทอดสายตามองไปที่ร่างบางอีกครั้ง    เมื่อทับเห็นอย่างนั้นก็รีบลุกออกไปข้างนอกทันที

                “นึกขึ้นได้ว่าต้องเฝ้าท่าน้ำ  แหะๆ”

                ลับร่างส่วนเกินในห้องร่างสูงสง่าจึงเดินไปนั่งที่ริมขอบเตียง   มือใหญ่ไล้ไปบนแผ่นหลังเนียนเรียบอย่างเบามือเกรงว่าร่างเล็กจะไหวตัวตื่น   รอบๆรอยหวายสีแดงถูกโบ๊ะทับด้วยสมุนไพรสีเขียวที่ส่งกลิ่นเตะจมูก   นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมที่บังใบหน้าอ่อนละมุนออก 

..ใบหน้ายามหลับช่างดูไร้เดียงสาและไม่มีพิษภัยผิดกลับตอนตื่นลิบลับ..

ร่างสูงคิดในใจพลางไล้หลังมือไปตามแก้มนวลสีกลีบดอกไม้เบาๆ   มือใหญ่ยกข้อมือเล็กที่มีรอยแดงจากเชือกที่มัดขึ้นมาดูพลางถอนหายใจ

“เอ็งมันดื้อเองนะ...”

ร่างสูงโปร่งยันตัวลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกมือเล็กคว้าช้ายเสื้อเอาไว้เสียก่อน

“ฮือ...ท่านแม่  ขะ...ข้ากลัว...ข้ากลัว”

ร่างสูงเงี่ยใบหูฟังเสียงเบาโหวงราวกับเสียงกระซิบ  มือก็กุมมืออ่อนนุ่มไว้ให้คลายขวัญผวา

“สะ...สาย..ชล  ข้าเจ็บ...”

ในอกใต้กล้ามเนื้อแน่นปั่นป่วนเหมือนมีแรงบางอย่างมาบีบรัดให้มันแหลกละเอียด   นัยน์ตาสีนิลมองร่างผอมบางที่หายใจรวยรินอย่างสงสารก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากเรียบเนียน

...ข้ารู้ว่าไม่ควรทำ  แต่เอ็ง...เอ็งมัน  สมชื่ออิษฎา(น่าปราถนา)จริงๆ...

               

               

 

                 “ตื่นได้แล้วจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน!!”

                เสียงแหลมโวยวายลั่นทำเอาข้าสะดุ้งตัวตื่น   นางป้าช้อยยืนเท้าเอวมองข้าอย่างไม่พอใจ   เช้าแล้วรึ?  ข้ายันแขนกับเตียงค่อยๆพยุงร่างตัวเองขึ้น

                “โอ้ย!”

                ข้าร้องเบาๆ   เจ็บชะมัดเลย  ข้าเอื้อมมือไปแตะหลังตัวเองที่ยังเหนียวหนืดด้วยรอยเลือดบนแผล    มันน่าแค้นนัก!!  มาโบยข้าซะขนาดนี้เชียว

                “ป้า!  ไอ้อิษมันเจ็บอยู่นะ  ให้มันพักผ่อนเถอะ”

                ทับเดินเข้ามาพร้อมจานข้าว

                “งั้นรึ  ถ้าอยากพักก็พักไป   ข้าวก็ไม่ต้องกิน!”

                มือหยาบกร้านปัดจานกระเบื้องสีขุ่นลงพื้น   ข้าวเม็ดสวยหล่นกระจายเกลื่อนกราด    นางป้าตัวดียิ้มเย้ยข้าก่อนจะสะบัดก้นหันหนีไป   ข้านั่งมองพื้นนิ่งไม่แสดงอารมณ์โกรธเคืองใดๆ   พวกนายว่าขี้ข้าพลอยสินะ  หึ!  ดีจองหองเข้าไปเถอะจะตายไม่รู้ตัว!!

                “ใจดำชะมัด!  ช่างเถอะไม่ต้องง้อข้าวบ้านนี้กินหรอก   ไปกินกับข้าที่ท่าน้ำดีกว่า”

                ทับพูดพลางฉุดตัวข้าให้ลุกขึ้น   ข้าสาวเท้ายาวๆตามทับไปที่ท่าน้ำ   กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกจำปาโชยเข้าจมูกข้า    ข้าอยากทำงานในสวนมากกว่าบนเรือนซะอีก  

                “จอดด้วยๆ”

                ทับโบกเรือ   เรือท้องแบนลำเล็กจอดสนิทลงที่ท่าน้ำ  ตาแป๊ะหน้าจีนยิ้มรับลูกค้าอย่างปรีดา  

                “จะรับอะไรดีคุณลูกค้า”

                สำเนียงภาษาไทยแปล่งๆเอ่ยถ้า

                “เอาเล็กตกสอง”

                ทับบอก  เล็กตก?  มันคืออะไรหรอ  ตาแก่หันไปหยิบโน่นหยิบนี่ใส่ตะกร้อแล้วจุ่มลงไปในหม้อก่อนจะจัดใส่ฉามตามด้วยการเทเครื่องเทศต่างๆลงไป    กลิ่นน้ำซุปหวานหอมเตะจมูกข้า  ทำเอาท้องข้าร้องคำรามเสียงดัง   คนข้างๆข้าเลยลอบหัวเราะเยาะข้า

                “ฮ่าๆ  หิวขนาดนั้นเลยรึ”  ทับกลั้วหัวเราะ

                “กะ....ก็  ตื่นมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนี่”  ข้าบอกพลางเบือนหน้าหลบ

                “ก๋วยเตี๋ยวนี่อร่อยกว่าอาหารที่โรงครัวอีกนะ”

                “ก๋วยเตี๋ยว?”

                “อ้าว  ไม่รู้จักหรอกรึ”

                “ข้าไม่เคยกิน  มันเหมือนติ๋มซำเลยนะ  อาหารจีนใช่มั้ย”

                “ไม่รู้สิ  แต่คนขายเป็นคนจีนทุกจ้าวเลย”

                อ่อ   ข้าหันกลับไปมองพ่อค้าในเรือที่เทเลือดสีแดงข้นลงไปในทัพพีอันใหญ่  เอ๊ะ!  ใส่เลือดด้วยรึ!?!

                “หยุด!  หยุดนะ!  เอ็งจะใส่อะไรให้ข้ากินน่ะ”

                ข้าร้องด้วยความตกใจ   ข้าไม่ใช่ปอบนะถึงจะมากินเลือดน่ะ!

                “เอาน้ำตกไม่ใช่รึ” 

                พ่อค้าบอก  น้ำตก!  ข้าเคยไปกาญฯมานะ  น้ำตกที่นั่นไม่ใช่สีนี้ซะหน่อย   ดูยังไงก็เลือดชัดๆเลยไม่ใช่หรือ!!

                “นั่นมันไม่ใช่น้ำตก!”  ข้าเถียง

                “ฮ่าๆ  อย่าปล่อยไก่สิ  ใส่ไปอาแป๊ะ  อย่าไปสนใจมันๆเพิ่งเคยกินน่ะ”

                ทับพูด  ข้าถดตัวถอยออกห่างทั้งเรือทั้งไอ้ทับ   ไอ้พวกนี้มันเป็นผีหรือ   กินของแบบนั้นเข้าไปได้

                “อะ...เอ็งเป็น..ปอบใช่มั้ย”  ข้าถามอยางหวาดกลัวเตรียมวิ่งหนีแล้วด้วยถ้ามันตอบกลับมาว่าใช่

                “ถ้าข้าเป็นปอบข้ากินตับเอ็งไปแล้ว  มานี่จะหนีไปไหน!”

                ทับเอื้อมมือมาดึงข้อเท้าข้า  ว้ากกก  ทำไมทำอะไรน่ากลัวแบบนี้

                “ปล่อยข้านะ!”

                “ก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว  ลองกินๆ”

                ทับปล่อยขาข้าแล้วหันไปยกฉามก๋วยเตี๋ยวมาให้ข้า   ข้ารับฉามร้อนๆนั่นมาวางไว้ใกล้ตัว

                “คะ..คือ  ข้าไม่มีเงินทองจะไปจ่ายก๋วยเตี๋ยว...”

                ข้าเป็นทาสก็เลยทำงานให้เปล่า(ทำงานฟรี)   ไม่ใช่ไพร่ที่ทำงานแล้วได้เงิน

                “ข้าเลี้ยงๆ”

                ทับบอกพลางส่งยิ้มให้ข้าก่อนหันไปควักเงินในถุงออกมาจ่าย  

                “ขอบใจเอ็งมาก...ข้าจะเอามาใช้ให้นะ”

                “ไม่ต้องหรอก  แค่ช่วยข้าทำงานในสวนก็พอ”

                “อืม”

                ข้าพยักหน้าเบาๆ  ทับคีบเส้นยาวๆเข้าปากกินให้ข้าดู   ข้าก็ลองทำตามบ้างแต่เส้นนี่มันลื่นจัง

 

                แผละ!

 

                “อุ๊บ!  ฮ่าๆ”

                “อย่าขำนะ!”

                ไม่ว่าข้าจะคีบกี่รอบมันก็ล่วงใส่ฉามน้ำกระชอกเลอะตัวข้าไปหมดแล้ว   ไม่ใช่ว่าข้าใช้ตะเกียบไม่เป็น  แต่เส้นมันลื่นต่างหาก   มือใหญกดหัวข้าให้ก้มเข้าหาฉาม   อืม  แบบนี้กินง่ายกว่าเยอะเลย  

                “อร่อยแหะ”

                “ใช่ม้า~”

                กลิ่นน้ำซุปก็ห๊อม...หอม  รสชาติก็อร่อยด้วย   ข้าชักติดใจก๋วยเตี๋ยวซะแล้ว

                “พรุ่งนี้มากินอีกนะ”ข้าบอก

                “ได้สิ ”

                ทับยิ้ม  ที่นี่คงมีเอ็งคนเดียวที่ดีกับข้า   ข้ามองสายน้ำที่ไหวไปมา   ลำคลองนี้มันยาวไปถึงเรือนที่ท่านแม่อยู่มั้ยนะ  ข้าคิดถึงท่านแม่....อยากเจอ

                “ไอ้อิษ! คุณหลวงเรียกหาแน่ะ!”

                บ่าวในเรือนวิ่งมาบอกข้า   ข้าวางฉามก๋วยเตี๋ยวลงอย่างเสียดาย   ไอ้มารคอหอย!!  เข้าใจเรียกข้าไปถูกเวลาจริงๆนะ

                “ข้าละเบื่อลูกรักคุณหลวงจริงจริ๊ง~”  ทับบอก

                “เหอะ! เฆี่ยนข้าซะยับเนี่ยนะ”  คิดแล้วยิ่งโมโห

                “ฮ่าๆ  ข้าว่าถ้าเอ็งไปช้าเอ็งโดนอีกแน่”

                “จะช้าหรือเร็วยังไงข้าก็ผิดในสายตามันอยู่ดี!!”

                “เรียกมันเลยรึ!  เดี๋ยวโดนโบยเอาหรอก”

                “ช่างสิ  ข้าไม่สน!”

                กระเดินกระแทกเท้าตึงตังธรณีแทบถล่มขึ้นเรือนไม้หลังงาม   ไม่อยากจะเจอหน้าแต่ก็เรียกหาข้าจังนะ    ข้าตีหน้านิ่งเดินไปนั่งอยู่ห่างร่างสูงสี่วา   ใบหน้ารูปหล่อขมวดคิ้วจ้องหน้าข้าอย่างไม่พอใจ  เหอะ!  แค่เห็นหน้าข้าก็อารมณ์เสียแล้วยังจะเรียกข้ามาอีก   ประสาท!!

                “มานั่งใกล้ๆข้า”

                หลวงธีราธรสั่ง  ข้าเบือนหน้าเล็กน้อยก่อนจะคลานเข้าไปใกล้คืบนึง   แต่มันก็ยังจ้องข้าอยู่   ให้ข้าไปนั่งบนหัวเลยมั้ยละ!!  ข้าเขยิบเข้าไปจนแทบจะนั่งชิดกันเข่ามันๆถึงจะคลายสีหน้าเป็นนิ่งเฉยเหมือนเดิม  

                “วันนี้มีสำเภาจีนมาที่พระคลัง  ข้าก็เลยซื้อหนังสือมาให้เอ็ง   มันเป็นวรรณกรรมที่เขากำลังนิยมอ่านกัน”

                มือใหญ่ยื่นหนังสือปกอ่อนมาให้ข้า   หนังสือภาษาจีน?  ข้าอ่านไม่ออกหรอก   อีกอย่างของที่เอ็งให้.....ข้าไม่อยากรับหรอก!

                “ข้าอ่านไม่ออก”  ข้าปฏิเสธไป

                “งั้นรึ  ไว้ว่างๆข้าจะแปลใส่โน้ตให้เอ็งแล้วกัน”

                มือใหญ่วางหนังสือลงแล้วหันไปหยิบกำไลสีเขียวมรกตออกมาจากกล่องไม้ลายวิจิตร

                “เขาว่าถ้าใส่หยกแล้วจะป้องกันโรคภัยได้  ข้าให้”

                “ข้าไม่เอา”  ข้าตอบ

                “เอ็งไม่ชอบหรอกรึ  งั้น...”

                มันหันไปหยิบผ้าไหมเงาวับขึ้นมาแล้ววางเทียบบนผิวข้า   ใบหน้ารูปสลักพินิจมองก่อนจะเอ่ยออกมา

                “มันเข้ากับผิวเอ็งดี  ข้าจะเรียกช่างมาตัดเสื้อให้นะ”

                “ไม่ต้องหรอก   ของจากท่านสักชิ้น....ข้าก็ไม่ต้องการ!”

                เกิดผีเข้าอะไรขึ้นมาละเนี่ย   ถึงมาทำดีกับข้าทั้งที่เมื่อวานยังตีข้าไม่ยั้งมือเลย   ข้าเบือนหน้าเมินคนตรงหน้า

 

                พรึ่บ!  เคร้ง!

 

                มือใหญ่ปาผ้าไหมผืนสวยลงพื้นพลางปัดข้าวของกระจัดกระจาย   อะไรกันทำดีไม่เท่าไหร่ก็องค์ลงอีกแล้ว

                “โน่นก็ไม่เอา!  นี่ก็ไม่เอา!  อย่าหยิ่งให้มันมากนัก  หัดเจียมตัวซะบ้าง!!”

                เสียงเข้มตวาดลั่น   หลวงธีราธรจ้องข้าอย่างโมโห   ข้าเงยหน้าสู้สายตาคมที่จ้องมอง   ก็บอกว่าไม่ต้องการ!!  ของจากเอ็งทุกชิ้นข้าไม่อยากได้   ไม่ต้องมาแสร้งทำดีกับข้า    ถ้าข้ารับของเอ็งไปเอ็งก็จะหาเรื่องมาโบยข้าอีกละสิ!!

                “ข้าไม่รับมันก็เรื่องของข้า”  ข้าบอก

                “ทำไมถึงไม่เอา ห๊ะ!!”

                มือหนาบีบหัวไหล่ข้าจนเจ็บไปหมด

                “ข้าไม่อยากรับของจากคนที่ข้าเกลียดหรอก!”

                ร่างสูงหน้าขึ้นสีอย่างโกรธจัด  มือหนาบีบไหล่ข้าหนักเข้าไปอีก  

                “...เกลียดข้านักใช่มั้ย..”

                “ใช่!  เกลียดมาก!  เกลียดที่สุด!  โอ้ย...”

                ข้ามองใบหน้าหลวงธีราธรยามนี้ช่างน่ากลัวนัก   จะฆ่าข้าเลยหรือไง!   ข้าพยายามแกะมือใหญ่ออกแต่ไม่ได้ผล  ข้าตวัดมือตบใบหน้าแดงก่ำนั่นให้ปล่อยข้า   คนตัวใหญชักสีหน้าแล้วกระแทกตัวข้าลงนอนกับพื้น   ความเจ็บปวดที่แพร่ซึมมาจากแผลเก่าเรียกเอาน้ำตาข้าแทบจะไหลออกมา   ข้าต้องไม่ร้องไห้!

                “ปล่อยข้านะ!!”

                ข้าทั้งทึ้งหัวทั้งถีบยันคนตัวใหญ่ที่ลุกมาคร่อมตัวข้า   ข้าดิ้นไปมาอย่างไรหนทางเหมือนลูกไก่ที่ติดอยู่ในกำมือใหญ่   มือหนารวบมือข้ากดไว้เหนือหัว    จมูกโด่งเป็นสันได้รูปไล้ลงไปที่ข้างคอข้า   ร่างกายข้ามันชาบวาบขนลุกซู่ไปหมด   จะทำอะไรน่ะ!

                “อย่า!  อย่านะ!”

                ข้ายกมือไหว้อย่างหวาดกลัว   เอ็งจะทำอะไรน่ะ   ข้าไม่ใช่ผู้หญิงนะ   เอ็งทำกับข้าแบบนี้เพียงเพราะข้าดูเหมือนผู้หญิงได้อย่างไร   ถึงข้าจะอ่อนแอและเปาะบางแค่ไหน   กายข้าก็ยังเป็นชาย

                “ฮือๆ  สายชล....อย่า”

                ร่างสูงหยุดการกระทำน่าเกลียดลง   ใบหน้าหล่อดูคลายลงเหมือนเห็นข้านอนร้องไห้   มือใหญ่คลายพันธะนาการออกจากตัวข้าช้าๆ   พอได้จังหวะข้าก็รีบลุกหนี

               

                หมับ!

 

                “ปล่อยข้า!!”

                ข้าร้องพลางคลานหนีสุดแรง   มือใหญ่กระตุกตัวข้าให้กลับไปอยู่ที่เดิม   แรงดึงดันสุดตัวที่ต้านอยู่กับแรงคนตัวใหญ่ทำให้...

 

                กร๊อบ!

 

                ข้าทิ้งตัวลง  อ้าปากร้องแต่เสียงกลับไม่ออก   เสียงกระดูกที่ดังลั่นทำให้ร่างใหญ่ปล่อยมือข้าออกทันที   ข้านอนขดตัวกุมแขนตัวเองไว้    ทรมาณ....ข้ามองแขนตัวเองที่บิดไปจากเดิม  

                “อิษฎา...”

                “อย่ามาแตะตัวข้า!!  อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!!”

                ข้าตวาดลั่นเมื่อร่างสูงเข้ามาหาข้า   ข้าเม้มปาอยากสุดกลั้น   ทำไมต้องทำร้ายข้าด้วย   เห็นข้าร้องไห้เจ็บปวดแล้วมีความสุขมากหรือไง   ทำไมเอ็งถึงโหดร้ายกับข้าแบบนี้....

 

 

 

 

                ข้ากลับมาจากโบสถ์ของมิชชันนารีฝรั่ง   เขาจัดแจงเอาผ้ามาพันรอบแขนขาแล้ววางห้อยไว้ข้างหน้าโดยคล้องไว้ในผ้าคล้องคอ   ตั้งแต่ข้ามาอยู่นี่มีวันไหนที่ข้าไม่เจ็บตัวบ้างนะ

                “เอ็งไปทำอะไรห้คุณหลวงโกรธอีกละ”  ทับถาม

                “ไม่รู้  แค่เห็นหน้าข้าไอ้คุณหลวงนั่นก็แทบจะลุกมาฉีกทึ้งข้าแล้วละ”

                แค่มองหน้าเฉยๆยังแทบจะกัดข้าแล้วเลย!   ข้ายกมือลูบข้างคอตัวเองเบาๆ   ลมหายใจร้อนๆที่รดข้างคอข้างยังคงติดอยู่   แค่นึกถึงท้องข้าก็ปั่นป่วนไปหมดแล้ว

                “ไม่สบายรึ  หน้าแดงเชียว”

                “ห๊ะ!  ปะ..ป่าว”

                ข้างหน้าแดงอยู่รึ   ข้ายกมือลูบแก้มอุ่นๆของตัวเอง   ทำไมข้าถึงหน้าแดงละ   ข้ากำลังโกรธมันอยู่หรอ  แต่เมื่อกี้ข้าคิดถึงเรื่อง.....

                “อ๊ากกกกก”

                ข้าโวยวายพลางนอนกลิ้งไปมาบนเตียง   ทำไมหัวใจข้ามันเต้นแรงนักเล่า   มันจะทะลุออกมาจากอกมั้ยเนี่ย

                “เอ๋~  หรือว่า....เอ็งกำลัง..”

                ทับยิ้มแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก

                “อะไร”ข้าถาม

                “หึๆ  ไม่มีอะไร   เรื่องแบบนี้ไว้โตเป็นผู้ใหญ่ก็รู้เอง”

                ข้าสิบแปดแล้วนะ   ออกเรือนได้แล้วด้วย!  แต่ตอนนี้คงไม่มีใครเอาข้าทำผัวแล้วละ   ก็ตอนนี้ข้าเป็นทาสในเรือนหลวงธีราธรนี่นา   ข้านอนตะแคงลงหมอนพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย  จะว่าไปสายชลก็น่าจะยี่สิบแล้วนี่   ยังไม่คิดเรื่องแต่งงานหาคู่ครองบ้านหรือ

 

                แปล๊บ!

 

                ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาที่ขั้วหัวใจข้าชั่ววูบพร้อมกับความคิดบ้าๆในหัว   ถ้าเกิดสายชล...แต่งงานไป   แล้วข้าละ   ข้า...ข้า   ทำไมต้องรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเหมือนจะร้องไห้แบบนี้นะ

 

 

 

               

                หลายวันต่อมาที่ข้าไม่สามารถลงมือฆ่าไอ้หลวงธีราธรได้ซักที   ข้านั่งนิ่งเป็นหุ่นอยู่ในห้องนอนไม้สัก   ร่างสูงนั่งกุมขมับทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด   พลันสายตาคมหันมาสบข้าที่นั่งมองอยู่  ข้าก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี

                “เอ็งยังเขียนหนังสือได้อยู่ใช่มั้ย”

                เสียงทุ้มถาม  ข้าพยักหน้าอย่างหวาดๆ   ข้ายังกลัวว่ามันลุกลุกขึ้นมาหักแขนข้าอีก   ยิ่งอยู่กันแค่สองคนในห้องแบบนี้   ยิ่งอันตรายนัก!!

                “คัดนี่ให้ข้าสักสิบฉบับสิ”

                มือใหญ่ยื่นแผ่นกระดาษสีซีดมาให้ข้า   ข้าส่ายตามองหาที่ว่างในห้องที่พอจะนั่งเขียนได้   สงสัยข้าต้องนั่งพื้นแล้วกระมัง   แผลที่หลังข้ายังไม่หายเลย  เวลาก้มแผลมันจะปริแล้วก็เจ็บมาด้วย

                “นั่งเขียนตรงนี้  จะไปไหนละ”

                ใบหน้านิ่งเรียบตวัดมองข้า   ข้าจำยอมต้องนั่งใช้โต๊ะร่วมกับคนที่ชอบทำร้ายข้า   โต๊ะก็แคบยังจะให้ข้ามานั่งร่วมอีก   ข้าตวัดหมึกเขียนตามกระดาษต้นแบบให้คัดสิบแผ่นนิ้วข้าคงหงิกแน่  เฮ้อ~

                “ต้องทำให้เสร็จวันนี้หรอ”  ข้าถามเบาๆ  จะโดนเอ็ดมั้ยเนี่ย

                “อืม  ต้องเอาไปใช้วันพรุ่งน่ะ”

                ข้าก้มหน้าทำงานที่ได้รับต่อ   แต่การเขียนหนังสือมือเดียวบนกระดาษที่ไม่ได้จับมันยากอยู่เหมือนกันนะ   ความเงียบเฉียบกลับสู่ห้องนี้อีกครั้ง   แสงตะวันที่ลอดผ่านขอบหน้าต่างแยงตาจนทำให้ข้าต้องหรี่ตามอง   นี่ข้านั่งในห้องนี้มานานจนเย็นแล้วหรอเนี่ย   เมื่อไหร่จะเสร็จนะข้าขี้เกรียจเขียนแล้ว!

                “เฮ้อ~”

                คนตรงหน้าข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกไปนอนกินแรงข้าที่เตียงตัวเอง   เดี๋ยวสิ!  งานเอ็งไม่ใช่หรอ  มาช่วยข้าทำสิ!

                “นี่”  ข้าเรียก

                “อะไร”

                ร่างสูงนอนตะแคงตัวถาม   กะจะเรียกให้ช่วยซะหน่อยจะค่ำแล้วข้าจะลงไปข้างล่าง  แต่ช่างมันเถอะ!  ข้าละคำพูดที่ควรจะต่อจากนั้นแล้วก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ  เสียงย่ำเท้าหนักเดินวนไปวนมารอบห้องทำให้ข้าเริ่มจะปวดหัว

                “เลิกเดินซะที  ข้าปวดหัว”

                ร่างสูงชะงักฝีเท้าลงแล้วนั่งลงตรงข้ามกับข้า

                “ข้าไปเดินบนหัวเอ็งหรอ”

                เสียงนิ่งเรียบทำเอาข้าสะดุ้งถอยตัวหนี  ข้าดึงโต๊ะเขยิบมาจนเบียดตัวเองกลืนกับกำแพง   มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าข้า  จะทำอะไรอีกละคราวนี้จะควักลูกตาข้าหรือไร  ข้าหลับตาปี๋ไม่กล้ามองมือมรณะที่ถูกตัวข้าทีไรข้าต้องเจ็บทุกที

                “กลัวขนาดนั้นเลยรึ  หึๆ”

                มืออุ่นวางลงบนหัวข้าพลางลูบไปมาอย่างแผ่วเบา   เสียงหัวเราะในลำคอเบาๆเรียกให้ข้าเงยหน้ามองคนตรงหน้า   หัวเราะเป็นด้วยรึ  ไม่อยากจะเชื่อเลย   แล้วเสียงหัวเราะก็หยุดลงใบหน้าหล่อกลับมาตีหน้าเรียบเฉยอย่างเดิม  ข้าเบิกตาอย่างงุนงง   ข้าทำอะไรให้โกรธอีกหรอ....

                “รีบๆทำเข้าสิ  ชักช้า”

                “ก็รีบอยู่นี่ไง”

                ข้าบ่นอุบ   ข้ารีบปั่นงานแผ่นสุดท้ายให้เสร็จก่อนจะลุกนำไปกองรวมอีกโต๊ะนึง    มือใหญ่ตบเตียงเสียงดังเหมือนจะเรียกให้ข้านั่ง   ข้ายืนนิ่งไม่อยากจะเข้าไปในเขตอันตรายแบบนั้นเลย   คนตัวสูงชักสีหน้าเล็กน้อยก่อนจะดึงตัวข้าลงไปนั่งแต่จังหวะก้าวเท้าของข้ามันผิดพลาดไปหน่อยก็เลยล้มทับคนตัวใหญ่

                “โอ้ยแขนข้า!”

                ข้าร้องโอดครวญ   ข้าดันทับแขนตัวเอง   อยู่ใกล้มันทีไรข้าเจ็บตัวทุกที  ข้าโงกหัวขึ้นมองใบหน้าสะอาดสะอ้านที่อยู่ใกล้แค่คืบ   ลมหายใจอุ่นรดอยู่ที่ปลายจมูกข้า   ด้วยแรงดึงดูบางอย่างทำให้ข้าต้องหลับตาลงรับสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากอย่างฝืนไม่ได้    แขนใหญ่พลิกตัวข้างลงบนมือก็ลูบไปตามท่อนแขนเล็กๆของข้า

 

                ก็อกๆ

 

                “อิฉันนำสำหรับมาให้คุณหลวงเจ้าค่ะ”

                ก่อนที่เสียงประตูจะเปิดออกข้าก็รีบเด้งตัวเองลงมานั่งข้างล่างเสียงดังตุ้บ   คนข้างบนปิดปากกลั้วหัวเราะพลางหันหลบสายตาค้อนควับของข้า     เพราะเอ็งเล่นอะไรแผลงๆข้าเลยต้องรีบโดดลงมานั่งกับพื้นไง   เจ็บก้นชะมัด!

                “ออกไปได้แล้ว”

                เสียงใหญ่สั่ง  ข้ารีบลุกตามบ่าวผู้หญิงไปแต่โดนฉุดตัวไว้ก่อน   มือใหญ่ปิดประตูลงกลอนขังข้าไปกับมันในห้อง

                “ข้าจะไปนอนแล้ว”  ข้าบอก

                “นอนนี่แหละ”

                “ไม่เอาหรอก  เดี๋ยวเอ็ง....กะ..กัดข้าอีก”

                ข้าพูดเสียงค่อยลงพลางยกมือปิดปากตัวเอง    มันกัดปากข้าจนแดงเถือกไปหมดเลย   ร้ายกาจที่สุด

                “ข้าไม่ได้กัดเอ็งซะหน่อย”

                “ไม่ได้กัดแล้วทำอะไร!!!”

                ข้าถามพลางถอยตัวชิดกำแพง   เท้าใหญ่ก้าวเข้ามาประชิดตัวข้าจนร่างแทบจะเบียดกัน   ทำไมมันร้อนแบบนี้นะ   ข้ายกมือยันแผงอกกว้างที่ใกล้เข้ามา   ยิ่งมันเข้ามาใกล้ข้ายิ่งอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง   หน้าก็ร้อนไปหมดเลย

                “เขาเรียกว่า...”

                “วะ..ว่าอะไร”  ข้าเบือนหน้าถาม

                “หึๆ  เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อีก  เด็กน้อยเอ้ย!”

                “ข้าไม่ใช่เด็กนะ!”

                ข้าถลึงตามองใบหน้าคมคาย   ข้าโตแล้วแต่งงานมีลูกได้แล้วด้วย!!  มือใหญ่ดึงข้าให้ไปที่เตียงแล้วกดไหล่ให้ข้านั่งลง   คนตัวสูงฉวยโอกาสตอนข้ากำลังมึนงงล้มหัวลงหนุนตักข้า

                “นี่เอ็ง!”

                ข้าร้องดุแต่มันกลับหลับตาพริ้มหาฟังข้าไม่!   ข้านั่งตัวชาแขนขาเกร็งไปหมด   ข้าไม่ใช่ผู้หญิงนะมานอนตักข้าเฉยเลย

                “ลุกเลยนะเดี๋ยวฟ้าผ่าหรอก!”

                “ช่างฟ้าสิ  ข้าง่วง”  มันตอบ

                “ก็ไปนอนหนุนหมอนสิ!!”

                “ข้าหนุนหมอนแล้วนอนไม่หลับ  ข้าขอหนุนตักเอ็งหน่อยแล้วกัน”

                “ข้าไม่อนุญาต”

                “จะลองดีสินะ...”

                ข้ารีบสงบปากไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง   ไอ้นี่มันน่ากลัวนัก   ข้าจนต้องทนนั่งหลังตรงทื่อเป็นท่อนไม้ให้ไอ้หลวงธีราธรนอนหนุนตักข้า    ใบหน้าสงบนิ่งผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ   มืออุ่นกุมมือข้าไว้ทำให้ข้าไม่อาจลุกหนีได้

                ....ไม่ระวังตัวเลยนะ....

                มานอนหลับสนิทต่อหน้าข้าแบบนี้ไม่เกรงกลัวว่าข้าจะแค้นจัดหยิบมีดมาแทงเลยหรือไง    ทำงานในกระทรวงที่มีแต่คนคอยจ้องลอบฆ่าแต่เวลานอนกลับปล่อยตัวสบายแบบนี้   ไม่นานเอ็งต้องลงไปนอนโลงแน่...

                “สายชล...”

                ข้าเอ่ยเรียกชื่อมันเป็นครั้งสุดท้าย   ข้าเอื้อมมือหยิบมีดปลอกผลไม้คมกริบขึ้นมา   ถ้าปักลงไปที่อกด้านซ้ายแล้วดึงออกมาก็คงจะตายทันที   ข้ากระชับมีดในมือแน่นมองทอดไปยังร่างสงบนิ่งที่นอนไม่รู้สึกรู้สาอะไรพลางเงื้อขึ้นสูง

                ...ข้าขอโทษนะ...

 

                แกร๊ก!

 

                ข้าปล่อยมีดวาบวับลงสู่พื้น  

                ...ข้าทำ..ไม่ได้

                ข้าปล่อยน้ำตาไหลลงอาบแก้ม   ไม่รู้เพราะอะไร   ข้าไม่กล้าฆ่ามันหรือใครทั้งนั้น   พอจะปักมีดลงไปก็เห็นภาพใบหน้ายิ้มแย้มของสายชลคนเก่าของข้าลอยขึ้นมา   ข้ามันอ่อนแอนัก....  ข้าขอโทษท่านพ่อ  ท่านแม่..

 

 

 

 

 

                ข้าอยู่ที่นี่มาเกือบสามเดือนแล้ว   เวลาผ่านไปเร็วจนน่ากลัว....   เวลาที่พรากทุกอย่างไปได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

                “คุณหนูพิศมัยส๊วย...สวย   เหมาะสมกับคุณหลวงของข้าจริงๆ”

                “สมเป็นว่าที่สะใภ้เรือนใหญ่จริงๆ”

                งานมงคลกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่    ที่เรือนไม้หลังงาม  งานแต่งงานหวานชื่นของหนุ่มสาวที่น่ายินดี   ฝ่ายหนึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงอีกฝ่ายก็เป็นคุณหนูลูกเศรษฐีใหญ่   ข้ามองไปบนเรือนที่มีคนสองคนคุณกันอย่างสนิทสนม    ใบหน้าหล่อคลายยิ้มอ่อนโยนแก่ว่าที่ภรรยาในวันพรุ่ง    มันช่างบีบรัดหัวใจข้านัก   ข้าเป็นพวกอิจฉาริษยาหรือ...  น่ารังเกรียจเสียงจริง

                “เป็นอะไรดูซึมไปเชียว  แผลยังไม่หายดีรึ”  ทับถาม

                “ป่าว  แดดมันร้อนน่ะ”

                “เพลียแดดก็ไปนั่งใต่ร่มไม้โน่นไป”

                ข้าพยักหน้ารับแล้วเดินตามกลิ่นหอมของจำปาไป   ข้าชอบมานั่งใต้ต้นจำปาต้นใหญ่นี่   กลิ่นหอมของมันทำให้ข้าผ่อนคลายเรื่องหนักหัวออกไปได้   ข้าเอนตัวลงนอนสูดไอเย็นที่พัดมาจากบ่อน้ำที่เชื่อมมาจากคลอง

                “ดำไปเยอะเลยแหะ”

                ข้ามองแขนส่วนที่พ้นชายเสื้อแรกๆก็เป็นสีแดงๆแต่ตอนนี้มันออกสีเหลืองๆแล้วละ  

               

                ฟิ้ว~

 

                พรุ่บ!

 

                เสียงเหมือนคนปาอะไรไปที่พุ่มไม้ตรงข้าม   ข้าหันไปมองข้างหลังตัวเอง   ชายคลุมผ้าขาวม้ากวักมือเรียกข้า   ข้าลุกขึ้นเดินตามมันไปเพราะรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

                “อิษฎา!”

                เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อข้าก่อนที่ร่างงดงามจะพุ่งออกมาสวมกอดข้า

                “ท่านแม่..” 

                “ลูกเป็นอย่างไรบ้าง  แม่ได้ข่าวมาว่าอยู่ที่นี่ลูกโดนเฆี่ยนทุกวันเลย”

                ท่านแม่ก้มหน้าซบไหล่บอบบางของข้างพลางหลั่งน้ำตาเจ็บปวดแทนข้า   ช่วยไม่ได้นี่   ข้าเป็นเพียงเบี้ยรองเท้า  เขาจะตีจะฟันจะทำอะไรข้าก็ได้

                “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าสบายดีท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”

                ข้าบอกพลางยิ้มบางๆ  หวังว่าท่านจะคลายห่วงข้านะ

                “คุณหนูอิษฎา   วันพรุ่งจะมีงานแต่งของหลวงธีราธรที่เรือนหลังนี้ใช่หรือไม่”  คนที่คลุมหน้าคลุมตาถามข้า

                “ใช่”  ข้าตอบ

                “งั้นที่มีรายงานเข้ามาก็ไม่ผิด   วันพรุ่งเราจะลงมือกันแล้ว  เรารอมานานมากแล้ว”

                “ลงมือ  อะไร?”

                “ก็ฆ่าหลวงธีราธรไงขอรับ!”

                ข้าเบิกตาเล็กน้อยก่อนจะทำสีหน้าปกติ   งานมงคลแท้ๆ  ค่อยฆ่าหลังจากนั้นไม่ดีหว่าหรือ

                “ข้ารู้ว่าคุณหนูคงไม่กล้าลงมือเอง  ไม่ต้องห่วงขอรับเรื่องนั้นพวกข้าจะจัดการเอง  คุณหนูแค่คอยกันคนอื่นไม่ให้เข้ามายุ่งย่ามกับแผนของเราก็พอ!!”

                ข้าพยักหน้าอย่างเข้าใจ   ข้าเหลือบมองไปยังท่านแม่ที่มีสีหน้าวิตก

ดวงตาสวยมองมาทางข้าราวกลับจะร้องไห้

                “ท่านแม่เป็นอะไรหรือขอรับ...”  ข้าเดินเข้าไปถาม

                “อิษฎา....ลูกแม่ไม่อยากให้ลูกฆ่าใคร”

                “ข้าไม่ได้ฆ่านี่ขอรับ  พวกนั้นบอกจะฆ่าเอง”

                “ถึงอย่างนั้น  แม่ก็สงสารหลวงธีราธรอยู่ดี    เขาไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยแต่ต้องมาแลกชีวิตเพื่อช่วยพ่อของลูก   แม่....”

                “...นั่นสิ...”

                “อย่าฆ่าเขาเลยนะลูก...เราขอให้เขาช่วยดีกว่า”

                “ข้าจะลองคิดดู..”

                ขอให้ช่วย...  ถ้าข้าเอ่ยปากไปมันจะยอมช่วยพ่อข้ามั้ย   อาจจะไม่ช่วยก็ได้เพราะตอนมันอยู่ที่เรือนข้า   พ่อข้าก็ทำกับมันไว้ไม่น้อย

 

 

 

 

               

                วันพรุ่งงั้นหรือ   ข้ายกขาที่นั่งห้อยแกว่งน้ำขึ้นมาแล้วเดินไปยังที่ๆทำให้ข้าคลายปวดหัวได้   ถึงข้าไม่ใช่คนลงมือแต่หลวงธีราธรก็ต้องตายอยู่ดี    ข้ามองไปยังใต้จำปาที่ส่งกลิ่นหอมเช่นเคยแม้จะค่ำแล้วแต่กลิ่นก็ยังคงหลงเหลืออยู่   ขาก้าวเท้าไปยังที่ประจำของข้าแต่ตอนนี้ที่ตรงนั้นถูกแย่งไปโดยคนรูปงามที่ทำให้หัวใจข้าสั่นระรัว   ข้าถอยเท้าหลบออกจากตรงนั้นแต่เสียงทุ้มกังวานกลับทักข้าสียก่อน

                “จะไปไหนรึ  นั่งเป็นเพื่อนข้าก่อนสิ”

                ข้าหันหลังกลับไปนั่งลงห่างจากคนเรียกวานึงได้   นัยน์ตาสีนิลปราดมองข้าอย่างไม่พอใจเล็กๆ   ข้าถอนหายใจเฮือกก่อนจะเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆคนตัวใหญ่

                “วันนี้ข้านึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเอ็งแล้วซะอีก”

                “จะไล่ข้าออกไปหรือ  ข้าไปเก็บของละ”

                “ไม่ใช่ซะหน่อย”

                มือใหญ่คว้าแขนข้าไว้   ก็เอ็งพูดเยี่ยงนั้นให้ข้าคิดเช่นไร   ฟังดูแล้วเหมือนเอ็งอยากให้ข้าไปให้พ้นๆหน้านี่

                “อืม”

                ข้านั่งลงที่เดิม   ลมแรงพัดเข้าหน้าข้าทำเอาผมเพ้าพัดจิ้มตาข้าเต็มไปหมด   มือใหญ่ช่วยปัดเส้นผมด้านหน้าออกจากตา   ข้าลืมตาขึ้นมองใบหน้าคุ้นเคยที่อยู่ใกล้แค่คืบ   นิ้วเรียวยาวหยิบดอกจำปาขึ้นมาพันแซมกับเรือนผมข้าก่อนจะก้มลงสูดดมความหอมของมัน

                “หอม  กลิ่นเดียวกับกลิ่นกายเอ็งเลยนะ”  เสียงทุ้มเอ่ย

                “กะ...ก็ข้าชอบมานั่งใต้ต้นจำปานี่”

                “งั้นหรือ  มิน่า....ถึงหอมนัก”

                รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าคม   นิ้วร้อนๆไล้ข้างแก้มข้าก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ข้าอีก

                “อย่า!”  ข้าร้องปราม

                “รังเกรียจรึ”

                แววตาตัดพ้อจ้องมองข้าหาคำตอบ   ข้าไม่ได้รังเกรียจถ้ามันจะสัมผัสข้า     ยามที่มันสัมผัสใช่ว่าจะขยะแขยงหัวใจข้ากลับเต้นแรง   ร่างกายเกร็งและร้อนผ่าวไปหมด   มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ   อีกอย่าง...

                “วันพรุ่ง....”

                “อย่าพูดถึงอนาคต  เพราะตอนนี้ข้ามีเพียงแต่เอ็ง...”

                อนาคตอันใกล้ที่ชั่วพริบตาก็จะมาถึง   ข้ายกมือจับมืออุ่นที่ลูบข้างแก้มข้าอยู่   ข้าอยากจะฉุดรั้งมือนี้ไว้ไม่ให้ไปไหน   ข้าไม่อยากให้มันเป็นของใคร   แต่มันก็คงสายไปเสียแล้ว...

                “...ข้ารักเอ็ง....อิษฎา”

                ดวงตาคมที่สื่อแววตามั่นคงในคำพูดมองลึกเข้ามาในตาข้า   ข้าก้มน่ารับคำพูดที่ได้ยิน   หัวใจข้ามันพองโตขึ้นมาอย่างประหลาดแต่ในคราเดียวกันก็เหมือนมีคมดาบกรีดแทงในหัวใจข้าอยู่   ไหนจะด้วยเรื่องเพศ  เรื่องแต่งงานของเอ็งอีก   ทำไมชอบทำให้จิตใจข้าวุ่นวายนักสายชล...

                “ฮึก...สายชล  ฮือๆ”

                ข้าปล่อยน้ำตาร่ำไห้ต่อหน้ามัน   ข้ากุมอกข้างซ้ายของตัวเอง   ตอนนี้ข้ารู้แล้วความรู้สึกอึดอัดในอก  เสียงหัวใจที่เต้นแรง   ใบหน้าที่ร้อนผ่าว  กายที่แข็งเกร็งยามอยู่ใกล้   ทั้งหมดนี่มันเป็นอาการของ....ความรัก

                “อิษฎา!”

                คนตรงหน้าร้องเสียงหลงเมื่อข้าสวมกอดร่างใหญ่ไว้   มือใหญ่ลุบแผ่นหลังข้าอย่างแผ่วเบาก่อนจะเลื่อนมาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าข้า

                “อย่าร้องเลย”

                “ข้ามันโง่นัก!  ข้ามันโง่....”

                โง่ที่เพิ่งรู้ตัว   ข้ามันโง่.....โง่ที่คิดร่วมมือฆ่าคนที่ข้ารัก!  

                “ข้าขอโทษ...สายชล  ข้าขอโทษ...”

                “ข้าไม่ได้หวังให้เอ็งตอบรับรักข้า  เพียงแต่ข้า...”

                “ไม่ใช่ไม่รัก!!”

                คนตัวสูงเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นทอยิ้มอ่อนโยนให้ข้า

                “ข้าเข้าใจแล้ว..”

                น้ำเสียงนุ่มละมุนเอ่ยบอก   ริมฝีปากร้อนระอุประทับลงบดขยี้ริมฝีปากข้าทีละน้อย    มือหนาปลดดึงเสื้อผ้าบนตัวข้าออกอย่างใจเย็น   ร่างสูงเอนตัวข้าให้นอนลงบนผ้าผืนใหญ่    ลิ้นร้อนๆไล่เลียจากลำคอลงสู่อกอกที่ตั้งชูชันท้าอากาศหนาวเย็น   ข้าสะดุ้งเกร็งเล็บจิกท่อนแขนแกร่งทุกครั้งที่ร่างสูงขยับริมฝีปากขบกัดไปตามเรือนร่าง

                “ตรงนั้น!  อย่า....ไม่เอามันน่าเกลียด!”

                ข้าร้องพลางดึงผ้าขึ้นบังร่างกายตัวเอง  ให้ถูกตัวยังพอว่าแต่ถ้าให้จับตรงนั้น.....ไม่เอาด้วยหรอก   ไอ้สายชล  ไอ้คนวิปริต!!

                “ไม่น่าเกลียดซะหน่อย  อย่าดื้อสิข้าจะโมโหแล้วนะ”

                ข้าเม้มปากเอียงหน้าหลบยอมให้มือใหญ่ดึงผ้าออกให้พ้นทาง

                “ขะ...ข้าอาย  อย่าทำเลย..”

                “ตอนเอ็งเขินอายก็น่ารักดี”

                สัมผัสแรกที่บุกรุกไปทั่วกายข้า   ช่างน่าอายนักครั้งแรกของข้า....กลับตกเป็นของผู้ชายหรือ   ลมหนาวที่พัดยามดึกไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกเย็นขึ้นสักนิด   ร่างกายข้ามันเหมือนถูกไฟล้นร้อนรุ่มไปหมด   ข้าจิกเล็บฝังลงบนท่อนแขนแกร่งยามที่ถูกคนตัวใหญ่บดเบียดเข้ามา   ข้าปล่อยเสียงครางแผ่วเบาออกทางรืมฝีปากพลางมองใบหน้าหล่อในมุมมองที่ข้าไม่เคยเห็น

                “อิษฎา...”

                ข้ายิ้มบางๆตอบรับเสียงเรียกชื่อข้า   ผ่านไปกี่ชั่วยามที่ร่างของข้างอยู่ในอ้อมกอดหนาของคนตรงหน้า   ข้าไม่อยากให้แสงตะวันยามรุ่งของพรุ่งนี้มาถึงเลย   เพราะเมื่อมันมาเยือนแล้ว   นั่นหมายถึง.....แสงอบอุ่นสุดท้ายของข้าจะมอดลง

 

 

 

 

 

                งานพิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต   พวกข้าราชการในวังต่างแห่แหนมาร่วมงานกันเต็มเรือน   ไม่เว้นแม้แต่ผู้ดีที่อยู่นอกพระนคร   ข้ามองร่างสูงโปรงในเสื้อแขนกระบอกสีขาว   วันนี้ช่างดูรูปงามกว่าวันไหนๆจนข้าเผลอใจเต้นรัวไป     ข้ามองสีหน้าของสายชลทีนิ่งเรียบ   ไม่ว่าเมื่อใดเอ็งก็ชอบตีหน้าเคร่งขรึม    ถึงจะดูหน้ายำเกรงก็เถอะแต่วันนี้วันดี   ไม่คิดจะยิ้มบ้างหรือไร....

                “สวมแหวนเลยจ้าๆ”

                ยายแก่พูดพลางยิ้มหน้าระรื่น   สายชลพยักหน้ารับก่อนจะหยิบแหวนในพานขึ้นมาสวมให้ว่าที่ภรรยาคนสวย   แหวนลายงดงามถูกสวมเข้าไปในนิ้วเล็กๆ   ข้าลอบมองอย่างอิจฉาลึกๆในใจ

 

                ปัง! ปัง!

 

                เสียงปืนยิงขึ้นฟ้าดังสนั่น   แขกบนเรือนพากันวิ่งหนีอย่างตกใจ   ชายคลุมโม่งราวห้าคนบุกขึ้นมาบนเรือนก่อนฉวยเอาร่างเล็กๆของเจ้าสาวไป

                “หยุดนะ!”  สายชลบอก

                “เอ็งสิหยุด  หรืออยากลองชืมลูกปืนข้า!!”

                ร่างสูงหยุดนิ่งมองเจ้าสาวถูกพาลงไปต่อหน้าต่อตา

                “ถ้าอยากได้ตัวนางนี่คืน  เอ็งก็มาที่ท้ายสวนคนเดียว!”

                ชายร่างยักษ์บอกแล้วยิงปืนขึ้นฟ้าอีกครั้ง   ร่างสูงเดินเข้าห้องไปหยิบดาบเล่มยาวมาสะพาย  

                “อย่าไปนะหลาน!  รอตำรวจมาก่อนเถอะ!”

                ร่างโรยราวิ่งเข้าไปคว้าเอวหลานชายไว้

                “ยังไงเขาก็เป็นเจ้าสาวของข้า  ข้าต้องไปช่วย!”

                ร่างสูงวิ่งรีบร้อนลงไป   ข้ายืนมองดูอย่างตกใจ    ทำไมถึงทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้   ไม่ฉุกใจเลยหรือไงว่าทำไมพวกมันให้ไปคนเดียว   

                ...พวกนั้นตั้งใจจะฆ่าเอ็งนะ!!...

                “ทับเรียกตำรวจที!   ให้พวกเขาลอบขึ้นมาทางท่าน้ำไม่ก็ซุ่มที่อีกฟากของฝั่งคลอง”

                ข้าบอกพลางวิ่งลงไปทางหลังเรือน   ข้าก้าวเท้ายาวๆวิ่งตามร่างสูงที่วิ่งนำข้าออกไป   เจ็บขาเป็นบ้า   ถ้าวิ่งเร็วกว่านี้อีกขาข้าคงฉีก

                “สายชล!”  ข้าตะโกนเรียก

                “ลงมาทำไมอิษฎา!!”

                ร่างสูงหยุดลงก่อนจะดึงข้าหลบลูกปืนอยู่หลังต้นไม้

                “มันอันตรายเอ็งรู้มั้ย!!” 

                สีหน้าสายชลดูเป็นกังวล   ข้ารู้แต่พวกนั้นคงไม่ฆ่าข้าหรอก   ก็เป็นพวกเดียวกันนี่นา

                “นึกว่าใคร  คุณหนูอิษฎาเองหรือขอรับ  ข้าขออภัยด้วยนะขอรับ”

                โจรลอบฆ่าเอ่ยพลางก้มหัวขอโทษข้า  

                “หมายความว่าอย่างไร....”

                เสียงทุ้มเอ่ยแหบพร่า   ข้าเม้มปากไม่กล้าเงยหน้าสบตาสายชล   มือใหญ่กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา

                “ถ้าจะมาเอาตัวเข้าสาวก็เอาไป   แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อยนะ”

                “ข้อแลกเปลี่ยนอะไร”

                “หึ”

                โจรลอบฆ่าหัวเราะเบาๆก่อนจะปล่อยตัวเจ้าสาวลงกับพื้น    ร่างสูงโปร่งวิ่งเข้าไปประคองร่างบอบบางขึ้นมาพลางทำสีหน้าเป็นห่วงเจ้าสาวตัวเอง  

                ...พวกนี้มันมากันห้าคนไม่ใช่หรอ...

                อย่าบอกนะว่าอีกคนนึง   ข้าหันหลังไปมองข้างหลัง   ชายอีกคนถือดาบเล่มยาวพุ่งตรงไปทางร่างสูงโปร่งที่ยืนเป็นเป้านิ่ง

                “สายชลระวัง!!”

 

                ฉั๊วะ!

 

                ข้าทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นมองน้ำสีแดงสดที่ไหลออกจากตัว     ข้ารู้สึกชาวาบไปทั่วร่าง   ดวงตากับพลันพร่าเลือนมองอะไรไม่ชัด

 

                ฉึ้บ!

 

                แต่ตอนดาบถูกดึงออกกลับเจ็บยิ่งกว่า   ข้าอยากจะกรีดร้องดังๆแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆเล็ลอดออกจากปากข้า   มีเพียงเสียงลมเบาๆที่ออกมาเท่านั้น   ข้าล้มตัวนอนลงบนพื้นอย่างทรมาณ   ความเจ็บปวดจากบาดแผลพาเอาน้ำตาข้าไหลริน   เจ็บยิ่งกว่าโดนหวายเฆี่ยนซะอีก   อยากตายเร็วๆจังทำไมไม่แทงทะลุหัวใจข้างไปเลยนะ...

                “อิษฎา!!!”

                ข้าพยายามลืมตามองภาพตรงหน้า   ข้ารู้สึกว่าร่างของข้าถูกประคองไว้ในอ้อมกอดอบอุ่น   เสียงเซ็งแซ่ของตำรวจที่วิ่งไล่จับผู้ร้ายตะโกยโวยวายเต็มไปหมด   ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่ข้ากลับรึ้กว่าเสียงมันเบากว่าที่ข้าเคยได้ยิน

                “เอ็งต้องไม่เป็นไรนะอิษฎา!!”

                มืออุ่นจับใบหน้าข้าไว้   ข้าพยายามอ้าปากตอบกลับไป   แต่มันยากเหลือเกิน

                “ข้า...ข้า...ขะ..ขอโทษ”

                เสียงข้ามีเท่านี้ไม่รู้เอ็งจะได้ยินมั้ย   ข้าสูดลมหายใจอย่างเหนื่อยหอบ   แค่พูดนิดเดียวลมข้าก็จะหมดตัวแล้ว

                “ข้าไม่โกรธเอ็ง!!  ข้าไม่เคยคิดโกรธเลย!!   ข้าอโหสิให้ทุกอย่าง!!   อย่าตายนะ!!”  

                ข้าส่ายหน้าไปมา   คนง่วงยังห้ามไม่ให้หลับไม่ได้แล้วนับประสาอะไรคนเจ็บปางตายจะไม่ตายละ

                “ข้ารักเอ็งนะ...  เพราะฉะนั้น..อยู่กับข้า...”

                “..ข้าอยากเจอ...เอ็งอีก”

                ข้าพูดเสียงเบาพยายามยิ้มให้กับคนตัวหน้า   สายชลเงยใบหน้าแดงก่ำมองข้า     มือใหญ่กระตุกกระดุมออกก่อนจะน้ำด้ายสีแดงที่เย็บกระดุมมาพันนิ้วก้อยของเราไว้ด้วยกัน

                “ต้องเจอ....ต้องเจอกันอีก!!”

                ข้าพยักหน้าโก่งตัวหายใจรุนแรงขึ้น   น้ำอุ่นๆหยดลงบนใบหน้าข้า   ข้าปรือตามาท่างหลวงธีราธรผู้เคร่งขรึม   ทำไมยามนี้ดูอ่อนแอยิ่งนัก    ถึงกลับหลั่งน้ำตาให้ข้าเชียวหรือ

                “ชะ...ช่วยพ่อ...ข้าด้วย”  ข้าบอก

                “ได้ข้าจะช่วยทุกอย่าง!”

                “อืม...”

                “ข้ารักเอ็ง  นี่เอ็งจะไม่บอกรักข้าบ้างหรือ...”

                ข้ามองไปข้างหลังของสายชล   ข้าจะบอกได้อย่างไรในเมื่อเจ้าของเอ็งยืนอยู่ตรงนี้   ถ้าข้าบอกไปแล้วเอ็งจะกลับไปแต่งงานต่อมั้ยละ   แต่ถ้าว่าถ้าบอกว่ารักเอ็งไปละก็เอ็งจะผูกติดกับข้า   ไม่ยอมมีใครอีกเป็นแน่...

                “ข้า...อยะ...อยากเห็น...เด็กๆวิ่งซุกซน...บนเรือนเอ็ง”

                “อิษฎา...”

                “...ได้มั้ย...”

                ข้างยกมือจับหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา   สายชลบีบมือข้าเบาๆเป็นการตอบรับคำขอของข้า   ข้ายิ้มยินดีในคำตอบก่อนจะปล่อยมือลงดำดิ่งสู่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว    แต่ข้าไม่รู้สึกเดียวดายหรอกนะ....เพราะข้ามีความรักจากเอ็งคอยอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้วไง....สายชล

 

 

 

 

               

                “ไอซ์!  ไอซ์”

                ผมรู้สึกว่าเกิดแผ่นดินไหว   ร่างผมมันไหวๆส่ายๆไปมา   โอ้ยปวดหัว!!  ผมปรือตามองไอ้แว่นตรงหน้าที่แสดงสีหน้าเป็นห่วงผม

                “ไรมึงเนี่ย-o-”  ผมถาม

                “ฉันสิต้องถาม  เป็นอะไรนอนร้องไห้ฝันร้ายหรอ”

                ไอ้เทมส์ถาม   ง่า-o-;;  กูลืมไปแล้วว่ากูฝันว่าอะไรอ่ะ   เพราะมึงเลยไอ้เชี่ยปลุกกูเนี่ย-*-

                “ป่าว  ถึงแล้วหรอ  ห้าววว~”

                ผมอ้าปากบิดขี้เกรียจ   วันนี้ผมขอให้ไอ้เทมส์พามาที่โลเคชันถ่ายละครพีเรียดครับ    พอดีเห็นในละครแล้วอยากมา   เพิ่งรู้ว่าเป็นบ้านเก่าของแม่ไอ้เทมส์ที่ตอนนี้เปิดให้คนเช่าถ่ายละครย้อนยุค

                “สวยชิบบบบ*o*”

                บ้านเรือนไทยหลังโตที่โอบล้มไปด้วยต้ไม้ต้นใหญ่   อ๊ากกกก   ต้นนั้นที่อีผีในละครมันขึ้นไปยืนใช่มั้ย><

                “ขึ้นไปดูข้างบนมั้ย”

                “ขึ้นดิมาถึงทั้งที  ถ่ายรูปให้กูด้วย><”

                ผมวิ่งเขย่งเป็นจิ้งโจ้ตามไอ้แว่นไป   มือใหญ่จับมือผมไว้ตอนขึ้นบันได   กูคงไม่ลื่นตกบันไดหรอกน่า   ถึงแม้บันไดจะโคตรน่าตกเลย-o-   มันเป็นขั้นสั้นๆอ่ะ  แล้วเรียงกับถี่ๆ   น่าตกชะมัด-o-

                “เชดดดด  เสานี้ที่อิเย็นโดนจับเฆี่ยนป่ะ*o*”

                ผมมองไปที่เสาใกล้ๆที่นั่งยกพื้น   ผมเอื้อมมือไปสัมผัสเสาด้วยความคลั่งไคล้   วันนี้กูมาตามรอยอิเย็นโว้ยยย

                “โอ้ย!”

                ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น   มันรู้สึกเจ็บหลังแปลกๆ

                “เป็นอะไร  เสี้ยนตำหรอ”

                พ่อคุณ!  คิดได้เนอะเสี้ยนตำทำกูทรุดเลยหรอ   ถ้าโดนมึงตำแล้วกูทรุดว่าไปอย่าง-*-

                “ป่าววว  ถ่ายรูปเหอะๆ><”

                ผมนั่งแอคท่าชูสองนิ้วซึ่งไม่ได้เข้ากับบรรยากาศเลย   เปลี่ยนท่าเป็นพับเพียบดีกว่า

                “พอยังจะพาลงไปดูข้างล่างต่อไปมั้ย”

                “ไปดิๆ><”

                ไปบ่อน้ำในเรื่องดอกส้มสีแดงๆ   ผมเดินตามแผ่นหลังกว้างไป   ทำไมผมรู้สึกชินกับที่นี่จัง    ชักขนลุกแปลกๆแล้วสิ-o-;;

                “นี่ๆ  บ้านนี้บ้านใครหรอ  หมายถึงสมัยก่อนอ่ะ-o-”  ผมถาม

                “ถ้าจะไม่ผิดยายทวดของทวดๆๆจะชื่อคุณหญิงปัทมานะ”

                ของทวดๆๆเลยหรอ  มันมีมากี่รุ่นแล้วอ่ะ   แต่ดูแล้วมันก็เก่าพอสมควรแต่มันแค่ทาสีใหม่แล้วก็ปรีบปรุงใหม่อ่ะนะ

                “แกเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดมั้ย”

                ผมเอียงคอมองไอ้เทมส์   ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะพูดถึงเรื่องแบบนี้   เด็กวิทย์อย่างมันเนี่ยนะ

                “ก็เชื่อนะ..-////-”

                จะขำมั้ยนะ  ก็เชื่ออ่ะ  

                “ยายฉันบอกแม่ว่าหลวงธีราธรหรือคุณตาหวดของทวดๆๆของฉันกลับชาติมาเกิดเป็นฉัน^^”

                ไอ้เทมส์ยิ้มเท่   แต่ผมไม่ยิ้มกลับเบิกตากว้าง   ชื่อมันคุ้นอ่ะ!  เหมือนเคยได้ยินที่ไหนแต่คิดไม่ออก>O<

                “ทางฝ่ายแม่เชื่อเรื่องนี้มาก   ถึงกับต้องคำนวณการกลับชาติมาเกิดของหลวงธีราธรเลยละ”

                “มาเกิดแล้วยังไง  ทำไมต้องคำนวณด้วยอ่ะ-o-”

                จะเกิดมันก็มาเกิดเองแหละ   ทำไมต้องคำนวณกูไม่เข้าใจ   บ้านมึงนี่ทำอะไรหลอนๆนะ-o-;;

                “มันเป็นคำสั่งเสียที่สืบต่อกันมาของคุณหญิงพิสมัยภรรยาของหลวงธีราธรน่ะ”

                “สั่งเสีย-o-?”

                “ก่อนจะแต่งงาน  คุณหลวงธีราธรต้องเสียคนรักไปเพราะถูกโจรฆ่าตาย     คำสั่งเสียของคุณหญิงก็คือ  อยากทำให้คนรักคนนั้นของคุณหลวงได้อยู่กับคุณหลวง     แม่ฉันก็เชื่อเรื่องนี้มากพยายามตามหาคนรักของคุณหลวงที่จะมาเกิดชาติเดียวกับฉัน”

                เทมส์หันมายิ้มเล็กน้อย   ผมก้มหน้าเม้ม   ทำไมชีวิตผมมันช่างน้ำเน่าแบบนี้นะ   งั้นที่แม่มึงบอกว่ารอจะเจอกูก็เพราะ...อย่างนี้สินะ  โอ้ยเน่า!! >////<

                “แต่เหมือนฉันจะเจอแล้วนะ  คนรักของฉัน”

                มือใหญ่ประคองใบหน้าผมให้เงยหน้าขึ้นสบตา   นิ้วเรียวหยิบดอกจำปามาพันแซมไว้ที่ปลายผมสีน้ำตาลของผม     จมูกโด่งก้มลงสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ที่ข้างแก้มสีแดง

                “...เทมส์”

                ผมเรียกชื่อเทมส์เบาๆก่อนจะถูกริมฝีปากคนข้างหน้าเกาะกุม   สัมผัสอ่อนหวานนุ่มนวลของเทมส์....ผมชอบ   ผมไม่รู้ว่าเทมส์รู้มั้ยว่าพวกเราเป็นอะไรกัน   หรือว่าเทมส์จะรู้แล้วเหมือนกันว่าเราเป็น...คู่กัน..

 

 

 

 

+++++++++++

เรื่องนี้ครบรสนะครับ มีย้อนยุคด้วย555

เอามันทุกอย่าง  อ่านแก้เครียดเนอะ

ติดชมได้ที่(ข้างล่างที่เขาให้เม้นอ่ะแหละ)

ใครไม่ได้เป็นสมาชิกแต่อยากเม้นติชมมันมีทางซ้ายมือนะ

จะส่งมาเข้าเมลล์ เขียนได้เลยจ้า><

 

อาจจะงงๆกับคำว่า "โน้ต" สมัยนั้นมีด้วยหรอ555

อันนี้แต่งช่วงประมาณร.5ค่ะ มีแบงค์โน้ตแล้วนะ><

เลยทับศัพท์อังกฤษ

 

 

Likeนั้นของคนน่ารัก  ถ้าอยากมีรักก็ต้องกดShare

อยากมีคนเทคแคร์ต้องกดทั้งแชร์ทั้งไลค์นะคะ//5555

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา