ยิงประตูสู่ฝัน ภาคฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2014

-

เขียนโดย อักษรพริ้ว

วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 04.18 น.

  4 ตอน
  5 วิจารณ์
  8,736 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556 15.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ประตูที่ 1 : ก่อนความฝันจะเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

1. คุณคิดว่าฟุตบอลไทย มีโอกาสที่จะได้ไปบอลโลกหรือเปล่า?

-ไม่มีทางหรอก ต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายๆ นั่นแหละ

2. ถ้าฟุตบอลไทยได้ไปบอลโลก วงการฟุตบอลเมืองไทยจะเป็นอย่างไรบ้าง?

-โอ้ย….ให้มันได้ไปก่อนเถอะแล้วค่อยมาคิดกัน

3. เหตุผลที่ฟุตบอลไทย ไม่ได้ไปฟุตบอลโลก มีอะไรบ้าง?

-อืม…เหตุผลเหมือนเมื่อ 20 ปีทีแล้ว 20 ปีที่แล้วเป็นไงตอนนี้ก็เป็นยังงั้น

4. แล้วทำอย่างไรฟุตบอลไทย ถึงจะได้ไปบอลโลก?

-อืม…..อืม…..ไม่รู้เหมือนกันสิ ต้องมีเงินเยอะกว่านี้มั้ง

5. ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทีมชาติไทยมีโอกาสมั้ย?

-ตกรอบคัดเลือกแบบร้อยเปอร์เซนต์

     นีคือคำสัมภาษณ์ของกูรูฟุตบอลท่านหนึ่งที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการฟุตบอลไทยมา กว่า 20 ปี

ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านหนังสือพิมพ์กีฬายักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งของเมืองไทย โดยที่หารู้ไม่ว่าวงการ

ฟุตบอลไทยกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ 

     “ดุรงฤทธิ์  กิจศิลป์ธ์ชัย” วางหนังสือพิมพ์กีฬาฉบับนั้นลงกับโต๊ะทำงานของตัวเอง แล้วสบถใน

ใจ แม่ง! คนไทยด้วยกันแท้ๆ แทนที่จะให้กำลังใจกัน หรือให้คำแนะนำว่าต้องเริ่มต้นทำอย่างไร ใน

ฐานะของผู้รู้ แต่นี้ดันเสือกให้คำแนะนำแบบประชดแดกดันซะนี่ คอยดูนะ!  “ถ้ากูมีโอกาสเมื่อไรล่ะ

ก็ กูนี่แหละที่จะทำให้ฟุตบอลไทยได้ไปบอลโลกให้ได้”ดุ พูดออกไปด้วยอารมณ์ โกรธ และไม่

พอใจของคำให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพิ์มากมากกว่า ที่จะคิดเป็นจริงเป็นจังอะไร แต่ในใจของ ดุ

เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง ฟุตบอลไทยจะได้ไปบอลโลกอย่างแน่นอน ดุ เชื่ออย่าง

นี้เสมอมา  “ เชื่อ แบบนี้มา “31” ปีแล้ว “

     ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องปลุกให้ “ดุ” ตื่นขึ้นจากห้วงความคิด “เข้ามาเลย ประตูไม่

ได้ล็อค” อ้าว “ไอ้ช็อต ”โผล่มาได้ไงวะ วันนี้ไม่ซ้อมบอลเหรอ” ดุร้องถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็น

หน้าคนที่โผล่เข้ามา “ช็อต” หรือ “ มนตรี  เตียนพลกัง ”เป็นนักฟุตบอลอาชีพของทีมกระต่ายแก้ว

บางกอกกร๊าส FC” ที่เป็นเพื่อนสนิท ของ ดุ นั่นเอง  “วันนี้ โค้ช ปล่อยว่าง หนึ่งวันว่ะช็อต ตอบ

มาพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ หน้าโต๊ะทำงานของ “ดุ” มึงทำอะไรอยู่วะ ไอ้ดุ! ไม่ได้ทำอะไร สั่งงาน

ลูกน้องเสร็จ ว่างๆก็หยิบหนังสือพิมพิ์ขึ้นมาอ่าน มีอะไรเปล่าวะ” ดุ ถามกลับ  มีก็ไอ้เพื่อน

“เกรียง”ตัวดีของมึงนั่นแหละ แม่งไปลงสมัครแข่งฟุตบอล 7 คนที่ทำงานของมัน แล้วเสือกหาคน

เล่นไม่ได้ มันเลยโทรมาชวนกู บอกให้กูมาชวนมึงด้วยกูก็เลยดิ่งมาหามึงนี่แหละ”  “ช็อต” ตอบ

กลับมา เอาอีกแล้วหรือวะ “คราวก่อนก็ บาส” ทีแล้ว ไอ้นี่ หาเรื่องให้กูจริงๆ ที่ทำงานมันไม่ทำงาน

ทำการมั่งหรือวะ กูเห็นมีแข่งกีฬากันทั้งปี “ดุ” ร้องกลับมาด้วยความขำ ระคนแปลกใจกับเพื่อนอีก

คนที่ชื่อ เกรียงศักดิ์” ช็อต มองหน้า ดุ ยิ้มๆ มึงก็รู้ว่ามันเป็นคนอย่างไง ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เก่ง

แต่ทฤษฎี แต่ปฏิบัติ หมาไม่แดก  ดูอย่างเมื่อตอนสมัยเรียนมหาลัยสิ  ตอนเรียนวิชาฟุตบอลมึงจำ

ได้มั้ยอาจารย์ ปัญญาให้สอบเดาะบอล ห้าสิบครั้ง ก่อนสอบมันช่วยสอนคนโน้นคนนี้ ต้องวางเท้า

แบบนี้นะ ต้องย่อเข่าเล็กน้อยนะ แม่ง! สอนเขาทั่วห้อง แต่พอถึงคิวมันสอบ  มันเสือกเดาะได้แค่

สามครั้ง เองพอ “ช็อต”เล่าเรื่องเกี่ยวกับ “เกรียงศักดิ์”จบ  ทั้งสองคนก็หัวเราะกันลั่นห้องเมื่อนึกถึง

พฤติกรรม เปิ่นๆ  ของเพื่อนสนิทในกลุ่มอีกคน“แล้วนี่มึงว่างไปเล่นให้มันเปล่า” ช็อต ถามหลังจาก

หยุดหัวเราะกันแล้ว “แล้วมันแข่งกันตอนไหนวะ” ดุ ย้อนถามมา “ เห็นมันบอกว่าช่วงมืดๆน่ะ หลัง

เลิกงานแล้ว มันบอกว่า มันจองสนามฟุตบอลหญ้าเทียมแถวพระรามสองไว้ มีไฟสนามพร้อม มีแข่ง

ทุกวัน นี่ไงตารางแข่ง ช็อตพูดจบก็ล้วงไปที่กระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ ดึงเอาตารางแข่งฟุตบอล

7 คน ออกมาส่งให้ “ดุ”ดุ รับตารางแข่งจากเพื่อนมากางดู เขาเห็นว่า มีแข่งช่วงเวลาประมาณ 1

ทุ่มทุกวันก็เบาใจ เพราะ เป็นเวลาหลังเลิกงาน ยังไงก็ไม่กระทบกับงานของเขาแน่นอน

     เออ! “ก็ได้ กูเล่นด้วย แล้วนี่มีใครมั่งวะ”  ดุ   ตอบตกลง แล้วย้อนถามมา “มาครบเลยมึงตัวดีๆ

ทั้งนั้น  มึงได้ยินชื่อแล้วมึงจะอึ้ง” ฮ่า ฮ่า “ช็อต” บอกและหัวเราะออกมาเบาๆ ก็มี ไอ้บอย , ไอ้ทีป

,ไอ้เกมส์, ไอ้ก้อง , ไอ้เปีย, ไอ้เหลิม, ไอ้ออม, ไอ้นวย,ไอ้เป้า แล้วมีใครอีกหว้า…ช็อต เอานิ้วชี้

เกาขมับ แล้วนึกต่อ อ้อๆ… เกือบลืม มีไอ้ “หวาน” มาด้วย มันลงทุนมาจากบุรีรัมย์เลยนะมึง ช็อต

ร่ายยาวถึงชื่อเพื่อนให้ ดุ ฟัง พอ ดุ ฟังรายชื่อของเพื่อนที่จะมาร่วมแข่งบอล 7 คนแล้ว ก็ครางออกมายิ้มๆ

     เฮ้ย!“นี่ มากันครบเลยนี่หว่า ไปไงมาไงวะ ถึงชวนพวกมันมาได้” ดุร้องถามด้วยความ

ตื่น่เต้นปนสงสัย ก็ไอ้ เกรียงนั่นแหละโทรชวนพวกมันมา บอกว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว รวมพลเลี้ยง

รุ่นมันเลยล่ะกัน มันบอกว่าพวกเราไม่ได้เจอกันมาปีกว่าแล้ว แต่ก็จริงของมัน พวกเราเจอกันครั้ง

สุดท้ายก็ที่แม่วงค์ บ้านไอ้บอย เมื่อปีที่แล้ว จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เหรอ ! แล้วตอนนี้พวก

มันอยู่ไหนวะ ดุ ร้องถามด้วยความตื่นเต้น ที่จะได้เจอเพื่อนๆสมัยเรียนมหาลัย ที่เรียนห้องเดียวกัน

มาถึงสี่ปีเต็ม“อยู่บ้านไอ้ เกรียง ที่สะพานใหม่ พวกมันมาถึงกันหมดแล้ว ขาดแต่ไอ้ “หวาน” ที่ยัง

มาไม่ถึง กำลังมา ตอนนี้น่าจะถึงรังสิตแล้วมั้ง จริงน่ะ ! “แล้วจะช้าอยู่ทำไมวะ ไปบ้านไอ้เกรียงกัน

เถอะ” ดุ ลุกขึ้นยืน เก็บเอกสารเรื่องงานใส่ลงกระเป๋า เฮ้ย! “นี่ยังบ่ายโมงอยู่เลย มึงไม่ทำงานเห

รอ” ช็อต ขัดมา“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูสั่งงานลูกน้องไว้ก็ได้ วันนี้วันศุกร์ ไม่มีอะไรยุ่งมากแล้วพรุ่งนี้วัน

เสาร์ด้วย ออฟฟิตกูหยุด” ดุ ร้องตอบมา ทั้งๆที่ มือยังสาระวน อยู่กับการเก็บของอยู่ ในใจเขาตอนนี้

ทั้งตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เจอเพื่อนๆ“ไปกูพร้อมแล้วแล้วนี่จะไปกันยังไงวะ ดุ

ถาม”“ไปรถมึงไง กูไม่ได้เอารถมา กูนั่งรถไฟฟ้ามา “ช็อต” ตอบ แม่ง! “อาศัยกูตลอด เป็นถึงนัก

ฟุตบอลอาชีพ เสือกไม่ซื้อรถให้ตัวเองใช้  เงินเดือนก็ตั้งเยอะ ซื้อให้แต่ เมียใช้แล้วนี่เมียมึงไปด้วย

เปล่า” ดุ ต่อว่าเพื่อนเกลอด้วยความหมั่นใส้ ที่ทำเป็นมีนิสัยรักเมียมาก ไป! “เดี๋ยวขับรถตามไป ปุ้ย

มันไปถูก” ระหว่างที่ทั้งสองกำลังขับรถไปบ้านไอ้ “เกรียง” เพื่อนซี้อีกคนหนึ่งในกลุ่มซึ่งบ้านเกรียง

จะอยู่แถวสะพานใหม่  “ช่วงนี้ ทีมบางกอกกร๊าส เป็นไงมั่งวะ มีลุ้นแชมป์เปล่า”ดุ ชวนเพื่อนคุยขณะ

กำลังขับรถ "ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ถ้าเสริมกองกลางตัวดีๆอีกคนสองคน เอามาเก็บบอล ก็อาจมีลุ้น

ตอนนี้ทีมกู มีปัญหาตรงกองกลางนี่แหละ" ช็อต บรรยายมาให้เพื่อนซี้ฟังถึงทีมต้นสังกัดของตัวเอง

“แล้วปีนี้มึงว่าทีมไหนจะได้แชมป์วะ มื่อเช้ากูอ่านหนังสือพิมพิ์ เห็นบอกว่ามี สามทีมที่ลุ้นแชมป์ปีนี้

เมืองทอง  บุรีรัมย์  ชลบุรี ดุ ถามและขอความเห็นเพื่อน “กู ว่า บุรีรัมย์ ว่ะ ทีมเขาลงตัวทุกอย่าง

เงิน ความตั้งใจ และที่สำคัญ แฟนบอลเขาสนับสนุนกันเต็มที่” ช็อต ออกความคิดเห็นมา

“เออกูก็ว่างั้นแหละ เมื่อเช้ากูอ่านข่าวเจอ สื่อทุกสำนักก็บอกเหมือนกันหมดว่า ปีนี้แชมป์ชัวส์  นี่ๆ!

กูจะเล่าอะไรมึงให้ฟัง เมื่อกี้ก่อนมึงมาหากู กูอ่านบทสัมภาษณ์ ของ อ. ภาสกร ที่ให้สัมภาษณ์กับ

หนังสือพิมพ์ แม่ง! กูอ่านแล้วกูอยากเดินไปต่อยหน้าสักที แทนที่จะให้คำแนะนำดีๆ ดันให้คำ

สัมภาษณ์แบบประชดซะนี่  แล้วดุก็เล่าให้ช็อตฟัง ถึงบทสัมภาษณ์ของอาจารย์ ภาสกร  เฮ้ย! อย่า

ไปฟังมันมากเลยว่ะ พวกเก่งแต่ทฤษฎี พวกนนี้มันเก่งแต่ปากทั้งงั้นแหละ มึงดูตัวอย่าง ไอ้เกรียง สิ

พอพูดถึง ไอ้เกรียง ทั้งสองก็หัวเราะกันลั่นรถ

        ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงทั้งสองก็มาถึงบ้าน เกรียง ที่สะพานใหม่ ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเดิน

เข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงพูดคุยและหัวเราะกันลั่นเลย ถ้าทั้งสองจำไม่ผิด เสียงนี้ ต้องเป็น ไอ้เกมส์

แน่นอนเพราะในในกลุ่มเพื่อนๆมันเสียงดังที่สุดและก็จริงดังว่า พอเดินเข้าประตูไปก็พบสาเหตุที่

ทำให้เสียงดัง คือ ไอ้พวกเพื่อนตัวดีทั้งหลาย ตั้งวงเล่นไพ่รัมมี่กันนั่นเอง ดุกับช็อตเดินเข้าไปใน

จังหวะที่ บอย พึ่งตีโง่ให้  เกมส์ พอดี เสียงของ “เกมส์” มันเลยดังเป็นพิเศษ พอทั้งสองเดินไปถึง

ทุกคนก็แย่งกันทักทาย เสียงดังเอะอะโวยวายจนบ้านแทบแตก หลังจากทักทายกันพอหอมปาก

หอมคอเรียบร้อยแล้ว ที่สร้างความประหลาดใจให้กับ ดุ ที่สุดคือ เปีย กับเป้า มีลูกแล้ว ไม่น่าเชื่อ ดุ

รำพึง ในใจออกมา เพราะ ไอ้สองคนนี้ ดูท่าทางเรียบๆร้อยๆ ไอ้ เปีย ก็เป็นเด็กเรียนที่ดูเหมือนจะ

เป็น ตุ๊ด ส่วนไอ้เป้าก็ดู เหมือนจะจีบสาวไม่เป็น แต่มันทั้งสองดันมีลูกก่อนชาวบ้านเขา ดุ นึกขำใน

ใจ เฮ้ย! เมื่อไร ไอ้เกรียง จะกลับมาวะ” ไอ้เกมส์ ถามโพล่งขึ้นมา “เออๆ กูเกือบลืม มันบอกให้ไป

เจอกันที่สนามบอลแถวพระรามสองเลย” ช็อต ตอบมา “เฮ้ย! ทำไมไกลจังวะ แถวนี้ใกล้ๆก็มี” เป้า

บ่นขึ้นมา “แล้วมันนัดกี่โมงวะ” เป้าถามต่อ “หกโมงครึ่ง มันจองสนามไว้ให้แล้ว แถมจัดทีมเตรียมข

ย่ำพวกมึงไว้ด้วย ตายแน่มึงยิ่งไม่ค่อยฟิตกันด้วย ช็อต ตอบมาให้ แถมมีเยาะนิดๆด้วย

        18:00 ทุกคนก็มาพร้อมกันที่สนามบอลหญ้าเทียม แห่งหนึ่งแถวพระรามสอง และ

แล้วทุกคนก็ได้พบกับ มนุษย์ ทฤษฎี เกรียงศักดิ์ เกียรติสงคราม  หรือ ไอ้เกรียง ของเพื่อนๆ หรือ

ถ้าในวงไพ่ทุกคนในวงจะเรียกมันว่า เสือเกลี้ยง สาเหตุที่เรียกมันอย่างนี้เพราะเล่นไพ่ทีไรมัน

หมดตูดทุกที เพื่อนเลยตั้งฉายาว่า เสือเกลี้ยง หลังจากทักทายกับ เกรียง แล้ว เกรียงได้แจ้งวัน

แข่งให้เพื่อนทราบ “มีทีมทั้งหมดสี่ทีม แข่งแบบพบกันหมด แล้วเอาอันดับหนึ่งกับสองมาชิงกัน เงิน

รางวัล 80,000 บาท” เสียง เกรียง ร่ายยาวมา “พวกมึงมี 11 ตัวพอดี รวมกูด้วยเป็น 12 แต่กูไม่

เล่น ตัดกูออกไปเลย เพราะ ฉนั้นเหลือมึงแค่ 11 ตัว”  “อ้าว…เฮ้ย เอาเปรียบพวกกูนี่นา มึงมาเลย

มาเล่นด้วยกัน มีอย่างที่ไหนวะ คนชวนเสือกไม่เล่น” เสียง เกมส์ เอ็ดตะโรมา “แหม…ไอ้ เกมส์

พูดมากจริง เดี๋ยวกูให้ไอ้ ปู ดึงหูเลย มึงดูสภาพกูตอนนีสิ กูเจ็บขาอยู่ ถึงไม่เล่นก็เหมือนเล่น เดี๋ยว

กูเป็น เมเนเจอร์ให้” พอขาดคำเมเนเจอร์ เท่านั้นแน่ะ ทุกคนรวมทั้ง ดุ ด้วยก็ “ขาก….ถุย” กันเป็น

แถว หลังจากนั้นก็หัวเราะกันลั่นสนามฟุตบอล

     บอล 7 คนนะ ไม่มีล้ำหน้า เล่นครึ่งละ 30 นาที ชนะได้ 3คะแนน เสมอ ได้  1 คะแนน แพ้ไม่

ได้คะแนน  เสียงเกรียงอธิบายมา “ไอ้เกมส์ ประตู  กองหลัง สองคน  ไอ้เหลิม กับ ไอ้ นวย” กราม

โต เกรียงแหย่ เสียง นวย ตะโกนด่าพ่อเกรียงมาจากข้างหลัง เรียกเสียง ฮา จากเพื่อนๆ เกรียง

ไม่สนใจ อธิบายต่อ กองกลาง สามคน ไอ้ช็อต ไอ้ก้อง ไอ้บอยปากเบี้ยว ทุกคนขำก๊าก บอยสบถ

พึมพำจนปากเบี้ยวออกมา  กองหน้าคนเดียว ไอ้ ดุ หน้าลิง คราวนี้ทุกคนขำกันกลิ้งเพราะหน้าของ

ดุมันเหมือนลิงมาก เพื่อนๆเลยให้ฉายาว่า ดุหน้าลิง เดี๋ยวอีกแป๊บพวกมึงลงทีมกันเลย ตอนนี้เล่นลิง

กันไปก่อน พูดจบเกรียงก็เดินไปติดต่อทีม ที่จะลงซ้อมด้วย จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปเปลี่ยน

เสื้อผ้า ใส่รองเท้าสตั๊ด   

        และแล้วทุกอย่างก็พร้อม ก่อนลงสนามซ้อม 5 นาที เกรียง แจ้งให้เพื่อนๆทราบว่า จะ

ใช้ชื่อทีมว่า วทบ. ล่ะกัน  วทบ.ย่อมาจาก วิทยาศาสตร์บันฑิต เป็นชื่อของเอกสาขาวิชาที่พวกเขา

จบกันมา ทุกคนก็เห็นพร้องด้วยกับชื่อนี้ ครึ่งแรกทีม วทบ. บุกจากซ้ายไปขวา พบกับ ทีมสิงห์

สนามซ้อม“ นาทีที่ 5 ช็อต แทงบอลทะลุช่องให้ ดุ ไปดวลกับผู้รักษาประตูในกรอบเขตโทษ แต่ ดุ

ยิงออกอย่างเหลือเชื่อ นาทีที่11 : ทีมสิงห์สนามซ้อมได้ประตูขึ้นนำ 1-0จากลูกยิงไกลของ

หมายเลข 9 ลูกนี้ได้ก็เพราะ ไอ้บอย ทำบอลเสียโดนเบอร์ 9 แย่งบอลไปได้และ ส่อง ไกลเน้นๆ

นอกกรอบเขตโทษเบียดเสาเข้าอย่างสวยงาม  มีอยู่จังหวะหนึ่งช่วงท้ายเกมส์ของครึ่งแรก ดุ รับลูก

จ่ายของ นวย ที่จ่ายยาวมาจากหน้าปากประตูของตัวเอง ดุ เอาบอลลงพื้นได้อย่างสวยงาม กำลัง

จะยิงด้วยเท้าขวาข้างถนัดแต่ไม่รู้ว่าเตะอีท่าไหน ดันเตะขุดดินซะนี่ แล้วก็ช็อทนี้เองทำให้

รองเท้าสตั๊ดคู่ใจของ ดุ ที่ใส่มานานกว่า 5 ปี ขาดเป็นรูจนนิ้วหัวแม่เท้าโผล่ขึ้นมาตรงหัว

เกือกเลย และผู้ตัดสินก็เป่าหมดครึ่งแรก

        ช่วงพักครึ่ง เกรียงช่วยแก้เกมส์ให้ ไอ้ดุ! มึงคมกว่านี้หน่อย บอลมาทางมึงๆ ไม่ต้องเอา

ลงก็ได้ ยิงตามน้ำไปเลยประตูทีมนั้นมันไม่ค่อยเป็น” ดุ รับคำเพื่อน แล้วตะโกนขอยืมรองเท้าสตั๊ด

จาก เปีย “เฮ้ย! เปีย กูยืมรองเท้าสตั๊ดหน่อยสิ ของกูขาดว่ะ รูเบ้อเร่อเลย แม่งเสียดาย ฉิบ”ดุ บ่น

ออกมาด้วยความเสียดายรองเท้าคู่ใจที่ใส่มานาน เปียถอดรองเท้าให้เพื่อนแล้วบอกว่า “แล้วอย่า

เสือกทำขาดเหมือนของมึงอีกล่ะ เงินเดือนกูยิ่งน้อยๆอยู่ด้วย ถ้าซื้อใหม่เดี๋ยวเมียว่า” “เออ ไม่ขาด

หรอก เดี๋ยวถ้าขาดอีกกูซื้อให้สองคู่เลย” ดุ หันไปบอกเพื่อนขณะกำลังเปลี่ยนรองเท้า โดยเก็บคู่

เก่าลงกระเป๋า เขาเป็นคนแปลกอยู่อย่าง รองเท้าถึงจะขาดเขาก็ไม่ทิ้ง คู่นี้ก็เป็นคู่ที่สามแล้วที่เขา

เปลี่ยน สองคู่ก่อนก็ขาด แต่เขาก็ไม่ทิ้งมัน แถมเก็บไว้ในกล่องอย่างดีด้วย

     เข้าสู่ครึ่งหลัง รูปเกมส์ก็ยังออกมาเหมือนเดิม ต่างฝ่ายผลัดกันลุกผลัดกันรับ แต่ทีม วทบ ของ

ดุ ครองบอลได้มากกว่านิดหน่อย จนกระทั่งเหลืออีก 2 นาที จะหมดเวลา ช็อต ลากบอลมาจาก

กลางสนาม หลบผู้เล่นของทีมสิงห์สนามซ้อม 2 คน แล้วสับไกยิงเรียดนอกกรอบเขตโทษ  บอลจะ

เข้าโคนเสาอยู่แล้ว แต่ผู้รักษาประตูพุ่งปัดไว้ได้ แต่ด้วยความโชคดีบอลมาเข้าทาง ดุๆ เลย ซ้ำโล่งๆ

หน้าปากประตู ตีเสมอให้ทีม วทบ เป็นหนึ่งประตูต่อหนึ่ง แล้วผู้ตัดสินก็เป่านกหวีดหมดเวลาการ

แข่งขัน

     หลังเกมส์การซ้อมแข่ง เกรียง มาสรุปภาพรวมการซ้อมวันนี้ให้

“ กูไล่รายตัวเลยนะ  ไอ้เกมส์ มึงน่ะ สั่งกองหลังเยอะหน่อย แล้วก็ออกบอลไวด้วย  พอเก็บบอลได้

มึงสาดโด่งไปให้ ไอ้ดุ เลย ไอ้ดุมันเอาบอลลงได้” เกมส์ พยักหน้ารับ ไอ้นวย ไอ้เหลิม มึงสองตัว

เวลาทีมเราบุกดันขึ้นไปเส้นกลางสนามเลย แล้วก็ให้เสียงกันมากกว่านี้หน่อย โดยเฉพาะ ไอ้นวย

เล่นเหมือนคนเป็นใบ้ เกรียงร่ายยาวมา เหลิม พยักหน้ารับ แต่นวยมีเถียงกลับมา “ก็กูเหนื่อยนี่นา

แม่ง กองหน้าที่กูจับอยู่ก็เร็วเหลือเกิน” เกรียงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะรู้นิสัยเพื่อนดีอยู่แล้ว

“ไอ้ช็อต กูไม่กล้าพูดอะไรมาก เป็นถึงนักฟุตบอลอาชีพ แต่กูอยากให้มึงเรียกบอลเยอะกว่านี้หน่อย

คือพูดง่ายๆเลยมึงเป็นตัวพักบอลเลยก็แล้วกัน เวลาเห็นไอ้ ดุ หรือ ไอ้บอยกำลังตัน ก็เรียกให้มัน

จ่ายบอลมาตั้งเกมส์ที่มึงใหม่ โอเคมั้ย” “โอเค ครับ คุณผู้จัดการทีม ”ช็อต รับคำแล้วประชดมานิดๆ

เรียกเสียงฮา จากเพื่อนๆได้เกรียงสบถพึมพำออกมา แล้วจาระไนต่อ

“ไอ้ก้อง มึงจะเลี้ยงบอลไปไหนของมึง มึงเป็นพ่อเลี้ยงเมืองเชียงใหม่รึไง จ่ายบอลให้เพื่อนบ้าง นี่

มึงได้บอลจ้องจะเลี้ยงอย่างเดียว ก้องทำปากขมุบขมิบมา “ไอ้บอย มึงน่ะ จะขาอ่อนไปไหนวะ โดน

เตะทีสองทีล้ม บางครั้งแค่วิ่งตามแย่งบอลเฉยๆ มึงก็ยังลื่นล้ม ทั้งๆที่มึงมีเบสิกเรื่องฟุตบอลดีมาก

เดี๋ยวคราวหน้า กูจะซื้อตะไคร้มาผูกขามึงเหมือนผูกขาไก่ตี เผื่อขามึงจะได้แข็งๆมั่งเพื่อนๆหัวเราะ

กันครืน เพราะทุกคนรู้ว่า บอย เป็นคนหลักไม่ดีล้มง่าย และตรงจุดนี้เองเพื่อนๆแหย่มาทันทีโดย

เฉพาะ ไอ้เกมส์ ที่ปากมากอยู่แล้ว อดที่จะแซวไม่ได้ว่า “เกรียง กูว่าที่ ไอ้บอย ขาอ่อนนี่ไม่ใช่

อะไรหรอกเมื่อคืนนี้ มันทำการบ้านดึกน่ะ ถ้ามึงไม่เชื่อว่าไอ้บอยทำการบ้านดึก มึงลองถามคนที่

ตรวจการบ้านมันดูสิว่าจริงเปล่า เกมส์พยักหน้าถามไปทาง “เก๋” แฟนบอย เท่านั้นเองเพื่อนทุกคน

หัวเราะกันงอหาย บางคนขำกันจนหน้าแดงก็มีส่วนคนถูกแซวทั้งสองคนก็อายหน้าแดง โดยเฉพาะ

บอยอายจนยิ้มปากเบี้ยวเลย ทำให้หน้าของบอยตลกยิ่งขึ่นไปอีกส่วนไอ้เกมส์คนแซวเหมือนจะรู้ตัว

ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหลบหลังเกรียงเพื่อให้พ้นรัศมีบาทาของบอย หลังจากมีการแซวกันตามประสา

เพื่อนกันพอสมควรก็มาเข้าเรื่องเกมส์การแข่งขันต่อ

     “เดี๋ยวพรุ่งนี้มาซ้อมอีกวัน แล้ววันอาทิตย์เริ่มแข่งนัดแรกตอน 1 ทุ่มตรง เจอกับทีม

"เดนเวอร์” ทีมนี้เป็นทีมที่เขาเล่นบอลทุกวัน เพราะฉนั้นสภาพร่างกายของทีมนี้จะมีความฟิตมาก

และมีการเล่นเป็นทีมสูง แต่บอล 7 คนอะไรก็ไม่แน่ไม่นอน กูว่าพวกมึงมีสิทธิชนะถ้าไอ้บอยงด

ทำการบ้านกับ ไอ้เก๋ สักคืน”เกรียงอดแซวมาไม่ได้ เท่านั้นเองวงก็แตก บอยที่แอบมายืนอยู่ใกล้ๆ

กับ ไอ้เกรียง ก็วิ่งไล่เตะกัน อุตรุต เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ดุเห็นภาพเหล่านี้แล้วเขา พาลให้

เขาคิดถึงสมัยอดีตตอนเรียน ป.ตรี มาด้วยกัน ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกัน ตอนสมัยเข้าเรียนกัน

ใหม่ๆ เขามีเพื่อนร่วมห้องถึง 60 คน แต่หลังจาก 4ปี ผ่านไปเหลือรอดมาแค่ 23 คน และจาก 23

คน นี่ก็สามารถติดต่อและพบปะกันได้ทุกปีแค่ สิบกว่าคน อ้อ ไม่ใช่สิ ต้องคูณสองเพราะแต่ละคนมี

แฟนมาร่วมงานเลี้ยงทุกปี จนเป็นประเพณีกันแล้ว ดุ ยืนมองภาพที่เพื่อนๆวิ่งไล่เตะก้นกันอย่าง

สนุกสนาน แล้วคิดในใจเดี๋ยวมันเหนื่อยพวกมันก็หยุดกันแล้วก็จริงอย่างที่เขาคิดพวกเพื่อนเขามัน

หยุดวิ่งไล่เตะกันจริงๆ  เพราะมันมีเป้าหมายใหม่ที่จะแกล้ง นั่นคือเขานั่นเอง นำโดย ไอ้ก้อง กับ ไอ้

เกมส์ สองคู่หูวิ่งถือกระติกน้ำมาเพื่อที่จะเอามาสาดเขา ดุ เห็นดังนั้นก็วิ่งหนี แต่ก็หนี ไม่พ้น เพราะ

เจอล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด เขาก็เลยยอมให้มันสาดจนเปียก เพราะยังไงก็ต้องอาบน้ำอยู่แล้ว

     หลังอาบน้ำเสร็จ เกรียง ก็พาไปกินข้าวต้มที่ตลาดสะพานใหม่ พออิ่มกันดีแล้ว ดุ ก็บอก

ว่า“เดี๋ยวกูกับ ไอ้ช็อต กลับกันก่อนช็อตมีซ้อมเช้ากับทีมมัน คืนนี้พวกมึงนอนกันที่บ้านไอ้เกรียงกัน

ก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้กูมาหาแต่เช้า  กูไปรับเมย์ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้กูพาเมย์มาด้วย แล้วก็ไม่ต้องเสือกเล่น

ไพ่กันดึกล่ะ พรุ่งนี้มีซ้อมอีกวัน โดยเฉพาะ ไอ้เกมส์ ตัวดี มึงด้วยไอ้เกรียง ไม่ต้องมองหน้ากู เดี๋ยว

พรุ่งนี้กูมาเล่นด้วย กูจะแดกมึงให้หมดตัวเลย เสือเกลี้ยง แห่ง วทบ.”

               

        เช้าวันต่อมา

“เมย์ วันนี้ไปไหนเปล่า” ดุ ถามขณะนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน “ไม่ได้ไปไหน ว่างทั้งวันเลย ดุ มี

อะไรเหรอ  “จะชวนไปบ้านเกรียง พวกไอ้เปียมา  “เหรอ ไปสิ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว คิดถึงน่ะ

โดยเฉพาะ โอ๋กับปู มาเปล่าก็ไม่รู้” เมย์พูดถึงแฟนของเกรียง และแฟนของเกมส์ มากันครบเลย

สรุปไปนะ เตรียมเสื้อผ้าไปด้วยนะต้องค้างคืนที่บ้านไอ้เกรียง เพราะดุมีแข่งบอลวันอาทิตย์  อืม…

เดี๋ยวเมย์เตรียมเสื้อผ้านะ เดี่ยวดุ ไปซื้อรองเท้าสตั๊ดที่พาราก้อนก่อน เมื่อวานรองเท้าสตั๊ดขาดน่ะ ดุ

บอกภรรยาของตัวเองแล้วลุกขึ้นไปแต่งตัว ดุ! ไม่เอารถไปเหรอ” เสียงเมย์ตะโกนตามหลังมาเมื่อ

เห็นสามีของตัวเองเดินตัวเปล่าออกประตูบ้านไป “เดี๋ยวนั่งรถไฟฟ้าไปดีกว่า สะดวกดี วันนี้วันเสาร์

ถ้าขับรถไปรถติดแน่นอน  เมย์เอาอะไรเปล่า” ดุบอกและถามกลับมา “อืม… ซื้อไข่เข้ามาด้วยก็ดีนะ

ไข่หมดน่ะ ซื้อมาแผงเดียวก็พอนะ”  ได้! ดุรับคำภรรยา

     ดุ มาถึงสยามพาราก้อน ก่อนเที่ยงเล็กน้อย พอมาถึงเขาเดินหาซื้อรองเท้าสตั๊ดก่อนเลย

เป็นอันดับแรก แต่ก็หาคู่ที่ถูกใจไม่ได้สักที เดินวนอยู่นานสองนาน พอเจอคู่ที่ถูกใจเขาแต่ก็ไม่มี

ไซด์ที่เขาใส่ได้อีก ไม่รู้เป็นไงวันนี้เขาเห็นรองเท้าสตั๊ดทุกคู่ทุกยี่ห้อขวางหูขวางตาไปหมด    

เสียเวลาที่พาราก้อนอยู่เป็นชั่วโมง ยังไม่ได้รองเท้าสตั๊ด ดุ เลยตัดสินใจไปที่สนามกีฬาแห่งชาติดี

กว่า เพราะที่รอบๆสนามมีร้านขายอุปกรณ์กีฬาเยอะแยะมากมาย ถ้าไปดูคงจะได้รองเท้าคู่ที่ถูกใจ

สักคู่หนึ่ง คิดได้ดังนั้นก็เดินออกมาขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปสนามกีฬาแห่งชาติ เขามาถึงสนามกีฬาแห่ง

ชาติ ตอนบ่ายโมงพอดี เขาต้องรีบแล้วล่ะ เพราะไอ้พวกเพื่อนตัวดีทั้งหลาย โทรตามเขาแล้ว เพราะ

เขาบอกกับพวกมันว่าเขาจะไปถึงตั้งแต่เช้าแล้ว แต่นี่ปาเข้าไปจะบ่ายสองโมงแล้วเขายังไม่เสร็จธุระ

เลย ที่รอบๆสนามกีฬาแห่งชาติ มีร้านขายรองเท้าอยู่เยอะมาก และวันนี้วันเสาร์ ทุกร้านคนแน่

นมากๆ ซะจน เขาแทรกเข้าไปจะเลือกรองเท้าไม่ได้เลย ดุเลยเดินออกมาสูดอากาศหายใจข้าง

นอกไม่งั้นเขาจะเป็นลมเอา ระหว่างที่ยืนหันซ้ายหันขวาไม่รู้จะไปร้านไหนดี พลันสายตาเขาเหลือบ

ไปเห็นร้านขายรองเท้ากีฬามือสองอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านเก่าซอมซ่อ ประตูร้านเป็นประตูไม้เก่าๆที่เป็น

แผ่นกระดานพับซ้อนกันเป็นชั้นๆ เขาเดินไปที่ร้านนั้นทันที พอ ดุ เดินเข้าไปในร้าน ทุกชั้นภายใน

ร้านเต็มไปด้วยรองเท้ากีฬามือสอง เจ้าของร้านเป็นชายแก่อายุประมาณ 80 ปี ผมขาวโพลนทั้งหัว

แต่ยังดูแข็งแรงดี นุ่งกางเกงแพรสีเขียวลายมังกร ใส่เสื้อจีนสีขาว ออกมาต้อนรับเขา

     “ลุงมีรองเท้าสตั๊ดมั้ย เอามือสองก็ได้ แต่ต้องสภาพดีนะ” ดุถามชายแก่เจ้าของร้านทันที

ที่เดินเข้าร้านไป “มีเท่าที่เห็นบนชั้นแหละครับ” ชายแก่เจ้าของร้านตอบมาด้วยเสียงแห่บๆ ดุ เดิน

เข้าไปดูที่ชั้นวางรองเท้าสตั๊ด ทั้งชั้นมีแต่สตั๊ดมือสอง เก่าๆทั้งนั้นบางคู่มีฝุ่นจับหนาเตอะขาดการ

ดูแลเอาใจใส่ ดุ เห็นดังนั้นก็ส่ายหัว แต่เขาก็เดินไปเลือกดู เผื่อมีคู่ที่พอใช้ได้ เพราะเขาต้องรีบแล้ว

ในขณะที่ ดุ กำลังเลือกรองเท้าอยู่นั้น ชายแก่เจ้าของร้านก็นั่งมองเขาอยู่ตลอดเวลา “คุณชอบเล่น

ฟุตบอลเหรอ” ชายแก่เจ้าของร้านชวนเขาคุย“ ก็ชอบน่ะลุง เล่นมาตั้งแต่เด็กแล้ว” เขาตอบกลับไป

โดยที่มือยังเลือกรองเท้าอยู่ “แล้วนี่เล่นตำแหน่งไหนล่ะ” ลุงเจ้าของร้านถามกลับมา “ศูนย์หน้า

หรือเปล่า”  “ครับ ผมเล่นกองหน้า” ดุตอบกลับไป “คุณจบวิทยาลัยพละใช่เปล่า” ดุ ชงักกับคำถาม

ของชายเจ้าของร้านรองเท้ามือสอง ดุ หันไปจ้องหน้าชายแก่เจ้าของร้านอย่างแปลกใจ “ลุงรู้ได้ไง

ครับ” เขาเริ่มสนใจกับเจ้าของร้านขายรองเท้า “กลิ่นมันบอกน่ะคุณ คนกีฬาเหมือนกันกลิ่นมันฟ้อง”

เจ้าของร้านตอบกลับมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ “ลุงก็จบพละเหมือนกันเหรอครับ” ดุถามด้วยความตื่น

เต้นที่จะได้พบรุ่นพี่สถาบัน “เปล่าหรอก แต่ลุงคุ้นเคยกับพวกเรียนพละน่ะเมื่อก่อนนี้ทุกๆปีของช่วง

เวลานี้จะมีการแข่งขันกีฬาของสถาบันวิทยาลัยพละ ลุงก็เลยคุ้นเคยกับลักษณะท่าทางของพวก

เรียนพละดี”  “ลุงเปิดร้านนี้มานานยังครับ” ดุชวนคุยต่อ “เปิดมาจะ 60 ปีแล้ว เป็นร้านแรกๆของที่นี่

เลย”  “โห…เปิดมานานขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ดุ ร้องถามด้วยความตื่นเต้นระคนแปลกใจขีดสุด

“อืม…เมื่อก่อนนี้มีร้านลุงอยู่แค่ร้านเดียว พวกนักกีฬาฟุตบอลเวลาจะซื้อรองเท้าสตั๊ดก็จะมาซื้อที่ร้าน

นี้กันทุกคนแหละ รวมถึงพวกนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติด้วย” ลุงเจ้าของร้าน ร่ายยาวมาเลยคราวนี้

“เมื่อก่อนนี้ที่หน้าร้านลุงมีร้านข้าวต้มอยู่ร้านหนึ่ง เวลานักฟุตบอลทีมชาติไทยซ้อมกันเสร็จพวกเขาก็

จะมานั่งกินข้าวต้มกันบ่อยๆสมัยก่อนก็จะมีที่มาบ่อยๆ “อัศวิน ธงอินเนตร” ,สราวุธ  ประทีปากร

ชัย,บุญเลิศ นิลภิรมย์,วิวัฒน์  มิลินทจินดา,ยรรยง  ณ หนองคาย เป็นต้น  แต่ที่มาบ่อยและสนิทกับ

ลุงมากที่สุด  อัศวิน  ธงอินเนตร มาแทบทุกวันหลังซ้อม”

“โอ้โห…ลุงบอกมาแต่ละชื่อผมไม่เห็นรู้จักเลยเก่าๆทั้งนั้นผมเกิดไม่ทันหรอก” ดุร้องเย้าๆมา

“เออ..ลุงผมอยากรู้ว่านักบอลทีมชาติไทยเมื่อก่อนเก่งเปล่าครับ ผมเคยได้ยินหลายคนเล่าให้ฟังว่า

นักบอลทีมชาติไทยสมัยก่อนเล่นกันสนุกแฟนๆมาเชียร์แล้วไม่ผิดหวัง”

“โอ้ย..เล่นกันดีครับคนดูๆสนุก ถึงบางแม็ชจะแพ้ก็ตาม แล้วนักเตะก็เข้าถึงกันง่ายกว่าสมัยนี้  นัก

บอลทีมชาติไทยสมัยก่อนเงินน้อย มาซ้อมแต่ละครั้งก็ไม่ค่อยได้เบี้ยเลี้ยง แต่ผมก็เห็นพวกเขามา

ซ้อมกันทุกวันนะและก็ซ้อมกันอย่างสนุกด้วย คือมาเล่นกันด้วยใจล้วนๆ”

“แล้วเมื่อก่อนนี้นักบอลทีมชาติไทยคนไหนเก่งที่สุดครับ” ดุ ถามมาด้วยความสนใจ

“ก็มีหลายคนนะ แต่ที่ดังที่สุดในสมัยนั้นและเป็นจุดศุนย์กลางของเพื่อนในทีมก็เป็นผู้รักษาประตูทีม

ชาติไทย ที่ชื่อ อัศวิน  ธงอินเนตร คนนี้เก่งจริงเป็นผู้รักษาประตูที่เหนียวมากมีชื่อติดทีม ดารา

เอเซียในสมัยนั้นด้วย แต่น่าเสียดาย เขาเสียชีวิตในแม็ชการแข่งขันอุ่นเครื่องสาเหตุมาจากการ

ปะทะกันในสนาม ก่อนเสียชีวิตหนึ่งวัน เขายังมานั่งคุยกับผมจนดึกอยู่เลย”

พูดจบชายเจ้าชราของร้านก็เดินเข้าไปด้านในของร้านและเดินกลับออกมาพร้อมกับรูปภาพขาวดำ

ของชายคนหนึ่งมาให้เขาดู ชายคนในภาพเป็นคนใบหน้าใหญ่ หน้าไทยแท้ ใบหูใหญ่ ผมสั้นแบบ

รากไทร ใบหน้ายิ้มละไมตลอดเวลาดุ ดูภาพนี้แล้วคิดในใจ ชายคนนี้เหรออดีตนักฟุตบอลทีมชาติ

ไทย อัศวิน ธงอินเนตร อยากรู้จังว่าเขาจะเก่งซักแค่ไหนนะ “นอกจากภาพถ่ายแล้ว ผมยังมีรองเท้า

สตั๊ดของ อัศวิน  ธงอินเนตร ด้วยนะ” เสียงชายชราเจ้าของร้านทำลายความเงียบขึ้นมา

“พูดจบชายชราก็เดินไปหลังร้าน ไม่เกินห้านาทีก็เดินกลับมาพร้อมกับถือกล่องรองเท้ามาด้วยหนึ่ง

กล่อง เป็นกล่องรองเท้าสีน้ำตาลกลางเก่ากลางใหม่ ชายชราวางกล่องรองเท้าไว้ตรงหน้าเขาแล้ว

เล่าให้ฟังว่า “ช่วงที่ทีมชาติไทยในยุคของ “อัศวิน ธงอินเนตร” ได้เดินทางไปตะเวนแข่งซ้อมอุ่น

เครื่องที่ประเทศเยอรมันตะวันตก นอร์เวย์ และอิสราเอล ประมาณปี 2508 และในการไปครั้งนั้น

อัศวิน ได้สร้างชื่อให้ตัวเองอย่างมากมาย จนมีทีมของยุโรปทาบทามให้ไปเป็นนักเตะอาชีพพร้อม

ทั้งเสนอให้เงินเดือนสูงถึง 8,000 บาท อยู่หลายทีม ในสมัยนั้นเงินเดือน 8,000 บาทถือว่าสูงมา

เลย แต่อัศวินก็สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนโดยการตอบปฏิเสธทุกทีมอย่างไม่สนใจ ทั้งๆที่ตอน

นั้น ลุงเองนี่แหละที่พยายามพูดเกลี่ยกล่อมให้ อํศวิน ไปค้าแข้งที่ต่างแดน แต่แกก็ไม่ยอมไป ตอน

นั้น อัศวิน บอกว่าสาเหตุที่เขาไม่ยอมไปเพราะเขา มีเป้าหมายส่วนตัว แต่ก็ไม่บอกว่าคืออะไร

จน อัศวิน มาเสียชีวิตก่อน ลุงก็สงสัยเหมือนกันนะว่าทำไมตอนนั้น เขาถึงไม่ไปเป็นนักเตะอาชีพที่

เยอรมันตะวันตกทั้งๆที่มีโอกาส”พูดจบลุงเจ้าของร้านก็เอื้อมมือไปเปิดกล่องรองเท้าให้เขาดู พร้อม

กับเล่าให้ฟังว่า“หลังจาก อัศวิน กลับมาถึงเมืองไทยได้วันเดียวก็ตรงดิ่งมาหาผมพร้อมกับรองสตั๊ดคู่

นี้แหละ ถ้าคุณเห็นแล้วจะประหลาดใจ ว่าเมื่อ 40 กว่าปีมีรองเท้าสตั๊ดแบบนี้ด้วยเหรอ”

ทันทีที่ชายชราเจ้าของร้าน เปิดกล่องรองเท้าให้ ดุ ดูเขาถึงกับตลึงงันอยู่กับที่ ตัวเย็นเฉียบ เป็นไป

ไม่ได้ เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนไม่มีทางที่จะผลิตรองเท้าสตั๊ดรุ่นนี้ได้อย่างแน่นอน อีตาลุงนี่

ต้องอำเขาแน่ๆเลย “คุณแปลกใจใช่มั้ยล่ะ อย่าว่าแต่คุณเลย ผมก็แปลกใจไม่แพ้กับคุณเหมือกัน

ตอนที่ผมเห็นรองเท้าคู่นี้ครั้งแรก” ลุงเจ้าของร้านทำลายความเงียบมา จะไม่ให้ ดุ แปลกใจได้ยัง

ก็รองเท้าคู่นี้เป็นรองเท้าสตั๊ดรุ่นใหม่ของยีห้อ Prior 2 Level เป็นรุ่น Assasin สีดำเป็น

รุ่นที่ต้องสั่งตัดพิเศษและมีราคาแพงมาก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมาเจอรองเท้าคู่นี้ที่ร้านขาย

รองเท้าสตั๊ดเก่าๆร้านเก่าๆร้านหนึ่ง ดุ ค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบรองเท้าที่อยู่ในกล่องขึ้นมาดู

ทันทีที่เขาสัมผัสกับตัวรองเท้าขนในกายเขาลุกซู่ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อเขาแตกซิก

ทั้งๆที่อากาศภายในร้านเย็นสบาย ดุ ยกรองเท้าขึ้นดูในระดับสายตา รองเท้าสตั๊ดคู่นี้เป็นสีดำ

สนิท มีลายเส้นโค้งมนตรงปลายเท้าอยู่ 5-6เส้น บ้างเส้นลากยาวเป็นวงกลมก็มี  ส่วนตรงข้างเท้า

ด้านนอกและข้างเท้าด้านใน เป็นเส้นสามเหลี่ยมลากซ้อนกันอยู่สี่เส้นแลดูคลาสสิค รูปทรงรองเท้า

เป็นทรงแบบทันสมัย เขาพลิกดูเบอร์รองเท้า เป็นเบอร์สี่สิบสองซึ่งเป็นไซด์ของเขาพอดี

ดุหันไปจ้องหน้าลุงเจ้าของร้านอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจว่า“นี่เป็นรองเท้าที่ อัศวิน

ได้มาจากเยอรมันเมื่อสี่สิบปีก่อนจริงๆเหรอลุงลุงอำผมเล่นเปล่าเนี่ย” “จริงพ่อหนุ่ม ลุงจะโกหก

ทำไมล่ะ”ชายแก่เจ้าของร้านตอบมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มันจะเป็นไปได้เหรอลุง ที่เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว

จะมีรองเท้าสตั๊ดรูปทรงที่ทันสมัยขนาดนี้” “ถึงว่าสิ ลุงก็แปลกใจเหมือนกัน เมื่อก่อนหลังจากที่

อัศวิน เอารองเท้าคู่นี้มาฝากไว้ ลุงไม่กล้าเอาให้คนอื่นดูหรอก กลัวคนหาว่าบ้า นีคุณเป็นคนแรกนะ

ที่ลุงเอาออกมาให้ดู”แล้ว อัศวิน ธงอินเนตร เขาไม่ได้บอกลุงเหรอว่า ไปเอารองเท้าคู่นี้มาจาก

ไหน” ดุ ถามกลับมาทั้งๆที่สายตาเขาไม่ละจากรองเท้าสตั๊ดคู่นั้นและเขาก็แปลกใจเพิ่มมาขึ้นอีก

เมื่อสายตาเขาเหลือบไปเห็น ตัวอักษรภาษาอังกฤษสีแดงอยู่สองคำว่า FOR DREAM ที่

ปลายรองเท้าคู่นี้ เขารีบชี้ให้ลุงเจ้าของร้านดูทันทีด้วยความตื่นเต้น และจังหวะนี้เองหัวใจเขาเต้น

เร็วขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ “ลุง เห็นตัวอักษรสีแดงที่ปลายรองเท้าคู่นี้เปล่า”ชายชรา

เจ้าของร้านจ้องหน้าดุเขม็ง แววตาฉายแสงประหลาดใจระคนดีใจแวบหนึ่งก็หายไป พร้อม

กับสั่นศรีษะ “ไม่เห็น มีตัวอักษรอะไรเหรอพ่อหนุ่ม”ชายเจ้าของร้านตอบและถามกลับมา น้ำเสียง

ไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นเลย “นี่ไงลุงตรงปลายรองเท้าสตั๊ดมีอักษรภาษาอังกฤษเขียนคำว่า FOR

DREAM อยู่ลุงไม่เห็นเหรอ” ดุร้องตอบมาพร้อมกับชี้มือบอกตำแหน่งของตัวอักษรสองคำนั้น

แต่คำตอบของชายชราเจ้าของร้านสร้างความประหลาดใจให้เขายิ่งขึ้นไปอีก “ไม่เห็นนี่พ่อหนุ่ม”

ชายชราตอบสั้นๆ แต่แววตาฉายแสงดีใจขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วก็หายไป “เอาล่ะพ่อหนุ่ม อย่าพึ่งไป

สนใจอะไรเลย ลองใส่รองเท้าคู่นี้ดูซิ ว่าใส่ได้เปล่าถ้าใส่ได้ลุงให้เลย อยู่กับลุงก็ไม่มีประโยชน์ลุง

แก่แล้วใส่ลงไปเตะกับใครเขาไม่ไหวหรอก”ชายชราเจ้าของร้านยื่น รองเท้ามาให้เขาลองใส่ดู  ดุ

จ้องหน้าชายชราเจ้าของร้านด้วยความแปลกใจ ที่ไม่เห็นตัวอักษรคำ ว่า “FOR DREAM” ที่อยู่บน

ปลายรองเท้าคู่นี้ ดุมั่นใจว่าตาเขาไม่ได้ฝาด แต่สายตาของชายชรา เจ้าของร้านอาจจะไม่ดีก็ได้

เนื่องจากอยู่ในวัยสูงอายุแล้ว คิดได้ดังนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ดุ รับรองเท้ามาแล้วลองใส่ดู

ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างของเขาสวมเข้าไปในรองเท้า เขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆถามมา “ใส่ได้เปล่า

ครับน้องชาย” เสียงนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และก็ไม่ใช่เสียงของ ชายชราเจ้าของร้านด้วย

เหมือนมันดังมาจากในหัวเขา ยังไงก็ไม่รู้ ดุ หันซ้ายหันขวามองไปทั่วร้านด้วยความแปลกใจที่อยู่ๆ

ก็ได้ยินเสียงนี้ขึ้นมา แต่เขาก็ไม่เห็นใครนอกจากเจ้าของร้านที่ยืนทำหน้ายิ้มๆอยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น

เอง “เขาอาจจะหูฝาดก็ได้” เขาคิดในใจ “ไม่ได้หูฝาดหรอก ผมคุยกับคุณเองแหละ” ครั้งนี้ ดุ

ตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็แข็งใจถามกลับไปว่า “คุณเป็นใคร ทำไมผมได้ยินแต่เสียงคุณ แต่ไม่เห็น

ตัวคุณ” “ผมเป็นเจ้าของรองเท้าสตั๊ดคู่นี้เองแหละครับ คุณไม่มีทางได้เห็นตัวผมหรอก ถ้าผมไม่ให้

เห็น” เสียงนั้นตอบเข้ามาในหัวเขา “เป็นไปได้อย่างไร ก็เจ้าของรองเท้าสตั๊ดคู่นี้เป็นชายแก่เจ้าของ

ร้านที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่ไง”  “เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนผมฝากเขาไว้เองแหละครับ” คำตอบนี้เล่นเอาเขา

ตกใจแถบสิ้นสติเลย ,มือไม้สั่นไปหมด เขาหันหน้าไปทางชายชราเจ้าของร้าน ก็พบรอยยิ้มที่ยิ้มรอ

อยู่แล้วเหมือนเห็นอาการเขาที่เกิดขึ้นนะตอนนี้เป็นเรื่องปกติ “คุณอย่าตกใจไปเลย  ผมไม่ทำอะไร

คุณหรอกพยายามตั้งสติให้ดี หายใจเข้าลึกๆสักสองสามครั้งคุณจะดีขึ้นเชื่อผมสิ” เสียงนั้นแนะนำ

มา “ก่อนอื่นคุณตอบผมก่อนว่า รองเท้าคู่นี้คุณใส่แล้วเป็นไงบ้าง พอดีเปล่า หวังว่าจะพอดีกับเท้า

คุณนะเพราะถ้าไม่พอดีคุณจะไม่ได้ยินเสียงผมหรอก” ตอนนี้ ดุ เริ่มระงับความตื่นเต้นได้บ้างแล้ว

แต่หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่ ตอบกลับไปว่า “ใส่ได้พอดีครับ แถมสบายเท้าด้วย”เขาตอบไป

ด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่าเล็กน้อย “ไหนคุณลองลุกขึ้นยืนสิ แล้วลองเดินดูด้วยเพื่อให้ผมแน่ใจอีกที”

เสียงนั้นสั่งมาอย่างสุภาพ “ดุ ทำตาม ทันทีที่เขาลุกขึ้นยืน ร่างกายเขารู้สึกเหมือนมีพลังงานบางสิ่ง

บางอย่างมากระตุ้น เขารู้สึกกระชับกระเชงขึ้นมาทันที ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกไม่ดีเอาเลย”

“เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงลึกลับนั้นถามมาด้วยความตื่นเต้น “ผมรู้สึกดีมากครับ รู้สึกอยากเล่นฟุตบอล

ขึ้นมาทันทีทันใดเลย แปลกจังผมไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม

กันนี่” และทันทีทันใดนั้นเอง เขาก็ลุกขึ้นไปคว้าลูกฟุตบอลลูกหนึ่งที่วางอยู่ข้างประตูขึ้นมาเดาะเล่น

ทันทีที่บอลสัมผัสกับเท้าของเขาๆก็สามารถควบคุมลูกบอลได้อย่างง่ายดายและนุ่มนวลด้วย แบบนี้

ให้เขาเดาะเป็นวันเขาก็เดาะได้ทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาเดาะบอลได้ไม่เดินห้าสิบทีก็เต็มที่แล้ว ระหว่างที่

เขากำลังเดาะบอลอยู่ เสียงลึกลับนั้นก็แว่วเข้ามาในหัวเขาอีก“ขอบคุณสวรรค์ ผมเจอคุณแล้วผมรอ

คุณมานานกว่าสี่สิบปีแล้ว” “คุณว่าอะไรนะ คุณบอกว่าคุณรอผมมากว่าสี่สิบปี เป็นไปได้ไง แล้วคุณ

เป็นใคร” “เอาล่ะคุณใจเย็นๆนะ ทำใจให้สะบาย ไปนั่งที่เก้าอี้ก่อน” เสียงนั้นแว่วเข้ามาแบบเรียบๆ

เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ที่เขาลุกมา แล้วเหมือนจะรอจังหวะอยู่ก่อนแล้ว ชายชราเจ้าของร้านยื่น

ถ้วยชาจีนร้อนๆมาพร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนผิดกับท่าทีตอนแรกที่เขาเดินเข้ามาที่ร้าน ดุ

จ้องหน้าชายชราอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วเอื้อมมือไปรับชาถ้วยนั้นมา พร้อมกับกล่าวขอบคุณเบาๆ

เขายกถ้วยชาจีนขึ้นจิบสองคำ แล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ “รู้สึกดีขึ้นแล้วนะครับ” เสียงลึกลับนั้นถาม

มาด้วยความห่วงใย “ครับ แต่ตอนนี้ผมงงไปหมดแล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่”

“เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มันอาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อกับคุณนะ แต่นี่คือเรื่องจริง โปรดควบคุมสติ

ให้มั่นนะครับ” เสียงนั้นแนะนำมาด้วยความเป็นห่วง

“ครับ! ผมจะพยายาม ตามที่คุณบอก” มาถึงตอนนี้แล้วเขาเริ่มคุ้นเคยกับเสียงลึกนั่นแล้วไม่ตกใจ

เหมือนตอนแรกที่ได้ยิน “ โอเค นะครับ คราวนี้คุณมาสัญญากับผมก่อน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคุณจะ

ต้องควบคุมสติให้มั่นจะต้องไม่ตกใจจนเกินเหตุ”เสียงนั้นย้ำมาด้วยความเป็นห่วง

ดุ นิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วตอบกลับไปสั้นๆว่า “ครับผมสัญญา”

“เอาล่ะ คราวนี้คุณหลับตาลงช้าๆหายใจเข้าลึกๆ ทำตัวทำใจให้สบายนะครับ”

ดุค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ทันทีที่เขาหลับตาลง เขาเห็นหน้าชายคนหนึ่ง เป็นชายคนเดียวกับที่เขาเห็น

ในภาพถ่ายนั่นเอง “อัศวิน ธงอินเนตร” ดุ อุทานออกมาด้วยความตกใจระคนตื่นเต้น

“ครับผมเอง ยินดีที่ได้รู้จักครับ ดุณดุรงฤทธิ์ กิจศิลป์ชัย” ชายที่ชื่อ อัศวิน เอ่ยชื่อเต็มเขามาเลยทีนี้

“คุณคงตกใจมากใช้มั้ยครับที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับคุณ โปรดอย่าตกใจและเป็นกังวลเกี่ยวกับ

ตัวผมเลยครับ ผมเป็นเพียงแค่วิญญาณที่สิงอยู่ในรองเท้าสตั๊ดคู่นี้มากว่าสี่สิบปีเท่านั้นเองครับ และ

ผมรับรองว่าผมไม่เป็นอันตรายกับคุณเลยจนนิดเดียว ขอให้คุณ ดุ สบายใจได้ อัศวิน ธงอินเนตร

อธิบายมา” “นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยเนี่ย ผมกำลังโดนผีหลอกอยู่เหรอเนี่ย”

“ครับ ตอนนี้จะเรียกว่าคุณกำลังโดนผีหลอกก็ว่าได้ครับ แต่ผีตนนี้ไม่มีอันตรายกับคุณอย่างแน่นอน

ครับ ตรงกันข้ามผีตัวนี้จะทำประโยชน์ให้คุณอย่างใหญ่หลวงด้วยซ้ำไป”

ตอนนี้ ดุ เริ่มที่จะตั้งสติได้แล้ว ไม่ตื่นเต้นเหมือนตอนที่เขาได้เห็นภาพและได้ยินเสียงของ อัศวิน

ธงอินเนตร ตอนแรกๆ “คุณ อัศวิน มาพบผมในลักษณะนี้เพื่ออะไรกันครับทั้งๆที่คุณได้เสียชีวิตไป

กว่าสี่สิบปีแล้ว” ดุยิงคำถามออกไปด้วยความสงสัย “เอาตรงๆเลยนะครับ คุณดุ เมื่อสี่สิบปีที่แล้วผม

มีภารกิจอยู่หนึ่งอย่างที่ผมยังทำไม่สำเร็จ แต่ผมก็ดันมาเสียชีวิตซะก่อน ทำให้จิตใจของผมยังมีห่วง

อยู่ เพราะสาเหตุนี้เองครับ วิญญาณของผมจึงยังไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้”

ดุ นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งเสียงของ อัศวิน ก็แว่วเข้ามาอีก “ก่อนอื่นคุณดุตอบคำถามผมมาก่อนครับ 

ปีนี้คุณอายุ 31 ปี ใช่มั้ยครับ”“ครับปีนี้ผมอายุ 31”

“คุณชอบเล่นฟุตบอลใช่มั้ยครับ” อัศวิน ยิงคำถามมาอีก

“ใช่ครับ ผมชอบเล่นมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”

“แล้วคุณ ดุ เล่นตำแหน่งไหนครับ หรือชอบเล่นตำแหน่งไหนเป็นพิเศษครับ”“กองหน้าครับ”

“คราวนี้เป็นคำถามสุดท้ายนะครับ คุณคิดว่าฟุตบอลไทยมีโอกาสที่จะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบ

สุดท้ายหรือเปล่าครับ” ดุ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบมาว่า

“มีครับ แต่ต้องมีการจัดการเกี่ยวกับนักเตะเยาวชนที่ดีกว่านี้ หรือไม่ก็..ไปเจอนักเตะที่มีพรสวรรค์

และพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับทีมชาติไทยมากกว่านี้”

“แล้วคุณ ดุ มีความเชื่อมั้ยครับว่าฟุตบอลไทยจะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย”

“เชื่อครับว่าได้ไป แต่ว่าคงไม่ใช่เร็วๆนี้อย่างแน่นอน”

“ถ้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฟุตบอลไทยจะได้ไป หรือไม่ได้ไปเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศ

บราซิล ขึ้นอยู่กับคุณ ดุ คนเดียวคุณจะว่าไงครับ”ดุ อึ้งไปนิดหนึ่งและย้อนถามด้วยความสงสัยมาว่า

“จะเป็นไปได้ไงผมเป็นแค่ประชาชนตัวเล็กๆคน

หนึ่งเท่านั้น ผมไม่มีอำนาจและบารมีพอที่จะทำให้ไทยได้ไปเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายได้หรอครับ”

“เป็นไปได้ครับ” เสียงของ อัศวิน ตอบมาด้วยความมั่นใจ

“ถ้าเราสองคนร่วมมือกัน รับรองว่าคุณ ดุ สามารถพาทีมชาติไทยไปเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายที่

ประเทศบราซิลได้อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับคุณดุ จะสร้างความคุ้นเคยกับรองเท้า

สตั๊ดคู่นี้ได้รวดเร็วแค่ไหนด้วยนะครับ” อัศวิน ร่ายยาวมา

ดุ ก้มลงมองรองเท้าที่เขาใส่อยู่ แล้วถามอย่างสงสัยว่า

“รองเท้าสตั๊ดคู่นี้น่ะเหรอครับ ที่จะทำให้ทีมชาติไทยได้ไปเล่นฟุตบอลโลก”

“ครับ”“แต่รองเท้าคู่นี้ก็ดูเหมือนรองเท้าสตั๊ดทั่วๆไปนะครับ จะต่างจากคู่อื่นที่ผมเคยใส่มาก็ตรงที่พอ

ใส่แล้วผมรู้สึกกระปี้กระเป่า และทำให้ผมคอลโทรลบอลได้ง่ายขึ้น”

อัศวิน ยิ้มให้ ดุ นิดหนึ่งแล้วอธิบายให้ฟังว่า“รองเท้าคู่นี้ไม่ธรรมดาครับ ผมได้มาจากตอนที่ไปตะเวน

แข่งอุ่นเครื่องที่ประเทศเยอรมัน เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนส่วนจะได้มาอย่างไงผมขอปิดเป็นความลับ โดย

คนที่ให้ผมมาบอกว่ารองเท้าสตั๊ดคู่นี้เป็นรองเท้าสตั๊ดแห่งอนาคต ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เชื่อ แต่ที่รับไว้

ก็เพราะว่ามันมีรูปทรงที่แปลกประหลาดถ้าเทียบกับเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ในสมัยนั้นผมไม่เคยเห็นนัก

ฟุตบอลคนไหนใส่รองเท้ารูปทรงแบบนี้มาก่อนเลยผมเลยไม่กล้าที่จะเอาให้คนอื่นดู กลัวเขาหาว่า

บ้า”ดุ นั่งตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ถามกลับมาว่า “แล้ว…พี่อัศวิน ผมเรียกพี่แล้วกันนะครับ เคยลองใส่สตั๊ดคู่

นี้ซ้อมเตะบอลหรือยังครับ”

อัศวิน นิ่งเงียบแล้วมองหน้าเขาอยู่อึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อด้วยความตื่นเต้นว่า

“เคยครับ มันมหัศจรรย์มาก ผมยังแทบไม่เชื่อเลยในตอนนั้นเลย คือ หลังซ้อมทีมเสร็จ ผมได้เอา

สตั๊ดคู่นี้ใส่ซ้อมยิงประตูดูปรากฏว่า ผมยิงมุมไหนก็เข้า ถ้าเลยวงกลมครึ่งสนามมาแล้วยิงเข้าทุกลูก

ต่อให้ผมวางเท้าไม่ดีก็ตาม” อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติไทยเล่าให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

“แต่อย่างที่บอกครับ ตอนนั้นผมยังไม่กล้าที่จะใส่สตั๊ดคู่นี้ครับ เพราะว่าในเมืองไทยสมัยก่อนยังไม่

มีสตั๊ดรูปทรงแบบนี้กัน ผมเลยเอามาฝากไว้กับเถ้าแก่เจ้าของร้านไว้ก่อน คิดไว้ว่าเมื่อถึงเกมส์

สำคัญๆผมจะเอาไปใส่และจะขอขึ้นไปเล่นเป็นศูนย์หน้าเอง แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ต้องการผม

ก็มาเสียชีวิตซะก่อน” อัศวินเล่าให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

ดุ มองหน้า อดีตดาราเอเซียด้วยความเห็นใจอยู่ครู่หนึ่ง

“แล้วพี่มั่นใจเหรอครับว่ารองเท้าคู่นี้จะทำให้ทีมชาติไทยของเราประสบความสำเร็จในระดับชาติได้

ฟุตบอลสมัยนี้ต่างกับเมื่อก่อนเยอะเลยนะครับ” “พี่มั่นใจ ถึงแม้พี่จะเป็นวิญญาณก็ตาม แต่พี่ก็ยัง

ติดตามข่าวสารฟุตบอลมาตลอดสี่สิบปีนะ พี่ทราบถึงความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ วงการฟุตบอลไทย

และเทศตลอดเวลา และตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมาพี่ก็มีเฮียเจ้าของร้านเป็นเพื่อนคุยกับพี่เสมอมาเกี่ยว

กับเรื่องฟุตบอล” “แล้วพี่จะให้ใครใส่รองเท้าคู่นี้ครับ ถ้าพี่อยากจะถึงเป้าหมายที่พี่ตั้งไว้เร็วๆ พี่คง

ต้องเอาสตั๊ดคู่นี้ไปให้นักเตะทีมชาติไทยใส่ครับ” ดุให้แนะนำพร้อมทั้งจะถอดรองเท้าคืนให้

“ไม่มีใครใส่สตั๊ดคู่นี้ได้หรอกครับ นอกจากคุณดุคนเดียว” ประโยคนี้ทำเอามือของดุที่กำลังจะแก้

เชือกรองเท้าชงักลงทันที ถามกลับด้วยความสงสัย

     “ทำไมครับคนอื่นก็ใส่ได้นี่”  “คุณดุเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษคำว่า FOR DREAM ตรงปลาย

รองเท้าหรือเปล่าครับ”ดุพยักหน้ารับ คนที่จะใส่รองเท้าคู่นี้ได้คนๆนั้นจะต้องเห็นอักษรสองคำนี้ครับ

และตลอดเวลาที่ผ่านมาสี่สิบปี นอกจากผมแล้วก็ยังไม่มีใครเห็นตัวอักษรสองคำนี้เลย แม้แต่เฮีย

เจ้าของร้านก็ไม่เห็นก็พึ่งจะมีก็แต่คุณดุนี่แหละที่เห็นตัวหนังสือต่อจากผม”

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า มีพี่อัศวินและผมที่ใส่รองเท้าคู่นี้ได้เท่านั้นเองเหรอครับ”ดุถามเพื่อความ

แน่ใจ“เพราะอะไรครับ ทำไมถึงต้องเป็นผม ทั้งๆที่คนอื่นๆที่เล่นฟุตบอลเก่งกว่าผมมีเยอะแยะไป” ดุ

ถามด้วยความสงสัย “อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ อาจเป็น “พรหมลิขิต” มั้งครับ” อัศวินตอบ

มายิ้มๆดุนิ่งคิดไปอึดใจหนึ่ง แต่เหมือนอัศวินจะอ่านใจเขาได้ “นึกว่าช่วยผมเถอะครับ ถ้าคุณดุช่วย

ทำให้เป้าหมายที่ผมตั้งใจไว้เป็นจริง วิญญาณผมอาจจะได้ไปเกิดใหม่ก็ได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดผม

อยากทำฝันของคนไทยทุกคนให้เป็นจริงครับ คุณลองหลับตานึกภาพสิ คนไทยจะมีความสุขแค่

ไหน ถ้าทีมฟุตบอลทีมชาติไทยได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศบราซิล ตอนนี้ทุกสิ่งทุก

อย่างอยู่ที่คุณดุแล้วครับ” ดุสบตากับอัศวินอยู่ครู่หนึ่ง และพูดออกไปว่า

“ถ้าผมตกลงร่วมมือกับคุณอัศวิน ผมต้องเริ่มต้นอย่างไรบ้างครับ”

“ทำแค่สองอย่างครับ ข้อแรก เปลี่ยนจากเรียกคุณอัฐ เป็นเรียกพี่อัฐแทน ได้มั้ยครับ”ดุรับคำ

“ข้อสอง จงเชื่อมั่นในรองเท้าสตั๊ดคู่นี้และเชื่อมั่นในตัวผม”

ดุนิ่งไปครู่หนึ่ง “ตกลงครับ พี่อัศวิน ผมขอทราบแผนขั้นแรกครับต้องทำไงก่อน”

“อันดับแรก ดุ ต้องพยายามไปคัดตัวให้ติดทีมสโมสรฟุตบอลให้ได้ก่อน จากนั้นก็โชว์ฟอร์มการยิง

ประตูเพื่อดึงดูดแมวมองของทีมชาติเรียกตัวไปเข้าแคมป์ ทำแค่นี้ก่อน”

ดุนิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วย้อนถาม “เราจะเริ่มกันเมื่อไรครับ”

“เดี๋ยวนี้เลย ทันทีที่ดุตอบตกลงและเดินออกจากร้านนี้ไป”อัศวินตอบมาทันทีทันใด

“ตกลงครับพี่ผมร่วมมือกับพี่ ผมก็อยากให้ไทยได้ไปเล่นบอลโลกเหมือนกัน” ทันทีที่ดุตอบตกลง

ก็มีเสียงไชโยมาจากเฮียเจ้าของร้าน

“ไชโย..คราวนี้ผมนอนตายตาหลับแล้ว ฟุตบอลไทยได้ไปบอลโลกแน่ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”แล้วชายแก่

เจ้าของร้านรองเท้ามือสองก็ร้องเพลงชาติไทยของแกดังไปทั่วร้านด้วยความดีใจ

ดุ หันไปมองทางแกอย่างงง

“ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ ทุกคำที่เราคุยกันแกได้ยินหมดแหละ ที่ผ่านมาก็ได้ เฮียจุ๊บ นี่แหละที่

ช่วยเป็นสื่อกลางในการหาคนมาใส่รองเท้าสตั๊ดคู่นี้ แต่ก็ไม่พบว่าใครจะใส่รองเท้าคู่นี้ได้ บางคนใส่

ได้ แต่มองไม่เห็นตัวอักษรคำว่า FOR DREAM”ตรงปลายสตั๊ดก็ไม่สามารถจะเอารองเท้าคู่นี้ไปทำ

ประโยชน์ได้ สรุปคือคนที่จะได้พลังของรองเท้าสตั๊ดคู่นี้ไปใช้จะต้องใส่รองเท้าได้พอดีและต้องเห็น

ตัวอักษรสีแดงตรงปลายรองเท้าด้วย ซึ่งตลอดสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาก็พึ่งจะมีคุณคนเดียวนี่แหละที่มี

คุณสมบัติครบทั้งสองอย่างเฮียจุ๊บเคยบ่นให้ผมฟังบ่อยๆว่า กว่าจะหาคนมาใส่รองเท้าคู่นี้ได้แกคง

ตายก่อนละมั้ง”อัศวินร่ายยาวมาด้วยความปิติยินดี

ดุนั่งมองเฮียจุ๊บเต้นแร้งเต้นกาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้

“พี่อัศวินครับ วันอาทิตย์นี้ผมมีแข่งบอลเจ็ดคนพอดีครับพี่ เพื่อนมันลงสมัครไว้ให้ และวันนี้ตอนเย็น

ผมมีซ้อมด้วย เพื่อนมันให้เล่นเป็นกองหน้าพอดีเลย ผมใช้การแข่งครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นได้มั้ยครับ”

“วิเศษมากเลย ใช้การแข่งครั้งนี้แหละโชว์ฟอร์มเผื่อมีแมวมองของสโมสรเข้ามาติดต่อไปร่วมทีม”

“ไปครับพี่ เดี๋ยวเพื่อนผมรอ นี่ก็บ่ายมากแล้ว ผมนัดกับพวกเพื่อนผมตั้งแต่เช้าป่านนี้พวกมันคงบ่น

กันน่าดู พี่ไปกับผมได้เลยเปล่าครับ” ดุบอกพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

“ได้เลยน้อง ตอนนี้ไม่ว่าดุจะไปไหนก็จะมีพี่ตามไปด้วยเสมอ โดยเฉพาะตอนที่ดุอยู่ในสนาม

ฟุตบอล” หลังจากนั้นทั้งสองก็ร่ำลา เฮียจุ๊บเจ้าของร้านขายรองเท้ามือสอง เฮียจุ๊บขอบตาแดงกล่ำ

ตอนที่ อัศวิน ธงอินเนตร พูดบอกลา “ผมไปก่อนนะครับ เฮียจุ๊บ ขอบคุณมากครับที่ตลอดเวลาที่

ผ่านมาเฮียได้ดูแลและคอยช่วยเหลือผม เป็นอย่างดี จนผมได้พบกับคนที่จะทำให้ฝันของคนไทย

เป็นจริง”  “ฉันก็ดีใจกับแกด้วยเหมือนกัน อัศวิน ที่ผ่านมาฉันก็ช่วยแกได้เท่านี้แหละที่เหลือก็ฝาก

แกด้วยนะ ทำให้ฝันของคนไทยทุกคนเป็นจริงให้ได้นะ ฉันจะคอยติดตามแกสองคนทางหน้า

หนังสือพิมพ์หรือทีวี”เจ้าของร้านวัยชราน้ำตาเริ่มคลอเบ้า ดุมองภาพนั้นด้วยความตื้นตันใจ น้ำตา

พาลจะใหลตามไปด้วย หลังจากอัศวินและชายชราเจ้าของร้านร่ำลากันเสร็จแล้ว ดุกับอัศวินก็ออก

มาจากร้านของเฮียจุ๊บเพื่อตรงไปบ้านเกรียงที่สะพานใหม่

        “และนี่เองคือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้วงการฟุตบอลไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิก

ฟ้าคว่ำแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา