ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก

10.0

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.

  15 ตอน
  5 วิจารณ์
  36.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) Chapter13 : อยู่ด้วยกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter13 : อยู่ด้วยกัน

 

หมับ!

                แต่ยังไม่ทันเดินไปได้ไกลพี่ลุกซ์ก็เดินมากระชากแขนผมเอาไว้ก่อนจะลากผมเข้าไปในห้องของตัวเอง  ผมรีบเดินตรงเข้าในห้องครัวก่อนจะเดินหลบไปนั่งซุกตัวอยู่ใต้เคาน์เตอร์ที่เคยมาแอบนั่งร้องไห้บ่อยๆ เมื่อรู้ตัวว่าต่อให้อยากจะออกไปจากที่นี่แค่ไหนก็ออกไปไม่ได้ถ้าพี่ลุกซ์ไม่ยอม

                “อย่าเข้ามา!” ผมร้องบอกเมื่อพี่ลุกซ์เดินมาหยุดตรงหน้าเคาน์เตอร์  ผมนั่งกอดเข่าซุกหน้าลงที่วงแขนของตัวเอง  ผมไม่ได้ร้องไห้แต่กำลังสงบสติอารมณ์

                “มึงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสั่งกูได้” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะก้มลงมาแล้วกระชากผมออกจากซอก  ผมดิ้นให้หลุดก่อนจะหันหลังให้พี่มัน  ตอนนี้หน้าของผมเป็นอย่างไรผมไม่รู้  รู้แต่ว่าผมไม่อยากให้ใครเห็นทั้งนั้น

                “พี่ต้องการอะไร!? ต้องการให้ผมเลิกยุ่งผมก็ทำแล้วไงแล้วทำไมพี่ต้องมายุ่งกับผมอีก!!” ผมตะคอกทั้งๆ ที่ยังยืนหันหลัง

                “มึงอยากจูบกูใช่ไหม?” พี่มันถามเล่นเอาผมชะงักกึก  นี่จะมาไม้ไหนเนี่ย? “เอาสิ” ผมรีบหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างไม่เข้าใจทันที

                “พี่กำลังคิดอะไรอยู่!?” ผมก้าวถอยหลังจนชนกับเคาน์เตอร์ 

                พี่ลุกซ์ไม่พูดอะไรก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้  ผมรีบมองหาทางหนีแต่ก็ไม่เจอ  รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกอุ้มขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ก่อนมือหนาจะกดโน้มคอผมให้ก้มลงจากนั้นริมฝีปากผมก็ถูกกลืนกิน  ลิ้นร้อนรุกเข้ามาในจังหวะที่รวดเร็วจนผมตามไม่ทันแต่กระนั้นผมก็เคลิ้มตามจนเผลอยกแขนโอบรอบคอคนร่างสูง

                เมื่อไม่จำเป็นต้องกดหน้าผมให้ก้มลงเพราะผมก้มลงไปหาด้วยตัวเองมือหนาหยาบกร้านก็ค่อยๆ ล้วงเข้ามาในเสื้อของผมและลูบไล้ร่างกายจนผมครางละเหี่ย  พี่ลุกซ์ผละหน้าออกจากริมฝีปากของผมก่อนจะลากลิ้นไล้เลียวนอยู่ที่ซอกคอ  ผมผวาเชิดหน้าขึ้นเมื่อแรงกดจูบหนักๆ มาพร้อมกับนิ้วเรียวที่สะกิดยอดตุ่มไตใต้ร่มผ้า

                ผมยกขาทั้งสองข้างขึ้นเกี่ยวเอวแน่นหนั่นตามการชักนำก่อนที่ร่างของผมจะถูกยกขึ้นและถูกอุ้มพาไปที่โซฟา

                “รักกูไหม?” พี่มันถามหลังจากวางผมให้นอนราบบนโซฟาตัวยาวแล้วตัวเองก็คร่อมไว้

                ผมพยักหน้า “รักครับ” ก่อนจะประคองหน้าพี่ลุกซ์ไว้หวังจะจูบอีกสักครั้งแต่จู่ๆ พี่มันก็ลุกออกไปทำให้ผมงงหนัก

                “ฮ่าๆๆๆ ได้ยินแล้วใช่ไหม?  บอกแล้วว่าไอ้นี่มันโง่ ฮึๆ” พี่ลุกซ์หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจก่อนที่ประตูห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องนอนพี่ลุกซ์จะเปิดออกปรากฏร่างผู้หญิงท่าทางเปรี้ยวสองสามคนที่กำลังเดินออกมา  ผมรีบลุกขึ้นมองหน้าพี่ลุกซ์กับผู้หญิงเหล่านั้นสลับกันพลางประมวลผล

                ...กูถูกหลอก!?

                “คนนี้น่ะเหรอที่หลงลุกซ์หัวปักหัวปำ? คิกๆ ท่าทางจะโง่อย่างที่บอกจริงๆ ด้วย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดพลางหันไปหัวเราะคิกคักกับพวกของตัวเอง  ผมกำหมัดแน่น  มึง...

                “สนุกมากใช่ไหม?” ผมถามเสียงเบา

                “ว่าไงนะ? จะบอกรักกูอีกเหรอ? ฮ่าๆ” ไอ้พี่ลุกซ์หัวเราะสะใจ

                “กูถามว่าสนุกมากใช่ไหม!?” ผมตะคอกเสียงดังอย่างโกรธเคือง “เอาความรู้สึกของกูมาเล่นแบบนี้มึงสะใจมากใช่ไหม!?!” ผมถลึงตามองพี่ลุกซ์ทั้งๆ ที่น้ำอุ่นๆ ไหลลงมาจากดวงตาที่วาวโรจน์

                “...” พี่ลุกซ์มองผมอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก

                “กูสุดจะทนแล้วนะ! จะด่ากูตบตีกูแค่ไหนกูไม่ว่าอะไรหรอกแต่เอาความรู้สึกกูมาล้อเล่นเป็นเรื่องสนุกแบบนี้กูรับไม่ได้!! ทำไม? ความรักของกูมันน่าสมเพชขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าไม่รักกูก็ไม่ต้องมายุ่งกับกูสิ! เห็นกูเป็นอะไร?! กูเป็นคนไม่ใช่ผักปลา รักเป็นเจ็บเป็น! เหี้ยเอ๊ย! ฮึก!” ผมตะคอกจนแสบคอก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายและไม่นึกจะกลั้น  มันอึดอัดจนเกินจะทนแล้วครับ

                “ท่าทางจะเป็นเอามากนะเนี่ย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดเหยียดๆ ผมไม่สนใจเพราะผมโกรธคนตรงหน้าผมมากกว่า  เขาดูถูกผมมากเกินไป

                “พวกเธอออกไปก่อน” พี่ลุกซ์หันไปบอกพวกผู้หญิงด้วยสีหน้าเครียดๆ พวกหล่อนจึงรีบเดินออกไป  ที่จริงผมก็อยากจะหนีออกไปด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่มีแรงจะลุกออกไปไหนเลย  รู้สึกอ่อนเพลียเหลือเกิน

                พี่ลุกซ์นั่งมองผมร้องไห้สักพักก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่  ผมรีบปัดออกอย่างรังเกียจทันที

                “อย่ามาแตะตัวกู!! ไอ้เลว ไอ้เหี้ย ไอ้คนหมาไม่แดก!” ผมตะโกนทั้งน้ำตาและดูเหมือนว่าพี่ลุกซ์จะโกรธที่ถูกด่าพี่มันจึงกระชากผมเข้าไปใกล้แล้วถลึงตามอง

                “เห็นกูไม่พูดแล้วได้ใจหรือไงฮะ!?” ไอ้พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วมองผมดุๆ ในระยะประชิด  ผมเบ้ปากใส่พี่มันก่อนจะยกกำปั้นขึ้นทุบตีพี่มันเป็นการใหญ่

                “โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! มึงไม่คิดว่ากูจะเจ็บหรือไงฮะ!” พี่ลุกซ์โวยวายพลางปัดป้องหมัดของผมพัลวัน

                “เจ็บเหรอ? แค่นี้พี่เจ็บเหรอ? รู้เอาไว้ด้วยว่าผมเจ็บกว่าพี่เป็นร้อยเป็นพันเท่า!! ผมรักพี่ด้วยหัวใจและพยายามทำทุกอย่างให้พี่รักผมบ้างแต่สิ่งที่พี่ให้ผมกลับมามันมีแต่ความโหดร้ายทารุณ! ไม่รักผมไม่ว่าแต่อย่าเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผม!” ผมทุบอกพี่ลุกซ์แรงๆ หนึ่งครั้งก่อนจะแหกปากต่อว่าอีก

                “แล้วไง?” พี่ลุกซ์ทำหน้าเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกอะไร

                ผมมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างเสียใจก่อนจะขยับตัวลุกออกจากโซฟาเพื่อออกจากห้องนี้ไป  ไม่เอาแล้วกับคนแบบนี้  ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของผมเลยสักนิด  ถ้าผมรักตัวเองผมก็ต้องเลิกรักคนคนนี้เสียที

                “ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้พี่ได้ยินคำว่ารักจากปากของผมอีกแล้ว! จำเอาไว้!” ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะรีบกลับเข้าห้องของตัวเองทันที

 

                ...ยิ่งพูดว่าไม่ยิ่งอยากได้ยิน...

 

                ผมไปมหาลัยทั้งๆ ที่ตาบวมฉึ่งจนไอ้พัดต้องหาผ้าเย็นมาประคบให้  มันไม่ถามว่าผมไปเจออะไรมาเพราะอารมณ์นี้มันคงรู้ว่าผมไม่อยากพูดอะไรมาก  ไอ้พัดเองก็ดูจะตกใจมากที่เห็นว่าผมร้องไห้จนตาบวมเนื่องจากเมื่อก่อนผมร้องไห้ยากมาก

                “นี่มึง พอดีมีรุ่นพี่เขามาติดต่อให้กูลองไปเป็นติวเตอร์ดู  มึงสนใจป่ะ?” ไอ้พัดถามขึ้นหลังจากโปะผ้าเย็นที่ตาของผมเรียบร้อย  ตอนนี้ผมนอนหนุนตักไอ้พัดอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าคณะ  หลายคนคงอิจฉาผมเพราะไอ้พัดมันหล่อและเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ กันพอสมควร

                “เอาดิ” ผมบอก  ก็ดี หาอะไรทำจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

                “ถ้างั้นเย็นนี้มึงไปที่สำนักงานติวเตอร์กับกูนะ  เขาบอกว่าต้องทดลองสอนก่อนถ้าสอนดีเด็กถูกใจรับรองว่าเงินดีแน่ๆ” ไอ้พัดพูดเสียงตื่นเต้น

                “มึงจะเอาเงินไปทำอะไร? อยากได้อะไรก็ขอพ่อมึงสิ” ผมพูด

                “ไม่เอาๆ กูจะเก็บตังค์ซื้อรถใหม่ด้วยตัวเอง  ถ้าได้มาด้วยตัวเองมันรู้สึกภูมิใจไม่ใช่เหรอ?” ไอ้พัดพูดผมจึงพยักหน้า  งั้นผมจะเก็บเงินไปทำอะไรดีล่ะ? เก็บไว้ไปหาพี่ถังที่อเมริกาละกัน  ถ้าเงินไม่พอยังไงก็ให้พี่มันออกให้ซะเลย ฮ่าๆ

                “อือ” ผมส่งเสียงตอบรับเจตนารมณ์ของไอ้พัดก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักสายตา  พอถึงคาบเรียนไอ้พัดก็ปลุกแล้วเราก็เข้าเรียนพร้อมกัน

 

                พอหมดคาบเรียนไอ้พัดก็พาผมไปลงชมรมบาสเก็ตบอลเอาไว้ก่อนจะลากผมไปที่สำนักงานติวเตอร์  เรื่องชมรมผมก็ลงตามไปพัดไปงั้นๆ แหละครับเพราะตัวผมไม่ได้มีความสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ  แต่ถ้ามีชมรมวิจัยเหล้าผมจะรีบไปลงทันที

                ผมยืนถอนหายใจอยู่หน้าสำนักงานติวเตอร์ก่อนจะมองไอ้พัดที่มีทีท่าระริกระรี้แล้วถอนหายใจอีกรอบ  ไอ้สำนักงานที่ว่านี่เป็นสำนักงานที่รับสอนหนังสือตามบ้านโดยส่งติวเตอร์ในสังกัดไปสอนเด็กนักเรียนตามที่เขารีเควสมาและ...ไอ้สำนักงานนี้มันก็เป็นของพี่ถัง!

                ตอนแรกพี่มันเปิดติวแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้นแต่หลังๆ มามันได้รับเสียงตอบรับดีพี่มันจึงมาเปิดสำนักงานนี้เพิ่มขึ้นมาอีก  พี่มันคอยบริหารงานผ่านการสั่งลูกน้องทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ที่อเมริกา  มันทำงานหนักขนาดนี้ได้ไงเนี่ย?  ไม่เหนื่อยตายห่าเหรอ?

                “ไอ้เปอร์! มึงมาทำอะไรที่นี่วะ” พอเดินเข้าไปในสำนักงานไอ้พี่ถังก็ทักขึ้น  สงสัยพี่มันเข้ามาดูงานที่นี่พอดี

                “อ้าวพี่ถัง? มาอยู่นี่ได้ไงครับ?” ไอ้พัดถามงงๆ

                “ที่นี่น่ะสำนักงานของพี่มันอะดิ” ผมบอก  ไอ้พัดเบิกตาอย่างตกใจก่อนจะถลาแล่นลมไปหาพี่ถัง

                “รับผมเข้าทำงานนะครับพี่ นะๆ” ไอ้พัดทำท่าอ้อน  มันอ้อนได้กวนตีนมากครับ  หน้ามันหล่อไงพอทำตาแบ๊วแล้วมันน่าถีบชะมัด

                “อ๋อ ที่บอกว่าจะมาลองทำงานดูนี่คือน้องพัดเองเหรอ?” พี่ถังถามพลางดันหน้าที่ไซร้อยู่ตรงไหล่ออก  ท่าทางพี่ถังเองก็อยากถีบไอ้พัดเหมือนกัน ฮ่าๆ

                “ครับ ผมเลยชวนไอ้เปอร์มาด้วย” ไอ้พัดบอก

                “เออดี  เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้ามาอีกรอบนะแล้วจะให้คนพาไปทดลองงานดู  มึงด้วยนะเปอร์” พี่ถังบอกผมจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เอ...กูจำได้ว่าเมื่อวานตามึงยังไม่บวมขนาดนี้นะเปอร์” ไอ้พี่ถังมองผมอย่างจับผิด  ผมสะดุ้งก่อนจะหัวเราะแหะๆ

                “เออน่า” ผมบอกปัดๆ ก่อนจะรีบลากไอ้พัดออกมาเพราะต้องไปกินเหล้าต่อเนื่องจากพวกพี่ๆ นัดเอาไว้  ถ้าไม่ไปผมก็คอขาดสิครับ

                “เปอร์ พรุ่งนี้กูจะไปรับที่มหาลัยรอกูด้วยละกัน  น้องพัดด้วยนะ” ไอ้พี่ถังตะโกนไล่หลัง

                “เออ/ครับ” ผมกับไอ้พัดตอบรับพร้อมกัน  ก็ดี  ถ้าไอ้พี่ถังไปรับพรุ่งนี้ผมก็จะได้โดดรับน้องที่ร้านเหล้าซะเลย  จะบ้าหรือเปล่าครับ รับน้องกันเป็นเดือนและส่วนมากรับที่ร้านเหล้า  ตื่นมาก็แม่งแฮงก์ทุกวันใครจะเรียนรู้เรื่องฟะ

 

                ผมกับไอ้พัดกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะตรงไปที่ร้านเหล้าหลังม.อันเป็นสถานที่นัดทันที  ก่อนมาผมต้องลำบากเข้าร้านเสริมหล่อเพื่อให้เขาแต่งหน้าปกปิดรอยช้ำที่หน้าอันเนื่องมาจากการถูกตบอีกทั้งรอยบวมแดงที่ขอบตาที่เกิดจากการร้องไห้ทั้งคืน  กว่าจะแต่งเสร็จเล่นเอาหน้าผมช้ำยิ่งกว่าเดิม

                “ไอ้หนู ทางนี้ๆ” เสียงเข้มๆ ตะโกนขึ้นผมจึงรีบหันไปมองจึงเห็นร่างสูงๆ หล่อๆ ของไอ้พี่ไทโบกมือเรียกผมจึงลากไอ้พัดไปหาพี่สามคนนั้นทันที

                ตอนแรกพี่รหัสของไอ้พัดมาเรียกไอ้พัดไปนั่งด้วยแต่ผมไม่อยากให้ไปพี่รหัสที่แสนดี(?)ของผมจึงใช้สายตาไล่พี่รหัสไอ้พัดซะเปิดเปิง  ไม่ต้องเปิดปากพูดก็สามารถทำให้คนอื่นกลัวได้  พี่รหัสของผมนี่เจ๋งไม่เบา

                “เดี๋ยวสายรหัสของมึงจะมานั่งด้วย  ระวังตัวด้วยล่ะ โหดๆ ทั้งนั้น” ไอ้พี่ไทพูดพลางตบไหล่ผมเบาๆ  พี่สายรหัสของผม? ผมรีบหันไปมองพี่ลันทันที  พี่มันหรี่ตามองผมนิดๆ ก่อนจะยักไหล่  สายรหัสของผมก็ไอ้พี่ลุกซ์น่ะสิ!

                “เฮ้ยเปอร์ กูอยากไปนั่งกับพี่กู” เมื่อได้ยินพี่ไทพูดแบบนั้นไอ้พัดก็รู้สึกอยากหนีผมไปเสียอย่างนั้น  ผมรีบคว้าข้อมือมันเอาไว้เพราะไม่อยากเดือดร้อนคนเดียว ฮ่าๆ ลงนรกด้วยกันเถอะเพื่อน  กูรักมึงนะ

                “ถ้ามึงไปใครจะลากกูกลับวะ?” ผมบีบตาอ้อนไอ้พัดสุดความสามารถแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือฝ่ามือหนักๆ ของไอ้เพื่อนสุดหล่อเพียงเท่านั้น

 

                หลังจากนั้นไม่นานพี่ลุกซ์กับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยเฟี้ยวเปรี้ยวจี๊ดก็เดินควงกันมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกผม  ตอนแรกผมจะได้นั่งข้างพี่ลุกซ์ครับเพราะที่นั่งข้างผมมันว่างสองที่แต่ผมรีบสลับที่กับพี่ขลุ่ยทันทีโดยที่พี่ขลุ่ยเองก็ยังงงๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  สงสัยจะคิดว่าผมกลัวจนตัวสั่น  โอเค...กลัวจริงๆ

                ทันทีที่พี่ลุกซ์กับสาวสวยสะบึมฮึมคนนั้นนั่งลงทั้งโต๊ะก็ยกมือไหว้ทั้งสองคนทันทีผมจึงต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้แต่ว่าพี่ลันไม่ได้ไหว้ด้วยหรอกนะครับเพราะเจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจว่าใครจะมาซะด้วยซ้ำ

                “ไหน? คนไหนที่เป็นน้องเล็กของสายเจ๊? หนุ่มหล่อหรือหนุ่มน่ารักเอ่ย?” เสียงหวานใสถามขึ้นอย่างร่าเริงผมจึงรีบหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ  อย่าบอกนะว่าเจ๊คนนี้เป็น...

                “ย่ารหัสมึงไง” ไอ้พี่ไทกระซิบเล่นเอาผมช็อค  ผมก็นึกอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเจ๊แกดูมีออร่าน่ากลัวแปลกๆ  ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะเดินมากับพี่ลุกซ์  ที่ไหนได้เป็นของที่ตัวเองสร้างขึ้นหรอกเหรอ  พระเจ้า!

                “อะ...เอ่อ...ผมครับ” ผมยกมือขึ้นส่งยิ้มแหยๆ ไปให้เจ๊คนสวย

                “ชื่อจ้ะชื่อ”

                “ปรินครับ ชื่อเล่นเปอร์” ผมรีบบอกทันที

                “เจ๊ชื่อเปรียวนะจ๊ะ” เจ๊เปรียวพูดพลางสะบัดผมยาวเป็นลอนนิดๆ พอให้ดูมีมาด

                “เปอร์ ชงเหล้าให้เจ๊แกสิ” ไอ้พี่ไทกระซิบอีกครั้งผมจึงลนลานหยิบแก้วมาตั้งไว้ตรงหน้าตัวเอง

                “ขอเบาๆ ก่อนละกันนะ” เจ๊แกยิ้มบอกผมจึงยิ้มรับแล้วชงเหล้าอ่อนๆ ให้เจ๊แก

                “กูขอหนักๆ” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นผมจึงเหลือบตาไปมองคนพูดนิดๆ แล้วหยิบแก้วอีกใบมา  พอชงให้เจ๊เปรียวเสร็จผมก็ชงให้พี่ลุกซ์ต่อ

                ผมดันแก้วเหล้าไปตรงหน้าของพี่ลุกซ์ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากจะมอง

                ซ่า!

                ผมนิ่งอึ้งหน้าชาเหมือนถูกตบเมื่อจู่ๆ เหล้าที่ผมเพิ่งชงเสร็จถูกสาดกระทบใบหน้า  คนที่นั่งข้างๆ ผมอย่างไอ้พี่ไทกับไอ้พัดรีบขยับหลบรัศมีการกระเซ็นของเหล้าแต่กระนั้นก็ยังได้รับผลกระทบส่วนผมก็โดนเต็มๆ

                “กล้าดียังไงถึงเมินกู  เวลาส่งเหล้าให้ก็หัดทำหน้าให้มันดีๆ รู้จักไหมมารยาทน่ะ!” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกมองหน้าผมด้วยสีหน้าสะใจ 

                “ขอโทษนะครับที่ผมมันไม่มีมารยาท...กับคนอย่างพี่” ผมเว้นช่วงไว้แล้วพูดต่อเพื่อความกวนตีนก่อนจะหยิบทิชชู่มาซับหน้าตัวเองเบาๆ

                “อวดดี! ออกไปข้างนอก  คลานไปมาที่หน้าร้านแล้วเห่าจนกว่ากูจะพอใจ!!” ไอ้พี่ลุกซ์สั่งเสียงดังจนคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองอย่างสนใจพลางซุบซิบนินทา  ผมเม้มปากก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปที่หน้าร้านเพื่อทำตามคำสั่งทำให้คนอื่นๆ ที่สนใจลุกตามมาด้วย

                “เปอร์ ไม่ต้องทำ” ไอ้พี่ลันพูดพลางเดินมาดึงแขนผมที่กำลังจะทรุดลงที่พื้นเพื่อคลานเอาไว้  ผมเม้มปากมองหน้าพี่ลันด้วยสายตาสั่นๆ อย่างขอความเห็นใจ  ผมไม่อยากเจอพี่ลุกซ์อีกแล้ว

                “พี่ลันครับ” ผมเรียกชื่อพี่มัน

                “ไอ้เปอร์ไม่ได้ทำอะไรผิด  ถ้ามึงจะทำโทษมันด้วยเรื่องแค่นั้นทำไมไม่ทำโทษกูด้วย” พี่ลันหันไปพูดกับพี่ลุกซ์พลางดึงผมไปหลบข้างหลัง  พี่ลันน่ะไม่ได้ทำแค่เมินพี่ลุกซ์หรอกนะ  ถ้าสบโอกาสพี่มันมักจะยกนิ้วกลางใส่พี่ลุกซ์เสมอ

                “งั้นก็คลานกันทั้งสองคนนั่นแหละ” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกสั่ง  ผมมองหน้าพี่มันด้วยสายตานิ่งๆ  ไหนพี่ถังบอกว่าพี่ลุกซ์รักน้องมากไง  แต่ทำแบบนี้มันไม่ได้แสดงถึงความรักเลยสักนิด  แย่ที่สุด!!

                “พอได้แล้วลุกซ์  อย่าแกล้งน้อง” เจ๊เปรียวพูดปราม  ผมมองเจ๊แกด้วยสายตาขอบคุณ

                “เปรียวอย่ายุ่ง” พี่ลุกซ์หันไปดุเจ๊เปรียว  ผมมองทั้งสองอย่างเจ็บปวด  เหมือนพวกเขาจะสนิทกันมากถึงขั้นกล้าเรียกชื่อกันเฉยๆ แบบนั้น

                “ลุกซ์” เจ๊เปรียวมองหน้าพี่ลุกซ์ปรามๆ พลางส่ายหน้า

                พี่ลุกซ์ฮึดฮัดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้านคนอื่นๆ จึงเดินตาม  ผมยืนนิ่งอยู่หน้าร้านคนเดียวพลางมองแผ่นหลังกว้างของพี่ลุกซ์ที่ค่อยๆ ผลุบหายเข้าไป

                “เปอร์ เข้าไปกันเถอะ” ไอ้พัดหยุดเดินก่อนจะหันมากวักมือเรียกผม  ผมพยักหน้าให้มันเข้าไปก่อนแล้วกดโทรศัพท์หาพี่ถัง

                “ว่าไงเปอร์?” พี่มันรับสาย

                “มารับหน่อยได้ไหม?” ผมพูดเสียงเพลียๆ

                “ที่ไหน?” พี่มันถาม  คงจะรู้แหละว่าผมมีปัญหา

                “ร้านเดิม” ผมบอก

                “อืม รออยู่นั่นนะเดี๋ยวกูไปรับ” พูดจบก็วางสายไป  ผมเดินไปนั่งตรงฟุตบาธก่อนจะกุมขมับไว้

 

                พอพี่ถังมาถึงพี่มันก็พาผมเดินเข้าไปในร้านเพื่อขออนุญาตให้ผมออกมา  เจ๊เปรียวเองก็เป็นหนึ่งในรุ่นน้องที่รู้จักกับพี่ถังเจ๊แกจึงไม่ว่าอะไร

                “พัด กลับกับกูป่ะ” ผมดึงมือไอ้พัดให้ลุกขึ้นมายืนข้างตัวเอง

                “อืม” ไอ้พัดพยักหน้า

                “รู้ทั้งรู้ว่าเปอร์เป็นน้องพี่ถังยังจะแกล้งอีกนะลุกซ์” เจ๊เปรียวฟาดแขนของคนข้างกาย

                “มันไม่ใช่เรื่องของพี่น้องแต่เป็นเรื่องของรุ่นพี่รุ่นน้อง  ถ้าจะเอาความเป็นพี่น้องมาอ้างเพื่อไม่ให้ถูกทำโทษก็ไม่ต้องมาพูดกัน” พี่ลุกซ์กอดอกพูด  ผมกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ไอ้พี่ถังยกมือห้ามไว้  ผมไม่ได้จะเอาความเป็นพี่น้องกับพี่ถังมาอ้างเพื่อให้พ้นโทษและผมก็ไม่ได้อยากจะคุยกับพี่ลุกซ์เสียหน่อย

                “กูเข้าใจมึงนะลุกซ์  แต่วันนี้กูจะพาน้องกูกลับก่อน  แค่เหล้าอาบหน้าอาบตัวก็น่าจะพอแล้วสำหรับวันนี้” พี่ถังพูดเย็นๆ

                “เชิญครับ” พี่ลุกซ์ผายมือไปที่ทางเข้าร้านพี่ถังจึงดึงมือผมพาเดินออกจากร้านซึ่งผมก็ดึงมือไอ้พัดต่ออีกทีหนึ่ง

 

                ผมกับไอ้พัดขับรถอีกคนตามพี่ถังไปที่บ้านของพี่มันเพื่อฟังเทศ  พวกเรานั่งหูชากับเป็นชั่วโมงๆ ก่อนจะถูกปล่อยตัวกลับ  ผมไปส่งไอ้พัดที่บ้านก่อนจะกลับไปที่คอนโด

                ขณะที่ผมรูดคีย์การ์ดเข้าไปในห้องลิฟต์ก็เปิดออกปรากฏร่างของพี่ลุกซ์  ผมตกใจเผลอปล่อยคีย์การ์ดให้ร่วงลงพื้น  ก่อนที่จะหายตกใจพี่ลุกซ์ก็เดินมาถึงตัวผมเสียแล้ว  ผมที่พยายามจะเข้าห้องเพื่อหนีหน้าถูกคนห้องตรงข้ามยื้อเอาไว้โดยการกระชากประตูปิดเพื่อไม่ให้ผมเข้าไปในห้องตัวเองได้  ฉิบหาย! เมื่อกี้คีย์การ์ดมันหล่นในเขตบริเวณห้องเสียด้วย  ประตูมันล็อคอัตโนมัติแบบนี้แล้วกูจะเข้าห้องยังไง?

                “มีธุระอะไรครับ?” ผมถามเสียงห้วน

                “มึงอยู่ที่นี่เหรอ?” พี่ลุกซ์ถามเสียงเย็น

                “ครับ” ผมตอบนิ่งๆ

                “ตามกูมา?”

                “ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น”

                “แล้วทำไมมึงไม่อยู่บ้าน?”

                “มันเรื่องของผม” ผมตอบ  พี่มันยักไหล่ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเอง

                ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะโทรไปที่สำนักงานคอนโดเพื่อขอคีย์การ์ดสำรอง

                “ขอโทษนะครับ  คือว่าทางเราไม่มีคีย์การ์ดของห้องคุณน่ะครับเนื่องจากคีย์การ์ดที่คุณได้รับเป็นคีย์การ์ดสำรองที่เจ้าของห้องเขามาขอไปก่อนหน้านี้  ถ้าคุณต้องการคีย์การ์ดคุณจะต้องขอจากเจ้าของห้องเองแล้วล่ะครับ” พนักงานพูด  ผมถอนหายใจเซ็งๆ

                “คุณมีเบอร์ติดต่อเจ้าของไหมครับ?” ผมถาม

                “คือว่าตอนนี้คุณเจ้าของไปต่างประเทศน่ะครับทางเราติดต่อเขาไม่ได้เลย”

                “ให้ช่างมาทำคีย์การ์ดใหม่ให้ผมได้ไหม?” ผมถามเซ็งๆ พ่อนะพ่อ  จะเช่าคอนโดจากใครทำไมไม่เช็คให้มันละเอียดๆ เล่า  คีย์การ์ดก็มีแค่สองใบแล้วแบบนี้ผมจะเข้าห้องได้วันไหนเนี่ย

                “ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อนครับ”

                “นี่คุณ! คุณเพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าเจ้าของห้องไปต่างประเทศแล้วผมจะขออนุญาตเขาได้ไงครับ!?! ไม่รู้ล่ะ! ถ้าวันนี้ผมเข้าห้องไม่ได้คุณเดือดร้อนแน่!” ผมขู่คาดโทษ

                “ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ  กฎก็ต้องเป็นไปตามกฎ  ผมก็เป็นแค่ลูกจ้างผมละเมิดกฎไม่ได้หรอกนะครับ  ขอโทษจริงๆ ครับ” ฝ่ายนั้นขอโทษขอโพย

                “ขอโทษแล้วคืนนี้ผมจะได้กลับเข้าห้องไหม?! เฮอะ! แย่จริงๆ” ผมสบถก่อนจะตัดสายไป  ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะก้มๆ เงยๆ ส่องหาว่าคีย์การ์ดมันตกอยู่ไกลหรือเปล่า

                ผมก้มลงจนหน้าแทบแนบพื้นก่อนจะพบว่าคีย์การ์ดมันอยู่ใกล้ๆ นี่เองแต่ช่องประตูมันก็แคบเหลือเกินผมจึงไม่สามารถเอาคีย์การ์ดออกมาได้  แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย

                แกร๊ก!

                ขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตกอยู่นั้นประตูห้องตรงข้ามก็เปิดออกก่อนที่ร่างของผมจะถูกฉุดกระชากเข้าไปในห้องห้องนั้น  ผมโวยวายและดิ้นไม่ยอมเข้าไปแต่สุดท้ายผมก็สู้แรงคนตัวโตกว่าไม่ไหวอยู่ดี

                พอร่างถูกเหวี่ยงเข้ามาในห้องผมก็กอดอกพลางเบือนหน้าไปทางอื่นโดยไม่พูดอะไรทันที  เขาต้องการอะไรจากผมกันแน่  เขาเกลียด เขาขยะแขยงจนไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้แล้วทำไมต้องเข้ามาวุ่นวายกับผมอีก  ผมพยายามตีตัวออกห่างแล้วนะ

                “อย่ามาทำตัวสะดีดสะดิ้งใส่กู  ถึงเล่นตัวไปค่าตัวมึงก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาหรอก” พี่ลุกซ์พูดเหยียดๆ ผมหันขวับไปมองก่อนจะแสยะยิ้ม

                “ฮึ! อย่าบอกนะครับว่าติดใจผมซะแล้ว  ขนาดผมไม่อยากเข้าใกล้พี่ยังพยายามที่จะเข้าใกล้ผมเลย  ชอบผมแล้วเหรอ?” ผมถามกวนตีนทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

                “อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้และอย่าสำคัญตัวผิด” พี่มันพูด

                “แล้วพี่ลากผมเข้ามาห้องพี่ทำไม? ปกติพี่ไม่เคยแยแสผมอยู่แล้วนี่  ผมจะเป็นจะตายอย่างไรพี่ไม่เคยจะสนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!” ผมตะคอกก่อนจะถูกเท้าหนักๆ ถีบจนกระเด็นล้มลงบนโซฟา  พี่มันคงโกรธมากที่ถูกผมตะคอกใส่

                “กูก็แค่สมเพชมึงเท่านั้นแหละ  และจำเอาไว้ว่าอย่าสะเออะมาขึ้นเสียงกับกู!” พี่มันชี้หน้าคาดโทษ  ผมตวัดสายตาไปมองอย่างโกรธเคืองแต่ทำอะไรไม่ได้

                ผมเม้มปากแน่นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตูเพื่อออกจากห้องนี้ไป  ไม่อยากอยู่...ก็เท่านั้น

                “ถ้ามึงก้าวออกไปจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียวกูกระทืบมึงแน่” ไอ้พี่ลุกซ์พูดเสียงดังทำให้มือที่จับลูกบิดหวังจะเปิดมันออกชะงักลง

                ผมหันกลับไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาไม่เข้าใจ “พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่? แค่ผมขยับตัวพี่ยังโมโหแล้วพี่จะให้ผมอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไรครับ?” ผมถามอย่างต้องการเหตุผล

                “เห็นหน้าตาทรมานของมึงแล้วสนุกดี ฮึๆ จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ...ไอ้เชลย!” พี่มันเดินแสยะยิ้มเข้ามาหาก่อนจะยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ และเน้นสถานะของผมอย่างชัดเจน  ผมเม้มปากกำมือแน่นอย่างเจ็บใจ  ทรมานกูทำไม?  มึงสนุกแล้วกูสนุกด้วยไหม? คนใจดำ!

 

                ผมไม่อาจหาสาเหตุว่าทำไมผมถึงต้องยอมอยู่ใต้อาณัติของพี่มันได้แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้คือถ้าหากผมขัดคำสั่งของพี่มันชีวิตผมไม่จบง่ายๆ แน่  ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น  มันอาจจะเป็นลางสังหรณ์ของเหยื่ออย่างผมละมั้งครับ

                เนื่องจากผมเข้าห้องของตัวเองไม่ได้ผมจึงไม่มีเสื้อผ้าจะเปลี่ยนแต่โชคดีที่ข้าวของเครื่องใช้ของผมที่เคยเอามาทิ้งไว้ที่นี่ยังอยู่ผมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องแต่งกาย  ส่วนเรื่องเอกสารการเรียนนั้นผมมักเก็บไว้ในรถจึงไม่มีปัญหาอะไร  ตอนแรกที่รู้ว่าของของผมอยู่ครบผมก็แปลกใจแต่ไม่กล้าถามว่าทำไมพี่มันถึงไม่ทิ้งไป  แต่ก็ช่างมันเถอะ  ของอยู่ครบก็ดีแล้ว

                “นี่มึง ไปหาอะไรมาให้กูกินดิ๊ หิว!” ขณะที่ผมกำลังจัดที่หลับที่นอนของตัวเองพี่ลุกซ์ก็เดินออกมาจากห้องของตัวเองแล้วก็สั่ง  ผมเหลือบตามองพี่มันนิดๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาทำให้พี่มันขัดใจ “ทำไม!? กูบอกแล้วไงว่าอย่าขัดคำสั่งกูถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” พี่ลุกซ์ตวาดอย่างไม่พอใจพลางเดินตรงมาหวังจะทำร้ายร่างกายของผมแต่ผมรีบวิ่งหนีไปหลบที่มุมห้องอย่างรวดเร็ว

                “ผมทำอาหารไม่เป็น” ผมพูด 

                “ทำไม่เป็นก็หัดสิวะ!” พี่มันตะคอก

                “ไม่ครับ  ผมไม่อยากเทอาหารที่ตัวเองทำลงถังขยะอีกเป็นครั้งที่สอง” ผมพูดพลางมองหน้าพี่ลุกซ์ตรงๆ  เขาชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะทำหน้าตาเคืองๆ

                “กูไม่กินไข่” พี่มันพูด

                “แล้วซื้อมาทำไมเยอะแยะครับ” ผมถามทันที

                “ไอ้ดินมันเจ้ากี้เจ้าการซื้อมาเอง” คำพูดของพี่ลุกซ์ทำให้ผมชะงัก  น้องดิน...เด็กหนุ่มน่ารักคนนั้นสำคัญขนาดที่ทำให้พี่ลุกซ์จอมเหวี่ยงคนนี้ไม่กล้าขัดใจเลยเชียวหรือ? เขาไม่ใช่แค่ลูกศิษย์ธรรมดาๆ สินะ

                ผมเม้มปากนิดๆ ก่อนจะพูดออกไป “ขอโทษจริงๆ ครับแต่นอกจากทอดไข่แล้วผมก็ทำอะไรไม่เป็นจริงๆ”

                “ไร้ประโยชน์!” พี่มันว่า

                “งั้นก็ให้ผมออกไปสิครับ  ผมมันไม่มีประโยชน์แล้วจะให้ผมอยู่กับพี่ทำไม?” ผมพูดเสียงสั่นๆ ไม่ได้จะร้องไห้  ก็แค่เจ็บใจจนตัวสั่นสะท้านก็เท่านั้นเอง

                สาเหตุที่ผมไม่อยากเข้าครัวอีกก็เป็นเพราะผมจับเครื่องไม้เครื่องมือไม่ถนัด  ผมเคยพยายามเรียนทำอาหารกับแม่บ้านที่บ้านแล้วแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะผมมักจะเผลอปล่อยให้จานชามหลุดมือตลอด  เพราะแผลเป็นที่ฝ่ามือมันทำให้ผมไม่กล้ากำอะไรแน่นๆ มันหวั่นๆ หวิวๆ อย่างไม่ก็ไม่รู้เวลามีอะไรมาโดนที่รอยแผล  ลายมือผมห่วยแตกกว่าเดิมก็เพราะไม่กล้าจับปากกาแน่นๆ นี่แหละครับ

                “กูบอกให้ทำอะไรก็ทำ  อีกสิบนาทีถ้าไม่มีอะไรให้กูกิน มึงตาย!” ไอ้พี่ลุกซ์เงียบไปสักพักก่อนจะพูดตัดบทแล้วเดินหนีกลับเข้าไปในห้องของตัวเองโดยไม่ตอบคำถามของผม

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา