ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก

10.0

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.

  15 ตอน
  5 วิจารณ์
  36.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Chapter 06 : ความจริงที่ต้องทำตัวแสบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

16/01/13
edit : 17/01/13


Chapter 06 : ความจริงที่ต้องทำตัวแสบ


ไอ้หนูคูเปอร์ผู้แสบทรวง (มึงเอาแว่นใครมาใส่?)

 


                หลังจากรีดน้ำออกจนพอใจพี่มันก็เดินออกจากห้องและตรงเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน  ท่าทางห้องที่พี่มันเข้าไปจะเป็นห้องนอนของพี่มันล่ะมั้งส่วนห้องนี้ก็คงจะเอาไว้ระบายอารมณ์ความใคร่

                ผมฟุบหน้าลงบนที่นอนก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น  ยิ่งรู้สึกเหมือนมีอะไรไหลออกมาจากช่องทางรักผมยิ่งรู้สึกเจ็บใจ  ศักดิ์ศรีที่ผมภูมิใจมันหายวับไปกับตาเมื่อผมอยู่กับพี่ลุกซ์  พี่แกขยี้ศักดิ์ศรีของผมจนป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแต่ผมก็ยังคิดที่จะยอม...ยอมต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าความพยายามของผมจะสำเร็จหรือไม่ก็...จนกว่าผมจะเจ็บจนทนต่อไปไม่ได้ก็เท่านั้นเอง

                เสียงเปิดประตูของอีกห้องหนึ่งดังขึ้นผมจึงรีบลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าทั้งๆ ที่คราบนั่นคราบนี่ยังเปรอะอยู่ที่ต้นขา  ผมตบหน้าตัวเองแปะๆ เพื่อเรียกความสดชื่นจอมปลอมก่อนจะฝืนสังขารลุกขึ้นเดินออกจากห้องทั้งๆ ที่รู้สึกเหมือนร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยง  ถึงจะเจ็บก้นแต่ผมก็ต้องฝืนเดินให้ตรงเหมือนไม่รู้สึกเจ็บอะไรมากมาย

                “เอ่อ...วันนี้ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า  นี่ก็ดึกมากแล้ว” ผมเดินออกไปเผชิญหน้ากับพี่ลุกซ์ที่ยืนเปลือยกายท่อนบนเช็ดผมอยู่ข้างๆ โซฟา  พี่มันหรี่ตามองผมอย่างเหยียดๆ แต่ผมก็ทำได้เพียงส่งยิ้มให้

                “กูไม่ได้ขอให้มึงอยู่ตั้งแต่ต้น” พี่มันพูดเสียงแข็ง  ผมหัวเราะเจื่อนๆ ก่อนจะพยายามเดินตรงๆ ไปยังประตูทางออก  แต่เพราะฝืนมากเกินไปผมจึงเข่าอ่อนทรุดลงล้มหน้าคะมำ  ผมรีบลุกขึ้นมายืนดีๆ ก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆ ให้พี่ลุกซ์

                “พื้นลื่นเนอะ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะรีบเปิดประตูออกไป  พอพ้นรัศมีสายตาคมกริบนั่นผมก็เอนตัวพิงผนังก่อนจะค่อยๆ เดินกะเผลกๆ เกาะผนังไปเรื่อยๆ จนถึงลิฟต์


 

(ขออนุญาตตัดช่วงนี้ออกนะคะ เนื่องจากความขี้หลงขี้ลืมแบบฉิบหายวายวอดของไรเตอร์เอง แฮะๆๆ  คือตอนที่ตัดไปเป็นตอนที่เปอร์โทรคุยกับพี่ถังแต่ว่า...!! ไรเตอร์ลืมไปว่าเปอร์มันลืมโทรศัพท์ไว้บนรถพัด ฮ่าๆๆๆ #เขกหัวตัวเองสักร้อยที)


 

                ผมซวยสองเด้งเมื่อเจอโจทก์เก่าที่เคยทะเลาะกันเรื่องแย่งผู้หญิงที่หน้าคอนโด  พวกมันมากันเป็นกลุ่มและกำลังเดินผ่านคอนโดเพื่อไปที่ไหนสักแห่ง  มันจะดีมากถ้าหนึ่งในนั้นไม่หันมาเห็นผมซะก่อน  ฉิบหายแล้วกู  ถ้าเป็นปกติผมคงโกยแน่บไปแล้วแต่วันนี้แรงจะเดินยังไม่มีผมคงจะโกยได้หรอก

                “นั่นมันไอ้เปอร์ที่แย่งเด็กมึงนี่หว่า!” เพื่อนของโจทก์เก่าของผมชี้มาที่ผมก่อนที่ไอ้คนตัวสูงแต่ตัวผอมโกรกจะหันมามองตามที่เพื่อนมันบอก  ผมกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ  วันนี้ผมถูกกระทืบยับแน่  ซวยจริงๆ ทุกครั้งผมอยู่รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ก็เลยไม่กลัวแต่วันนี้ผมตัวคนเดียวนี่หว่า  ตายแน่กู!!

                แต่ที่ไอ้พวกนั้นพูดว่าผมแย่งเด็กเพื่อนมันมาก็ไม่ถูกนะครับ  ก็เด็กของมันมาอ่อยผมเองนี่หว่า  ทำไงได้ในเมื่อผมหน้าหล่อกว่าไอ้เหี้ยนั่นตั้งเยอะ  ไม่เข้าใจเลยว่าหน้าเหียกๆ อย่างไอ้หมอนั่นทำถึงมีผู้หญิงมาติดพันกันเยอะนัก   ที่สำคัญถ้าผมรู้ว่ายัยนั่นมีเจ้าของผมคงไม่ยุ่งหรอกเพราะไม่อยากมีปัญหา

                “จับมันไว้! กูจะสั่งสอนมัน!” ไอ้หน้าเหียกนั่นตะโกนสั่งก่อนที่เพื่อนๆ ของมันจะกรูเข้ามาล็อคตัวผมเอาไว้  พวกมันมากันเจ็ดคนอ่ะครับ  บอกตรงๆ เลยว่าต่อให้เดี่ยวกันหนึ่งต่อหนึ่งผมก็แพ้แต่นี่มันกะจะรุมเจ็ดต่อหนึ่ง  ผมคงกลายเป็นซากติดซอกรองเท้าพวกมันอ่ะครับ  ทำไมวันนี้กูซวยจังวะ!! แต่ความซวยมันก็เกิดมาจากความคิดโง่ๆ ของกูเองกูคงโทษใครไม่ได้! ฮู้ว! เซ็งตัวเองว่ะ!

                ผมถูกสันแขนของใครบางคนกระแทกเข้าที่กลางหลังร่างของผมจึงทรุดลงนอนคว่ำกับพื้น  เพียงพริบตาเงาดำมืดก็ครอบคลุมร่างของผมเอาไว้ก่อนรองเท้าหลายขนาดหลากยี่ห้อจะประเคนมาให้ผมอย่างเต็มรัก  ผมขดตัวยกแขนขึ้นบังหัวและใบหน้าแต่ก็มีบ้างที่เท้าหนักๆ จะกระแทกเข้าที่โหนกแก้มของผมแบบเต็มๆ  ผมถูกกระทืบจนตัวชาก่อนที่พวกนั้นจะวิ่งหนีไปเมื่อยามหน้าคอนโดเป่านกหวีดและวิ่งถือกระบองเข้ามา  ทำไมมึงไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะครับยาม  หรือไม่ก็รอมาตอนที่กูกลายเป็นศพไปเลยดีกว่านะ

                ที่จริงแล้วผมน่ะไม่ได้กลัวเรื่องความตายหรอกครับ  ผมชอบหาเรื่องเสี่ยงตายอยู่เสมอนั่นแหละเพราะปากผมเป็นเหตุอีกทั้งรอยยิ้มของผมมันชอบไปสะกิดตีนคนอื่นๆ เขาก็เลยหมั่นไส้  ผมจะถูกกระทืบหลายครั้งแล้วแหละแต่พี่ถังมาช่วยไว้ทันทุกครั้ง 

คนที่จะร้องไห้เสียใจหากผมตายไปผมคิดว่ามีแค่สองคนเท่านั้นแหละคือพี่ถังกับไอ้พัด  ส่วนพ่อแม่ผมน่ะหรือ...พวกเขาจำได้หรือเปล่าว่าพวกเขามีผมเป็นลูก

                เพราะเหตุนี้ผมจึงอยากจะหาใครสักคนที่รักผมจริงๆ  คนที่คอยจะอยู่เคียงข้างผมไม่ใช่ในฐานะพี่ชายหรือเพื่อนแต่ในฐานะของคนรัก  ผมอยากจะมีรักแท้กับเขาบ้าง  ที่ผ่านมาผมเคยมีแต่ความใคร่ไม่ใช่ความรักจนผมได้มาเจอกับพี่ลุกซ์  ผมคิดว่า...คนนี้แหละใช่เลย

                “...ครับ...คุณ! คุณครับ!” ผมค่อยๆ หันไปตามเสียงเรียก  ดวงตาพร่ามัวของผมเห็นภาพพี่ลุกซ์กำลังส่งยิ้มให้  ผมยิ้มตอบ  แต่พอคิดขึ้นได้ว่าคนอย่างพี่ลุกซ์น่ะหรือจะยิ้มให้ผมภาพเบลอๆ นั่นก็ชัดขึ้น  คนที่ตะโกนและสะกิดเรียกผมอยู่นั้นคือยามนั่นเอง

                “อือ...” ผมส่งเสียงเบาๆ  พยายามจะขยับตัวแต่ร่างกายมันปวดร้าวไปหมด

                “ไหวไหมครับคุณ?” ยามถาม  ผมย่นจมูก  ถ้ากูไหวกูก็ลุกแล้วครับ  กูไม่รอให้มึงมาสะกิดกูหรอก

                “มะ...ไม่...” ผมตอบเสียงเบาเพราะขยับมากไม่ได้เนื่องจากโดนตีนอัดจนปากแตก  หน้าผมดูจะไม่เป็นอะไรมากเพราะถูกตีนไปแค่สองครั้งแต่ร่างกายผมตอนนี้คงช้ำนอกและช้ำในไปทั้งตัวแล้วล่ะครับ  ไอ้พวกนั้นก็แม่งกระทืบซะเต็มแรง  ไม่สงสารสังขารกูบ้างเล้ย  เห็นกูใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ก็อย่าคิดว่าตัวกูจะใหญ่เซ่! กระทืบซะกูมึนจนเห็นดาวลอยวนบนหัวตั้งหลายดวงแน่ะ

                “เฮ้ย! เปอร์!” เสียงใครบางคนตะโกนเรียกชื่อผมก่อนเสียงฝีเท้าจะดังใกล้เข้ามา  ผมยิ้มแอบภาวนาให้เป็นพี่ลุกซ์  แต่ก็นะ...มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะครับ  ถ้าพี่มันมาเห็นผมในสภาพนี้ผมว่าพี่มันคงไม่ช่วยหรอก  คงจะกระทืบซ้ำให้ผมตายล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ คิดไปได้เนอะกู  ชักจะเพ้อไปใหญ่แล้ว “เปอร์! นี่น้องผม ผมจะพาไปโรงพยาบาล!” เสียงทุ้มๆ หล่อๆ ดังขึ้นอย่างรีบร้อนก่อนตัวผมจะลอยสูงจากพื้น  ผมปรือตามองคนที่มาช่วยผมนิดๆ ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ  นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก...ไอ้พี่เคย์

                ผมจำได้ว่าผมยิ้มขำๆ กับเสี้ยวหน้าเคร่งเครียดของพี่เคย์ก่อนที่สติผมจะดับวูบไป  ในใจผมคิดวนเวียนอยู่เสมอว่าทำไมคนที่กำลังอุ้มผม...ไม่เป็นพี่ลุกซ์...


 

                ผมลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบแต่เพดานสีขาวโพลน  พอกวาดตามองไปรอบๆ ถึงได้รู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาล  และตอนนี้ผมก็อยู่คนเดียว  ผมยิ้มให้กับตัวเองนิดๆ ก่อนจะค่อยๆ พยุงร่างกายที่หนักอย่างกับเอาเหล็กมาถ่วงขึ้นนั่งพิงหัวเตียง   ผมกวาดสายตามองรอบห้องอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ  ถ้าเป็นปกติไอ้พี่ถังคงจะซื้อผลไม้กับขนมที่ผมชอบมาเป็นของเยี่ยมไข้แล้วแหละ  แต่ตอนนี้กลับไม่มีอะไรเลยสักอย่าง  ป่านนี้พ่อกับแม่จะรู้หรือยังนะว่าลูกนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล  คงไม่หรอกมั้ง...เพราะการที่ผมหายไปจากบ้านสองสามคืนมันเป็นเรื่องปกติและพ่อแม่เองก็ไม่ค่อยจะกลับบ้านเสียด้วยสิ

                ผมค่อยๆ กระดึ๊บๆ ลงจากเตียงเพื่อเดินไปเปิดตู้เย็นหาน้ำมาดื่มดับกระหาย  พอตื่นมาก็คอแห้งอย่างกับไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน  ถึงตอนนี้ร่างกายผมจะขยับไม่ได้ดั่งใจแต่ผมก็ต้องทนเพราะถ้าไม่ได้ดื่มน้ำผมต้องตายแน่เลย

                ดื่มน้ำจนพอใจผมก็กลับมานั่งบนเตียงอีกครั้ง  ผมเอื้อมมือไปหยิบรีโมตทีวีมาเปิดดูช่องการ์ตูนที่ตัวเองชอบดู  ดูไปได้ไม่นานผมก็ปิดทีวีลงเพราะเริ่มง่วง  ผมเอนกายลงนอนราบนอนเตียงนอนก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง

                “ไม่มีใครรักกูจริงๆ เลยซักคน...” ผมยกแขนก่ายหน้าผากก่อนจะปิดตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงลงมาเพียงหยดเดียว

                ...เสียงประตูเปิดและปิดลง...


 

                ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ตอนที่พยาบาลยกอาหารมาให้  ผมเหลือบมองร่างสูงที่นั่งไขว่ห้างอ่านนิตยาสารอย่างงงๆ ก่อนที่เจ้าของร่างสูงจะลดนิตยาสารลงและหันมายิ้มให้ผม  ผมกะพริบตาถี่ๆ เพราะออร่าของเขามันเปล่งประกายแม้แต่นางพยาบาลแก่ๆ ท่าทางดุๆ ที่เอาอาหารเย็นมาให้ผมถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  คนที่มีออร่าแบบนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้พี่เคย์

                ...ทำไมไม่พาเพื่อนพี่มาด้วยล่ะครับ? เฮ้อ

                “ไงเรา  ตื่นตอนไหน?” ไอ้พี่เคย์เดินมานั่งเก้าอี้ข้างเตียงก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มพลางช่วยรินน้ำและจัดสำรับอาหาร

                “ตื่นครั้งแรกเมื่อตอนสายๆ ครับ” ผมพูด  พี่มันเท้าคางมองหน้าผมยิ้มๆ ก่อนจะปัดปอยผมที่ตกปรกตาผมออกให้ “ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมเอาไว้” ผมยิ้มบอก  ผมจำได้ว่าพี่แกเป็นคนอุ้มผมไปที่รถหรูก่อนที่ผมจะหมดสติ

                “ไม่เป็นไร  ว่าแต่ทำไมถึงยับเยินแบบนี้ฮึ? ไอ้ลุกซ์มันทำอะไรเรา?” พี่เคย์ขมวดคิ้วถาม  ผมก้มหน้าเม้มปากก่อนจะหันไปยิ้มสดใสให้พี่แก

                “ไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ” ผมบอก  พี่ลุกซ์ไม่ได้กระทืบด้วยตัวเองแต่ก็มีส่วนที่ทำให้ผมโกยไม่ทันจนโดนกระทืบอยู่เหมือนกันล่ะนะ  แต่นั่นเพราะผมไปเสนอตัวเองซะมากกว่า  เจ็บแล้วไม่จำจริงๆ นะเรา

                “บอกพี่มาตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจเรื่องที่มันเป็นเพื่อนพี่” ไอ้พี่เคย์ข่มตาดุขู่ให้ผมพูด  ผมขำนิดๆ ก่อนจะส่ายหน้า

                “ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ครับ” ผมตอบพลางตักข้าวเข้าปาก

                “ไม่บอกใช่ไหม? พี่ถามมันเองก็ได้” ไอ้พี่เคย์พูดก่อนจะลุกขึ้นยืนและกดโทรศัพท์  พี่แกเดินไปเดินมาพลางรอให้อีกฝ่ายรับสาย

                “พี่เคย์ไม่ต้องครับ  ไม่เกี่ยวกับพี่ลุกซ์จริงๆ” ผมบอกอย่างร้อนใจ  ผมไม่อยากให้พี่ลุกซ์รู้ว่าผมนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล  ที่จริงผมก็อยากให้พี่แกรู้เผื่อจะสงสารและเห็นใจผมบ้าง  แต่พอนึกอีกทีถ้าพี่มันสมน้ำหน้าผมล่ะผมจะต้องทำหน้าอย่างไร?  ถ้าพี่มันสมน้ำหน้าผมจริงๆ ผมคงจะหน้าชาเหมือนถูกตบสักสิบครั้ง

                “ชู่ว!” ไอ้พี่เคย์ส่งสัญญาณให้เงียบเมื่อไอ้พี่ลุกซ์รับสาย “เมื่อคืนมึงทำอะไรน้องพี่ถัง!?!” ไอ้พี่เคย์กรอกเสียงลงไปอย่างฉุนเฉียว  ทำไมกันนะ...ทำไมพี่เคย์ถึงดูแคร์ผมนักทั้งๆ ที่เราเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ  ทำไมพี่แกถึงดูแลผมขนาดนี้ “น้องมันนอนเจ็บอยู่หน้าคอนโดมึงทำไมมึงจะไม่รู้เรื่อง! ...แผลเต็มตัวแบบนี้มึงยังจะกล้าว่ามันสำออยอีกเหรอ? ...มึงมันก็นิสัยเดิมไม่เปลี่ยน!!” ไอ้พี่เคย์สบถด่าก่อนจะตัดสายอย่างหัวเสีย  ผมมองพี่เคย์ยิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

                “ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อคนที่เพิ่งรู้จักกันอย่างผมเลยครับ  ที่ผมเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะพี่ลุกซ์แต่เป็นเพราะตัวผมเองต่างหาก  ขอบคุณมากนะครับพี่เคย์” ผมระบายยิ้มบางๆ  เห็นพี่เคย์แล้วนึกถึงพี่ถังแฮะ

                “แล้วนี่เราโทรบอกพี่ถังหรือยัง?” พี่เคย์เดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ พลางถามเสียงอ่อนลง

                “ผมไม่คิดจะบอกหรอกครับ  ผมกลัวพี่มันจะกังวลจนไม่เป็นอันเรียน  อีกอย่างผมอุตส่าห์โม้ไว้ซะดิบดีว่าผมดูแลตัวเองได้” ผมพูดพลางหัวเราะเพื่อสร้างบรรยากาศให้มันดีขึ้น  พี่เคย์หัวเราะตาม

                “เห็นท่าทางแสบๆ แต่ก็เป็นเด็กดีใช้ได้นะเราน่ะ” ไอ้เคย์โคลงศีรษะผมไปมาอย่างเอ็นดู  ถ้าพี่ลุกซ์นิสัยดีได้สักครึ่งของพี่เคย์คงจะดีไม่น้อย

                “พี่เคย์...พี่เรียนที่ไหนครับ?” ผมถาม  เห็นเป็นเพื่อนกับพี่ลุกซ์สงสัยจังว่าเรียนคณะเดียวกันหรือเปล่า

                “ที่เดียวกันกับที่เราสอบติดนั่นแหละแต่คนละคณะ  พี่เรียนบริหารน่ะ” พี่มันบอก  ผมพยักหน้ารับรู้  ว่าแต่...พี่เคย์รู้ได้ไงว่าผมสอบติดที่ไหน? หรือว่าไอ้พี่ถังมันบอก เออ ช่างมันเหอะ

                “พี่เคย์ ผมถามจริงๆ นะครับ  ทำไมถึงดูแลผมดีจังทั้งๆ ที่เราเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ” ผมถามอย่างสงสัย  พี่มันยิ้มนิดๆ ก่อนจะเล่า

                “พี่รู้จักเรานานแล้วนะ  พวกพี่น่ะเป็นรุ่นน้องที่ชมรมบาสสมัยม.ปลายของพี่ถัง  ที่จริงตอนที่พวกพี่อยู่ม.4พี่ถังจบไปแล้วแหละแต่พี่แกจะชอบเข้ามาเป็นโค้ชเฉพาะกิจให้ก็เลยสนิทกัน  พี่ถังชอบบ่นถึงน้องชายให้พวกพี่ฟังบ่อยๆ พี่ก็เลยรู้สึกสนใจเราขึ้นมา  ถึงพี่ถังจะบ่นแต่ก็ชอบพูดว่าน้องตัวเองน่ารักอย่างนั้นน่ารักอย่างนี้  ขี้อ้อนด้วย  จำได้ไหมที่พี่เคยบอกว่ามีน้องชาย   น้องชายของพี่มันไม่เคยอ้อนหรือทำตัวน่ารักเลยสักครั้ง  พี่ก็เลยอยากจะรู้จักนายไงล่ะ” ไอ้พี่เคย์พูดยิ้มๆ แต่พอพูดถึงน้องชายพี่แกก็ทำหน้าถมึงทึงจนผมหลุดหัวเราะออกมา  เหมือนพี่แกไม่พอใจมากที่น้องชายไม่ยอมอ้อน  ท่าทางจะอยากให้น้องอ้อนล่ะมั้งเนี่ย ฮ่าๆ

                “ฮ่าๆ มาเจอตัวจริงพี่คงผิดหวังสินะที่ผมไม่ได้น่ารักอย่างที่คิด คึๆ” ผมหัวเราะ  หนังหน้าผมไม่ได้เข้าใกล้คำว่าน่ารักเลยสักนิด(ผมคิดน่ะนะ) ออกจากหล่อสาวตรึมขนาดนี้มองยังไงให้น่ารักเนี่ย

                “เปล่า  นี่เปอร์...ให้พี่ดูแลเราแทนพี่ถังได้ไหม?  ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้โทรหาพี่  ไม่ว่าจะเมา รถชนหรือฝันร้ายก็โทรมาได้ไหม?” ไอ้พี่เคย์พูดจริงจัง  ผมมองหน้าพี่เคย์อย่างลำบากใจ  พี่เคย์ตัวจริงเป็นคนอย่างไรผมก็ยังไม่รู้ดีนัก  ถึงตอนนี้พี่แกจะดีกับผมแต่ถ้าวันหนึ่งพี่แกเบื่อผมก็จะถูกทิ้ง  อีกอย่าง...พี่เคย์มีน้องชายแท้ๆ ให้ดูแลแม้พี่แกจะบอกว่าน้องชายคนนั้นไม่น่าห่วงก็ตาม  ที่สำคัญ...ผมเกรงใจ

                “มันจะดีจริงๆ เหรอครับ  ผมน่ะมันเด็กมีปัญหา  ไปที่ไหนก็ก่อเรื่อง  คนที่ทนผมได้มีแค่พี่ถังคนเดียวเท่านั้นแหละ” ผมพูดยิ้มๆ

                “ถึงพี่จะเป็นพี่ชายแท้ๆ ไม่ได้แต่อย่างน้อยถ้าเรามีปัญหาที่แก้คนเดียวไม่ได้ก็ขอให้บอกพี่  ไม่ต้องเกรงใจเพราะพี่เต็มใจ  โอเคไหม?” พี่เคย์พูดเองเสร็จสรรพ  ผมนิ่งไปนิดก่อนจะหัวเราะแล้วพยักหน้าเบาๆ  ท่าทางจะอยากใช้ความเป็นพี่ชายมาดูแลน้องเต็มที่เลยสินะ  ผมอยากเห็นน้องชายของพี่เคย์คนนี้จริงๆ ท่าทางจะดูเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าพี่ชายซะล่ะมั้งเนี่ย


 

                พี่เคย์ขอตัวกลับบ้านก่อนเพราะต้องไปเคลียร์งานผมจึงต้องอยู่โรงพยาบาลคนเดียว  โชคดีนะเนี่ยที่ปิดเทอมแล้วผมจึงไม่ต้องกังวลอีกทั้งผมก็ได้ที่เรียนแล้วเรียบร้อยผมจึงใช้ชีวิตในช่วงนี้อย่างสบายๆ  รอแค่วันปฐมนิเทศเท่านั้นเอง

                แกร๊ก!

                ผมหันขวับไปมองที่ประตูทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู  เนื่องจากผมเตรียมตัวนอนแล้วจึงปิดไฟทำให้มองเห็นผู้มาเยือนไม่ชัดนัก  แสงไฟสลัวจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาบอกได้เพียงแค่ว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชาย  สงสัยจะเป็นพี่เคย์ล่ะมั้ง

                “พี่เคย์เหรอครับ? ไหนบอกว่าวันนี้จะอยู่เคลียร์งานที่บ้านไง?” ผมถามอย่างสงสัย  หรือว่าพี่แกจะเป็นห่วงผมก็เลยต้องหอบงานมานั่งทำที่นี่?

                “...” พี่เคย์ไม่ตอบอะไรก่อนจะเดินไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง  ผมเอามือขึ้นป้องหน้าเพราะรู้สึกแสบตาเนื่องจากนัยย์ตายังไม่ปรับตัวให้ชินกับแสง

                “พี่เคย์มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ล่ะครับ โธ่...” ผมแกล้งพูดต่อว่าพี่เคย์ก่อนจะกะพริบตาให้ชินกับแสงแล้วเอามือออก  “พะ...พี่...พี่ลุกซ์” เมื่อสายตาของผมโฟกัสภาพชัดผมก็ต้องตกใจเมื่อคนที่เข้ามาไม่ใช่พี่เคย์แต่กลับเป็นพี่ลุกซ์  พี่ลุกซ์รู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่ที่นี่? พี่เคย์คงไม่ได้บอกหรอกใช่ไหม?

                “เออ กูเอง   จะเจ็บตัวทั้งทีก็ช่วยอย่าสร้างปัญหาให้กูจะได้ไหม! กูจำไม่ได้เลยนะว่ากูแจกตีนให้มึงจนเขียวไปทั้งตัวแบบนี้” ไอ้พี่ลุกซ์ถลึงตามองผมอย่างโกรธเคือง  ผมหลบสายตาวูบก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปยิ้มฝืนๆ ให้พี่ลุกซ์   ผมจะไม่อ่อนแอต่อหน้าให้พี่มันสมเพชผมหรอกนะ  ผมจะต้องเข้มแข็ง  ความเจ็บปวดใจแค่นี้ถ้าผมทนไม่ได้ชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่มีทางได้ไอ้พี่ลุกซ์มาครอบครองแน่ๆ  ท่องไว้เปอร์ท่องเอาไว้  ห้ามอ่อนแอให้พี่มันเห็นนะเว้ย

                “เป็นห่วงผมจนต้องแอบมาหากลางดึกเลยเหรอครับ? แหม...น่ารักนะเรา” ผมแกล้งพูดขำๆ เพื่อปลอบใจตัวเองไม่ให้เศร้ามากจนเกินไป

                “ฮึ! สำคัญตัวเองผิดไปหรือเปล่า  ที่กูมากูไม่ได้เป็นห่วงแต่กูแค่มาดูว่ามึงตายหรือยังเท่านั้นเอง” ไอ้พี่ลุกซ์แสยะยิ้มก่อนจะหรี่ตามองผมเหยียดๆ ผมหน้าเจื่อนไปนิดๆ แต่ก็ยังยิ้มต่อไป

                “ฮะๆ ถ้าผมตายไปจริงๆ ผมก็ดีใจนะที่ผมไม่ได้ตายอย่างโดดเดี่ยว” ผมหัวเราะตาหยี  ถ้าผมไม่หัวเราะให้ตาหยีพี่ลุกซ์ก็คงจะรู้ว่าแท้จริงแล้วผมเจ็บกับคำพูดของพี่มันมากแค่ไหน

                “เฮอะ! ทำเป็นพูดให้ดูน่าสงสาร  มึงคิดว่าคนอย่างกูจะเห็นใจมึงเหรอ? ฝันอยู่หรือเปล่า?” ไอ้พี่ลุกซ์เหยียดยิ้มที่มุมปาก  ผมเม้มริมฝีปากแน่นอย่างเจ็บปวด  รู้สึกเหมือนริมฝีปากมันล้าจนยกให้ยิ้มไม่ได้อีกแล้ว  ผมยอมรับว่าผมอยากให้พี่มันเห็นใจแต่ทำไมพี่มันต้องพูดทำร้ายจิตใจแบบนั้นด้วยนะ

                “...”  ผมกัดริมฝีปาก  พอร่างกายอ่อนแอหัวใจมันก็อ่อนแอตามไปด้วยจนตอนนี้ผมไม่สามารถที่จะมองหน้าพี่ลุกซ์ได้  ผมกลัวน้ำตาผมจะไหลออกมา  ไม่นะเปอร์...แค่ครั้งเดียวก็เกินพอกับความอ่อนแอที่น่าสมเพช!

                “ทำไม? พูดแค่นี้ทำเป็นเศร้า? ฮึๆ คนอย่างมึงมันน่ารำคาญที่สุดเลยว่ะ” พี่ลุกซ์พูดเหยียดๆ ผมเม้มปากกำมือแน่น

                “ถะ...ถ้าผมน่ารำคาญ...แล้วพะ...พี่มาหาผมทำไมครับ  อ้อ พี่ก็คงแค่มาซ้ำเติมผมสินะ” ผมเบือนหน้าหนีไปคนละทางกับพี่ลุกซ์ก่อนจะบังคับเสียงไม่ให้สั่นก่อนจะระบายยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง  ทำไมกูมันน่าสมเพชจังวะ  ไปรักคนที่เขาไม่ได้รัก  นอกจากเขาไม่ได้รักแล้วเขายังเกลียดอีกต่างหาก  แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตัดใจไม่ได้เสียที  หรือไม่...อาจจะเป็นเพราะผมไม่พยายามเองต่างหาก

                “กูแค่มาบอกว่าเลิกตอแหลใส่ไอ้เคย์ได้ละ  เพราะมึงกูกับมันถึงทะเลาะกัน!” ไอ้พี่ลุกซ์กระแทกเสียงใส่

                “ผมขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อน  ผมไม่ได้บอกพี่เคย์เลยว่าพี่ลุกซ์ทำร้ายทำไมพี่ลุกซ์ถึงมาต่อว่าในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำล่ะ  แต่ก็ช่างมันเถอะ  ไหนๆ เขาก็เกลียดเราก็ให้เกลียดเพิ่มอีกสักเรื่องก็คงไม่เป็นไร

                “มึงจำเอาไว้ว่าอย่ามายุ่งกับกูอีก  กูไม่ใช่เกย์ ถึงมึงมาอ่อยกูให้ตายยังไงกูก็รักมึงไม่ลง!” ผมหน้าชากับคำพูดเสียดแทงจิตใจเมื่อครู่จนน้ำตาปริ่มขอบตา  อะไรกัน ผมอุตส่าห์ใช้ช่วงเวลาที่ห่างจากพี่ลุกซ์ทำจิตใจให้เข้มแข็งเหมือนเดิมแล้วนะแต่ทำไมแค่ได้เจอหน้าผมก็แทบร้องไห้  ผมไม่ชินกับการที่ถูกพูดทำร้ายจิตใจ  ไม่ชินเลยจริงๆ

                พี่ลุกซ์พูดจบก็เดินไปที่ประตู  ขณะที่พี่มันกำลังจะก้าวออกจากห้องไปผมก็พูดขึ้น “ผมรักพี่นะครับ  ถึงพี่จะเลวจะร้ายกับผมอย่างไรผมก็ยังรัก  ให้ผมเป็นแค่คู่นอนก็ได้ขอแค่อย่าไล่ผมไปจากชีวิตพี่เลยนะ” ผมพูดเสียงเบาเหมือนพูดกับตัวเองแต่คำพูดของผมก็ทำให้พี่ลุกซ์ชะงัก  พี่มันจ้องหน้าผมด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะปิดประตูลง  ผมถอนหายใจเฮือกเมื่อการขอร้องไม่เป็นผล  ผมเงยหน้ามองเพดานก่อนจะกรอกตาไปมาเพื่อไล่น้ำตาไม่ให้ไหลออกมา


 

                ตลอดหนึ่งสัปดาห์ครึ่งที่อยู่โรงพยาบาลพี่เคย์มาเยี่ยมผมตลอดและมานอนค้างเป็นเพื่อนเกือบทุกวัน  พี่เคย์ใจดีกับผมมากและคอยทำให้ผมยิ้มได้เสมอ  จนตอนนี้ผมหายดีแล้วแต่ก็ยังมีรอยแผลฟกช้ำอยู่บ้างบางจุด  แผลที่ช้ำในก็หายเป็นปกติ  ค่าใช้จ่ายทั้งหมดพี่เคย์ก็อาสาออกให้แต่ผมรีบค้านเพราะมันเป็นเงินจำนวนมากผมจึงจำเป็นต้องควักบัตรเครดิตที่เพิ่งทำได้ไม่นานออกมาใช้


               

                พี่เคย์มาส่งผมที่บ้านแล้วตัวเองก็กลับ  ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่บ้านผมจะรู้หรือยังว่าลูกชายหายออกจากบ้านไปตั้งนาน  แต่ผมว่าคงไม่รู้หรอกเพราะผมเองก็แทบไม่มีตัวตนอยู่ในบ้านหลังนั้นอยู่แล้ว

                ผมก้าวเข้าไปในบ้านก่อนสายตาโมโหสองคู่จะจับจ้องมาที่ผม  น่าแปลกใจจังที่พ่อแม่ของผมมีเวลามานั่งจิบชาในเวลาแบบนี้ด้วย

                “เจ้าเปอร์!” เสียงพ่อเรียกผมไว้ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขึ้นไปด้านบน  ผมชะงัก “แกหายหัวไปไหนมาตั้งหลายวัน!?!” พ่อถามเสียงดุ

                “ก็เหมือนเดิมนั่นแหละครับ ผมจะไปไหนได้นอกจากเที่ยว” ผมยิ้มกวนๆ ให้พ่อ  พ่อน่ะชอบดุผม เอะอะอะไรก็ดุก็ด่าตลอดทั้งๆ ที่ตัวเองแทบไม่มีเวลาจะดูแลผมเลย  กลับจากที่ทำงานมาเจอผมก็เอาแต่ด่า  ผมจึงทำตัวต่อต้านพ่อมาตั้งแต่เด็ก  ที่ผมเที่ยวผับเที่ยวผู้หญิงไม่ตั้งใจเรียนก็เพื่อประชดพ่อทั้งนั้น

                “แกนี่มันชักจะเหลวไหลเกินไปแล้วนะ!! อย่าคิดว่าสอบติดแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ ถ้าแกไม่ตั้งใจเรียนแล้วแกจะเรียนจบไหม!?! แกจะต้องรับช่วงต่อกิจการของที่บ้านแต่แกเป็นซะแบบนี้ฉันจะไว้ใจให้แกดูแลงานได้อย่างไร!” พ่อตวาดเสียงดัง  ผมกำหมัดแน่น  พ่อก็ห่วงแค่งานไม่ได้เป็นห่วงผมเลยสักนิด

                “ขนาดพ่อตัวเองยังไม่ไว้ใจ  ผมว่าชาตินี้ทั้งชาติผมคงอดตายแล้วล่ะครับ!!” ผมประชดเสียงแข็ง

                “ทำไมแกถึงเป็นคนเหลวแหลก ก้าวร้าวแบบนี้! ฉันเคยสั่งเคยสอนให้แกเป็นแบบนี้ด้วยเหรอ!?!” พ่อโมโหจัดจนหน้าแดง  ผมกระตุกยิ้มเยาะ

                “ไม่...พ่อไม่ได้สอน  ฮึ! จะสอนได้ยังไงในเมื่อพ่อไม่เคยคิดจะดูแลผมเลยสักครั้ง!! ตั้งแต่ผมจำความได้ผมยังไม่เคยเห็นพ่อใส่ใจผมเลย  จนถึงตอนนี้ผมก็คิดเสมอว่าพ่อกับแม่คงลืมไปแล้วว่ามีผมเป็นลูก!!” ผมตะคอกออกมาอย่างเหลืออด  ผมอดทนอดกลั้นมานานกับเรื่องแบบนี้  นี่ผมยังดีนะครับที่ไม่เป็นเด็กใจแตกจนคิดจะเล่นยา  ลูกบ้านอื่นที่ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่เขาเป็นหนักกว่าผมตั้งเยอะ  อย่างน้อยๆ ผมก็ยังมีไอ้พี่ถังคอยอบรมสั่งสอนผมจึงคิดเรื่องดีๆ กับเขาได้บ้าง

                ขณะที่พ่อแม่กำลังอึ้งกับคำพูดของผมผมก็รีบขึ้นไปบนห้อง  กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกนำมาวางไว้บนเตียงก่อนที่ผมจะเก็บของที่สำคัญๆ ยัดลงไป  ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว  บ้านหลังใหญ่ที่ทุกคนคิดว่ามีพร้อมทุกอย่างแต่มันกลับไม่มีความสุขเหลืออยู่  พ่อบ้านแม่บ้านมากมายที่คอยอยู่รับใช้ไม่ได้สร้างความอบอุ่นใจให้ผมสักนิด  ผมเหงามาโดยตลอด ผมเหงาทุกครั้งที่กลับบ้าน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปอร์น่าสงสารเนอะ  ต้องทำตัวแสบเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ของตัวเอง  นางเอก เอ้ย นายเอกมากลูก

ส่วนอิพี่ลุกซ์...มึงนะมึง  บทน้อยไม่พอ ออกมาแต่ละทีเลวร้ายเหลือเกิน !! ปลดมันออกจากการเป็นพระเอกเลยซะดีไหมเนี่ย!?!

     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา