ซวยฉิบหาย! ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก

10.0

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.59 น.

  15 ตอน
  5 วิจารณ์
  36.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 22.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) Chapter 08 : คนที่ไม่เหลือใคร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

19/01/13

Chapter08 : คนที่ไม่เหลือใคร


ลุกซ์ : "มองทำไมครับ?"






                หมับ! พลั่ก!

                ขณะที่ผมหลับตาปี๋ทำหน้าพะอืดพะอมร่างของพี่จักรก็ผละออกไปพร้อมกับเสียงวัตถุกระทบกันผมจึงรีบลืมตามองและพบว่าพี่จักรถูกใครบางคนต่อยจนหน้าคว่ำ  ผมมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกใจแต่ที่จริงโล่งใจสุดๆ  ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดผมว่าผมได้อ้วกแน่ๆ  ขยะแขยงฉิบหาย

                “มึงเป็นใครวะ!?!” ไอ้พี่จักรที่ถูกต่อยคว่ำถามอย่างฉุนเฉียว

                “เสือกไรด้วย?” อีกคนเลิกคิ้วทำหน้ากวนตีนจนน่าเอาตีนถีบหน้า  แต่ผมจะกล้าทำอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อผมรักเขามากซะขนาดนั้น

                พี่ลุกซ์...มาอยู่ที่นี่ได้ไง? หรือว่าพี่แกก็มา...เหมือนกัน  แต่แล้วผมก็ต้องรู้สึกสะท้านวาบในใจเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหนุ่มน้อยร่างเล็กหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มยืนมองพวกเราอยู่ข้างๆ รถพี่ลุกซ์  เดี๋ยวนี้พี่มันหันไปบริโภคผู้ชายแล้วหรือ? ทำไมล่ะ? ทำไมไม่ให้คนนั้นเป็นผม?  ถึงผมจะไม่น่ารัก ไม่น่าทะนุถนอมเหมือนคนที่มากับพี่มันก็ตาม

                “มึงนั่นแหละเสือกอะไร? กูกำลังสวีตกับเมียกูมึงมายุ่งทำไม?” ไอ้พี่จักรตะคอก  เฮ้ย! ลามปามละมึง  ใครเมียมึงครับ?

                ไอ้พี่ลุกซ์ตวัดสายตาคมกริบมามองผม  ผมสะดุ้งก่อนจะก้มหน้าไม่กล้าสบตา

                “พี่จักรครับ  คนคนนี้เขาเป็นรุ่นน้องของพี่ชายเปอร์ครับ” ผมบอกก่อนจะกัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ  ยิ่งเด็กหนุ่มน่ารักคนนั้นเดินมาเกาะแขนพี่ลุกซ์ผมยิ่งเจ็บ

                “ร่าน!” ไอ้พี่ลุกซ์กระชากเสียง  คำพูดนั้นคงสำหรับผมล่ะมั้ง  ตอนนี้พี่ลุกซ์คงกำลังมองผมด้วยสายตาเหยียดหยามเหมือนเคย  ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเพราะไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้

                “งั้นเรารีบไปเถอะเปอร์” ไอ้พี่จักรทำเสียงหงุดหงิดก่อนจะเปิดประตูให้ผมด้วยอารมณ์โมโห  ผมยืนนิ่งเพียงชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นรถ

                “มึงรู้จักมันนานแค่ไหน?” พี่ลุกซ์ถามขึ้น  ผมชะงักก่อนจะก้าวลงมาเพื่อคุยกับพี่มัน  ไอ้พี่จักรทำหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

                “เพิ่งรู้จักครับ” ผมตอบเสียงเบา  ที่พี่มันถามแบบนี้เพราะว่าพี่มันเป็นห่วงผมหรือเปล่า? หรือแค่อยากจะเยาะเย้ยเท่านั้น?

                “แล้วมึงก็ไปกับมัน? เฮอะ! มึงอยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ทีกับกูแม่งทำสะดิ้งบอกว่าเจ็บบอกว่าไม่เอา ฮึๆ” ประโยคสุดท้ายพี่มันก้มลงมากระซิบเสียงเย็นจนผมขนลุกตั้งชันด้วยความกลัวและความเสียใจ  ผมเม้มปากแน่นพูดอะไรไม่ออกเพราะความเสียใจมันจุกอยู่ที่อก  ทรมาน

                “นี่! จะให้พวกกูไปได้หรือยัง?” ไอ้พี่จักรถามเสียงหงุดหงิด  ตอนนี้ผมไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าใครทั้งนั้นเพราะผมยิ้มไม่ออก  ถ้าเป็นปกติผมฝืนทำตัวเฮฮาได้ตลอดแต่ตอนนี้ความรู้สึกอยากร้องไห้มันแทรกเข้ามาจนทำตัวเหมือนปกติไม่ได้

                “ไม่ได้!” ไอ้พี่ลุกซ์ตะคอก  ผมเหลือบมองหน้าพี่แกอย่างสงสัย  แต่พอเห็นว่าสายตาคมดุนั่นกำลังมองผมอยู่ผมก็รีบก้มหน้าหลบสายตาทันที  เข้มแข็งหน่อยสิเปอร์  ยิ้ม...ยิ้มออกมาเหมือนเมื่อก่อนสิ  รอยยิ้มจอมปลอมของมึงน่ะเค้นมันออกมาสิ!

                “โธ่พี่  มาถึงขนาดนี้แล้วพี่จะห้ามผมทำไมคร้าบ” ผมเงยหน้ายิ้มตาหยีเพื่อปิดบังความรู้สึก  เอาล่ะๆ ยิ้มต่อไปนะเปอร์  ถึงหน้ามึงจะรู้สึกชามึงก็ต้องยิ้ม  เขาจะได้ไม่สมเพชเวทนามึงไง

                “ฮึ! มึงอยากลองแรดดูสักครั้งเหรอ? ไหนบอกว่าจะไปหาเพื่อนแล้วทำไมถึงแรดมาหาผู้ชายแบบนี้!?!” คำว่าแรดคำว่าร่านที่พี่มันด่าผมนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้มุมปากของผมค่อยๆ โค้งลงเรื่อยๆ  คำพูดพวกนั้นมันทำให้ผมแสร้งยิ้มไม่ออกเลยจริงๆ

                “ผมแค่มาหาความรักที่พี่ให้ผมไม่ได้ไงครับ  ไม่ดีเหรอ ถ้าผมรักคนอื่นพี่จะได้ไม่รำคาญผมไง” ผมฝืนยิ้มให้ไอ้พี่ลุกซ์พลางพูดเสียงแผ่วเป็นจังหวะ

                “...”

                “ถ้าพี่ทำเหมือนเป็นห่วงผมแบบนี้เดี๋ยวผมก็ตัดใจไม่ลงหรอก” ผมก้มหน้ายิ้มเยาะตัวเอง  น่าสมเพชจริงๆ  อกหักจากผู้ชายก็เลยหาผู้ชายมาดามอก  ที่ถูกด่าว่าแรดว่าร่านก็คงเหมาะสมแล้ว

                “กูเนี่ยนะเป็นห่วงมึง? กูแค่สมเพชที่เห็นน้องของรุ่นพี่กูทำตัวเหลวแหลกแบบนี้” ผมสะอึกรีบกำมือแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด  ไม่เอานะเปอร์ แค่ถูกคนที่รักดูถูกแค่นี้มึงจะร้องไห้ไม่ได้นะ  ให้ตายเถอะ  ถ้าการรักใครมากขนาดนี้แล้วทำให้อ่อนแอลงรู้งี้ไม่น่าไปรักเลยซะดีกว่า  ผู้ชายอกสามศอกอย่างผมอ่อนแอจนกลายเป็นคนขี้แยไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

                “ก็ผมมันคนไม่ดีนี่ครับ  คนดีที่ไหนเขาหนีออกจากบ้านจนต้องถ่อสังขารไปขอที่อยู่จากคนอื่น  และถ้าผมมันไม่น่ารังเกียจคงไม่ถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมาจริงไหมครับ?” ผมพูดประชดตัวเองโดยไม่ลืมที่จะยิ้ม  พูดเองก็เจ็บเองแฮะ  เฮ้อ...ผมนี่มันเป็นพวกชอบความเจ็บปวดหรือไงนะถึงได้ทำร้ายตัวเองตลอดเวลาแบบนี้

                “...”

                “พี่ไล่ผมออกมาเองนี่นา  ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ผมคงต้องไปนอนข้างถนน” ผมเงยหน้าส่งยิ้มให้พี่ลุกซ์อีกครั้ง  ผมปิดตาแน่นเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาและผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่มันจะไม่รู้ว่าผมกำลังทรมานกับการถูกทิ้ง

                “มึงมันก็แค่คนน่าสมเพช” สิ้นคำของพี่ลุกซ์น้ำอุ่นๆ ก็ไหลลงมาจากดวงตาที่ปิดแน่น  ผมกลั้นแล้วนะ  แต่มันไม่อยู่จริงๆ  หากถูกคนอื่นด่าคนอื่นว่าผมไม่เจ็บหรอกแต่นี่เป็นพี่ลุกซ์...คนที่ผมรัก  ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมผมถึงรักเขาได้มากมายขนาดนี้  ไม่แน่นะ ผมอาจจะถูกพระเจ้าลงโทษเรื่องที่ไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงที่นอนด้วยก็เป็นได้

                “ผะ...ผมรู้ตัว...” ผมพูดเสียงสั่นแต่หน้าก็ยังพยายามที่จะยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด “ผม...ผมมันน่ารังเกียจ  น่าขยะแขยงผมรู้ตัวดี  ผมรู้...รู้ตัวดี...ว่าพี่เกลียดผมมากแค่ไหน?  แต่ผมก็ยังรัก...แต่ผมก็ยังอยากเจอ  แต่ถ้ามันทำให้พี่ลำบากใจต่อไปนี้ผมจะไม่ยุ่งอีก...ฮึก...แล้วก็ได้ อึ๊ก!” ผมเอนตัวพิงรถก่อนจะทรุดลงนั่งกอดเข่า  เขารังเกียจผมมากขนาดนี้ผมเองก็ควรจะถอยห่างได้แล้ว  ถ้ายิ่งอยู่ใกล้ก็รังแต่จะทำให้ความรังเกียจนั้นมันเพิ่มมากยิ่งขึ้น

                “อย่ามาสำออย  มึงก็รู้ว่าน้ำตาของมึงไม่ได้มีผลอะไรกับกู” ผมซบหน้าแนบเข่าของตัวเองก่อนจะเงียบไม่พูดอะไร  มันชัดเจนแล้วว่าพี่ลุกซ์ไม่มีทางที่จะรักผมได้  ต่อให้ผมพยายามมากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์  พี่มันก็คงเป็นเหมือนผม...ผมรักพี่มันตั้งแต่แรกพบโดยไม่มีเหตุผล  พี่มันเองก็คงจะเกลียดผมตั้งแต่แรกเจอโดยไม่มีเหตุผลเหมือนกัน  ผมรักมาก...พี่มันก็เกลียดมาก

                หมับ! เพี้ยะ!

                ร่างของผมถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืนก่อนมือหนาจะฟาดลงมาที่ใบหน้าของผมเต็มแรง  ด้วยแรงตบนั้นทำให้ผมที่ยังไม่ทันตั้งตัวล้มกระแทกพื้น  ผมนั่งตัวสั่นเพราะสะอื้นอยู่ที่พื้นโดยไม่ลุกขึ้นมาหรือเงยหน้าขึ้นมามองใครทั้งนั้น  โหดร้าย...ใจดำ...

                ผมยอมตัดใจแล้วนะทำไมพี่ถึงทำกับผมแบบนี้  แค่นี้ยังใจร้ายกับผมไม่พออีกเหรอ?  แค่นี้พี่ยังทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าพอให้ใครมารักไม่พอใช่ไหม? ได้โปรด...ตอนนี้ผมทรมานเหลือเกิน

                สักพักผมก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะค่อยๆ เดินหนีไป  ตอนนี้ผมไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรงจนไม่อยากทำอะไร  ผมคิดถึงพี่ถัง  ผมอยากไปอยู่กับพี่มัน  มีพี่มันแค่คนเดียวที่ให้ความรักกับผมได้  ถึงมันจะไม่ใช่ความรักในแบบของคนรักแต่มันก็อบอุ่นที่สุด  ผมคงไม่แสวงหาความรักที่ฉาบฉวยอีกแล้วเพราะมันไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเลย

                บรืนนนน!

                เอี๊ยดดดดด!!

                ผมไม่รู้ว่าผมเดินไปในทิศทางใดแต่รู้ตัวอีกทีเสียงดังของการเสียดสีที่เกิดจากล้อรถกับพื้นถนนก็ดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่สาดส่องเข้าตาจนผมลืมตาไม่ขึ้น  รถชนเหรอ...อาจจะดีกับผมก็ได้มั้ง ฮึๆ

                หมับ!

                ตุบ!

                ขณะที่ผมยิ้มรับกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น  ข้อมือของผมก็ถูกฉุดให้หลบรัศมีการชนจนร่างของผมเซไปปะทะกับร่างกายแกร่งๆ ของคนดึง  แข้งขาผมอ่อนแรงจนยืนด้วยตัวเองไม่ไหวคนข้างหลังจึงพยุงผมไว้  ในใจของผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนข้างหลังจะเป็นใครก็ได้แต่ขออย่าให้เป็นพี่ลุกซ์

                “เดินดูทางหน่อยสิวะ  ปัดโธ่เอ๊ย!!” คนขับรถคันที่จะชนผมตวาดดังลั่นก่อนจะออกรถไป  ผมไม่ได้สนใจเขาแต่ผมกำลังสนใจว่าคนที่ดึงผมเอาไว้จะเป็นใคร  ไม่ใช่พี่ลุกซ์ได้ไหมผมขอร้อง

                แต่ดูเหมือนความหวังผมจะดับวูบลงเมื่อคนที่ดึงผมเอาไว้ก็คือพี่ลุกซ์  พอตั้งตัวได้ผมก็รีบบิดตัวออกจากมือแกร่งทันที  แต่พอยืนได้เองไม่นานร่างผมก็ล้มลงกระแทกพื้นอีกครั้งเมื่อแก้มข้างเดิมถูกตบซ้ำ  ผมก้มหน้าสะอื้นอย่างไม่อายใคร  วินาทีนี้ผมไม่เหลืออะไรไว้ให้รู้สึกดีอีกแล้วแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของตัวเอง

                “พอหรือยัง? ถ้ายังไม่พอก็ตบอีกสิครับ  ตบให้หน้าของผมมันหายด้านไปเลยยิ่งดี ฮึๆๆ” ผมยืนขึ้นและเงยหน้าเผชิญหน้ากับพี่ลุกซ์  ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาจับจ้องดวงตาคมกริบที่กำลังแสดงความโกรธจนเส้นเลือดบริเวณขมับปูดโปน  ถ้าเกลียดผมแล้วมาช่วยผมไว้ทำไม  ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตายไปเลยล่ะ  ยังไงก็ไม่มีใครสนใจผมแล้วจะให้ผมอยู่ไปทำไม?!

                “มึงเป็นบ้าอะไร!?! อยากประชดกูเลยจะโดดให้รถชนว่างั้น!?!” ไอ้พี่ลุกซ์ตะคอก

                “ฮะๆ กับคนที่ไม่มีใครรักอย่างผมถึงประชดใครไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ  พี่ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ  ถึงผมจะต้องตายไปจริงๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกครับ” ผมยิ้มนิดๆ  ที่มาช่วยผมไว้ก็คงเพราะคิดว่าผมคิดจะฆ่าตัวตายประชดสินะ

                “มึงจะเรียกร้องความสนใจจากกูไปเพื่ออะไรในเมื่อมึงก็รู้ว่ากูไม่รักมึง!” พี่มันตะคอก  น้ำตาผมรื้นขึ้นมาอีกระลอก

                “ผมรู้แล้วและผมก็พอแล้วนี่ไงครับ  ผมไม่ได้เรียกร้องความสนใจ! โอเค...ผมรักพี่แต่ถ้าพี่ไม่รักผมพี่ก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งกับผมอีก  จะเป็นจะตายมันก็ชีวิตของผม!” ผมตวาดและผลที่ได้รับก็คือแรงตบที่ตบซ้ำที่เดิมอีกครั้ง  คราวนี้ผมไม่ได้ล้มลงไปเพราะผมยืนให้มั่นคงกว่าเดิม

                “แล้วพ่อกับแม่มึงล่ะ!?!” พี่มันถลึงตามองผมอย่างโกรธเคือง

                “ถ้าพวกเขารักผมสักนิดผมคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้...” ผมพูดเสียงแผ่วเบา

                “ขนาดตัวมึงเองมึงยังไม่รักแล้วมึงจะหวังให้ใครมารักคนอย่างมึง” พี่มันเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมแน่นจนผมต้องห่อไหล่เพราะความเจ็บ

                ผมชะงักกับคำพูดของพี่ลุกซ์  นั่นสินะ...ผมมันไม่รักตัวเอง  เอาแต่ทำร้ายตัวเองโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเจ็บปวดมากแค่ไหนและไม่สนใจว่าคนที่เขารักผมจะเจ็บปวดมากกว่าผมไหม?  ไอ้พี่ถังมันคงจะเจ็บปวดสินะที่ผมไม่ดูแลตัวเองเลย

                “ฮึก! ถะ...ถ้า...ถ้าผมรักตัวเองแล้วพี่จะรักผมบ้างได้ไหม?” ผมถามทั้งน้ำตา  พี่ลุกซ์คลายมือที่จับไหล่ผมออกก่อนจะเบือนหน้ามองไปทางอื่น

                “ถ้ากูบอกว่าไม่ล่ะ?” พี่มันถาม

                “อือ...ฮึก...ไม่ก็ไม่ครับ” ผมพยักหน้าทั้งน้ำตา  ต่อให้ฝืนให้ตายคนไม่รักมันก็ไม่รัก

                ผมมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างเสียใจก่อนจะเดินไปลากกระเป๋าของตัวเอง  พี่ลุกซ์มองตามก่อนจะถาม   “มึงจะทำอะไรอีก? กูบอกว่าไม่ได้รักแค่นี้คิดจะประชดอะไรอีก!?!” พี่มันตะคอกถาม  ผมหันไปยิ้มให้

                “เปล่าครับ  ผมแค่จะไปหาที่นอน” ผมปาดน้ำตาออกจากแก้ม  สงสัยครั้งนี้คงต้องพึ่งไอ้พัดจริงๆ แล้วสินะ

                “ชิ! มานี่!” ไอ้พี่ลุกซ์ทำหน้าหงุดหงิดก่อนจะเดินมากระชากข้อมือแล้วลากผมไปที่รถ

                “ละ...แล้ว...” ผมมองไปที่หนุ่มน้อยน่ารักที่มากับพี่ลุกซ์ด้วยสายตางุนงงซึ่งเขาก็กำลังมองตามอย่างงุนงงเช่นเดียวกัน

                “ดิน วันนี้ศึกษาเองไปก่อนนะ” ไอ้พี่ลุกซ์บอกก่อนจะกดหัวผมให้ผลุบเข้าไปในรถ

                “โด่! ผมจะกล้าเที่ยวบาร์เกย์คนเดียวได้ไงล่ะครับ  ผมกลับดีกว่า” เด็กหนุ่มคนนั้นยักไหล่ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายพลางเดินออกไปเรียกแท็กซี่  ส่วนไอ้พี่จักรก็ยังยืนงงอยู่ที่เดิม

                พี่ลุกซ์ขับรถพาผมกลับไปที่คอนโดของตัวเองอย่างรวดเร็ว  ดูเหมือนพี่แกจะยังหัวเสียกับเรื่องของผมไม่หายส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ ในรถหรู  ขนาดหายใจแรงๆ ผมยังไม่กล้าทำเลย


 

                พี่ลุกซ์โยนกระเป๋าของผมเข้าไปในห้องแล้วเดินนำเข้าไป  ผมก้มหน้าเดินตาม  ไม่รู้ว่าพี่มันมาอารมณ์ไหน  ผมกลัวว่าจะรับไม่ทัน

                “กูให้นอนแค่ที่โซฟาและห้ามมึงเข้าไปยุ่งวุ่นวายในห้องกู” ไอ้พี่ลุกซ์กอดอกพูดเสียงเข้ม

                “ครับ” ผมพยักหน้ารับ  ทำไมถึงยอมให้ผมอยู่ด้วยง่ายๆ แบบนี้ล่ะทั้งๆ ที่เมื่อตอนเย็นผมขอร้องแทบตายแท้ๆ

                “ทำความสะอาดห้อง ทำกับข้าว  เฝ้าห้องตอนที่กูไม่อยู่แลกกับที่พักและอาหาร  ถ้าอยากได้เงินก็บอก  กูจะให้” พี่มันพูดอีก  ผมเงยหน้ามองพี่มันงงๆ

                “เอ่อ...”

                “คิดซะว่ากูจ้างมึงให้มาดูแลห้องกู  แต่ห้ามไปยุ่งวุ่นวายกับห้องนอนของกูก็เท่านั้น  อ้อ กูจะชอบพาผู้หญิงมานอน  ถ้ารับไม่ได้ก็ออกไปข้างนอกก่อนค่อยกลับเข้ามา” ประโยคนี้แหละที่ทำให้ผมต้องก้มหน้าก้มตาอีกครั้ง “กูบอก!” พี่มันตะคอกเมื่อผมไม่หือไม่อือ

                “ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้

                “และมึงก็อย่าคิดนะว่ากูพิศวาสมึง!” พี่มันย้ำ

                “ไม่ต้องย้ำขนาดนั้นก็ได้ครับ” ผมก้มหน้าพูดเสียงเบา  มาถึงขนาดนี้แล้วผมรู้ดีว่าพี่ไม่มีความคิดที่จะรักผมเลยสักนิด

                “แล้วมึงจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” พี่มันถาม

                “ผมไม่รู้ครับ  ถ้าพี่ถังกลับมาผมก็จะไป” ผมตอบเสียงเบา  รู้หรอกว่าไม่อยากให้อยู่ด้วยนานๆ แม้ว่าผมอยากจะอยู่ใกล้ๆ ก็ตาม  แต่อีกใจก็อยากจะไปให้ไกลๆ เพราะอยู่ใกล้แล้วมันเจ็บทุกที

                “เฮอะ! กูถามหน่อยเถอะ  พี่ถังเป็นพี่หรือเป็นผัวมึงกันแน่วะ” พี่ลุกซ์กอดอกมองผมเหยียดๆ  ผมขมวดคิ้วมองพี่ลุกซ์อย่างไม่ชอบใจทันที  ถึงผมกับพี่ถังไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่เราก็ผูกพันกันเหมือนพี่น้อง  ทำไมต้องถามแบบนี้ด้วย  ผมกับพี่ถังเราบริสุทธิ์ใจนะ!

                “เป็นพี่ครับ! อย่าพูดแบบนั้นอีกนะครับ ผมไม่ชอบ!” ใครมาว่าพี่ผมผมก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ  ยิ่งเป็นพี่ถังที่ผมรักมากผมยิ่งไม่อยากให้ใครมาดูถูก

                พลั่ก!

                ร่างของผมล้มกลิ้งลงบนโซฟาทันทีที่ถูกผลัก

                “มึงมีสิทธิ์อะไรมาขึ้นเสียงใส่กู? มึงเป็นใครฮะ!?!” ไอ้พี่ลุกซ์ถลึงตามองผมอย่างไม่ชอบใจ  ผมรีบเบือนหน้าหลบสายตาเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียง  ถ้าเป็นผมในเวลาปกติคงเถียงไฟแลบไปนานแล้วและถ้าผมเถียงไม่ชนะผมจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาดแต่ผมในเวลานี้คงทำได้เพียงยอมตกเป็นเบี้ยล่างของคนใจร้ายเท่านั้นแหละ

                “ผมขอโทษ” ผมก้มหน้าพูด  พี่มันทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเอง  ผมมองตามก่อนจะก้มหน้าเหมือนเดิม


                ชีวิตของผมในตอนนี้เหมือนไม่มีจุดหมายปลายทาง  ไม่มีอนาคตที่แน่นอน  ในวันเปิดเทอมผมจะเอาเงินที่ไหนไปใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียน  จะให้ขอพี่ลุกซ์มันก็คงจะมากไปแต่จะให้ขอพี่ถังผมก็เกรงใจพี่มัน  น้องแท้ๆ ก็ไม่ใช่แล้วจะให้มาจ่ายค่าเล่าเรียนให้ได้ไง 

เออ...ผมลืมไปเลย!! ผมลืมโทรหาไอ้พี่ถัง  ป่านนี้พี่มันคงกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วมั้งเนี่ย!

                คิดได้ดังนั้นผมก็รีบเปิดโทรศัพท์กดโทรหาไอ้พี่ถังทันที  โชคดีนะเนี่ยที่เราเติมเงินโทรศัพท์ไว้เยอะจึงโทรทางไกลหาพี่มันได้

                “ไอ้เปอร์!!” เสียงเกรี้ยวกราดตวาดมาตามสายจนผมต้องรีบยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู

                “ถัง...โทษทีนะ แฮะๆ” ผมหัวเราะฝืดๆ  ดูท่าทางพี่มันจะโกรธมากเลยทีเดียว

                “ไม่ต้องมาหัวเราะปัญญาอ่อน!! ถ้ามึงโทรมาช้ากว่านี้อีกห้านาทีกูได้ไปโวยวายที่สนามบินแน่! โอ๊ย!! กูแม่งคิดผิดจริงๆ ที่มาเรียนที่นี่  มึงนะมึง!!” ไอ้พี่ถังบ่นอย่างหัวเสีย

                “ขอโทษนะถัง  พอดีมีเรื่องนิดหน่อยแต่ตอนนี้โอเคแล้วแหละ” ผมพูดเสียงอ่อน

                “เฮ้อ!! มึงออกจากบ้านมาแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้?” พี่มันถอนหายใจหนักๆ เพื่อข่มอารมณ์ก่อนจะถามขึ้น

                “ก็...ไม่มีอ่ะ  คงต้องหางานพาร์ทไทม์ทำไปพลางๆ ก่อน” ผมพูด  ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปทำงานอะไรแต่ก็พูดเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้พี่มันกังวล

                “เดี๋ยวกูโอนเงินไปให้” พี่มันบอก

                “ไม่ๆๆ ไม่ต้องเลยมึง  อยู่ที่นั่นมันต้องใช้เงินเยอะ  มึงไม่ต้องให้กูหรอก” ผมรีบปฏิเสธ

                “เปอร์...บ้านกูรวยอีกอย่างกูทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้เงินตั้งเยอะแน่ะ” พี่มันพูด

                “แต่ว่า...” ผมพยายามจะปฏิเสธเพราะเกรงใจ  ถ้าพี่มันเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยแสดงว่าพี่มันอยากเก็บเงินไปทำอะไรสักอย่างแน่ๆ  ผมไม่อยากเป็นภาระ  เอ่อ...ถึงผมจะเป็นมาโดยตลอดก็เหอะนะ แฮะๆ

                “มึงไม่ต้องคิดว่าที่กูทำงานเพราะอยากได้เงินใช้หรอกนะ  กูทำงานเพื่อหาประสบการณ์  เงินที่ได้ก็แค่ผลพลอยได้เพราะฉะนั้นห้ามปฏิเสธ” พี่มันพูดดักเหมือนรู้ใจ

                “ถังแต่กูไม่...”

                “เปอร์...มึงเป็นน้องกู  ถึงไม่ใช่สายเลือดแต่มึงก็เป็นเหมือนน้องในไส้  ถ้าแค่นี้กูให้มึงไม่ได้กูก็ไม่สมควรให้เรียกกูว่าพี่แล้วล่ะเปอร์” พี่มันพูดนิ่งๆ  ผมก้มหน้ากัดริมฝีปาก

                “ถังขอบคุณมาก...ขอบคุณจริงๆ นะ” ผมพูดเสียงแผ่ว  ซึ้งน้ำใจพี่มันจริงๆ

                “ไปเปิดบัญชีแล้วบอกเลขบัญชีมากูจะโอนเงินเข้าไปให้  กูต้องไปเรียนแล้ว  อย่าทำให้กูกังวลอีกนะมึง” ไอ้พี่ถังพูดก่อนจะวางสายไป  ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟาโดยเอาหมอนอิงมาให้แทนหมอนหนุน

                แอร์เย็นๆ กระทบผิวกายทำให้ผมต้องไปค้นหาเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมเนื่องจากไม่มีผ้าห่ม  ผมนอนขดบนโซฟาตัวยาวโดยที่ยังเปิดไฟในห้องไว้อย่างนั้นเนื่องจากผมไม่ค่อยถูกกับความมืดสักเท่าไหร่  ก็คนมันขาดความอบอุ่นนี่ครับก็เลยไม่ชอบอยู่ในความมืดเพราะมันทำให้ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยว


 

                RRRRRR

                โทรศัพท์ของผมดังขึ้นขณะที่ผมกำลังนอน  ผมงัวเงียตื่นก่อนจะมองดูเวลา  นี่เป็นเวลาตี5แล้วใครโทรมาเอาป่านนี้นะ  ถ้าโทรผิดพ่อจะด่าให้เสียหมาเลยคอยดูสิ

                “หวัดดีครับ!” ผมกรอกเสียงขุ่นๆ ลงไปตามสาย

                “เปอร์...” เสียงนุ่มๆ ของผู้หญิงดังขึ้นทำให้ผมตื่นจากอาการงัวเงีย  แม่...

                “ครับ?” ผมลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา

                “แกไปอยู่ที่ไหนทำไมไม่กลับบ้าน?” เสียงแม่ถาม

                “นี่คุณ! มันหายไปแค่วันเดียวเดี๋ยวก็ซมซานกลับมา” เสียงพ่อเล็ดรอดออกมาทำให้ผมหน้าเสียถึงกับพูดอะไรไม่ออก

                “ไม่ต้องไปฟังพ่อเขานะเปอร์  กลับมาที่บ้านเถอะ” แม่พูดขอร้อง  ผมเม้มปากเป็นเส้นตรง  สงสารแม่แต่ไม่อยากเจอพ่อ

                “ไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหมครับ?” ผมถามเสียงเบา

                “เปอร์!

                “งั้นแค่นี้นะครับ” ผมพูดก่อนจะวางสาย  แม่ครับ...ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ ที่ผมเป็นลูกที่ดีไม่ได้

                ผมมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะถอนหายใจยาว  จะนอนต่อก็นอนไม่หลับผมจึงลุกไปเข้าห้องน้ำ  ผมวางแปรงสีฟันของตัวเองไว้ข้างๆ แปรงสีฟันสีน้ำเงินเข้มซึ่งน่าจะเป็นของพี่ลุกซ์ก่อนจะยิ้มแล้วจับปลายของแปรงสีฟันให้หันหน้าเข้าหากันพลางทำปากจู๋  ฮู้! ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงทำแบบนี้ไปก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนว่ากำลังจูบพี่ลุกซ์หรอกน่า

                “ทำอะไรของมึง?” เสียงทุ้มๆ ติดงัวเงียดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งรีบวางแปรงสีฟันทั้งสองลง  ถ้าพี่มันรู้ว่าผมแอบคิดสัปดนล่ะก็ผมถูกเฉดหัวออกจากบ้านแน่

                “ปะ...เปล่าครับ”

                ร่างสูงของพี่ลุกซ์ยืนพิงสันประตูห้องน้ำที่ไม่ได้ปิดมองผมด้วยสายตาหงุดหงิดก่อนจะเดินออกไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่ม  ผมมองตามด้วยสายตาละห้อยก่อนจะหันมาแปรงฟัน


 

                “ตื่นเช้าจังเลยนะครับ” ผมถามยิ้มๆ หลังจากแปรงฟันเสร็จ  ไอ้พี่ลุกซ์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาตัวที่ผมนอนเมื่อคืนเหลือบสายตามามองผมแล้วเงียบไม่พูดอะไร  ผมหน้าเจื่อนลงทันทีที่อีกฝ่ายทำท่ารำคาญ  ด่าผมออกมายังจะดีซะกว่าเงียบใส่แบบนี้  นี่พี่แกไปโมโหใครมาหรือเปล่าถึงได้ทำท่าปั่นปึ่งใส่ผมตั้งแต่เช้าแบบนี้

                ผมมองแผ่นหลังกว้างพลางเม้มปากนิดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว  ผมไม่รู้ว่าถ้าหากผมไปนั่งบนโซฟาเสมอกับพี่ลุกซ์แล้วแกจะโกรธหรือเปล่า  ผมกลัวพี่มันว่าผมริทำตัวเสมอนายทั้งๆ ที่อยู่ที่นี่ในฐานะคนใช้แท้ๆ

                เฮ้อ...ถ้าพี่มันรู้ว่าผมทำห่าอะไรไม่เป็นเลยพี่มันจะโกรธแล้วไล่ผมออกไปหรือเปล่าเนี่ย  พอคิดถึงจุดนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเซิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตทันที  ก่อนอื่นต้องหาวิธีทำอาหารเช้า  เอาอะไรดีล่ะ? ไข่ดาว ฮอทดอกละกัน

                ผมไล่สายตาดูวิธีทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ ก่อนจะเริ่มสำรวจครัวโดยเริ่มจากตู้เย็น  ในตู้เย็นส่วนมากจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำดื่ม นมและน้ำอัดลมแต่ก็ยังดีที่มีไข่ไก่หลายฟองวางไว้ที่ฝาตู้เย็น  มีแต่ไข่ไม่มีไส้กรอกแล้วจะทำอะไรเพิ่มอีกดีเนี่ย

                ขณะที่กำลังคิดมากผมก็เหลือบไปเห็นกระปุกแยมกับเนยที่วางอยู่ใต้ชั้นวางไข่และเหลือบไปเห็นขนมปังฟาร์มเฮาส์วางอยู่บนเคาน์เตอร์  ถ้าอย่างนั้นก็ทำขนมปังปิ้งก็แล้วกัน

                ผมนั่งทบทวนวิธีทำอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเริ่มต้นด้วยการทอดไข่ดาว  ผมยิ้มอย่างดีใจที่ตอกไข่ลงกระทะได้อย่างสวยงามทั้งสองฟอง  ทั้งๆ ที่ทำครั้งแรกแต่ก็ทำได้ดีขนาดนี้ผมดีใจเป็นบ้า  ฮุๆ พี่ลุกซ์จะต้องตกใจแน่ๆ ที่ผมทำได้ขนาดนี้  อาหารมื้อแรกแห่งรักฉลองที่เราได้อยู่ด้วยกันผมตั้งใจทำเพื่อพี่ลุกซ์เลยนะครับ ฮ่าๆๆ  ชักจะเพ้อไปใหญ่แล้วเรา คึๆ


 

                “อาหารเช้าเสร็จแล้วนะครับ” ผมโผล่หน้าออกไปเรียกพี่ลุกซ์ด้วยรอยยิ้ม  แต่กว่าที่ผมจะทำอาหารมื้อนี้เสร็จก็กินเวลาไปตั้งหนึ่งชั่วโมง  ตอนนี้ก็หกโมงกว่าๆ แล้ว

                พี่ลุกซ์เก็บหนังสือพิมพ์ก่อนจะเดินหน้านิ่งๆ เข้ามาตามคำเรียกของผม  ผมยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารพลางจับมือตัวเองแน่นเพื่อลุ้นว่าพี่มันจะชอบหรือเปล่า  แต่ผมมั่นใจมากเลยนะว่าพี่มันต้องชอบเพราะผมทำออกมาได้ดีมากทีเดียว  มันเป็นครั้งแรกที่ผมภูมิใจมาก

                พี่ลุกซ์ก้มลงดมอาหารที่ผมทำก่อนจะกอดอกแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เอาไปเททิ้ง!

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไอ้ลุกกกกกกกกกกซ์!! มึงทำร้ายน้องอีกแล้วน้าาาาา
แอร๊ก!! อยากตบตีมันจริงๆ

ตอนนี้อาจจะไม่เศร้าเคล้าน้ำตาเท่าไหร่  ตอนแต่งไรเตอร์เศร้ามากพอมาอ่านซ้ำ...อ้าว...ทำไมน้ำตาไม่ไหลฟะ 
ฮ่าๆๆ หวังว่าทุกคนจะยังไม่เบื่อความเลวของพี่มันหรอกนะคะ  แหมๆ เบื่อตอนนี้ยังเร็วไป ฮ่าๆๆๆ (หัวเราะเยี่ยงโรคจิต)

     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา