เด็กสาวผมทอง กับหนึ่งปีจากนี้ไป

7.5

เขียนโดย CyCloEclipse

วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.56 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  10.07K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2558 22.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) นี่มันหลอกกินเงินกันชัดๆ!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            นับตั้งแต่เข้าสู่ปีการศึกษาใหม่ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนครึ่งมาแล้ว เป็นช่วงหกสัปดาห์นับตั้งแต่ที่มีสมาชิกที่น่ารำคาญเข้ามาเกาะอยู่อาศัยในบ้านในสถานะที่จะขับไล่ออกไปเหมือนพวกนกกากลางไร่นาก็ไม่ได้ และเป็นเวลาเกือบห้าสัปดาห์นับตั้งแต่ที่ได้รับรู้ความจริงอันแสนโหดร้ายของโรงเรียนแห่งนี้

            สำหรับผมแล้วคงไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่าการที่มีผู้หญิงต่างชาติแสนน่ารักในวัยไล่เลี่ยกันตามเกาะแกะทุกเช้าเย็นจนกลายเป็นที่ครหาของบรรดาเพื่อนร่วมห้องและเหล่าผู้ไม่รู้จริงตามแหล่งการค้าภายนอกโรงเรียนที่ออกฤทธิ์ผสานกับรุ่นน้องสาวถึกที่เคยทำร้ายผมจนเกือบจบชีวิตคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆอย่างแน่นอน

           หรือว่าเพราะดวงชะตาในช่วงหนึ่งปีนับจากนี้เป็นต้นไปจะเข้าขั้นเลวร้ายอย่างสุดชีวิตกันนะ…

           “นี่สิงหา เธอสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ” เสียงเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งถามขึ้นในระหว่างที่ผมกำลังหยิบนิตยสารวัยรุ่นขึ้นมาอ่านในช่วงพักระหว่างคาบ และหน้าที่ผมเน้นความสนใจไปมากที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นคอลัมน์นี้อีกแล้ว

           “เอาน่า แค่ซื้อมาดูว่าช่วงนี้ฉันจะมีฤกษ์เป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็เท่านั้นเอง ฉันไม่เคยสนใจเรื่องข่าววงในอยู่แล้วล่ะ”

           ผมตอบคำถามในระหว่างที่กำลังพลิกหน้ากระดาษไปยังช่องที่บรรดาผู้อ่านให้ความสนใจรองลงมาจากข่าวแฟชั่นการแต่งกายและข่าวซุบซิบในหมู่ดาราอย่างใจเย็น สายตาคนรอบข้างกำลังมองผมเหมือนกับมองตัววอลรัสกำลังกินหญ้าอยู่กลางทุ่งหญ้าซาวันน่าอย่างนั้นแหละ

 

           {{ทำนายดวงตามกรุ๊ปเลือดสำหรับหนุ่มกรุ๊ปเอ ประจำเดือนสิงหาคม}}

           ‘ช่วงนี้ดวงคุณกำลังรุ่งถึงขีดสุด คิดการอะไรก็สมตามปรารถนา และในช่วงกลางเดือนนี้คุณจะได้พบกับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณจนช็อคหัวใจวายตายอย่างแน่นอน’

 

           “นี่มันหลอกกินเงินชัดๆเลยนี่หว่า!!”

           ข้อความในคอลัมน์ดูดวงบอกเอาไว้เช่นนั้น เว้นเพียงแต่ว่าช่วงครึ่งหลังที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงสิ่งที่ถูกแต่งเติมเข้าไปจากสามัญสำนึกส่วนที่ติดไวรัส’บิทช์’เท่านั้น เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่าเรื่องที่ทางสำนักพิมพ์เขียนลงไปในช่องนี้เป็นเพียงการเขียนเพื่อให้ดูดีในสายตาผู้อ่านที่เป็นวัยรุ่นเท่านั้นเอง

           “ไหนลองดูซิ ระยะนี้คุณจะมีเรื่องปวดหัวจากเพศตรงข้าม… ขอแนะนำว่าช่วงสัปดาห์แรกของเดือนนี้ให้ระวังเพศตรงข้ามที่ไม่น่าไว้ใจให้จงหนัก แล้วคุณจะผ่านมันไปได้เอง”

           ครับๆ ตามหลักทฤษฎีของพวกวัยรุ่นทั่วๆไปมันก็ฟังดูง่าย แต่สำหรับผมแล้วการที่จะปลีกตัวห่างพวกผู้หญิงนั้นใช่ว่าจะทำได้โดยง่าย

           ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติแตกเนื้อหนุ่มที่รุนแรงเกินไปจนไม่สามารถละสายตาจากพวกผู้หญิงได้หรอกครับ แต่เป็นเพราะที่บ้านของผมนั้นถ้าจะเรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของสิ่งที่เรียกได้ว่า”หายนะก้อนเนื้อคู่”ก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด

           แล้วยิ่งช่วงหลังๆมานี้ก็มีปัญหาใหม่ที่ลำบากจนแทบจะคลั่งได้ตลอดเวลา

           “นี่แกสนใจเรื่องดูดวงปัญญาอ่อนพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ ชักจะเสื่อมศรัทธาเลยแฮะ”

           เสียงเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นในระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดหาทางออกให้กับตัวเองจนสายตาถูกกระชากไปหาโดยไม่ตั้งใจ--- ผมยังจำท่อนแขนสีเหลืองน้ำผึ้งที่ตัดกับแขนเสื้อสีขาวนั้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกล้ามเนื้อลีบๆที่ดูแข็งแรงกว่าเด็กมัธยมปลายธรรมดาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเธอ

           ยัยหัวขโมยในความคุ้มครองของผมส่งสายตาละเหี่ยอยู่ข้างนอกประตูที่อยู่ใกล้ที่นั่งของผมจนบรรยากาศขณะนั้นเริ่มมีกลิ่ตุๆลอยคลุ้งจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วปอด และในเวลาเดียวนั้นสายตาที่ล่อกแล่กไร้จุดหมายของผมก็มองเห็นเพื่อนร่วมห้องผมทองคนหนึ่งกำลังยกโคนนื้วขึ้นแตะริมฝีปากทำท่าไม่ไว้วางใจผมดำที่กำลังยืนอยู่นอกประตูห้อง

           ราวกับว่าสัญชาตญาณการต่อสู้เอาตัวรอดของเธอจะลืมตาตื่นขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

           แต่มันก็ไม่แปลกเลยที่จะเป็นแบบนี้ เพราะผมใช้เวลาอยู่กับรุ่นน้องที่แสนน่าสะพรึงกลัวระหว่างอยู่ที่โรงเรียนมากกว่าที่ผ่านๆมาหลายเท่า ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายท้ายกางเกงครั้งใหม่ของผมก็เป็นได้

           “ช่างฉันเถอะน่า ว่าแต่คาบหน้าเธอเรียนพละไม่ใช่เหรอ? ไม่รีบลงไปเดี๋ยวก็โดนอาจารย์ว่าหรอก” ผมพยายามทำให้ตัวสร้างบรรยากาศกดดันแยกออกไปเพื่อบรรเทาภาระที่ต้องจัดการลงไปครึ่งหนึ่ง แต่รุ่นน้องที่กำลังส่งยิ้มเป็นเชิงท้าทายให้กับรุ่นพี่ผมทองก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จนผมทนไม่ไหวต้องเดินออกไปคุยกับเธอด้วยตัวเอง

           …. โดยที่ไม่ได้คิดว่าการตัดสินใจเช่นนั้นจะนำมาซึ่งความวิบัติในอนาคตเลยแม้แต่น้อย

 

          “ยูน่าๆ ขอถามอะไรเธออย่างนึงสิ” เด็กสาวผมทองหันมาตามเสียงเรียกหลังจากมองไม่เห็นแผ่นหลังของสิงหาที่ประตูหลังห้องแล้ว เพื่อนชายในกลุ่มเดียวกับโฮสต์ของเธอกำลังกอดอกเท้าลงบนเก้าอี้ด้านซ้ายทำหน้าเหมือนสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาคนนั้นที่เริ่มให้ความสนใจกับคนอื่นมากกว่า

           “เธอเป็นโฮมสเตย์ของบ้านสิงหาใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นเวลาอยู่กับเจ้านั่นสองต่อสองในบ้านที่ไม่มีคนอื่นเลย เจ้านั่นทำอะไรกับเธอบ้าง?”

           ประโยคคำถามที่กระทบหัวใจที่กำลังเต้นด้วยความรู้สึกเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของเด็กสาวทำให้ขอบตาที่หรี่ลงอย่างหมดแรงนั้นตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง และคำถามนั้นยังดึงความสนใจจากเหล่าเพื่อนร่วมวงหลังห้องให้หันมาสนใจอีกด้วย

           “ทำอะไร…” ยูน่าเอียงคออย่างไร้เดียงสาต่อคำถาม

           “ใช่ เจ้าสิงหื่นนั่นทำอะไรเธอหรือเปล่าเวลาช่วงดึกๆที่คนอื่นนอนหลับไปกันหมดแล้ว หรือว่าไม่ได้ทำ?”

           ยูน่าเอียงคอทวนคำถามในใจราวๆสามครั้งเพื่อคิดหาคำตอบที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ อย่างน้อยก็ให้เลียบๆเคียงๆไม่ให้สิ่งที่ต้องการสื่อเปลี่ยนความหมายไปโดยไม่รู้ตัว

           “ก็ตั้งแต่วันแรกที่ฉันอยู่กับสิงหา…ก็ดูเขาไม่ค่อยเหมือนพระเอกในละครโทรทัศน์เท่าไหร่ ล่ะมั้ง?”

           เห็นได้ชัดว่ายูน่ากลอกสายตาขึ้นบนเป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาตลอดทั้งหนึ่งเดือนครึ่งที่รู้จักเด็กหนุ่มเจ้าของบ้าน และยังไม่น่าเชื่อว่าด้วยเรื่องที่นักเรียนสองคนคุยกันแบบฝ่ายหนึ่งไม่คิดอะไรในขณะที่อีกฝ่ายเครียดจนกรดลงกระเพาะนั้นจะกลายเป็นเครื่องเรียกความสนใจของเพื่อนร่วมห้องไปซะแล้ว

           ถึงแม้ว่าจำนวนคนที่ให้ความสนใจเรื่องนี้จริงๆจะมีไม่ถึงครึ่งห้องก็ตาม อาจเป็นเพราะยูน่าเข้ามาเรียนด้วยกันตลอดเวลาหนึ่งเดือนครึ่งจนรู้จักกันโดยละเอียดแล้วจึงทำให้เธอไม่มีอะไรแปลกใหม่ในสายตาคนรอบข้างแล้วก็ได้

           “คือสิงหาดูเป็นกันเองกับฉันมากไม่เหมือนกับพวกในโทรทัศน์ที่เหมือนพูดไปตามบท เวลาสิงหาไม่พอใจหรือไม่สบอารมณ์อะไรก็เอามาลงกับฉันตรงๆแบบโทโมกิหรือราอุลเลย ไม่เคยเก็บความรู้สึกเอาไว้แบบไอ้หน้าหล่อในโทรทัศน์สักครั้ง”

           --- คือละครโทรทัศน์มันก็ต้องพูดไปตามบทอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ แล้วอีกอย่างไอ้คำว่า’ไม่สบอารมณ์’น่ะเก็บเอาไว้ใช้ในประโยคอื่นเถอะ

 

           “อีกอย่างสิงหาน่ะถึงตอนฉันแอบเข้าไปรื้อไฟล์คอมเล่นจะแสดงสีหน้าเหมือนกินพริกทั้งเม็ดสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่เคยไล่ฉันออกจากห้องสักครั้ง แถมยังเอาแต่พูดย้ำไปย้ำมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า’ยังไงพรุ่งนี้เราไปสนามบินด้วยกันไหม’ทั้งรอยยิ้มอีกด้วยนะ”

           ขอโทษนะครับ แบบนั้นมันหมายถึงโกรธจนอยากจะไล่กลับประเทศไปเลยไม่ใช่เหรอครับ

           “แถมทุกๆเช้าสิงหายังเดินเข้าประตูห้องฉันแล้วจับฉันขยำหนุบหนับๆด้วยนะ แบบนี้แสดงว่าสิงหาจะต้องเป็นพวกขี้เล่นไม่รู้จักโตแน่ๆ แต่แบบนั้นฉันก็ชอบนะ…ชอบสัมผัสอันรุนแรงที่จับบีบ-นวด-คลึงอย่างดุเดือดราวสัตว์ป่านั่นสุดๆไปเลย”

           เด็กสาวผมทองหน้าแดงแจ๋เอามือทั้งสองข้างประกบเข้าที่แก้มขาวนวลเอาไว้พร้อมทำเสียงกรี๊ดในลำคอเบาๆเพื่อระบายความสุขที่เอ่อล้นออกมาให้คนอื่นๆได้รับรู้ด้วย โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะนั้นเหล่าผู้ฟังจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรกันบ้าง

           บางคนหยุดหายใจไปชั่วขณะทั้งๆที่ยังเชื่อมคอช่องคอกับอากาศภายนอกผ่านช่องปาก เพื่อนสาวบางคนเริ่มหน้าแดงเอามือปิดปากพร้อมเปลือกตาที่บีบลงจนดูเหมือนสืบเชื้อสายจากคนจีน ในขณะที่เพื่อนผู้ชายที่คิดเป็นแปดในเก้าของวงถ้ำแอบฟังนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆด้วยลมหายใจเสียงดังฟืดฟาดๆ

           แต่พริบตาเดียวหลังจากนั้นใบหน้าที่มีปฏิกิริยาของสารคัดหลั่งเอ็นดอฟินก็เปลี่ยนไปเป็นผลจากอะดรีนาลินอย่างรวดเร็ว และเมื่อยูน่าลืมตาขึ้นมาหลังจากที่สงบอารมณ์ลงได้นิดหน่อย เหล่าเพื่อนผู้ชายกลุ่มหลังห้องก็หายวับไปในอากาศ

           เสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะต่อเนื่องและรวดเร็วดุจม้าเซ็กเธาว์ก้องไปทั่วทางเดินชั้นสองของอาคารเรียนตรงไปยังเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังประคบประหงมนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นรุ่นน้องด้วยสนับมือที่บดขยี้ลงกลางขมับทั้งสองข้างราวสายลมมัจจุราชที่พัดกระหน่ำดังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตะโกนเรียกห้วนๆจนเขาต้องหันมา

           “ไอ้ส้รติงสิงหา!!”

           อะไรบางอย่างที่ทั้งแข็งและนุ่มในเวลาเดียวกันกระแทกเข้าที่กลางใบหน้าของเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนที่ปล่อยชายเสื้อลงมาอย่างอิสระอย่างหนักหน่วงจนเกิดเป็นเสียงดึง ปึ่ก!

          แล้วผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย นอกจากเสียงดังเหมือนถูกของแข็งกระแทกและแรงสะเทือนตรงศีรษะเท่านั้นเอง

 

 

           “ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกพวกแกนะ… แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยนี่หว่า”

           ใบหน้าสีน้ำตาลออกเหลืองของเด็กหนุ่มมีรอยช้ำสีเขียวประดับอยู่เหมือนพระเอกลิเกที่ถูกตัวละครฝ่ายร้ายชกเข้าที่หน้า… หรือก็คือโดนชกจริงๆนั่นแหละ เขาร้องซี๊ดออกมาทันทีเมื่อแตะเข้าที่รอยปูดสีเขียวแกมม่วงตรงกลางเบ้าตาด้วยความเจ็บที่ไม่ลดลงเลยแม้ว่าจะผ่านมาสองคาบเรียนแล้วก็ตาม

             “ช่วยไม่ได้นี่นา ก็ตอนนั้นไม่รู้ลมที่ไหนมันหอบตัวพวกเราไปโดยที่พวกเราต่อต้านมันไม่ได้นี่นา เนอะไอ้เสือ!”

           เพื่อนชายของผมพยักหน้าให้ชายอีกคนหนึ่งที่เป็นแนวร่วมทดสอบแรงกระทำ=แรงต้านกับใบหน้าของผมและเป็นคนๆเดียวกับที่เริ่มตั้งคำถามกับยูน่าพูดเป็นทำนองหยอกล้อตามประสาเพื่อนฝูง แต่สำหรับผมแล้วมีเรื่องที่รับไม่ได้อยู่อย่างหนึ่ง

           “แต่จะว่าไปเอ็งนี่มันดวงดีใช้ได้เลยนี่หว่า นอกจากจะมีเด็กสาวต่างชาติมาอาศัยอยู่บ้านเดียวกันแล้วยังจะเนื้อหอมในหมู่รุ่นน้องด้วยนะเอ็ง”

           “ใช่ๆ งั้นก็แปลว่าเอ็งไม่ได้ซื่อสัตย์กับองค์หญิงยูน่า เฮโมวิชแล้วตั้งใจจะเปิดฮาเร็มคู่กับรุ่นน้องสาวหน้าตาน่ารักอีกคนใช่ไหม? จะว่าไปมันก็น่าเสียดายจริงๆแหละที่รุ่นน้องคนนั้นดันมีกล้าม ไม่อย่างนั้นนะมึงเอ๊ย!”

           “ก็จะให้บอกอีกสักกี่ครั้งกันว่าฉันไม่ได้สนใจยัยพรีเซนเตอร์ยาบำรุงเลือดนั่นเลย แล้วก็ไม่ได้คิดจะงาบยัยคู่ปรับมิสเตอร์มัสเซิ่ลอย่างที่พวกคุณเอ็งจิ้นกันเอาไว้ด้วย ที่ฉันอยู่กับยัยรุ่นน้องคลั่งเลือดนั่นมาตลอดเทอมหนึ่งนี่ก็เพราะ…”

           ผมเอามือปิดปากที่ไม่มีหูรูดของตัวเองเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะเผลอปล่อยตัวพูดอะไรไม่เข้าท่าไปมากกว่านี้ เพราะเรื่องที่ราเคยเป็นหัวขโมยที่ก่อคดีสองครั้งเลิกนั้นจะให้ระคายไปถึงหูคนอื่นไม่ได้ และเผลอๆหากผมพูดเรื่องนั้นออกไปมันจะยิ่งแย่สำหรับผมยิ่งกว่าวันเปิดเทอมวันแรกที่ยน่าก่อเรื่อง (โดยไม่รู้ตัว) จนกลายเป็นข่าวลือไปทั่วทั้งระดับชั้นว่าผมกับยัยนั่นแอบทดสอบระบบกระจายพันธุ์ในตอนกลางคืนที่บรรยากาศเป็นใจเสียอีก

 

           ประมาณว่า--- “คุณหัวขโมยครับ คุณจะขโมยหัวใจกระผมไปไปเพื่อ!!” แบบนี้แหละ

 

           เพราะเช่นนั้นเองที่ทำให้ผมต้องทำตัวเป็นอาถรรพ์ห้องเรียน3-3เดินกลับบ้านพร้อมกับยูน่าในบ่ายวันนั้นอย่างสงบเสงี่ยมโดยที่ทิ้งกิจวัตรอันแสนน่ารำคาญเอาไว้เบื้องหลัง เพราะถ้าผมยังดึงดันจะชวนยัยราเดินไปยังศูนย์การค้าตลาดสดหลังโรงเรียนมันคงไม่ใช่อะไรที่น่ายกย่องเลยสักนิด กลับกันจะทำให้รอยช้ำที่เบ้าตาของผมเกิดการแบ่งเซลล์ครอบคลุมดวงตาอีกข้างไปด้วย

           แต่ก็ใช่ว่าผมจะเลินเล่อปล่อยให้ครึ่งวันนี้จบไปอย่างเปล่าประโยชน์ ในเมื่อหลังจากที่รุ่นน้องผมเหมือนทอมฮะเสร็จธุระเรื่องคอลัมน์ทำนายดวงชะตากับผมแล้ว ในระหว่างที่ยัยบิทช์กำลังคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องกับเพื่อนร่วมจัดหารายได้ช่วงวันหยุดอย่างสบายอารมณ์ ผมก็ได้กระทำการบางอย่างที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพทางจิตของตัวผมเองให้เด็กผู้หญิงคนนั้นได้มีส่วนร่วม

           เด็กผู้หญิงที่มีคดีความติดตัวคนนั้นแหละ...

           ‘รา พรุ่งนี้หลังเลิกเรียน เธอพอจะมีเวลาว่างหรือเปล่า’

           ผมถามออกไปในขณะที่ แต่คำตอบที่ได้ออกมาจากสีหน้าที่มองเฉียงมาปานจะเชือดคอกันให้ได้ทำให้ผมรู้สึกอ่อนใจ

           ‘ทำไม? มาถึงป่านนี้แล้วแกยังจะเอาอะไรมาขู่ฉันอีก นี่ถ้าฉันไม่ติดเรื่องที่ต้องเว้นระยะเอาไว้สองปีให้การรอลงอาญาหายไปก่อนแล้วจะให้ฉันจัดการแกตรงนี้เลยก็ยังได้’

           ราพูดประโยคนั้นออกมาดูใบหน้าที่ดูไม่ซีเรียสอะไรเลยสักนิด ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะมีนักเรียนจำนวนมากแห่ทะลักออกมาจากห้องเรียนในช่วงพักครั้งสุดท้ายก่อนจะเลิกเรียนในอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ตาม หรือคงเป็นเพราะชัยภูมิดีที่สิงหาเลือกใช้เป็นตำแหน่งประจำในการพูดคุยระหว่างเขากับเธอช่วยไม่ให้มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของบทสนทนานี้ก็เป็นได้

 

           --- หน้าห้องเรียนที่คนในห้องไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างสักเท่าไหร่ “มัธยมศึกษาปีที่ห้าห้องหนึ่ง”

 

           ‘ไม่เอาน่า ก็ไหนเมื่อเดือนที่แล้วเป็นคนสัญญาเองว่าจะไม่ขุดเอาเรื่องนี้มาพูดอีกแล้วไง’ สิงหาทำสายตาเหมือนปลงในชีวิตให้เด็กสาวดู ถึงจะได้กลับมาเพียงดวงตาที่ยังแน่วแน่ในคำพูดก่อนหน้านี้อย่างคงเส้นคงวาเท่านั้นก็ตาม

           ‘แค่พูดเล่นมันจะเป็นอะไรนักหนา เอ้า! มีธุระอะไรก็ว่ามา ไม่อย่างนั้นฉันจะกระซวกท้องแกให้โรงงานทำไส้กรอกลดต้นทุนผลิตลงอีกหน่อยซะตอนนี้เลย’

           สุดกู่แล้วครับรุ่นน้องคนนี้…

           ‘เอาตรงๆเลยก็แล้วกัน… วันพุธพรุ่งนี้ฉันว่าจะพาเธอไปเดินเล่นที่ห้างสักหน่อย ถ้าเธอไม่ติดธุระอะไรนะ’

           ผมพูดออกมาตรงนั้นเลยถึงแม้ว่าจะมีสายตาไม่ไว้วางใจจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียวก็ตาม แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเป็น’ยัยนี่เป็นโจรงัดบ้าน’มันก็อีกเรื่อง

           ’ตรงไปตรงมาสมกับเป็นคุณผู้เสียหายซะเหลือเกินนะ… เอาสิ! ฉันก็อยากจะลองมองโลกในมุมมองของคนมีเงินดูบ้างเหมือนกัน ว่าแต่…อย่าเบี้ยวเชียวนะ ไอ้รุ่นพี่เฮงซวย’

           ราชี้นิ้วเป็นทำนองข่มขู่ใส่ผมจนรู้สึกเริ่มจะทนอยู่ตรงนั้นต่อไม่ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว จนกระทั่งเริ่มสัมผัสได้ถึงการสั่นพ้องของอากาศที่ต่างออกไป กับเสียงฝีเท้าของคนสองคนที่วิ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด

 

            ‘ไอ้ส้รติงสิงหา!!!’

 

 

           สตินึกคิดของผมขาดช่วงลงเพียงเท่านี้พร้อมกับสัมผัสอันแสนปวดร้าวที่จู่โจมมายังเบ้าตาขวาของผมอีกครั้งหนึ่ง และประสาทรับกลิ่นของผมก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่มีความชื้นสะสมสูงมากจนหายใจไม่สะดวก ก่อนจะมาคิดได้ทีหลังว่ามันอาจจะเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ซับน้ำจนชุ่มที่เด็กสาวผมทองเอามาประคบแผลให้ก็ได้ เพราะถัดจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงใสๆที่ผมไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด

           “จะว่าไปนายนี่ก็ชอบหาเรื่องใส่ตัวซะเหลือเกินนะ แบบนี้นายจะตายเอาได้นะถ้าไม่มีฉันอยู่ด้วย”

           “แล้วคิดว่าที่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเป็นเพราะใครกันฟะ! แล้วไอ้’จับฉันขยำหนุบหนับๆ’นั่นมันอะไรกัน แถมยังมีบีบ-นวด-คลึงให้ด้วยนี่กะจะให้ฉันตกเป็นจำเลยสังคมแบบดันตัวไม่ขึ้นเลยหรือไง!!”

           “ก็นะ ถ้าตอนนั้นไม่ได้นายช่วยขยำให้ก็คงยังไม่ตื่นนั่นแหละ แล้วที่ขึ้นเสียงนั่นหมายความว่ายังไง”

           “ก็ตอนนั้นถ้าฉันไม่ดึงแก้มเธอให้กว้างขนาดนั้นก็คงไม่ตื่นนั่นแหละ แล้วก็ไม่ต้องทำมาเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยเลยนะ! ฉันยังจับเธอเทศน์ไม่จบ”

 

           ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะมีเสียงนินทาพวกเราว่าอย่างไรกันบ้าง แต่ตอนนั้นผมจับยูน่าเทศนาบนทางเท้าหน้าโรงเรียนจริงๆจนผมเริ่มได้ยินเสียงใครหลายต่อหลายคนพูดถึงการกระทำของผมทำนองว่า โห ไอ้นี่แม่งตะโกนด่าผู้หญิงเว้ยเฮ้ย’ หรือไม่ก็ ‘น่าสงสารเด็กผู้หญิงคนนั้นนะ ดูซิไม่ทันไรสันดานต่ำๆของแฟนก็ออกลายซะแล้ว ถ้าคบกันจริงๆจะไปรอดเร้อ..!’

 

           ดูเหมือนพวกคุณจะชอบเน้นเสียงตรงคำว่า ’ต่ำ’ ซะเหลือเกินนะ ลองพวกคุณมาเป็นผมคงจะพอเข้าใจนะว่ากับยัยบิทช์น่ะถ้าไม่ขึ้นเสียงใส่ก็ไม่ฟังหรอก เหมือนกับพวกสุนัขที่จะได้ใจมากขึ้นเมื่อเจ้าของพูดเสียงอ่อนไม่ว่าเนื้อความจะเป็นการด่าอย่างรุนแรงเท่าไหร่ก็ตาม แต่พวกนั้นก็แสนรู้ดีนะ…

           ไม่แน่ว่ายูน่า เฮโมวิชกับสุนัขพันธุ์สปิตช์อาจสืบสายพันธุ์มาจากบรรพบุรุษเดียวกันก็ได้

           กลางดึกคืนนั้นเองที่เหตุหายนะได้ก่อตัวเป็นหมอกดำที่ไม่อาจมองเห็นได้เหนือหลังคาบ้านของผม ในเมื่อผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้โรงเรียนที่สุด อีกทั้งยังไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ตรงส่วนไหนของผืนมหาทวีปยูเรเซียนี้เช่นกัน

           และคอมพิวเตอร์ที่น่าจะเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของผมได้ก็ถูกยึดอำนาจไปซะแล้ว…

 

                     “ไม่เอาน้า..! ก็นายบอกเองว่าให้ฉันมาใช้คอมของนายเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่เหรอ มาทำแบบนี้มันไม่สมกับที่เกิดมาเป็นผู้ชายเลยสักนิด”

           ผมเพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้เองว่าแรงบ้าของยัยบิทช์ในสภาพปลดปล่อยเต็มที่มีมากขนาดไหน เธอเล่นเกาะโต๊ะอ่านหนังสือของผมเอาไว้แน่นราวกับทากาวตราช้างสามชั้นแล้วโบกซีเมนต์ทับจนใช้ผมแรงทั้งหมดก็ยังไม่สามารถทำให้นิ้วของเธอเลื่อนออกได้เลย ทางฝั่งผู้รุกรานยามค่ำคืนเองก็ส่งเสียงร้องโอดครวญจนฟังไม่เหมือนกับภาษาไทยที่ผมฝึกให้เธอทุกคืนแม้แต่น้อยเช่นกัน

           “ตอนนั้นฉันบอกเองว่าให้เธอมาใช้คอมได้ก็จริง แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของฉันด้วยไม่ใช่เหรอ เลิกทำบ้าๆแล้วให้ฉันใช้คอมของตัวเองทำงานก่อนเถอะน่า!”

           “งานอะไรไม่เห็นอาจารย์จะสั่ง แล้วนายเองก็สมัครใจให้ฉันมาใช้ด้วยไม่ใช่หรือไง! เพราะงั้นวันนี้ก็ให้ฉันเล่นคอมของนายเถอะนะ”

           “แล้วไม่ใช่เพราะเธอใช้เวลาเกือบทั้งวันอยู่กับคอมหรอกเหรอที่ทำให้ค่าไฟเดือนที่แล้วออกมาแพงกว่าปกติน่ะ เป็นโฮมสเตย์ก็ทำตัวให้มันดีๆหน่อย”

            “ฉันไปดูบิลค่าไฟเมื่อสองเดือนที่แล้วของนายมาแล้ว! มันแทบจะไม่ต่างกันเลยไม่ใช่เหรอ เพราะอย่างนั้นถึงฉันจะเล่นสักเท่าไหร่ก็ไม่เห็นเกี่ยวเลยนี่ นายก็ใช้เวลาตอนที่ฉันกลับห้องนอนผ่อนคลายความตึงเครียดแบบคนหล่อก็ได้นี่!”

           ผมสีน้ำผึ้งสะบัดไปมาตามแรงเขย่าที่ผมกับเธอยื้อชักเย่อร่างกายจนดูเหมือนกับหางสุนัขที่กระดิกตามอารมณ์ของเจ้าตัว ส่วนหน้าอกที่เหมือนกับไม่ได้ใส่อะไรยึดเอาไว้ก่อนจะใส่เสื้อนอกทับลงไปก็กระเพื่อมเป็นลูกคลื่นเช่นกันจึงทำให้ผมต้องหลับตาปี๋เวลาดึงขายัยบิทช์ให้ออกไปจากห้องของผมโดยเร็วที่สุด

           แน่นอนว่าวันนี้ก็ไม่มีการบ้านเพราะอาจารย์ทุกคนไม่ได้ใส่ใจจะสอนห้องพวกเราสักเท่าไหร่

           ถึงอย่างนั้นเส้นตายที่กระชั้นชิดยิ่งกว่าสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า”การบ้าน” ก็เขยิบใกล้เข้ามาทุกขณะ ในเมื่อผมเป็นฝ่ายนัดราเอาไว้เอง จะให้ผมก้มหน้าสำนึกผิดไปบอกว่าขอยกเลิกนัดก็คงไม่ใช่เรื่อง

           กลับกันช่องท้องของผมคงจะมีรูพรุนกระจายโดยทั่วเหมือนชายหนุ่มผู้บรรลุสกิลเรือสวยเป็นแน่!

 

           แต่ไม่ว่าผมจะใช้วิธีโน้มน้าวเธอสักเท่าไหร่ คุณผู้หญิงนามยูน่า เฮโมวิชก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยมือออกจากขอบโต๊ะเลยสักนิด และยิ่งจะจับแน่นขึ้นด้วย จนในที่สุดผมก็ต้องใช้ไม้ตายสุดท้ายเพื่อที่จะรักษาเอาไว้ซึ่งแสงอรุณแห่งวันมะรืนให้ส่องเข้ามายังดวงตาของผมอีกครั้ง

           “ยูน่า… ฉันจำเป็นต้องใช้คอมจริงๆ เพราะอย่างนั้นขอฉันใช้คอมเถอะนะ”

           “เป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดเทอมมาเลยนะที่นายยอมเรียกชื่อจริงของฉัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ให้นายใช้คอมอยู่ดี หรือจะให้ฉันแฉเรื่องไฟล์รูปที่เก็บสะสมเอาไว้ในโฟลเดอร์ <จิตวิทยาแห่งฆาตกรสังหารหมู่> ต่อหน้าเพื่อนทุกคนในห้องดีล่ะ เอาแบบนั้นก็ไม่เลวนะ”

          ยูน่าพูดพร้อมทำสีหน้าเหมือนได้รับชัยชนะมาครึ่งหนึ่งทำให้ผมเก็บความรำคาญเอาไว้ไม่ไหวแล้ว เสียงของผมถูกปรับให้ดังขึ้นโดยที่ตัวผมเองก็ควบคุมไม่ได้

           “แล้วถ้าฉันบอกว่าพรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปเดินห้างหลังเรียนเสร็จ เธอจะยอมฟังฉันหรือเปล่า!”

          ผมเพิ่งจะรู้ตัวเอาทีหลังว่าพูดอะไรออกมาบ้าง ผมหลุดปากพูดคำๆนั้นออกมาจนได้ และด้วยอานุภาพการทำลายที่เหนือชั้นของวาทะนั้นเองที่ทำให้หน้าอกที่สั่นขึ้นลงตามแรงฮึดอยากเล่นคอมห้อยลงเป็นเต้าอย่างสวยงาม แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะดูมันหรอกนะ

           “นาย…พูดจริงงั้นเหรอ นายจะพาฉันไปจริงๆเหรอ?” สีหน้าของยูน่าบ่งยอกว่าเธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่สามารถเรียกคำพูดเมื่อครู่กลับมาได้แล้ว จึงมีแต่จะต้องเล่นไปตามน้ำเท่านั้น

           “เออ ฉันพูดจริง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนขอแค่ให้ฉันได้ใช้คอมคืนนี้ทั้งคืนได้หรือเปล่า”

           จากดวงตาลามไปสู่ใบหน้าและทำปฏิกิริยาลูกโซ่ไปจนทั่วทั้งร่าง ยูน่าส่งสายตาเป็นประกายให้ผมทันทีหลังจากที่ยืนยันคำพูดเดิมเป็นที่เรียบร้อย เธอค่อยๆคลายมือออกจากขอบโต๊ะไม้สีน้ำตาลแก่จนร่วงลงสู่พื้นด้านล่างอย่างอิสรภาพด้วยท่าทีสงบนิ่งจนผมเห็นว่าน่าจะปล่อยขาเธอได้แล้ว

           และก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อจากนี้ได้อีก เด็กสาวผมทองก็ดันตัวลุกขึ้นจากพื้นหันหน้ามาทางผมจากด้านล่างจนผมต้องหลบหน้าไปอีกทาง เพราะเธอเล่นเอามือทั้งสองข้างสอดเข้าไปแนบพื้นระหว่างขาจนเสริมเนินให้ดูเด่นขึ้นไปอีก

           “นายพูดจริงเหรอ? ไม่ได้โกหกกันใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นฉันจะยอมให้นายใช้คอมตลอดทั้งวันเลย แต่เพื่อแลกกันนายต้องฆ่าล้างครัวลูกตัวเองให้ฉันดูด้วยนะ!”

           เด็กสาวพูดออกมาโดยไม่คิดอะไร ทั้งๆที่ผู้ชายอย่างผมอายจะแทบแทรกแผ่นกระดานหนีอยู่แล้ว

           “ฉันไม่โกหกเธอหรอกน่า ถึงเธอจะน่ารำคาญเท่าไหร่ก็เถอะ… เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เรียนเสร็จพวกเราไปกันเลยไหมล่ะ หรือว่าจะกลับบ้านเปลี่ยนเสื้อก่อนแล้วค่อยไป แต่ฉันไม่ฆ่าลูกตัวเองให้เธอดูหรอกนะ”

           “อืม! เอาเป็นเรารีบไปกันเลยดีกว่านะ แล้วเรื่องที่นายต้องสวมบทฆาตกรสังหารหมู่ก็ยังต้องทำต่อไปนะ”

           แม้จะทำข้อตกลงกับเด็กสาวได้แล้ว แต่ผมก็ต้องต่อล้อต่อเถียงกับเธอเรื่องการสังหารหมู่ประชากรนับล้านอยู่จนหมดเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง จนในที่สุดเธอก็ยอมยกเลิกข้อตกลงนั้นโดยเปลี่ยนมาเป็นให้ผมลงไปดูละครโทรทัศน์เป็นเพื่อนเธอจนกว่าจะจบแทน

           ผมตกลงกับยูน่าไว้ว่าจะออกเดินทางทันทีหลังจากที่คาบสุดท้ายสิ้นสุดลง ซึ่งตารางเวลานี้ไม่ชนกับเวลาว่างของราอย่างแน่นอนเพราะในวันพุธคาบเรียนของระดับมัธยมปลายจะสิ้นสุดลงในตอนเที่ยงวันทำให้พวกเรามีเวลาไปเที่ยวมากกว่าวันอื่นๆ และโดยเฉพาะเมื่อนำมารวมกับราคาตั๋วหนังที่ลดในวันนั้นอีกจึงทำให้เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักเรียนในห้องล่างๆอย่างพวกเรา

 

           --- พวกเราทั้งสามคนนั่นแหละ

 

           ตั้งแต่ที่ผมทำตามข้อเรียกร้องของยูน่าที่ต้องการให้ผมลงมาดูละครด้วยกันที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ผมก็รู้สึกว่าเข็มยาวของนาฬิกาหมุนช้ากว่าปกติ หลังจากที่อุตส่าห์ถ่างตาดูละครโทรทัศน์อันแสนน่าเบื่อเป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่รู้เพื่อให้สัญญาที่ยูน่าให้เอาไว้ได้ผล ในที่สุดละครโทรทัศน์ที่ยูน่าติดแจก็จบลงในเวลาสี่ทุ่มครึ่ง แต่ถึงจะได้ดูตั้งแต่ช่วงต้นตอนไปจนถึงตัวอย่างตอนต่อไป ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าละครเรื่องนี้มีอะไรดีถึงทำให้ยูน่าติดได้ขนาดนี้

           ละครเรื่องนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มวัยทำงานคนหนึ่งที่ได้จับพลัดจับผลูมีลูกน้องที่ทำงานเป็นพนักงานชาวต่างชาติ เธอคนนั้นมีหน้าที่เป็นเลขาฯให้กับเจ้านายขี้วีนเจ้าอารมณ์ร้อนที่วันๆเอาแต่สั่งงานเขี้ยวลากดินให้คนอื่นทำตามไม่เว้นกระทั่งนางเอกน่าสงสาร เรื่องนี้จบลงที่นางอิจฉาหนองโพเข้ามายืนยันสถานะคู่หมั้นของพระเอกพร้อมตบกันได้ทุกเมื่อ

           ในใจของผมตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าถ้าสองนางนี้เปลี่ยนจากฉากตบมาเป็นฆ่ากันจริงๆแบบแอสเOOย ปะทะ คาOOส หรือชีวิตประจำวันระหว่างผมกับรามันคงจะสนุกกว่านี้มาก แต่ละครชิงความนิยมจากกลุ่มคนดูที่เป็นผู้หญิงก็มีพล็อตเป็นแบบนี้ล่ะนะ

           “จบสักที… แบบนี้ฉันคงกลับไปนอนได้แล้วล่ะมั้ง เธอเองก็เหมือนกันถ้ายังไม่ไปนอนเดี๋ยวจะสู้’บิทช์’คนอื่นไม่ได้นะ”

           ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้พับเตรียมเอามันไปเก็บที่ใต้หน้าต่างที่เคยโดนรางัดเข้ามาเมื่อครั้งก่อนเพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำขึ้นอีก เว้นแต่ว่าจังกวะที่ผมกำลังกลับตัวนั้นเองที่ไหล่ของผมถูกอะไรบางอย่างรั้งเอาไว้

           ก่อนจะตามมาด้วยแรงเหวี่ยงอันมหาศาลจนล้มกลิ้งไปกับพื้น แล้วจึงตามมาด้วยสัมผัสเดจาวูที่ท้องของผมถูกกดทับด้วยน้ำหนักตัวของใครบางคน

           ยูน่าขึ้นมาอยู่ด้านบนตัวของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เธอค่อยๆโน้มตัวลงมาจนริมฝีปากของผมสัมผัสได้ถึงกระแสลมอุ่นจากร่างของเธอกำลังลูบไล้ไปโดยทั่ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมมีอาการเชินเวลาถูกยูน่าจ้องในระยะประชิด และไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เด็กสาวผมทองที่ดูสงบเสงี่ยมในวันแรกที่เจอกันเปลี่ยนไปเป็นฝ่ายรุกได้ถึงเพียงนี้ สมกับชื่อเล่นที่ผมตั้งให้กับเธอจริงๆ…

           ยูน่าขยับริมฝีปากอันอวบอิ่มของเธอพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างออกมาจนจมูกของผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนกับเพิ่งแปรงฟันมาหมาดๆโชยไปถึงก้านสมองจนผมเริ่มหลงใหลในกลิ่นของเด็กสาวที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเสียแล้ว เดี๋ยวก่อนนะ!

           “ฉันทำแบบนี้แล้ว…นายรู้สึกยังไงบ้าง?” สิ่งที่เธอพูดออกมาทำให้เด็กหนุ่มในวัยกระจายพันธุ์อย่างผมอึ้งไปชั่วขณะ

           “ขอใช้สิทธิ์ทวนคำถามอีกรอบ เมื่อกี้…เธอว่าอะไรนะ”

           ผมพยายามรวบรวมความคิดจากเซลล์สมองที่ไม่ได้ถูกเปิดใช้งานมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่สอบเข้าเรียนต่อช่วงชั้นที่สี่หวังจะให้สิ่งที่ผมได้ยินนั้นเป็นเพียงเงาหลอนยามค่ำคืนเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่หากมันเป็นเช่นนั้นจริงเรื่องจะยิ่งน่ากลัวกว่านี้เยอะ

           “นายไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไง ฉันน่ะไม่ได้หน้าด้านขนาดที่จะนอนอยู่บนตัวผู้ชายได้นานๆนะยะ ฉันถามว่านายรู้สึกยังไงบ้างที่มีฉันนอนนาบหน้าอยู่น่ะ”

           ไม่ต้องสังเกตก็รู้ว่าสีหน้าของยูน่านั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากผมเลย เพียงแค่ผมจะออกอาการอายมากกว่าหลายสิบเท่าเพราะความนุ่มนิ่มระดับBaOOnce Breaker หรือ ดาวOOOวงจักรยังไม่สามารถเทียบเคียงได้ และนี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตของผมก็ว่าได้ที่มีผู้หญิงอยู่ใกล้ตัวในระยะที่หากยื่นหน้าออกไปเพียงหน่อยเดียวก็สัมผัสกับริมฝีปากของเธอได้

           และครั้งแรกของผมนั้นก็ผ่านเลยมานานมากจนแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นใครเป็นคนทับ และมันเป็นช่วงเวลาไหนของชีวิตกันแน่ แต่จะมีเพียงสิ่งเดียวที่นึกออกก็คือ --- ภาพของคนที่เหมือนกับจะเป็นพ่อแม่ของผมกำลังมาปากเสียงกันอยู่ โดยมีพี่เลี้ยงหน้าตาไม่คุ้นกำลังยืนดูอย่างสบายอารมณ์

           “.…ออกไป….”

           เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะความสยึ๋มกึ๋ยนี้ราวกับจะต่อต้านการกระทำอันไร้ยางอายในฐานะนักเรียนอย่างสุดกำลังเสียง และถ้าหากจะมีใครอื่นในบ้านหลังนี้นอกจากผมไปได้อีกก็ขอให้มันออกมาปรากฏตัวให้เห็นหน่อยเถอะ

           “ลุกออกไปซะก่อนที่ฉันจะยกเลิกสัญญา ยัยบิทช์!”

           ชั่วพริบตาก่อนที่เด็กสาวผมทองจะรู้สึกตัว แขนของผมก็ขยับไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติผลักร่างของเธอออกไปจากท่านอนคร่อมอย่างสุดกำลังจนล้มลงไปนอนหงายกับพื้นเป็นสัญญาณว่าเธอแพ้แล้ว หางตาของผมสังเกตเห็นเธอกำลังทำหน้ามู่ทู่เหมือนกำลังไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งผมไม่อาจเอ่ยถามเธอได้เลย

           ได้ยินเพียงเสียงที่เบาราวกับกระซิบกับตัวเองดังมาจากรูจมูกที่เชื่อมต่อกับหลอดลมดังออกมาเป็นเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์

           “ไก่อ่อนชะมัด… แต่ก็ยังดีกว่าถ้านายเกิดระงับความบ้าคลั่งภายในไม่ได้ล่ะนะ”

 

 

           วันต่อมาระหว่างที่อยู่ในห้องเรียนรวมถึงช่วงพักเที่ยงที่พวกเราจะถูกจับให้นั่งด้วยกันกลายเป็นคู่จิ้นให้บรรดาเพื่อนร่วมชั้นล้อกันเล่นๆ ยูน่าก็ไม่ได้คุยอะไรกับผมเลย จะมีก็เพียงแววตาที่เหมือนกับจะสื่อว่ากำลังเก็บเสียงเอาไว้เที่ยวด้วยกันในอีกไม่กี่นาทีจากนี้ถูกส่งออกมาเท่านั้น

           และแล้วช่วงเวลาที่ผมไม่ได้รอคอยเลยก็มาถึง เมื่อผมเพิ่งจะมานึกได้เมื่อครู่นี้เองว่าจะให้ยัยรามาเจอยูน่าที่เป็นหนึ่งในสมาชิกในบ้านที่ถูกเธอเข้าไปขโมยของไม่ได้เด็ดชาด ซึ่งมันก็สายเกินไปแล้ว…

           “สิงหา… เราไปเที่ยวกันเลยเถอะ ขืนชักช้าห้างเต็มซะก่อนพวกเราก็อดเข้ากันพอดี” เสียงใสๆดังขึ้นอย่างไร้เดียงสา

           “ขอถามสักอย่างเถอะ ที่สวิสฯไม่มีห้างสรรพสินค้าหรือยังไง เรียกซะอย่างกับรถเมล์หรือรถตู้บขส.ไปได้ เอาเถอะ…พวกเรายังต้องรออีกคนนึงนะ”

           “อีกคน? นี่แปลว่านายไม่ได้จะชวนฉันไปเดทสองต่อสองหรอกเหรอ เชะ..!”

           ยูน่าสบถออกมาเป็นสำเนียงแถบสแกนดิเนเวียก่อนจะบ่นภาษาประจำชาติของเธอที่ผมฟังไม่ออกและไม่มีวันตามความเร็วทันออกมาเป็นชุด หากเอาเครื่องวัดความถี่มาตรวจจับคำที่เธอบ่นออกมาก็คงจับได้ประมาณ 6-7 คำต่อสิบวินาทีได้เลยมั้ง

           ผมรอแล้วรอล่าจนเวลาผ่านไปราวๆ เกือบครึ่งชั่วโมง จนในที่สุด ตัวการที่ทำให้กำหนดการของผมต้องล่าช้าก็ปรากฏตัวออกมาจนได้ ในสภาพที่ไม่น่าดูชมเท่าไหร่…  เพราะรุ่นน้องตัวปัญหานั้นเล่นพาเพื่อนของเธอมาร่วมในการเที่ยวเล่นครั้งนี้ด้วย

           “ดูเหมือนว่าแกจะไม่ได้ตั้งใจจะล่อลวงฉันไปทำอะไรนะ แบบนี้สิค่อยน่าสนุกหน่อย”

           ราแสยะยิ้มที่น่าสยดสยองพอๆกับเมื่อครั้งที่ชักมีดพกออกมาเล่นงานผมเมื่อเดือนที่แล้วออกมาข่มรุ่นพี่อย่างผมได้สนิท ผิดกับเพื่อนสาวของเธอที่ยิ้มออกมาได้น่ารักอย่างเป็นธรรมชาติ และกลับจะยิ่งสดใสกว่ารอยยิ้มของยูน่าเมื่อคืนนี้เสียอีก

 

           ใช่ครับ… เพื่อนสาวของเธอ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา