Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง

-

เขียนโดย MightySoul

วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.

  26 บท
  0 วิจารณ์
  24.82K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่ 9 วันแห่งการเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 9

วันแห่งการเริ่มต้น

ในที่สุดเช้าวันเสาร์ก็มาถึง ผมไม่อาจปฎิเสธได้เลยว่ามันไม่ได้แตกต่างอะไรกับวันธรรมดาเลย เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นปลุกให้ลุกจากที่นอนด้วยสภาพงัวเงีย ก่อนที่จะลากสังขารไปทำธุระส่วนตัว แต่ถ้าวันนี้เป็นวันธรรมดาๆจริงๆล่ะก็...คงไม่มีหญิงสาวคนหนึ่งมาเคาะประตูเรียกขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่อย่างนี้

“ฟีลซังๆ ตื่นรึยังค่ะ นาโอะซังเขานัดไว้ 7 โมงเช้านะคะ เดี๋ยวก็สายหรอก” เสียงใสๆแต่กลับทรงพลังของอากิ ทะลุผ่านกำแพงห้องน้ำเข้าไปในโสตประสาทจนแทบจะล้มลงไปกองบนพื้นห้องน้ำ

“ตะ...ตื่นแล้ว อากิจัง ผมกำลังอาบน้ำอยู่”

“รีบหน่อยนะคะ นี่ก็ 6 โมงครึ่งแล้ว เดี๋ยวจะเตรียมตัวไม่ทัน”

“รู้แล้วน่าๆ”

ผมรีบอาบน้ำเป็นการใหญ่เพราะเห็นว่าเวลางวดเข้ามาทุกที หลังจากทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรบางอย่าง

“เอี!!! ยังไม่ได้จัดกระเป๋าเลย!!!”

“จัดให้แล้วล่ะค่ะ...” เสียงของอากิทะลุผ่านประตูห้องเข้ามาแทบจะทันทีกับที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น

“ห๊ะ ว่าไงนะ”

“จัดให้แล้วล่ะค่ะ กระเป๋าน่ะ” เธอชี้ไปที่กระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง

“...จัดให้ผมตอนไหนครับเนี้ย”

“เมื่อวานเองค่ะ ฉันว่าแล้วว่าฟีลซังที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของตัวเอง จะต้องลืมจัดกระเป๋าแน่ๆ” อากิหัวเราะคิกคักเบาๆคล้ายดีใจว่าสิ่งที่ตัวเองคาดการณ์ไว้นั้นถูกต้อง

“ขอบคุณนะ อากิจัง”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

ผมเดินลงจากบันไดเมื่อเห็นว่านาฬิกาใกล้จะตีบอกเวลา 7 โมงเช้า แต่กลับมีเสียงผู้หญิงจากชั้นสองที่ผมเพิ่งเดินลงมาดังขึ้น

“ฟีลซัง ลืมกระเป๋า!!!” อากิรีบวิ่งลงมาพร้อมกับกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น

“อ้อ โทษทีๆ” ผมยื่นมือไปหยิบพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ

“จะรอดไหมคะเนี้ยฟีลซัง”

“ไม่รู้สิ”

หลังจากล่ำลาอากิและคุณลุงเจ้าของร้านเสร็จแล้ว ผมก็ออกไปยืนรอหน้าร้านเพื่อรอหญิงสาวที่น่าจะปรากฎตัวในอีกไม่ช้านี้

และดูเหมือนว่าความคิดของผมจะถูกจริงๆ

นาโอะวิ่งมาด้วยท่าทางรีบร้อน ผมสั้นเสมอหัวไหล่ปลิวไสวตามแรงลม แว่นกันแดดสีดำที่แทบจะปิดใบหน้าได้ทั้งหน้ายังคงเป็นเครื่องประดับสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับเธอ

“โทษที มาช้าไปหน่อย รีบไปกันเถอะ” ยังไม่ทันจะพูดอะไร นาโอะก็ลากแขนของผมไปตามแรงของเธอ ราวกับกำลังรีบร้อนอะไรบางอย่าง

“ดะ...เดี๋ยวสิ พี่สาว ไม่เจอกันพักหนึ่ง ก็แรงเยอะขึ้นมากเลยนะ”

“นายก็เหมือนกัน ไม่เจอกันพักนึงกวนขึ้นมากเลยนะ” นาโอะพูดถึงแม้จะยังออกแรงดึงผมให้เดินตามอยู่ก็ตาม

“ผมเดินเองได้ พี่สาวไม่ต้องลากผมหรอก” ผมพยายามหาข้อแก้ตัว เพื่อให้มือขาวๆที่ติดอยู่ให้ปล่อยออกไป เนื่องจากเริ่มมีผู้คนจำนวนหนึ่งซุบซิบแถมมองมาด้วยสายตาแปลกๆ

“ไม่ได้ๆ มีเวลาไม่มาก”

“ผมว่าพี่สาวยิ่งลาก ยิ่งช้านะ ให้ผมเดินเองดีกว่าน่า” ทันทีที่คำพูดจบ นาโอะก็ปล่อยมือทันที จนผมทรงตัวไม่ทัน ล้มลงไปนอนกับพื้นฟุตบาตที่มีผู้คนเดินยั้วเยี้ยไปมา

“นั้นสินะ นายเดินเองก็แล้วกัน เร็วๆล่ะ” นาโอะหันมามองเบื้องหลัง ที่มีผู้ชายคนหนึ่งนอนติดอยู่กับพื้น

“พะ..พี่สาว จะหยุดลากก็บอกหน่อยเถอะ”

“ขะ...ขอโทษ” นาโอะทำหน้าสำนึกผิด ก่อนที่จะช่วยพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นมาได้

แต่การที่เธอเข้ามาชิดใกล้ ทำให้นาโอะสังเกตเห็นบาดแผลและลอยถลอกมากมายตามตัวที่เจอกันครั้งที่แล้วยังไม่มี

“นายมีความสุขมากใช่ไหม ที่ได้แผลพวกนี้มาน่ะ”

“อากิ เล่าให้ฟังเหรอ” ผมแปลกใจไม่น้อยที่นาโอะรู้เรื่องนี้ ซึ่งหมายความว่าตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น อากิและนาโอะติดต่อกันอยู่ตลอด

“อืม เธอเป็นห่วงนายมากเลยล่ะ ชอบโทรมาบ่นกับความบ้าๆบอๆของนายอยู่เรื่อย”

“งะ...งั้นเหรอ งั้นฝากพี่สาวขอโทษเธอด้วยก็แล้วกัน”

“ไม่เอา จะขอโทษก็ไปขอโทษเอง ฉันไม่ใช้โทรศัพท์สื่อกลางสักหน่อย” นาโอะเดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้ผมที่กำลังเจ็บขาจากการล้มเมื่อกี้เดินตามทัน

“ว่าแต่พวกนายสองคนนี่มันดีจริงๆเลยน่า เป็นห่วงกันซะจริง” นาโอะเมื่อเห็นว่ามีช่องโหว่ที่จะแกล้ง เธอก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ

“แหม ก็อากิทั้งน่ารัก ทั้งใจดีนี่นา จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงหล่ะ” ผมตัดสินใจเดินตามเกมของหญิงสาว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่อยากแกล้งผู้หญิงตรงหน้าซะจริง

“อ้าวๆยอมรับแล้วสินะ ว่าแอบชอบอากิอยู่น่ะ”

“ครับ ผมชอบอากิอยู่”

นาโอะดูท่าจะประหลาดใจกับคำตอบที่เธอได้ สุดท้ายเกมนี้ผมก็ชนะ สิ่งที่นาโอะอยากได้คือคำปฎิเสธซึ่งจะเข้าแผนการแกล้งของเธอที่วางไว้ในหัว ซึ่งผิดกับสิ่งที่ผมตอบออกไป

“อะ...เอาจริงดิ” ใบหน้าตื่นตระหนกทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จนนาโอะรู้แกว

“นายแกล้งฉัน...”

“เธอเริ่มก่อนนะ”

นาโอะเมื่อเห็นว่าตนเองเป็นฝ่ายแพ้ เธอจึงเร่งฝีเท้าจนแทบจะเรียกว่าวิ่ง ในขณะที่ขาของผมยังคงเจ็บอยู่

“เฮ้อ รอเดี๋ยวสิ พี่สาว”

“ไม่เอาๆ นายแกล้งฉัน นายไม่เคยตกหลุมพรางฉันเลย” นาโอะหันมาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธและอาย เหมือนเด็กที่ไม่ได้ของที่อยากได้

“เอาน่าๆพี่สาว อยากขี้แพ้ชวนตีสิ ผมแค่เก่งกว่าพี่ก็แค่นั้นเอง”

“บ้าๆๆๆๆๆๆๆๆ นายนี่ไม่มีความละเอียดอ่อนเอาซะเลย นายพูดอย่างงี้ได้ไง” ก็จริงที่นาโอะไม่ได้พยายามวิ่งห่างออกไปเหมือนก่อน แต่เธอกลับเดินเข้ามาใกล้พร้อมเตะไปที่แผลที่ยังไม่ปิดสนิทจากเหตุการณ์โดนรถจักรยานชนเมื่อวันก่อน

“โอ๊ย พี่สาว มันเจ็บนะรู้มั้ย” ผมร้องออกมาเสียงดังจนเป็นที่สนใจของผู้คนรอบข้าง แต่ความเจ็บปวดก็มากเกินกว่าที่จะทนเอาไว้ไหวจริงๆ

“สม อยากรู้ทันดีนัก” เธอเดินไปในขณะที่ผมยังคงชันเข่ากุมแผลที่มีเลือดซึมออกมาเรื่อยๆ

“ยัยบ้า ไม่มีความอ่อนโยนเลยเหรอไงฟะ” ผมอุทานออกมาเบาๆเพื่อไม่ให้นาโอะที่อยู่ไม่ห่างได้ยิน

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น สิ่งที่ลบเลือนคำพูดที่พูดก่อนหน้าให้หายไป

นาโอะเดินเข้ามาเช็ดเลือดที่ซึมออกจากบาดแผลให้แห้ง ก่อนที่เธอจะหยิบพลาสเตอร์ยาจากกระเป๋ากระโปรงสีม่วงที่ยาวเหนือหัวเข่าเล็กน้อย

ราวกับตกอยู่ในภวังค์ ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่เธอกลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าแปลกประหลาด ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงเพราะแว่นกันแดด แต่รอยยิ้มของเธอ กลับให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” หลังจากปิดพลาสเตอร์เสร็จ เสียงของเธอก็เรียกสติของผมกลับคืนมา

“อะ...เอ่อ ขอบคุณครับ”

“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่าแผลนั้นยังปิดไม่สนิท” ผมต้องเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่ไหนแน่ๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกสักที

นาโอะช่วยพยุงผมขึ้นมาช้าๆ เมื่อเธอเห็นว่าผมยังสามารถเดินเองได้ เธอจึงเดินนำทางต่อไป โดยอยู่ในอัตราเร็วที่ผมสามารถเดินตามได้ทัน

“ถามจริงๆเถอะ ทำไมนายถึงได้แผลมาแทบจะทุกวันขนาดนี้ล่ะเนี้ย คงไม่ใช่เพราะซวยสินะ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมต้องบอกอากิว่าเป็นอุบัติเหตุเพราะไม่อยากให้เธอเป็นห่วงน่ะ”

นาโอะพยักหน้าคล้ายเข้าใจ

“แล้วแผลที่ได้มาพวกเนี้ย ...คงเป็นเพราะไปช่วยและทำอะไรบ้าๆมาอีกน่ะสิ”

“แหม พี่สาวนี่รู้ทันจริงๆ” ผมพูดติดตลกถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ตลกด้วยก็ตาม

“จะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังหน่อยสิ จะทำอะไรก็ช่วยคิดถึงผลที่ตามมาหน่อยสิ นายไม่กลัวตายเหรอไงกัน”

“กลัวสิ ใครจะไม่กลัวล่ะ” ผมพยายามวิ่งไปให้เดินขนาบกับเธอ ถึงแม้ขาจะเจ็บอยู่ก็ตาม

“กลัวมากๆเลยล่ะ...แต่ว่าเวลาเห็นคนเดือดร้อนน่ะ ผมคงอยู่เฉยๆไม่ได้หรอก”

“เดือดร้อนแล้วไงล่ะ มันเกี่ยวกับนายหรือไง นี่มันเกิดกำลังของคนเพียงคนเดียว ถ้านายยังไม่ห่วงชีวิตตัวเอง แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไงกันเล่า” นี่เป็นครั้งแรก ที่นาโอะตะโกนออกมาพร้อมกับความจริงจัง น้ำเสียงของเธอ ทำไมถึงให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจกันนะ

“มะ...มันก็จริงอยู่ แต่ว่าผมรู้นะ ว่าความรู้สึกที่อยากจะได้ใครสักคนมาช่วยน่ะ มันทรมานมากเลยล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าผมจะเป็นคนที่ช่วยพวกเขาได้ ผมก็จะช่วย ผู้ชายคนที่กำลังจะโดนรถชนคนนั้นก็เหมือนกัน ในใจคงตะโกนร้องคร่ำครวญให้มีคนสักคนมาช่วย ผมน่ะ...ทนดูอยู่เฉยๆไม่ไหวหรอก”

นาโอะนิ่งไปสักพัก เมื่อเห็นว่ามีน้ำใสไหลออกมาจากดวงตา

“มันเจ็บปวดมากเลยล่ะ ความรู้สึกที่อยากได้คนสักคนมาช่วย ทั้งๆที่ไม่มีหวัง...”

“ฟีล...” นาโอะหยุดเดินก่อนที่จะหันมามอง น้ำตาค่อยๆไหลผ่านใบหน้าร่วงลงสู่พื้น

“ความรู้สึกตอนที่มีใครสักคนยื่นมือมาช่วยเราน่ะ...มันดีกว่าตอนที่เราสามารถกำจัดปัญหาไปได้ซะอีกนะเธอคนนั้น คอยฉุดรั้งผมเอาไว้ คอยช่วยผมเอาไว้ เมื่อผมต้องการความช่วยเหลือ เธอก็จะมาช่วยผมไว้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาอุปสรรคที่หนักหนาแค่ไหนก็ตาม” เมื่อผมรู้สึกตัวว่าแสดงอารมณ์ออกมาต่อหน้านาโอะมากเกินไป จึงรีบเช็ดน้ำตาและทำทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เธอคนนั้น...คือคนที่นายจะตามหา คือคนที่นายอยากขอบคุณ ไม่สิ...คือคนที่นายรักสินะ”

ผมหันหน้าขึ้นมามองนาโอะ ที่บัดนี้กลับไม่ปรากฏรอยยิ้ม “อืม ฉันไม่รู้หรอกว่าเธออยู่ไหน แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้ตอนนี้คือ ผมไม่อยากให้ใครต้องเจอความเจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้ว ผมอยากจะเป็นใครสักคนที่เข้าไปช่วยคนที่ต้องการ...เหมือนเธอ ที่เข้ามาช่วยผมไว้”

ถ้าผมเป็นเหมือนเธอสักนิดล่ะก็...อาจจะมีปาฏิหารย์ ให้เราได้เจอกันก็เป็นได้ ผมอยากจะเชื่อแบบนั้นจริงๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา