Marchen of Anarion ปฐมบทแห่งคาโนปัส

9.0

เขียนโดย Kadella

วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.40 น.

  5 บท
  1 วิจารณ์
  7,171 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2557 20.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ไม่อาจหวนคืน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 4 ไม่อาจหวนคืน

               วันเวลาผ่านพ้นไปเปลี่ยนเด็กหญิงตัวน้อยให้กลายเป็นหญิงสาวโฉมสะคราญ

 

อาร์มิเลียยืนพิงกรอบหน้าต่าง ดวงหน้าหวานเหม่อลอยจมอยู่ในห้วงความคิด เธออดไม่ได้ที่ จะ

 

นึกถึงฝันเมื่อสักครู่ไม่ได้ ฝันที่ตามหลอกหลอนเธอทุกค่ำคืน หญิงสาวมักเห็นภาพสงคราม การ

 

ต่อสู้ และทุกๆครั้งของความฝันฉากสุดท้าย คือ ภาพของบุรุษผู้หนึ่งเดินเหยียบย่ำกอง ซากศพตรง

 

มา ก่อนจะตวัดดาบแทงเธอ แต่ที่น่าแปลกเธอไม่เคยจำใบหน้าของเขาได้เลย

 

 

               แสงแรกของดวงอาทิตย์ฉุดหญิงสาวกลับสู่โลกแห่งความจริง อาร์มิเลียสลัดความคิด

 

ทั้งหมดออกจากหัว ก่อนจะตรงไปยังห้องครัวเพื่อทำมื้อเช้าให้กับมารดา แต่คงจะไม่ทันเสียแล้ว

 

เพราะมารดาของเธอกำลังปรุงรสอาหารในหม้ออย่างพิถีพิถัน พร้อมกับฮัมเพลงอารมณ์ดี

 

อาร์มิเลียยืนมองมารดาด้วยความรัก ถึงเวเรนาจะย่างเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่ความงาม ไม่ได้ยิ่ง

 

หย่อนไปกว่าดรุณีแรกแย้ม มารดามีรูปร่างเล็ก ผมสีน้ำตาลเหยียดตรงทิ้งตัวสลวย ดวงตากลมโตสี

 

น้ำตาลล้อมกรอบไปด้วยแพรขนตางอนแลดูอ่อนหวาน อาร์มิเลียเคยถาม ผู้เป็นแม่ว่า ทำไมทั้งคู่

 

ถึงไม่เหมือนกัน และบิดาของเธอเป็นใคร เวเรนาตอบเพียงว่า อาร์มิเลียมี ส่วนคล้ายท่านยาย ส่วน

 

เรื่องของบิดาของเธอคือใคร มาราดาบอกว่ารอให้เธอเติบใหญ่กว่านี้จะ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง

 

               “อ้าวตื่นแล้วหรอลูกรัก สุขสันต์วันเกิดครบอายุ 16 ปีนะจ้ะลูกรัก “ เวเรนากล่าวพร้อม

 

กับโอบกอดบุตรสาวด้วยความรักใคร่

 

 

               “แม่มีของขวัญจะให้ หลับตาก่อนนะ เอาละจ้ะ เรียบร้อยแล้ว” อาร์มิเลียก้มลงมอง

 

สร้อยที่มารดาสวมให้ สร้อยเส้นนี้มีลวดลายสวยงาม ประดับด้วย อัญมณีสีฟ้าใสรูปหยดน้ำ

 

 

               “โอ้โห ขอบคุณมากเลยค่ะท่านแม่ ข้าชอบมากเลย แต่ว่าท่านแม่นำมาจากไหนคะ?”

 

               อาร์มิเลียกล่าวอย่างสงสัยเพราะสร้อยเส้นนี้น่าจะราคาแพงเอาการ

 

 

               “เป็นของที่ท่านยายให้แม่ติดตัวไว้ แม่จึงส่งต่อมันให้กับลูกจ้ะ”

 

 

               “ข้ารักท่านนะคะ” อาร์มิเลียกล่าวพร้อมกับกอดมารดา

 

 

               “จ้ะ แม่ก็รักลูก เรามากินข้าวกันเถอะนะ” เมื่อทั้งคู่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว อาร์มิเลียก็

 

อาสานำชุดที่มารดาตัดเย็บเสร็จแล้วนำไปส่ง ตามบ้าน หญิงสาวแวะทักทายคนในหมู่บ้านอย่าง

 

สนิทสนม อาร์มิเลียเป็นที่รู้จักดีของคนใน หมู่บ้าน เพราะเธอถูกขนานนามว่าเป็นหญิงที่งามที่สุด

 

               “พี่อาร์มิเลีย” เสียงตะโกนเรียกเธออย่างคุ้นเคย

 

 

               “ว่าไงจ้ะ มีอาคนสวย “

 

 

               “ข้าไม่เห็นจะสวยเลย ข้าอยากสวยเหมือนพี่มากกว่า ตาก็โต๊โต ผมสีทองส๊วยสวย

 

ข้าอยากทำให้พี่ลุคมองข้าตาค้างเหมือนที่มองพี่อาร์มิเลียบ้างจัง”

 

 

                อาร์มิเลียหัวเราะเบาๆกับท่าทางของเด็กน้อย ลุค คือ ลูกชายคนเดียวของ ‘ลาฟ’

 

เศรษฐี ที่มาลงทุนในหมู่บ้านถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งเลยทีเดียว อีกทั้งลุคยังเป็นชายหนุ่มรูป

 

งาม เป็นที่หมายตาของสาวๆในหมู่บ้าน แม้แต่มีอาตัวน้อยก็หลงเสน่ห์ไปกับเขาด้วย จะมีก็แต่เธอ

 

ที่ ไม่คิดจะชอบลุค เพราะ ไม่ชอบนิสัยโอ้อวดของเขาสักเท่าไหร่

 

 

               “มีอาเจ้าก็สวยในแบบของเจ้า ไม่เห็นต้องเหมือนพี่เลย ดูสิจมูกนิดปากหน่อยอย่าง

 

เจ้า โตขึ้นต้องมีหนุ่มๆมารุมจีบเป็นแน่” อาร์มิเลียกล่าวจากใจจริง

 

 

               มีอาเป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่ของเด็กหญิงถูกปีศาจฆ่าตาย ตอนที่เข้าไปเก็บของป่า

 

ทำให้มีอาต้องอาศัยอยู่กับป้าแทน ถึงชีวิตของเด็กน้อยจะอาภัพเพียงใด แต่ความหม่นหมองก็ไม่

 

สามารถพรากความสดใสไปจากดวงคู่นี้ได้ อาร์มิเลียนับถือความ เข้มแข็งของเด็กคนนี้ เธอจึง

 

เอ็นดูมีอาเป็นอย่างมาก

 

 

               “แล้ววันนี้เจ้ามีอะไรให้พี่ช่วยละ หรือให้พี่ช่วยบอกลุคให้ว่าเจ้าชอบ” อาร์มิเลีย

 

กระเซ้า

 

 

               “ไม่ใช่ซะหน่อย ข้าแค่อยากฟังพี่อาร์มิเลียร้องเพลง” เด็กหญิงทำท่าเขินอายก่อนจะ

 

รีบชี้ แจงเสียงเจื้อแจ้ว

 

 

               “ได้จ้ะ แต่แค่เพลงเดียวนะ เพราะพี่ต้องบไปทำงานต่อ”

 

 

               “ค่ะ” มีอารับคำก่อนจะหาที่นั่งชั่วคราวนั่ง ตั้งตาฟังคนตรงหน้าร้องเพลง

 

 

*****“ขอให้เสียงเพรียกแห่งเงามืด

ได้โบยบินจากไป

ขอให้เจ้าเดินทาง

เพื่อเสาะแสวงหาแสงแสว่างแห่งวัน

เมื่อยามใดราตรีได้สิ้นไป

ยืนหยัดไว้

เพื่อค้นหาดวงตะวัน

ณ ตอนนี้พันธสัญญาได้มีอยู่ในกายเจ้า”

 

 

               เสียงใสกังวานไพเราะของอาร์มิเลียสะกดทุกคนที่กำลังเดินผ่านให้หยุดฟัง บางคนถึง

 

กับหลั่งน้ำตา ราวกับบทเพลงเยียวยาหัวใจที่อ่อนล้า ให้มีความหวังที่จะก้าวเดินต่อไป

 

                  “เพราะจังเลยค่ะพี่อาร์มิเลีย ร้องให้ข้าฟังอีกเพลงนะคะๆ”

 

 

               “ไว้คราวหน้านะ พี่ต้องไปส่งชุดที่บ้านของป้าลูอิสหนะ” อาร์มิเลียกล่าวอย่างอ่อนโยน

 

 

               “ก็ได้ค่ะ” เด็กหญิงกล่าวอย่างว่าง่าย ถึงจะเสียดายแต่เธอก็ไม่งอแง เด็กน้อย

 

กระโดด หอมแก้มอาร์มิเลียก่อนจะโบกมือลาแล้ววิ่งกลับบ้านไป

           

 

              บ้านของป้าลูอิสอยู่ท้ายหมู่บ้านอาร์มิเลียต้องใช้เวลาเดินพอสมควร เธอรู้สึกได้ว่ามีคน

 

กำลังเดินตาม ร่างงามจึงหยุดเดินหันกลับไปมอง อาร์มิเลียแทบอยากจะเดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด

 

เพราะคนที่เดินตามเธอ คือ ลุคจอมโอ้อวดนั่นเอง

 

 

                “อาร์มิเลีย ไม่คิดจะทักทายกันบ้างหรือ เจ้าช่างใจร้ายกับข้านัก” ลุคกล่าวอย่างตัด

 

พ้อ

 

 

               “ข้ามีงานต้องทำลุค” อาร์มิเลียกล่าวตัดบท หญิงสาวไม่อยากเสวนากับเขาเท่าไหร่

 

นัก เธอไม่ชอบลุค เพราะ เขาชอบพูดโอ้อวดยกตัวเองเหนือกว่าคนอื่น อีกทั้งชอบดูถูกคนที่ต่ำ

 

ต้อยกว่า เขาโปรยเสน่ห์ใส่เธอด้วยเงินตรา แต่ทุกอย่างที่คนตรงหน้าพยายามกลับไม่เคยได้ผลกับ

 

เธอเลย

 

 

               “นี่จะไปไหน คุยกับข้าก่อนสิ” ชายหนุ่มฉวยข้อมือบาง ใบหน้างามขมวดคิ้วสวยอย่าง

 

ไม่ชอบใจที่เขามาถูกเนื้อต้องตัว ก่อนจะสะบัดมือให้หลุด จากการเกาะกุม เพราะเซิร์กไม่อยู่เขา

 

ถึงได้กล้าล่วงเกินเธอถึงขนาดนี้ แม้เซิร์กจะอยู่ในร่างแมว แต่ก็สามารถทำให้คนตรงหน้าหวาดกลัว

 

ได้เสมอ

 

 

               “มีอะไรก็รีบพูดมา” ร่างบางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

               “วันนี้เจ้าก็อายุครบ 16 ปีแล้ว ข้ามีของขวัญสุดวิเศษจะให้เจ้าด้วย” ลุคกล่าว ดวงตา

 

คม พราวระยับ

 

 

               “อะไรละ เจ้าก็รีบๆพูดมา” “ข้าจะไปสู่ขอเจ้ากับน้าเวเรนาพร้อมกับสินสอดมูลค่า

 

มหาศาล รู้ไหมพวกผู้หญิงใน หมู่บ้านต่างอิจฉาเจ้าขนาดไหนที่จะได้แต่งงานกับข้า”

 

 

                เขาหัวเราะอย่างมีความสุข เมื่อนึกถึงวัน ที่เขาได้โอบกอดร่างงามทุกค่ำคืน

 

 

               “ไม่ ลุค ข้าจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น อีกอย่างนะ เงินไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้

 

ธุระของเจ้ามีแค่นี้สินะ งั้นข้าไปละ” อาร์มิเลียกล่าวอย่างไร้เยื่อใย

 

 

               สองปีก่อนลุคเคยให้พ่อของเขามาสู่ขอเธอจากมารดา แต่เวเรนากล่าวปฏิเสธด้วย

 

เหตุผล ที่ว่าทั้งคู่ยังเด็กเกินไป และการแต่งงานต้องเกิดจากความรักของทั้งคู่ รอให้อาร์มิเลียอา

 

ยุครบ 16 ปี เสียก่อนแล้วค่อยดูความสมัครใจของทั้งคู่ สิ่งหนึ่งที่อาร์มิเลียไม่ได้คิดไปเอง คือ

 

 

ลาฟ พ่อของลุคดูท่าจะชอบมารดาของเธอเสียด้วย

 

 

               “เดี๋ยวก่อน อาร์มิเลียเราเคยตกลงกันแล้วนี่” ลุคเหมือนถูกตบหน้าชา เขารู้สึกเสีย

 

หน้าที่ถูกปฏิเสธ

 

 

                “ก็ข้าไม่ได้รักเจ้า จะให้ข้าแต่งงานกับเจ้าได้อย่างไร ข้าเสียเวลามามากแล้ว ลาก่อน

 

ลุค” เมื่อกล่าวจบร่างงามก็หมุนเดินจากไปอย่างไม่ไยดี

 

 

                “แล้วเจ้าจะเสียใจอาร์มิเลีย” ลุคกล่าวพึมพำกับตัวเอง ไม่เคยมีสตรีใดได้เมินเขา ลุ

 

คเหยียดยิ้มชั่วร้าย นัยน์ตาคมร้อนระอุไปด้วยเพลิงโทสะที่โหมกระพือ

 

 

               อาร์มิเลียชอบการตกแต่งบ้านของป้าลูอิสมาก ตัวบ้านถูกทาด้วยสีไข่ไก่นวลตา

 

 

สวนหย่อมเล็กๆ ตกแต่งด้วยต้นไม้ และ ดอกไม้นานาพันธุ์ แลดูร่มรื่น ร่างอรชรเคาะประตูบ้านเบาๆ

 

สักครู่คนด้านในก็เปิดประตูพร้อมกับชะโงกหน้ามามอง

 

 

               “อาร์มิเลียเจ้าเองหรอ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า” ชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำกล่าวอย่าง

 

เป็นมิตร

 

 

               “ฟรานส์ ป้าลูอิสอยู่ไหม ข้านำชุดที่ตัดเสร็จแล้วมาส่ง”

 

 

               “อ๋อ แม่ข้าอยู่ข้างใน เจ้าเข้ามาก่อนสิ” ฟรานส์กล่าวพร้อมผายมือให้หญิงสาวเข้าไป

 

ด้านใน อาร์มิเลียเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นป้าลูอิสกำลังบรรจงห่อขนมใส่ห่อ

 

 

               “ป้าลูอิสคะ ข้าเอาชุดมาส่งค่ะ”

 

 

               “ไหน ขอป้าดูหน่อยสิ” ป้าลูอิสกล่าวพร้อมกับคลี่ชุดออกมาดู

 

 

               “สวยมากจริงๆจ้ะ นี่ค่าชุด ไม่ต้องทอนนะหนู” หญิงสาวรับถุงเงินกล่าวขอบคุณก่อน

 

จะหมุนตัวเตรียมเปิดประตู

 

 

               “เดี๋ยวก่อนอาร์มิเลีย วันนี้วันเกิดหนูสินะ” คนอายุมากกวักมือและตบข้างๆเป็น

 

สัญญาณให้หญิงสาวนั่งลงข้างๆ

 

 

                “นี่จ้ะของขวัญวันเกิด ป้าตั้งใจทำขนมให้หนูเลยนะ”

 

 

               “ขอบคุณมากเลยค่ะ น่ากินจัง” ร่างบางสูดกลิ่นหอมของขนม

 

 

               “ไม่เห็นแม่ทำให้ข้ากินบ้างเลย ลูกชายตัวเองแท้ๆ” ฟรานส์แกล้งตัดพ้อ

 

 

               “อย่างเจ้าอยากกินก็ทำเองสิ แล้วเมื่อไหรเจ้าจะจีบแม่หนูอาร์มิเลียติดเสียที ข้าอยาก

 

อุ้มหลานแล้ว” คนเป็นแม่กล่าวแทงใจเขาเต็มๆ

 

 

               “ท่านแม่พูดอะไรของท่านเนี่ย อาร์มิเลียมีคนชอบเยอะแยะ แม้กระทั่งลุคลูกเศรษฐี

 

คน นั้นอีก ข้าขออยู่เฉยๆดีกว่า” ฟรานส์หน้าแดงแจ๋ถึงใบหู เมื่อมารดาพูดเช่นนี้เขาไม่กล้าแม้แต่

 

จะสบตาอาร์มิเลีย

 

 

               “เออๆ เจ้ามัวแต่อายอย่างนี้ถึงได้อด” ป้าลูอิสกล่าวอย่างเอือมระอา

 

 

               “ข้าไม่ชอบลุคหรอกค่ะ คนอะไรหลงตัวเองชะมัด ถ้าข้าต้องแต่งงานกับคนแบบนั้น

 

ข้าขออยู่คนเดียวจนตายเสียดีกว่า” อาร์มิเลียคิดแล้วก็โมโห

 

 

               ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม บ่งบอกได้ว่าใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว

 

อาร์มิเลียรีบสาวเท้าเดิน ด้วยความสนิทสนมประกอบกับเธอไม่ได้พบป้าลูอิสกับฟรานส์บ่อยนัก จึง

 

ทำให้หญิงสาวเผลอใช้เวลาพูดคุยตามประสาคนคุ้นเคยกันมากไปหน่อย เมื่อรู้สึกตัวอีก ทีก็ใกล้

 

เวลาพลบค่ำเสียแล้ว

 

 

               ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีด้านตรงข้ามเสมอ สีขาว-สีดำ แสงสว่าง-ความมืดมิด ความดี

 

และ ความชั่ว สิ่งเหล่านี้ย่อมบ่งบอกถึงสัจธรรมของโลกได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับหมู่บ้านเล็กๆอัน

 

เงียบสงบแห่งนี้ ด้วยความรีบเร่งอาร์มิเลียจึงตัดสินใจใช้เส้นทางลัดเพื่อรีบกลับให้ถึงบ้าน เส้นทาง

 

ที่เธอกำลังผ่าน เป็นย่านเสื่อมโทรมเป็นที่ตั้งของบรรดาร้านเหล้า สถานบริการโสเภณี รวมถึงตลาด

 

มืด แหล่งขายของเถื่อนผิดกฎหมาย

 

 

               ด้วยความที่บริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งรวมที่อโคจร ประกอบกับหญิงสาวต้องการรีบเดิน

 

กลับบ้านโดยเร็ว จึงทำให้เธอไม่ได้ระมัดระวังอันตรายรอบตัว ฉับพลันนั้นเองร่างบางก็ถูก กระชาก

 

เข้าไปในตรอกแคบๆ ก่อนที่หญิงสาวจะทันส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ มือใหญ่ก็เลื่อนมาปิด

 

ปากไว้ เธอออกแรงขัดขืน

 

 

               อาร์มิเลียเพ่งสายตามองคนที่จับตัวเธอไว้ หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ ลุค นั่นเอง! ใบ

 

หน้าคมคายซุกไซร้ไปทั่วซอกคอขาวผ่อง สูดกลิ่นกายสาว ยิ่งเธอดิ้นรนขัดขืนมากเท่าไหร่ เขาก็

 

ยิ่งอยากปราบพยศเธอมากเท่านั้น ริมฝีปากหยักได้รูปคลอเคลียที่แก้มสุกปลั่ง อาร์มิเลียเบี่ยงหน้า

 

หนีเพื่อไม่ให้ถูกรุกล้ำด้วยริมฝีปากของเขา สองมือเล็กดันแผงอกแกร่งให้ออกห่างจากตัว ก่อนจะ

 

ระดมหมัดเข้าใส่ แต่ข้อมือบางก็ถูกรวบตรึงอยู่เหนือศีรษะ

 

 

                “ปล่อยข้านะลุค เจ้าเป็นบ้าอะไรของเจ้า!” หญิงสาวตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว

 

 

                “ไม่เห็นต้องกลัวเลยอาร์มิเลีย ถ้าเจ้ามาเป็นเมียข้า เจ้าจะกลายเป็นหญิงที่โชคดีที่

 

สุด” พอกล่าวจบลุคก็ฉีกกระชากชุดที่เธอสวมใส่อยู่จนขาดวิ่น เผยผิวเนียนขาวราวหิมะ ชายหนุ่ม

 

กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก อาร์มิเลียใช้จังหวะนี้เตะไปที่หน้าแข้งของลุคอย่งแรง ทำให้ชาย

 

หนุ่มปล่อยมือจากหญิงสาวทันที เธอวิ่งออไปเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ยังช้ากว่า ร่างสูง เขา

 

เหวี่ยงบเธอกระแทกกำแพงอันเย็นเยียบอย่างแรง หญิงสาวคับแค้นใจที่เธอไม่มีกำลัง มากพอ

 

เธอจึงตะโกนขอความช่วยเหลือ

 

 

                “ร้องไปเถอะอาร์มิเลีย ไม่มีใครกล้ามาช่วยเจ้าหรอก” ลุคกล่าวอย่างผยอง ฉับพลัน

 

ร่างของลุคก็ปลิวหวือไปกระแทกกำแพงอีกฝั่ง ก่อนจะถูกหมัดหนักๆกระแทก เข้าที่ใบหน้าหล่อ

 

เหลา

 

 

               “เป็นอย่างไรบ้างอาร์มิเลีย?” เสียงห้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

 

 

                “ข้าไม่เป็นไรฟรานส์ ขอบคุณเจ้ามาก” ฟรานส์เข้ามาช่วยเธอได้ทันท่วงที ใม่อย่าง

 

นั้น เธอคงถูกล่วงเกินไปมากกว่านี้

 

 

               “เจ้ากล้ามากนะที่มาทำร้ายข้า ข้าจะบอกท่านพ่อ” ลุคตะโกนด้วยความเคียดแค้น

 

ก่อนวิ่งผละออกไป

 

 

               “พอดีเจ้าลืมถุงเงินไว้ ข้าจึงจะนำมาให้ ระหว่างทางได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วย

 

เหลือก็เลยเจอเจ้า ไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้ากลับบ้านเอง” ฟรานส์ถอดเสื้อคลุมตัวนอกคลุมให้กับ

 

ร่างบางอย่างเบามือก่อนจะเดินไปส่งอาร์มิเลีย

 

 

               เมื่อถึงหน้าบ้านหญิงสาวก็กล่าวขอบคุณฟรานส์อีกครั้ง พร้อมกับกำชับกับเขาว่าให้

 

ระวังตัวไว้ หญิงสาวรู้สึกเป็นห่วงฟรานส์ เพราะ ลาฟ… พ่อของลุคเป็นผู้มีอิทธิพล พวกเขา อาจส่ง

 

คนมาทำร้ายฟรานส์ก็เป็นได้ ชายหนุ่มรับคำ ก่อนจะโบกมือลา

 

 

                อาร์มิเลียค่อยๆแอบเข้าบ้าน ก่อนจะรีบตรงไปยังห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ขาดรุ่ย

 

หญิงสาวไม่อยากให้มารดาเห็นเธอในสภาพเช่นนี้ ก่อนจะแสร้งทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และ

 

ลงไปกินอาหารกับมารดาตามปกติ

 

 

                “เอ ทำไมวันนี้เซิร์กยังไม่กลับอีกนะ” เวเรนารู้สึกแปลกใจเพราะปกติพยัคฆ์ขาวใน

 

ร่าง แมวมักจะป้วนเปี้ยนใกล้ๆบุตรสาวของตนตลอด

 

 

               “เห็นเซิร์กบอกว่าจะออกไปหาอะไรกิน สงสัยคงเที่ยวเพลินมากกว่า” หญิงสาวกล่าว

 

อย่างหมั่นไส้ ถ้าเขาอยู่ด้วยเธอคงไม่ต้องพบเจอเหตุการณ์แบบนี้

 

 

               ขณะที่สองแม่ลูกกำลังสนทนากันอยู่นั้น ประตูก็ถูกทุบอย่างหนัก ทั้งคู่ถึงกับชะงักงัน

 

อาร์มิเลียสังหรณ์ใจว่าจะต้องมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ร่างบางบอกมารดาไม่ให้เปิดประตู เสียงทุบ

 

ประตูอย่างหนักดังขึ้นรัวๆอีกครั้ง บ่งบอกถึงอารมณ์ของคนด้านนอกได้เป็นอย่างดี เมื่อไม่มีใครมา

 

เปิดประตู คนด้านนอกจึงถือวิสาสะถีบประตูเข้ามา อาร์มิเลียกับเวเรนาตกตะลึง ที่เห็นชายฉกรรจ์

 

ร่วมสี่คนบุกรุกเข้ามาในบ้านของตน สองคน คือ ลาฟและลุค อีกสองคนคง เป็นลูกน้องของพวก

 

เขานั่นเอง

 

 

                “พวกท่านมีธุระอะไรหรือคะ” เวเรนาเดินเข้ามาขวางระหว่างชายฉกรรจ์กับบุตรสาว

 

ตน

 

 

               “ข้ามาทวงสัญญาที่เราเคยให้กันไว้เมื่อสองปีก่อนไงจ้ะ เวเรนาคนสวย”

 

 

               ลาฟกล่าวดวง ตาเป็นประกายกวาดมองเรือนร่างของเวเรนาอย่างแทะโลม

 

 

               “จริงอยู่ที่อาร์มิเลียอายุครบ 16 แล้ว แต่ข้าก็บอกท่านแล้วเช่นกันว่าให้ดูความสมัคร

 

ใจ ของทั้งคู่ด้วย” เวเรนากล่าวราบเรียบไม่มีความหวาดกลัวในน้ำเสียง เธอจะไม่ยอมยกอาร์มิเลีย

 

ให้กับคนที่เธอไม่ได้รักเด็ดขาด

 

 

               “ลูกสาวเจ้าปฏิเสธลูกของข้าอย่างไม่ไว้หน้า อีกทั้งยังให้ไอ้เด็กฟรานส์มาทำร้ายลูก

 

ข้า อีก เจ้าจะว่าอย่างไรหล่ะ?”

 

 

               “จริงหรอลูก?” เวเรนาหันไปถามอาร์มิเลีย

 

 

               “ไม่จริงค่ะท่านแม่ ลุคพยายามจะล่วงเกินข้า ฟรานส์จึงเข้ามาช่วยข้า ท่านลาฟ ท่าน

 

ไม่ควรฟ้งความข้างเดียว และไม่ควรใช้อำนาจที่ท่านมีมาขู่บังคับคนอื่น”

 

 

               อาร์มิเลียกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวคู่งามสบตากับผู้สูงวัยกว่าโดยไม่

 

มีทีท่ายำเกรง เศรษฐีรู้สึกเสียงหน้าที่ถูกเด็กรุ่นราวคราวลูกสั่งสอนแกมต่อว่าเขาต่อหน้าลูกน้อง

 

ทำให้ไฟโทสะโหมกระพือ

 

 

               “ในเมื่อเราคุยกันไม่รู้เรื่องก็คงต้องใช้กำลังเสียแล้ว อ๋อ ข้าลืมบอกเจ้าแม่หนู ฟรานส์

 

เพื่อนของเจ้าตอนนี้อาการสาหัสน่าดูนะ” ลาฟหัวเราะเย้ยหยัน อาร์มิเลียหัวใจกระตุกวูบ เพื่อนของ

 

เธอโดนทำร้าย คนพวกนี้ช่างจิตใจอำมหิตเหลือเกิน

 

 

               “ต่ำช้า!” อาร์มิเลียกัดฟันกรอด ใบหน้าสวยฉายแววเคียดแค้น

 

 

               “ปากดีนักนะนังนี่ จับมันไว้” สิ้นเสียงคำสั่งของลาฟ อาร์มิเลียก็ถูกลูกน้องของเขา

 

สอง คนจับแขนไว้คนละข้าง อาร์มิเลียดิ้นขัดขืนสุดกำลัง

 

 

               “คราวนี้ละอาร์มิเลีย เจ้าก็จะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว” ลุคกล่าว ร่างสูงถอดเสื้อเผย

 

รูป ร่างกำยำ

 

 

               “ไม่นะ!!!” เวเรนากรีดร้องผวาเข้าไปหาบุตรสาว แต่ถูกมือแข็งแรงของลาฟคว้าตัวไว้

 

ได้ทัน

 

 

               “นั่นมันเรื่องของลูกๆ เรามาจัดการเรื่องของเราดีกว่า” ลาฟกล่าวอย่างชั่วร้าย ในหัวคิด

 

แต่เรื่องต่ำช้า

 

 

               “ได้โปรด อย่าทำอะไรลูกข้าเลย ข้าขอร้อง” เวเรนาคุกเข่าใบหน้างามเต็มไปด้วย

 

หยาดน้ำตา

 

 

               “ข้าก็สงสารเจ้านะ แต่ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้” เขาไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับคำขอ

 

ร้องของเธอ

 

 

               อาร์มิเลียทั้งเตะทั้งถีบ เธอขอตายเสียดีกว่าหากต้องถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเช่นนี้ หญิง

 

สาวใช้ศอกกระทุ้งชายคนหนึ่ง จนมือด้านขวาเป็นอิสระก่อนจะใช้นิ้วจิ้มที่ดวงตาทำให้เขามองไม่

 

 

เห็นชั่วขณะหนึ่ง เขาควานสะเปะสะปะเลยทำให้ตะเกียงที่ตั้งอยู่ล้มลง เปลวไฟเริ่มลุกลาม

 

 

หญิงสาวใช้จังหวะที่ชายอีกคนกำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะเตะเข้าที่หว่างขา

 

 

จนเขาล้มลงกับพื้นด้วยความจุกพร้อมกับเตะปลายคางส่งผลให้ชายผู้ นั้นสลบเหมือดคาที่

 

 

ลุคเห็นท่าไม่ดีจึงเหวี่ยงร่างบางหวังให้ล้มลง ไม่มีใครทันคาดคิด อาร์มิเลียล้มไปยังกองเพลิง

 

 

เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เพราะที่แก้มซีกซ้ายของเธอถูกไฟลวกเป็นแผลสาหัส

 

 

               ในขณะนั้นเองเวเรนาคว้ามีดที่อยู่ใกล้ๆตัวพุ่งไปหาลุค ลาฟยังตกตะลึงกับภาพที่เห็น

 

จนไม่ทัน ได้ระวังเวเรนา ลุคยื้อแย่งมีดกับเวเรนาสักครู่ ลาฟจึงเข้าไปช่วยยื้อแย่งอีกแรง

 

 

ในที่สุดลุคก็แย่ง มีดได้สำเร็จ ด้วยความโกรธทำให้เขาเสือกมีดแทงเข้าที่หน้าท้องของเวเรนาเข้า

 

อย่างจัง ร่างบาง ทรุดฮวบลงทันที

 

 

               “ท่านแม่” อาร์มิเลียกรีดร้องสุดเสียงก่อนจะผวาไปประคองร่างชุ่มเลือดของมารดา

 

 

               “ท่านแม่ทำใจดีๆนะคะ ข้าจะรักษาท่านเอง” หญิงสาวละล่ำละลักทั้งน้ำตา

 

 

               เธอพยายาม ใช้พลังห้ามเลือดมารดา แต่เหมือนว่าพลังของเธอนั้นไม่เคยถูฝึกฝนจึง

 

ไม่เสถียร ทำให้ปิดปากแผลด้านนอกได้ แต่ไม่สามารถรักษาเข้าไปถึงอวัยวะภายในได้ เลือดยัง

 

คงไหลอยู่ภายในร่างกาย ภาพที่ลุคและลาฟเห็นช่างแสนเศร้าและน่าสะพรึงไปพร้อมๆกัน ถึงอาร์มิ

 

เลียจะงดงามเพียงใด แต่ในขณะนี้แก้มด้านซ้ายโดนไฟลวกจนเนื้อหาย ฝ่ามือและเรือนร่างเปรอะ

 

เปรื้อนไปด้วยโลหิตของมารดา ทำให้เธอเหมือนปีศาจก็ไม่ปาน ความหวาดกลัวในความผิดแล่น

 

เข้ามาในจิตใจก่อนที่พวกลาฟจะวิ่งหนีออกไปจากบ้าน

 

 

               “ไม่เป็นไรจ้ะลูกรัก ไม่ต้องแล้ว “ เวเรนากล่าวอย่างแผ่วเบา มือเรียวลูบศีรษะของ

 

บุตรสาว

 

 

               “ไม่ค่ะท่านแม่ ข้าจะช่วยท่านให้ได้” หญิงสาวส่ายหัวไปมาหยาดน้ำตาพร่างพราว

 

               “สมุด…บันทึกของแม่ ลูกจง...เก็บไว้” เวเรนาชี้ไปที่ชั้นวางหนังสือ เสียงหวานขาด

 

หายเป็นห้วงๆ

 

 

               “จำไว้เสมอนะ...ลูกรัก แม่...รักลูก...นะ” นัยน์ตาสีน้ำตาลของมารดามองเธอเป็นครั้ง

 

สุดท้าย ดวงตาคู่นั้นค่อยๆหม่นแสงลง และดับวูบไปตลอดกาล

 

 

               “ไม่ๆ ไม่จริง ท่านแม่ กรี๊ดดดดด!!!!” อาร์มิเลียกรีดร้องโหยหวนก้องสะท้านไปทั่ว

 

บริเวณ เหตุการณ์ที่ทำให้สูญเสียมารดาผู้เป็นที่รักไปได้ปลุกบางสิ่งบางอย่างในตัวเธอให้ตื่นขึ้น

 

มา

 

 

               จู่ๆหมู่บ้านที่สงบสุขแห่งนี้ก็เกิดเหตุการณ์การแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขึ้น ลมกรรโชก

 

พัด พาสิ่งก่อสร้างกระจัดกระจาย ท้องฟ้าที่เคยกระจ่างด้วยหมู่ดาราพลันมืดสนิท จันทร์เสี้ยวที่เคย

 

ส่องแสงนวลตากลับกลายเป็นสีแดง...สีแห่งเลือด ราวกับจะลงโทษเหล่ามนุษย์ผิดบาปที่มีใจ

 

ละโมบเห็นแก่ตัว อาร์มิเลียกอดร่างไร้ชีวิตของมารดา ร่างบางชุ่มโชกไปด้วยเลือด

 

 

               “ท่านแม่ ลืมตามาคุยกับลูกก่อน เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเราแล้ว”

 

 

                “ทำไม ทำไมไม่มีคนมาช่วยเราเลย” ร่างบางคร่ำครวญราวกับคนเสียสติ

 

 

               อนิจจามนุษย์เรา เห็นอำนาจเงินตราเป็นสำคัญ หากไม่ใช่เรื่องของตนเองก็ไม่คิดจะ

 

ช่วยเหลือ หวาดกลัวเพียงว่าตนเองจะเดือดร้อนหากยื่นมือเข้ามาช่วย นี่แหละหนาสิ่งมีชีวิต ที่เรียก

 

ว่ามนุษย์

 

 

               สายฝนโปรยกระหน่ำลงมา ทำให้ไฟที่กำลังไหม้บ้านหลังน้อยของอาร์มิเลียมอดดับ

 

ลง ก่อนจะบังเกิดเป็นพายุงวงช้างเข้าทำลายผู้คนและบ้านเรือน ภายในระยะเวลาไม่นานได้

 

 

แปรเปลี่ยนหมู่บ้านอันแสนสงบสุขให้กลายเป็นเพียงซากปรักหักพังอย่างไม่น่าเชื่อว่าเคยมีผู้คน

 

อาศัยอยู่ในบริเวณนี้

 

 

               อาร์มิเลียตกตะลึงกับภาพที่เห็น สภาพของหมู่บ้านตอนนี้ราวกับถูกมือยักษ์ที่ มองไม่

 

เห็นทุบทำลายจนไม่มีชิ้นดี บ้านเรือนผู้คนล้วนเหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง ไม่มีวี่แววของสิ่งมี

 

ชีวิตใดๆเหลืออยู่เลย หญิงสาวรวบรวมความคิด  ถึงสาเหตุของสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็พบว่า มาจากเธอ

 

นั่นเอง ร่างบางทรุดฮวบลง ใบหน้าของเหล่าชาวบ้านที่เธอคุ้นเคย ป้าลูอิส ฟรานส์ มีอา อีกหลายๆ

 

คนที่คอยช่วยเหลือเธอกับมารดาลอยเข้ามาในห้วงความคิด

 

 

                “นี่ข้าทำอะไรลงไป” เธอกรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจอยากสุดซึ้ง ร่างบางสั่น

 

สะท้านด้วยอารมณ์หลากหลาย เศร้า เสียใจ ต่อการจากไปของมารดาและคนในหมู่บ้าน แค้นตัว

 

เอง หากไม่ใช่เพราะรูปโฉม หลายชีวิตคงไม่มีจุดจบเช่นนี้

 

 

               จากการที่เซิร์กต่อสู้กับปีศาจที่เผอิญเจอระหว่างทางกลับหมู่บ้าน ทำให้เขาเสียเวลา

 

เป็นอย่างมาก ขณะที่เขากำลังจะมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านนั้น ก็สัมผัสได้ถึงกลุ่มพลังมหาศาล ประทุ

 

ออกมา พยัคฆ์ขาวจึงเร่งฝีเท้าเนื่องจากว่า ทิศทางของพลังนั้นมาจากหมู่บ้านที่อาร์มิเลียอาศัยอยู่

 

               ภาพที่เซิร์กเห็นสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่บ้านกลับเหลือแค่เพียงซากหักพัง

 

เซิร์ก สอดส่ายสายตาหาบุคคลที่เขาเป็นห่วงที่สุด จนพบกับร่างงามที่กำลังสั่นสะท้านในอ้อมกอด

 

ของเธอมีร่างไร้ชีวิตของเวเรนาอยู่ เซิร์กตัดสินใจเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ชายหนุ่มตรงเข้าไป

 

โอบกอดร่างบางอย่างปลอบ ประโลม ก่อนจะส่งกระแสจิตไปยังหัวใจอันบอบช้ำของหญิงสาว

 

 

               “อาร์มิเลีย นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงทุ้มเอ่ยถาม “เป็นเพราะข้า ข้าเกลียดใบหน้านี้

 

จริงๆ ท่านแม่เลยต้องมาตาย และหากข้าควบคุมพลัง ของตนเองได้ ทุกคนก็คงไม่ต้องมีจุดจบเช่น

 

นี้” แม้จะเป็นการสื่อสารทางจิตก็ตาม เซิร์กก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดบอบช้ำของ คนตรง

 

หน้าว่าแสนสาหัสเพียงใด

 

 

               “อย่าโทษตัวเองเลยอาร์มิเลีย หากข้าอยู่ปกป้องท่านเหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น”

 

อาร์มีเลียยิ้มหวานเศร้าให้แก่เซิร์ก

 

 

               “ขอบคุณนะเซิร์ก เจ้าคือผู้เดียวที่ข้าเหลืออยู่” อาร์มิเลียตัดสินใจทำบางสิ่งเพื่อ

 

มารดาเป็นครั้งสุดท้าย

 

 

               เปลวไฟสีทองลามเลียลงบนร่างไร้วิญญาณของเวเรนา อาร์มิเลียและเซิร์กเฝ้ามองร่าง

 

เวเรนาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เปลวไฟสีทองจะโหมพัดร่างของเวเรนากลายเป็นละอองสีทอง

 

ลอยขึ้นไปยังท้องฟ้า เมื่อเสร็จสิ้นพิธีศพของมารดา อาร์มิเลียกลับไปยังบ้านของเธอเพื่อนำเอาสิ่ง

 

สุดท้ายที่ มารดาเหลือไว้ให้...สมุดบันทึก บาดแผลไฟไหม้บริเวณแก้มซ้ายค่อยๆสมานตัวอย่าง

 

รวดเร็ว และจางหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่กระนั้นอาร์มิเลียที่เกลียดรูปโฉม

 

ของ ตนเองก็ใช้ผ้าแพรบางปิดบังใบหน้างามไว้ เผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวคู่งามที่ว่าง

 

เปล่าคู่นั้น

 

                        ********************************

 

               “ตื่นขึ้นมาแล้วสินะ ผู้ทำพันธกิจแห่งสวรรค์” ริมฝีปากหยักสวยได้รูปแฝงแววเหี้ยม

 

โหดขยับเอ่ยช้าๆ

 

 

               “อีกไม่นานเกินรอ เราคงจะได้พบกัน” ชายหนุ่มรำพึงกับตนเอง

 

*****นำมาจากเนื้อเพลง may it be (ประกอบภาพยนตร์เรื่อง The load of the ring)

 

ในบันทึกของเวเรนามีความลับอะไรซ่อนอยู่ แล้วอาร์มิเลียจะทำเช่นไรเมื่อรู้ความจริงทั้งหมด

ติดตามตอนต่อไปในชื่อตอน 'บันทึกของแม่'

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา