The Adventure of Light&Shadow

-

เขียนโดย mariananeko

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 16.24 น.

  7 ตอน
  4 วิจารณ์
  8,409 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557 08.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ลาคิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

5

ลาคิน

 

      ที่นี่แหละ ที่ข้าอยากให้ท่านเห็น”มิซ่าเอ่ยขึ้นขณะคุมสายบังเหียนม้าอยู่ข้างๆเขา

            มองจากเนินเขาเล็กๆลงไปที่ทุ้งหญ้าเหลืองอ่อนทุ้งหญ้าที่ป่าสวรรค์นี้ทำให้ลาคินนึกถึงบ้าน ดอกไม้ป่านานาชนิดของเป็นเหมือนทุ้งหญ้าดอกไม้ของโยโลเกียขนาดย่อม มิซ่าพาเขาขี่ม้าเลียบทุ้งหญ้าเลาะไปตามเนินต่างๆ ลมพัดเบาบางมาพร้อมกับกลิ่นของใบหญ้าและดินเป็นช่วง เป็นช่วง แสงแดดอ่อนๆที่หลบซ่อนอยู่หลังใบเมฆคอยสร้างร่มเงาเป็นหย่อมๆให้กับทุ้งหญ้านั้น  

       ก่อนที่เขาจะรู้จักเธอในตอนนี้ที่ดินแดนบ้านของเขาเรียกเธอว่าเจ้าหญิงแดง เล่าลือกันว่าห้าปีก่อนเธอฆ่ากบฏเกาะสามตาไปเกือบครึ่งเกาะโดยใช้ขวานสับเข้าไปอย่างป่าเถื่อนและใครที่ตะโกนด่าให้เธอได้ยินเธอจะสับขวานเปิดคอมันและดึงลิ้นออกมา จนถึงไล่ต้อนไปจนถึงทัพของผู้นำกบฏเธอฝ่าวงล้อมเข้าไปฆ่าผู้นำเกาะสามตาอย่างโกรธเกรี้ยวโดยใช้ขวานสับหน้าจนลูกตาถลนเละออกมาและสับผ่าอกควักหัวใจออกมา เมื่อจบเหตุการณ์ครั้งนั้นเหล่าทหารและผู้คนที่อยู่บนเกาะนั้นเห็นเธอเป็นสีแดงจากเลือดดูราวว่ามันเป็นสีผิวของเธอ รอยบาดแผลจางๆที่เคยบาดลึกบนแก้มซ้ายของเธอเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวเมืองต่างรู้จักหลังจากการเรื่องเล่าลือครั้งนั้น

         มันไม่ง่ายเลยในตอนแรกที่เขาจะพยายามรู้จักเธอ เธอเงียบเกินไปในบางทีดูกับราวเธอไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอดูเคร่งครึมเกินไปตอนเธอพาเขาไปพบพ่อของเธอ แต่สิ่งที่ดูเธอจะชอบคือการขี่ม้ามากกว่าหญิงใดเป็นไหนๆ  เธอพาเขาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆของดินแดนนี้ตามคำสั่งของพ่อเธอ  เธอพาไปพบเลมี ลูม่า และน้องชายของเธอมิเอนที่ดูจะชื่นชอบวิลิคองครักษ์ของเขาเป็นพิเศษ    

             “ทุ้งหญ้าเหลือง” มิซ่า พูดขณะทิ้งตัวลงจากหลังม้า “ลงมาเดินกับข้าเถอะเจ้าชาย”

             เสียงของเธอดูจะเป็นการสั่งเขาเล็กน้อย เขาลงจากม้าและเดินไปตามทุ้งหญ้าพร้อมๆกับเธอ

     “ในวสันตฤดู” มิซ่าพูด “ดอกไม้ผลิผลออกดอกทุ้งหญ้าแห่งนี้จะมีดอกสีแดงฉานบานออกมาชาวแดนขวานเรียกทุ้งนี้ว่าทุ้งสีเลือด และช่วงผ่านคิมหันต์ไปหลังจากนั้นในยามค่ำคืน ภูตแห่งใบหญ้า ปีศาจทะเลอาทิตย์ จะมากลืนกลิ่นดอกไม้สีสดและใบหญ้าที่ชุ่มน้ำให้หดเหี่ยวแก่ตายไปสี่เดือนจนเข้าสู่เหมันต์ ที่ทุ้งหญ้านี้จะถูกถมไปด้วยหิมะสีขาว และมันจะถูกเรียกว่า ทุ้งความตาย”  

             เรื่องราวของภูตและปีศาจทะเลอาทิตย์ที่มิซ่าพูดมาด้วยเสียงเรียบๆทำให้เขาหดหู่ เขาไม่ต้องการฟังอะไรที่เลวร้ายในตอนนี้ วันนี้สมบูรณ์แบบเกินไปที่เขาจะคิดเรื่องนั้น ทุ้งหญ้าสีเหลืองอ่อนในฤดูใบไม้ร่วงนี้ดูจะเป็นผลจากภูตปีศาจมาดูดกินอย่างที่เธอว่า แต่เขารู้สึกอบอุ่นกับมันในตอนนี้และมันทำให้เขาคิดถึงบ้านเพราะเหมันต์กำลังจะมาถึงอีกไม่กี่เดือนนี้

              “ข้าหวังว่ามันจะถูกเรียกว่าทุ้งสีชาดมากกว่าสีเลือดองค์หญิง”เขาพูดขึ้น “มันคงจะดูเหมาะสมกว่าสำหรับที่แห่งนี้”  

               เธอก้มลงมองดินหญ้า หน้าตาคิ้วขมวดท่าทางครุ่นคิด “ดินแดนของท่านมีชื่อเรียกทุ้งหญ้าและดอกไม้มากมาย ข้าหวังมาตลอดว่ายามที่ข้าตื่นนอนแล้วพบดอกไม้แสนสวยและหยดน้ำเล็กๆในตอนเช้าที่เกาะอยู่กับใบของมันและเมื่อมองออกหน้าต่างไปเห็นไม้ดอกเลื้อยพันเกาะเลาะตามซอกหินของตัวปราสาท ต้นไม้หลากสีพร้อมกับแมลงหลากสัน นกน้อยที่ร้องเริงระบำกันในยามเช้า ได้ยินว่าดินแดนของท่านมันเป็นเช่นนั้น”

                 ลาคินพยักหน้า “ข้าสัญญาว่าจะพาท่านไปเห็นทุ่งหญ้าและดอกไม้ทั่วทั้งดินแดนข้าองค์หญิงและยามเช้าท่านจะพบมังกรน้อยที่มีปีกบางๆสี่ปีกบินตามหนองน้ำและตกค่ำข้าจะพาท่านไปเห็นแมลงที่กระพริบแสงเป็นสีเขียวในทุ้งหญ้าและนั้นจะเป็นดินแดนของท่าน”

 เธอดูตาลุกวาวราวกับเพ้อถึงท้องทุ้งที่เขาพูดถึง อย่างน้อยลาคินก็รู้แล้วว่านอกจากการขี่ม้า เจ้าหญิงขวานก็ชอบดอกไม้ไม่แพ้กัน หวังว่าที่นั้นจะเป็นที่ที่เธอชอบเมื่อไปถึงและนั้นทำให้เขาคิดถึงขบวนเสด็จของพ่อเขาและพิธีสมรสที่จะมาไม่ถึงในอีกไม่ช้า แต่สิ่งที่เขาคิดมากกว่านั้นคือบางสิ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากนั้นว่าเขาจะเป็นเช่นไร ลูกๆของเขาจะเป็นแบบไหนเขาคิดไปถึงนั้น เมื่อตกเย็นเขากลับไปที่ปราสาทโชวารอสพร้อมกับเธอและนั่งรับประทานอาหารกับพ่อแม่ของเธอ เลมีและลูม่าก็อยู่ที่นั่น โต๊อาหารยาวที่สลักด้วยไม้สวยงามสุดหัวโต๊ะนั้นกษัตริย์เมลเลียสพ่อของเธอนั่งกินอาหารอย่างเงียบเชียบราวกับไร้ตัวตนอยู่ข้างๆภรรยาของเขาราชินีเดริสซึ่งทำให้เขามองเห็นอนาคตของมิซ่าอย่างชัดเจน มิซ่าถอดรูปจากแม่เธอมาไม่มีผิด เขานั่งอยู่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามพ่อของเธอ เมื่ออาหารจานแรกถูกยกออกไปเลมีหันมาหาเขา

                 “อภัยให้หม่อม ฝ่าบาท” เลมีกล่าวขึ้น “ข้าใคร่รู้มานานถึงดินแดนของท่าน ท่านพอจะเล่าได้ไหมว่าดินแดนโยโลเกียนั้นเป็นเช่นใด” เธอยิ้มหวานให้เขาด้วยความสุภาพพร้อมกับความสงสัยใคร่รู้

             รอบๆโต๊ะอาหารดูเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมิซ่าและน้องชายตัวน้อยของเธอหันมาเงียบๆด้วยความสนใจ สิ่งที่เขาบอกได้ชาวต่างแดนก็คงก็รู้อยู่แล้วว่า “โยโลเกีย ส่วนใหญ่มักมีลำธาร หนองบึงอยู่ทุกที่ไปเสียหมดและเมื่อออกจากหมู่บ้านไปอีกหมู่บ้านหนึ่งก็จะมีไร่นาสีเขียวกว้างตลอดข้างทางเล็กๆ ชาวบ้านที่นั่นส่วนใหญ่ไม่เห็นเงินเป็นของมีค่าพวกเขาเห็นว่าข้าว ปลาและผลไม้ที่เขาปลูกนั้นมีค่ามากกว่าและจะใช้ของพวกนั้นแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง โดยการค้าขายเป็นเงินนั้นจะเป็นงานของพ่อค้าแต่ล่ะหมู่บ้านไปแลกเปลี่ยนกันเองเสียมากกว่า บางทีท่านคงจะเคยเห็นผลโมเลียที่พ่อค้าจากแดนข้านำเข้ามาขายที่อ่าวจันทร์เสี้ยวนี้”

                  “ข้าเคยลิ้มรสอยู่ครั้งหนึ่งฝ่าบาท มันหวานเหมือนนมที่ใส่น้ำผึ้ง” เลมีพูด “แต่เสียดายที่ข้าไม่อาจรับประทานของหวานได้มากนัก”

               “แล้วอัศวินล่ะ!” เสียงของมิเอนดังมาท่าทางกระตือรือร้น

              เขายิ้มและพยักหน้าตอบเสียงของมิเอน “ที่นั้นแม้ชาวบ้านจะทำไร่สวนแต่ก็มีงานประลองยุทธ์อยู่บ่อยครั้ง หมู่บ้านแต่ล่ะที่จะมีอัศวินของตัวเองส่งมาแข่งกับอีกหมู่บ้านจนหาคนที่ชนะได้ของแต่ล่ะเมืองนั้นและจะไปแข่งขันกันที่เมืองหลวงและใครที่ชนะก็จะได้เป็นอัศวินที่แท้จริงและที่ดินส่วนหนึ่งไปดูแลไว้”

               “แล้วคนที่แพ้ล่ะ”มิเอนถาม เด็กน้อยผมแดงไร้เดียงสาต่อโลกดูท่าทางใคร่รู้  

      “พอเถอะมิเอน” ราชินีเดริสกกล่าวขึ้นพร้อมกับลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ “ให้เจ้าชายได้รับประทานอย่างสะดวกเถิดมิเอน ก่อนนอนลูม่าก็จะมีนิทานเล่าให้เจ้าฟังหลายเรื่องจนกว่าเล่าจะหลับอยู่แล้ว”

   “ข้าไม่อยากฟังนิทานของท่านพี่ ข้าอยากฟังเรื่องอัศวิน” มิเอนดูจะเร่งเสียงดังพอที่จะได้ยินกันทั้งโต๊ะอาหาร

     “ให้ข้าได้เล่าบอกลูกท่านเถิดฝ่าบาท จะเป็นความกรุณาอย่างที่สุด” ลาคินพูดขึ้นและมิเอนก็ดูจะยิ้มท่าทางดีใจ “ที่จริงแล้วในการประลองนั้นมีอยู่หลายประเภท การดวลหอกยาวบนหลังม้า การต่อสู้มือเปล่า การยิงธนู แต่มีการประลองหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นเกียรติและสรรเสริญแก่ผู้ชนะมากคือการประลองโดยให้ทวยเทพเป็นผู้ตัดสินไม่มีการขอยอมแพ้เพราะการประลองนั้นต้องแลกด้วยการตัดสินของชีวิต”

        มิเอนรู้พอที่จะน้ำตาคลอออกมาเล็กน้อย “คนที่แพ้นั่นก็ตายด้วยเกียรติของการต่อสู้ พวกชาวท่านทำสรรเสริญเขาด้วยหรือไม่”

        “คนตายในการต่อสู้นั่นมีเกียรติ เจ้าชายน้อย” ลาคินพูดขึ้น “แต่เกียรตินั่นก็จะจมไปกับหลุมศพของเขาและอีกไม่นานคนก็จะลืมเขาเพราะคนจะรู้จักเกียรติของคนที่สามารถทำให้หัวของเขาหลุดได้มากกว่า เกียรติยศจะสำคัญเจ้าชายน้อย แต่เกียรติจะสำคัญอย่างไรถ้าเราไม่สามารถดูแลและปกป้องคนที่เรารักได้ การมีชีวิตรอดและคงอยู่ดูจะมีเกรียรติเสียกว่า ชีวิตนั้นมีค่ากว่าการตัดสินกันด้วยคมดาบและอัศวินก็ไม่สำคัญถ้าเขาไม่สามารถถอดเกราะและอาบน้ำได้”

        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราของเมลเลียสดังขึ้นเขาลุกยืนขึ้นหลังจากของหวานยกเข้ามา ทุกคนต่างลุกขึ้นพร้อมกับเขาด้วย “นั่งลง” เขาพูดขึ้น “คนแก่อย่างข้าขอไปพักผ่อน ปล่อยให้คนหนุ่มสาวได้คุยกัน และกษัตริย์ลาเลสจะมาถึงในวันพรุ่งเตรียมตัวให้พร้อมเราไม่ได้กินข้าวอยู่ตลอด”

       เมื่อเมลเลียสออกไปค่ำคืนการรับประทานอาหารก็จบลงหลังจากนั้นไม่นานนัก  ลาคินมองขึ้นไปบนฟ้ายามค่ำคืนออกไปนอกหน้าต่างและมองลงไปด้านล่างเป็นแม่น้ำที่สะท้อนจากแสงจันทร์และดวงดาวที่ลอยบนนภาฟ้า แสงดาวใต้ประกายระยิบระยับ ดวงดาวรวมตัวกันเป็นทางยาวโค้งและเขาเห็นดาวบอกฤดูลอยสดใสอยู่มันเป็นสัญญาณว่าลมหนาวกำลังจะมาถึงในไม่ช้าหลังจากผ่านช่วงใบไม้ร่วงนี้ไปและอีกไม่กี่วันดวงจันทร์จะเต็มดวงอีกครั้ง

 

 

           เสียงดนตรีบรรเลง การละเล่น งานต้อนรับรื่นเริงสนุกสนานเมื่อพ่อเขามาถึงเมืองหลวงของแดนขวาน การต้อนรับไม่ได้ยากอะไรอย่างที่เขาคิดมันดูจะผ่านไปอย่างง่ายดาย แต่ที่น่าแปลกใจคือพี่สาวผมดำของเขาไลเลด้ามาพร้อมกับขบวนเดินทางนี้ด้วย

          ท่ามกลางซุ้มต้อนรับกลางงานรื่นเริงลาคินถูกจัดให้นั่งอยู่ข้างมิซ่าคู่หมั้นของเธอ  นักร้อง นักแสดงเชิดหุ่นต่างวนเวียนมาแสดงหน้าที่นั่งรองรับของกษัตริย์ ทั้งสองคุยกันดูท่าทางสนิทสนมราวกับว่าเคยคุยกันมาก่อน

            “ท่านพี่ของข้าดูจะชอบพอพี่สาวของท่าน” มิซ่าพูดขึ้นพร้อมชวนเขามองไปที่มิโน่ที่มองไปหาไลเลด้าอยู่บ่อยๆจนเกินไป แล้วหันกลับมามองที่เขา “ข้าไม่เห็นท่านมองข้าอย่างที่พี่ข้ามองพี่สาวของท่าน”

           “ข้ามองท่านอยู่ทุกวันตั้งแต่ที่ข้ามาวาเนีย แต่นั่นดูจะเรียกว่าแอบมอง มากกว่าที่พี่ชายท่านมองพี่สาวข้า” ลาคินพูดพร้อมกับหันมามองเธอ วันนี้ดูเธอจะแต่งตัวมาเป็นพิเศษ ผมของเธอถูกถักเปียส่วนหนึ่งและรวบไว้ข้างบนดูเรียบร้อยและชุดสีลูกท้อชมพูอ่อนดูเหมาะสมกับเธอ กลิ่นน้ำมันหอมอ่อนๆที่ชโลมตามเส้นผมหอมโชยมาให้เขาได้รับรสอยู่ครั้งคราวและรอยแผลจางๆที่แก้มเธอทำให้เขามองว่าเธอดูสวยอย่างน่าแปลกใจกว่าวันไหนๆ

 

                 เป๊ง! เป๊ง! เป๊ง!

        

        เสียงเขาแก้วไวน์ดังขึ้นจากเสียงกระทบจากส้อม กษัตริย์เมลเลียสยืนขึ้นหลังจากนั้นผู้คนก็ยืนขึ้นตามๆกัน

   “ในนามของทวยเทพดินแดนขวาน เทพสามตา และเทพพระจันทร์เสี้ยว ข้าเมลเลียส ทราวอส ในนามกษัตริย์ขวานไขว้และปฐมกษัตริย์และราชวงศ์ทราวอสและในนามของผู้ต้อนรับ ข้าขอประกาศเป็นสักขีพยานแก่ทวยเทพและผู้คนทั้งหลายว่าลูกสาวของข้าเจ้าหญิง มิซ่า ทราวอส จะอภิเษกกับ เจ้าชายลาคิน มิลาเลส แห่งราชวงศ์คริโซด้า ในวันข้างขึ้นที่พระจันทร์เต็มดวงอีกสามวันนี้”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา