Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  18.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) หลังพายุ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ในคืนเดือนมืดอันเงียบสงัดในบริเวณโรงงานร้างแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากผู้คน ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ได้ปรากฎขึ้นทำลายความเงียบสงัดนั้น จังหวะของมันดังและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเจ้าของฝีเท้านั้นกำลังหนีจจากอะไรบางอย่าง ไม่นานนักเสียงฝีเท้าก็หยุดลงหน้าประตูเหล็กบานใหญ่ของโรงงานที่ถูกทิ้งร้าง เขาใช้แขนที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งข้างพยายามเปิดมันออกก่อนที่เขาจะวิ่งหายไปกับความมืดที่อยู่ภายใน ไม่นานนักเสียงฝีเท้าอื่นก็ดังขึ้นใกล้เข้ามา

          “แม่งเอ็ย! ไอ้ด้วนนั่นทำไมมันวิ่งไวจังวะ จับตายแม่งแต่แรกก็จบๆ ไปแล้ว”

          “แต่จับเป็นมันได้ตังมากกว่าไง แต่ช่างแม่งเหอะข้าเองก็ชักจะรำคาญละ ยิงแม่งทิ้งเลยละกัน” ชายสองคนในชุดสีดำที่ไล่ตามมาพูดขึ้น พร้อมกับประทับปืนในตำแหน่งเตรียมยิง

          “เฮ้ย..แกเห็นนั่นไหมรอยเลือดบนพื้นเป็นทางเลย” ชายหนึ่งในนั้นพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังรอยเลือดที่อยู่บนพื้นพวกเขาทั้งสองจึงแกะรอยตามเข้าไปยังโรงงานร้าง ไม่นานนักรอยเลือดที่ปรากฎอยู่บนพื้นจากที่มีลักษณะเป็นหยดเริ่มกลายเป็นทางลากยาวราวกับคนที่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเกลือกกลิ้งไปตามพื้น จนในที่สุดรอยเลือดนั้นก็ไปหยุดอยู่หน้ากองขยะกองหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ

          “น่าสงสารว่ะเดี๋ยวข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้เอง”

          “น่าเวทนาซะจริงๆ ฮ่าๆๆ” พวกเขาหัวเราะอย่างสะใจก่อนที่จะเปิดฉากยิงอย่างไม่ยั้งจนขยะเหล่านั้นกระเด็นออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่แล้วก็มีสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ถึงกับชะงักไป เมื่อมีก้อนหินที่ถูกผูกไว้กับเศษผ้าที่ชุ่มเลือดกระเด็นออกมา

          “เฮ้ย!!...งั้นรอยเลือดที่เห็น...มันใช้หินนั่นเหวี่ยงไปกับพื้นอย่างนั้นเรอะ!?”

          “งั้นตัวจริงของมั------!!?” ในชั่วพริบตานั้นเองที่เสียงปืนดังขึ้นสองนัดพร้อมกับร่างของชายทั้งสองที่ลงไปกองแน่นิ่งอยู่กับพื้นไม่นานนักก็ปรากฎร่างของชายคนหนึ่งเดินโซเซออกมาจากความมืดด้านหลังของศพที่เขาเพิ่งสังหารไป

          “...ไอ้พวกบัดซบเอ๊ย...ต้องรีบแล้วหวังว่าพวกที่เหลือคงเอาตัวรอดได้นะ” ชายคนดังกล่าวพูดขึ้นอย่างหืดหอบพร้อมกับรีบเดินเข้าไปหยิบอาวุธที่อยู่บนศพ

          “ตูม!!!” ทันใดนั้นเองประตูที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ถูกพังเข้ามาโดยกลุ่มชายชุดดำ เขาไม่รอช้ารีบยกปืนขึ้นเล็งใส่ศัตรูที่ปรากฎขึ้นในทันที ในตอนนั้นเองเขารับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าเขาคงไม่มีโอกาสรอดแล้ว เพราะอาวุธที่เหลืออยู่เกิดขัดข้องจนไม่สามารถลั่นไกออกไปได้  ก่อนที่ปากกระบอกปืนจากกลุ่มชายชุดดำจะถูกเล็งมายังเขา

          “เปรี้ยงง!!” ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงหนึ่งดังสนั่นขึ้นพร้อมกับแสงสว่างจ้ามันไม่ใช่ทั้งเสียงกระสุนหรืออาวุธชนิดอื่นเท่าที่เขาเคยรู้จักมา เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลงร่างของชายเหล่านั้นต่างนอนตัวกระตุกอยู่กับพื้น

          “มาช่วยแล้วนะเลโอ...” เสียงจากหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เธอจะเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขา

          “รีอา...ใช่เธออย่างนั้นเหรอ......” เลโอมองอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนที่เขาจะทรุดลงไปกับพื้น

          “บาดเจ็บอย่างนั้นเหรอ...นอนอยู่ตรงนี้สักพักแล้วกันนะ เดี๋ยวก็จบแล้ว” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับเอามือแนบลงบนบาดแผลเพียงครู่หนึ่งก็ปรากฎน้ำแข็งจับอยู่บนปากแผลจนเลือดของเขาหลุดไหลก่อนที่เลโอจะหมดสติไป…

 

          “อือ....” เลโอค่อยๆ ลืมตาขึ้นถึงแม้นัยตายังคงพร่ามัวอยู่แต่เขาก็จำบรรยากาศที่อยู่รอบตัวได้ดีทั้งกลิ่นยาฆ่าเชื้อและเสียงจากเครื่องตรวจชีพจร

          “มันไม่ใช่ความฝันสินะ....” เลโอพูดขึ้นพร้อมกับกำมือเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝันไป

“เฮ้อ...เป็นผู้หญิงที่สุดยอดไปเลยแฮะ...”

          “นั่นกำลังพูดถึงชั้นอยู่ใช่ไหม” เสียงจากรีอาพูดแทรกขึ้นดูเหมือนว่าเธอจะอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั่นคือชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของรีอานั่นเอง

          “เฮ้ยศาส!? แกยังมีชีวิตอยู่เหรอเนี่ย ไอ้บ้าเอ็ยถ้ายังไม่ตายก็รีบมาช่วยให้ไวกว่านี้หน่อยสิวะ” เลโอพูดขึ้นเสียงดังแต่สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความโล่งใจ

          “อ่า..โทษทีแล้วกัน ผมเองก็เพิ่งจะเดินได้นี่ล่ะ...” ศาสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนักเมื่อเลโอสังเกตตามตัวของศาสก็ยังพบร่อยรอยของบาดแผลอยู่หลายจุดเช่นเดียวกัน

          “นายเองก็เจ็บหนักเหมือนกันนี่...ว่าแต่พวกนายรอดมาได้ไง”  

          “เข้าใจแล้วงั้นผมจะเล่าให้ฟังแล้วกัน...” ศาสพูดขึ้นด้วยใบหน้าครุ่นคิด

 

          ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างที่กำลังพังทลายไปยังพื้นเบื้องล่าง ศาสได้แต่มองร่างของรีอาที่อยู่อีกฝากหนึ่งก่อนที่เธอจะลับสายไปตา บัดนี้สิ่งต่างๆภายในห้องเริ่มลอยเคว้งขึ้นรวมถึงร่างของเขาด้วยราวกับอยู่ในที่ที่ไร้ซึ่งแรงดึงดูด

          “ตกด้วยความเร็วขนาดนี้...คงไม่ทรมานหรอกนะ” ศาสหลับตาลงพร้อมกับทำใจให้สงบเพื่อเผชิญหน้ากับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

          “รีอา...หากเป็นไปได้..ก็อยากจะกอดเธออีกสักครั้ง” ศาสครุ่นคิดในขณะที่สติของเขาเลือนลางทันใดนั้นเอง

เขาก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นราวกับอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน

          “อย่าทิ้งชั้นไป...” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่จะหมดสติไป

          “เล่ามาสักทีสิวะศาส มัวแต่ยืนหน้าแดงอยู่ได้!” เลโอเริ่มหงุดหงิดที่ศาสมัวแต่ยืนอ้ำอึ้ง

          “มา ชั้นจะเล่าให้ฟังเอง” รีอารีบพูดแทรกขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มเป็นสีแดง

          “ในตอนนั้นชั้นได้สติขึ้นมาพอดี ก็เลยลองเดิมพันใช้เวทย์ธาตุลมน่ะก็เลยใช้มันบินเข้าไปช่วยศาสออกมาได้ทันก็แค่นี้ล่ะ” ดูเหมือนคำพูดของรีอาจะทำให้เลโอทำใจเชื่อได้ยากจนแสดงออกมาทางสีหน้า

          “อืม....หากไม่รู้จักพวกเธอมาก่อนนี่ให้ตายยังไงก็เชื่อไม่ลงจริงๆ แฮะ แต่ก็ดีแล้วที่รอดกันมาได้...เออ! แล้วพรรคพวกคนอื่นๆ ของชั้นล่ะ พวกนั้นเป็นไงบ้าง!?”

          “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ทุกคนปลอดภัยดีและนี่ก็เป็นโรงพยาบาลในสังกัดของชั้นเรื่องความปลอดภัยขอให้วางใจเถอะ” คำพูดที่หนักแน่นของรีอาทำให้เลโอรู้สึกวางใจ

          “เลโอ ชั้นมีเรื่องอยากจะพูดด้วยถึงรู้ว่าตอนนี้ยังไม่สมควรก็เถอะ ชั้นต้องการกำลังของนาย จะมาทำงานให้ชั้นได้ไหม” รีอาพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

          “ทหารพิการแถมยังถูกทางการล่าหัวอีกคงทำประโยชน์อะไรให้เธอไม่ได้หรอก...” เลโอพูดด้วยความเจ็บปวดเขาได้แต่มองไปยังบาดแผลที่ยังเหลืออยู่

          “มันไม่สำคัญหรอก...มันอยู่ที่นายยังอยากสู้ต่อหรือเปล่าล่ะ หากนายต้องการชั้นก็พร้อมที่จะให้โอกาสนั้นกับนาย ” เลโอได้แต่นิ่งเงียบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยจนไม่อาจคาดเดาความคิดของเขาได้เลย เมื่อเห็นดังนั้นรีอาและศาสจึงขอตัวออกมา

               

          กลางดึกบนตึกสูงแห่งหนึ่งในขณะที่แสงไฟโดยรอบเริ่มทยอยดับลง แสงไฟที่วิ่งไปมาบนท้องถนนเริ่มบางตาจนอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นช่วงที่สงบที่สุดของมหานครที่ไม่เคยหลับไหลแห่งนี้ ศาสใช้โอกาสนี้ออกมายืนสูดอากาศที่ระเบียงด้านนอกพร้อมกับทอดสายตามองไปยังทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า

          “รีอานี่โหดจริงๆแฮะ...ขนาดคนป่วยยังใช้งานซะขนาดนี้...” ศาสพูดพร้อมกับบิดขี้เกียจอย่างสบายตัว

          “ก็นายบอกเองว่าอยากช่วยไม่ใช่หรือไง” เสียงจากรีอาดังขึ้นพร้อมกับเสียงเลื่อนจากประตูจนศาสถึงกับสะดุ้ง ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ เขา ทั้งคู่ได้แต่นิ่งเงียบส่วนศาสเองถึงแม้จะมีหลายเรื่องที่อยากถามเธอแต่เมื่อเธอมายืนอยู่ตรงนี้เขากลับลืมเรื่องพวกนั้นไปจนหมดสิ้น ราวกับช่วงเวลาอันยากลำบากที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน

ในตอนนั้นเองรีอาใช้มือของเธอดึงแขนเสื้อของศาสเบาๆ จนเขาหันมามองด้วยความแปลกใจ

          “นี่...ศาส ชั้นอยากถามนายอีกครั้ง นายยังอยากจะสู้ต่อไปไหม...ชั้นไม่อยากเห็นนายบาดเจ็บเพื่อชั้นอีกแล้ว นายจะถอน...” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบนิ้วของศาสก็มาสัมผัสที่ริมฝีปากของเธอราวกับว่าเขาไม่ต้องการได้ยินมันอีก

          “จริงอยู่ว่ามันอันตรายและผมก็ไม่ชอบการเจ็บตัวเท่าไหร่...แต่สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือการเสียเธอไปต่างหากล่ะ ดังนั้นขอให้ผมอยู่ด้วยจนถึงที่สุดเถอะนะ...” ศาสพูดพร้อมกับจับไหล่ของเธอไว้ ราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่ไปไหน

          “ขอบคุณนะ...” รีอ่าเอ่ยขึ้นอย่างเบาๆ ในขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้กันอย่างไม่รู้ตัว

          “รีอา...” ศาสพูดชื่อของเธอออกมาอย่างเบาๆ ในขณะที่เธอค่อยๆ หลับตาลง

          “ก๊อกๆ” ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ด้วยความตกใจพวกเขาทั้งคู่จึงผละออกจากกัน

          “เอ่อ...ชั้นนึกขึ้นได้ว่ามีธุระอื่นต้องไปทำก่อน..เอ่อ...งั้นไว้เจอกันนะ” รีอารีบพูดขึ้นมาก่อนที่เธอจะเดินออกไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา เมื่อศาสหันไปพบเขาก็จำได้ทันทีเขาคือชายที่ช่วยพวกของศาสออกมาในเหตุการณ์มหานครแห่งน้ำตานั่นเอง

          “สวัสดียามดึก...ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนในเวลาแบบนี้” เขากล่าวทักทายอย่างสุภาพท่าทีในวันนี้ของเขาดูสุขุมเยือกเย็นราวกับเป็นคนละคนที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้

          “เอ่อ..สวัสดีครับ ผมชื่อศาสตรา พันแสงไม่ทราบว่าคุณคือ...”

          “ชั้น Gebriel L Lookwell  เป็นพ่อของรีอายินดีที่ได้รู้จักนะศาสตรา ชั้นได้ฟังเรื่องทุกอย่างมาจากรีอาแล้วดูเหมือนว่าเธอจะคอยช่วยรีอามาตลอดเลยสินะต้องขอขอบคุณเธอจริงๆ และขอโทษด้วยสำหรับการกระทำที่ผ่านมา”

เกเบรียลกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นมือมายังเขา จนศาสรู้สึกอดประหม่าไม่ได้ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกมาจับมือของเกเบรียลไว้

          “จริงอยู่ที่ชั้นรู้สึกขอบคุณเธอจริงๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะยอมให้นายมาทำอะไรลุ่มล่ามกับลูกสาวชั้นหรอกนะ”

          “เอ่อ...คะ ครับ....” คำพูดของเกเบรียลที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยพลังทำเอาศาสขนลุกไปทั้งตัว

          “ชั้นคงต้องขอตัวก่อน ไว้พบกันใหม่นะศาสรักษาสุขภาพด้วย” เกเบรียลยิ้มให้กับเขาก่อนที่จะเดินจากไป

 

          เช้าวันต่อมา

          “เฮ้อ...เสร็จซะที” ศาสพูดอย่างโล่งอกเมื่อเขาสามารถเคลียกองงานเอกสารที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดได้ ในตอนนี้อาการของเขาดีขึ้นมากแล้วและพวกเขาก็จัดการธุระหลายๆ อย่างจนอะไรๆเริ่มเข้าที่เข้าทาง คงได้เวลาที่จะออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับไปพักพื้นที่หอของเขาสักที

          “ชั้นยังไม่อนุญาติให้นายกลับหอหรอกนะ...” รีอาพูดขึ้นราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

          “อ้าว...ทำไมล่ะ?”

          “ชั้นจะติวหนังสือให้นายต่อน่ะสิ อยากเรียนซ้ำชั้นหรือไง..” คำพูดจากรีอาทำให้ศาสถึงกับหน้าซีดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเขาลืมเรื่องเรียนไปจนสนิท

          “แต่ผมขาดเรียนไปขนาดนั้น...ป่านนี้คงโดนไล่ออกแล้วมั้ง” ศาสพูดด้วยน้ำเสียงสลด

          “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกชั้นจัดการทุกอย่างให้หมดแล้วเหลือแค่ให้นายเข้าไปสอบซ่อมเอาเท่านั้น...” รีอาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายราวกับเรื่องทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของเธอ

          “เอ่อ..งั้นผมขอกลับไปเอาของที่หอก่อนแล้วกัน”

          “อ๋อ ชั้นลืมบอกไปชั้นให้คนย้ายของๆ นายมาอยู่ที่แมนชั่นของชั้นแล้ว...

          “ห๊า...อะไรนะ นี่เธอล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย!?” ศาสขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ

          “...ว่าแต่เห็นมีคนรายงานว่ามีข้าวของๆ ผู้หญิงอยู่ด้วยนี่...หวังว่านายคงอธิบายได้นะ....” คำพูดของรีอาทำให้ศาสถึงกับชะงัก โดยเฉพาะจิตสังหารที่แฝงออกมาจากคำพูดเมื่อครู่ทำให้เขาถึงกับลืมเรื่องที่หัวเสียเมื่อครู่ไปซะสนิท

          “มะ...มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ นั่นมันของอเดลต่างหากเล่า” ศาสรีบแก้ตัวอย่างร้อนรนเมื่อได้ยินชื่อนั้นท่าทีของรีอาจึงสงบลง

          “ใช่แวมไพร์คนที่นายเล่าให้ฟังใช่ไหม...” ศาสพยัคหน้าตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก นับจากวันนั้นมาอเดลก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยถึงแม้ศาสจะให้เลือดของเขาไปมากแค่ไหนก็ตาม จนมีหลายคนเริ่มท้วงและบอกให้เขานำร่างของเธอไปทำพิธีศพแต่ศาสขอร้องให้เก็บร่างของเธอไว้

          “สักวันหากเธอตื่นขึ้นมาอีกก็ดีสินะ ชั้นเองก็มีหลายเรื่องที่อยากคุยกับเธอเหมือนกัน” รีอาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนราวกับกำลังปลอบใจเขา ศาสได้แต่ยิ้มตอบ ลึกๆ เองเขาก็หวังเหลือเกินว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

          หลังจากนั้นรีอาจึงช่วยติวหนังสือให้กับศาสจนเวลาล่วงเลยไปกว่าที่ทั้งคู่จะรู้ตัวก็เป็นตอนที่บรรยากาศภายในห้องถูกย้อมด้วยแสงสีส้มของพระอาทิตย์ในยามเย็นแล้ว

          “โอ้ย...ไม่ไหวแล้ว...ขอพักแปปนึงได้ไหม” ศาสพูดด้วยน้ำเสียงอิดโรยพร้อมกับฟุบลงไปกับโต๊ะ

          “อือ สักสิบนาทีก็น่าจะได้นะ ว่าแต่นายก็เข้าใจอะไรไวดีนะสมกับเป็นเด็กเรียนดีจริงๆ”

          “มันก็ควรเป็นแบบนั้นล่ะเพราะเนื้อหาพวกนี้ผมเคยอ่านล่วงหน้ามาก่อนแล้ว”ศาสยืดอกยิ้มตอบอย่างภูมิใจ

          “ว่าแต่รีอาเธอไม่อ่านส่วนของเธอบ้างเหรอ เธอก็ต้องสอบเหมือนกันนี่”

          “...จริงๆ ชั้นเรียนมหาวิทยาลัยจบไปนานแล้ว แต่ที่มาเรียนอยู่เพราะอยากฝึกการเข้าสังคมเท่านั้นเอง” คำพูดของรีอาเมื่อครู่ทำให้ศาสรู้สึกจ๋อยไปทันทีก่อนที่เขาจะกลับไปฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้ง

          “ก็ว่า...เพราะสารอาหารไปเลี้ยงสมองหมดนี่เองส่วนอื่นถึงยังไม่โตสัก...อุ๊บ!?”

          “หา..นายว่าอะไรนะ!!? ไม่ต้องพักแล้วลุกขึ้นมาติวต่อเดี๋ยวนี้เลย!!!” ดูเหมือนคำพูดที่หลุดมาจากปากอย่างไม่ตั้งใจของศาสได้แทงใจดำของหญิงสาวเข้าอย่างจัง แค่น้ำเสียงของเธอก็ทำเอาศาสถึงกับเสียวสันหลัง จนร่างกายของเขาแทบจะตอบสนองต่อคำสั่งของรีอาในทันที ทั้งตัวที่ตั้งตรงและมือที่หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดโดยอัติโนมัติ

          “โอ๊ย!?” ศาสอุทานขึ้นเพราะความรู้สึกเจ็บที่ปลายนิ้ว เมื่อหันขึ้นมาก็พบรอยแผลมีเลือดซึมออกมา

          “...นายเนี่ยน้า ไปทำอีท่าไหนถึงโดนกระดาษบาดเอาได้เนี่ย...ระวังหน่อยสิ” รีอาพูดพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเลือดบนนิ้วของศาส

          “อ่า...ขอโทษ เดี๋ยวผมขอตัวสักครู่นะ” เมื่อพูดจบศาสก็รีบเดินออกไปทันทีจนรีอาสังเกตได้ถึงความกังวลบางอย่างที่ปรากฎบนสีหน้าของเขา

 

          ช่วงเช้าตรู่วันนี้ศาสไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเบียดเสียดกับผู้คนบนรถไฟฟ้าเช่นทุกวัน เพราะวันนี้รีอาให้ศาสติดSkyDrive มาด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นไม่ใช่การโดยสารมันหรือว่าการสอบซ่อมของเขาในวันนี้ แต่เป็นการกลับมาใช้ชีวิตนักศึกษาตามปกติ บรรยากาศในห้องเรียนและการเล่นไร้สาระกับกลุ่มเพื่อนเป็นอะไรที่ชวนให้คิดถึงจริงๆ

          “ศาส ห้าโมงเย็นให้มารอชั้นที่นี่นะ” รีอาพูดขึ้นในขณะที่รถกำลังลงจอด

          “หืม...มีอะไรหรือเปล่า”

          “วันนี้ชั้นจะให้นายย้ายเข้าไปอยู่ในแมนชั่นที่เตรียมไว้แล้ว รายละเอียดไว้คุยกันตอนเย็นนะ”

          “อะ อื้อ เข้าใจแล้ว” ในขณะที่เขากำลังก้าวเท้าลงจากรถรีอาก็ยื่นมือของเธอมาจับที่แขนเสื้อของเขาไว้

          “การสอบวันนี้พยายามเข้านะ...”

          “ได้โปรดไว้ใจหม่อมฉันเถอะองค์ราชินี จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน” ศาสพูดด้วยสีหน้าทะเล้นจนรีอาหยุดหัวเราะออกมาได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันไป

 

          “โอย...เล่นสอบติดๆ กันขนาดนี้ทำเอาจิตแทบหลุดเลยแฮะต้องเจอแบบนี้อีกสองวันเหรอเนี่ย...” ศาสเดินออกจากห้องสอบในสภาพอิดโรย ทันใดนั้นเองก็มีกลุ่มคนวิ่งกรูเข้ามาพร้อมใจกันจับตัวของเขาโยนขึ้นอยู่หลายครั้งจนเขาได้แต่ทำหน้าเหวอจนเมื่อพวกนั้นวางเขาลงก็พบว่ากลุ่มเพื่อนๆ ของเขานั่นเอง

          “ไงวะศาสไอ้เพื่อนทรยศ เขาลือกันให้แซ่ดเลยว่าแกหนีตามสาวไปใช่ไหมมมวะ”

          “เป็นแค่ศาสแท้ๆ ริมีแฟนก่อนพวกกูได้ไงวะ” เพื่อนๆของศาสต่างล้อเขากันอย่างสนุกสนานจนเจ้าตัวเองก็อดขำไปด้วยไม่ได้ก่อนที่เพื่อนๆ จะชวนเขาไปเลี้ยงข้าวฉลองการกลับมาของเขา

          ในระหว่างทางไปโรงอาหารในขณะที่พวกเขากำลังเดินพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นเอง ความรู้สึกที่ไม่ควรมีอยู่ในสถานที่นี้ก็ได้ปรากฎขึ้น ศาสสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงที่พุ่งเป้ามายังเขา เมื่อศาสหันไปก็พบชายร่างสูงใหญ่กำลังมองลงมาที่เขาจากดาดฟ้าตึกที่อยู่ข้างๆ ราวกับเป็นการท้าทาย

          “อ้าวเฮ้ยเป็นไรวะศาสทำหน้าซะซีเรียสเชียว” เพื่อนของศาสถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของเขาที่เปลี่ยนไป

          “อูย..โทษทีข้าศึกบุกว่ะพวกแกไปกันก่อนเลยแล้วกัน” เมื่อพูดจบศาสก็รีบวิ่งออกมาจากกลุ่มเพื่อน พร้อมกับมุ่งหน้าไปยังสถานที่ของชายผู้นั้น

          “ตึกๆๆๆ” เสียงฝีเท้าของศาสที่วิ่งอย่างสุดกำลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังศัตรูที่รออยู่ ทันทีที่เขาก้าวเท้าผ่านบานประตูออกไปทันใดนั้นศาสก็รับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น ทั้งสีของสิ่งรอบข้างและบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจนเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบๆ แม้กระทั่งสายลมเองก็ยังหยุดนิ่ง ราวกับมันเป็นโลกที่แปลกแยกไปอย่างสิ้นเชิง

          “เป็นอะไรของแก เป็นคนทางนี้แตกลับไม่รู้จักเขตอาคมหรือไง...” ชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำกล่าวขึ้นพร้อมกับเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของศาส

          “แกเป็นใคร...มีเป้าหมายอะไรกันแน่” ศาสพูดขึ้นด้วยแววตาที่คมกริบ

          “ข้าเป็นใครมันไม่สำคัญหรอก...ว่าแต่แกน่ะเป็นผู้ใช้ดาบฟ้าฟื้นใช่ไหม” คำพูดของมันทำเอาศาสรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะคนที่รู้เรื่องนี้นอกจากพวกของเลโอแล้วก็มีพวกของซิกฮาร์ทที่ถูกเขาฆ่าไปหมดแล้วก็ไม่น่ามีใครรู้เรื่องนี้อีกแล้ว ศาสจึงได้แต่เงียบกับคำถามของเขา

          “ไม่เป็นไร...ร่างกายของแกให้คำตอบกับข้าแล้ว”ทันใดนั้นชายปริศนาได้พุ้งเข้าหาศาสพร้อมกับชักดาบจีนขนาดใหญ่ออกมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นดังนั้นศาสจึงชักดาบของเขาออกมาเช่นกัน

          ถึงแม้จะเป็นดาบขนาดใหญ่แต่ชายผู้นั้นกลับใช้มันได้อย่างคล่องแคล่ว การโจมตีแต่ละครั้งของเขาช่างรุนแรงและหนักหน่วงจนศาสแทบรับการโจมตีนั้นไม่ไหว

          ทุกครั้งที่ดาบของทั้งคู่เข้าปะทะกันแรงของมันทำให้แขนของศาสถึงกับสะท้านจนอาการบาดเจ็บของเขาได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง

          "นี่แกคิดเหรอว่าของเล่นพรรค์นี้จะเอาชนะข้าได้" ชายปริศนาพูดขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนท่าการจับดาบ เขาใช้มือทั้งสองถือดาบตั้งขึ้นบริเวณหัวไหล่ข้างขวา เมื่อเห็นดังนั้นศาสจึงรู้ได้ทันทีว่าฝ่ายตรงข้ามคงต้องการตัดสินในการโจมตีครั้งต่อไป

          "ต่อไปมันคงทุ่มสุดกำลังแน่...การปะทะกับมันตรงๆ มีแต่เสียเปรียบคงต้องเสี่ยงสักหน่อยแล้ว" ศาสวิเคราะห์ท่าทีของฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับรักษาระยะห่างจากคู่ต่อสู้ในขณะที่ลมหายใจของเขาเริ่มหนักขึ้นทุกทีดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะมีผลมากกว่าที่เขาคิด

          ในตอนนั้นเองกลับกลายเป็นศาสที่เป็นฝ่ายบุกเข้าหาพร้อมกับซัดดาบสั้นใส่คู่ต่อสู้เพื่อทำลายจังหวะ

          "หึ ลูกไม้ตื้นๆ" แต่แล้วชายปริศนากลับทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดเขากลับพุ้งเข้าหาศาสโดยไร้ซึ่งการป้องกัน ในขณะที่ดาบสั้นของศาสกำลังพุ้งใส่เป้าหมายอย่างแม่นยำทันใดนั้นชายปริศนาก็คำรามออกมาเสียงดังกึกก้องราวกับเสียงของสัตว์ป่าขนาดใหญ่จนศาสรู้สึกชาไปทั้งใบหน้า แต่สิ่งที่ทำให้ศาสตกใจยิ่งกว่านั้นคือดาบสั้นที่ควรพุ้งทะลวงใส่ร่างของคู่ต่อสู้กลับหยุดนิ่งและร่วงลงบนพื้น แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้นอีกแล้วเพราะตอนนี้ร่างของชายปริศนาได้มาอยู่ต่อหน้าของเขาพร้อมกับดาบที่ถูกฟันลงมาอย่างสุดแรง 

          ในตอนนั้นเองศาสเบี่ยงตัวหลบออกมาด้านข้างได้อย่างฉิวเฉียดจนใบดาบพาดผ่านตัวของเขาไปอย่างหวุดหวิด การทุ่มฟันสุดตัวของชายปริศนาทำให้ด้านหลังของเขาเปิดโล่งศาสไม่รอช้าเขารีบฟันไปยังแผ่นหลังของมันในทันที

          ในชั่วพริบตานั้นเองชายปริศนาได้แตะสวนออกมาจากมุมอับสายตาจนศาสพลาดท่าถูกถีบยอดอกเข้าอย่างจังจนร่างของเขากระเด็นออกไปพร้อมกับความรู้สึกจุกจนแทบอาเจียนออกมา 

          "ไม่คิดเลยว่าผู้ครอบครองศาสตราเทพจะอ่อนหัดถึงขนาดนี้…" ชายปริศนาพูดขึ้นด้วยสายตาที่เหยียดหยามคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า

          ศาสพยายามประคองตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยสภาพที่โซซัดโซเซพร้อมๆกับเลือดที่เริ่มซึมออกมาจากผ้าพันแผล แต่แววตาของเขายังคงจ้องมองไปยังศัตรูอย่างไม่ลดละ

          “หึ! ยังจะลุกขึ้นมาอีกเหรอ ก็ดีข้าจะให้แกได้รับรู้ถึงความห่างชั้นของพลัง” ชายปริศนาฉีกยิ้มออกมาอย่างพอใจพร้อมกับร่ายเวทย์ขึ้นทันใดนั้นดาบที่อยู่ในมือของเขาก็เปร่งออร่าสีแดงออกมาราวกับรับขานต่อผู้เป็นนายของมัน สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าสร้างความพรั่นพรึงให้กับศาสไม่น้อย เพราะเขายังจำความรู้สึกนี้ได้ดี มันคือกลิ่นอายของพลังที่ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายของปีศาจและไม่ใช่สิ่งที่ควรมีอยู่บนโลกมนุษย์  

          “รับมือ!!!” ชายปริศนาร้องตะโกนขึ้นเพียงแค่พริบตาเดียวตัวเขาก็เข้าประชิดศาสได้โดยที่เขายังแทบไม่ทันได้ตั้งตัว

          “เปรี้ยง!!!” เสียงดังกึกก้องจากเหล็กกล้าที่เข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดสะเก็ดไฟกระจายไปทั่วพร้อมกับดาบคู่ของศาสที่หักสะบั้นคามือของเขา

          “ดาบของเราบ้าน่า...” ศาสแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงไปกับพื้น

 

           ขอโทษครับที่ช่วงนี้ออกช้าไปหน่อย แต่ยังไงก็ออกละครับไม่ต้องห่วง

หากเพื่อนๆมีคำแนะนำติชมหรืออยากพูดคุยกันก็โพสได้เลยจ้า หากชอบจะแนะนำ-โหวด ด้วยก็ดีฮัฟ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา