Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  18.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ทางเลือก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

           เสียงที่คุ้นเคยแว่วเข้ามาในโสตประสาท ภาพที่ปรากฎขึ้นมาในหัวของศาสคือบ้านทรงไทยโบราณมีเด็กชายตัวเล็ก ๆ กำลังเล่นซนอยู่บนตักของผู้เป็นพ่อที่ชานบ้าน ถึงแม้จะเลือนลางมากแต่เขาก็พอจำได้ มันคือภาพความทรงจำของเขาในวัยเด็กนั่นเอง

          “พ่อ ทำไมผมต้องมาฝึกอะไรแบบนี้ด้วยล่ะ”

          “เอาไว้ป้องกันตัวลูกจากอันตรายไงครับ”

          ถึงแม้พ่อจะพูดอย่างไรแต่เด็กน้อยก็ยังทำท่าไม่พอใจอยู่ดี จนผู้เป็นพ่อต้องหลอกล่ออยู่นานกว่าเด็กน้อยจะยอมทำตาม เพียงเวลาไม่นานเขาก็สามารถจดจำสิ่งที่พ่อของเขาสอนได้

          “เก่งมาก สมเป็นลูกพ่อจริงๆ เลย” ผู้เป็นพ่อยิ้มและลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู

          “พ่อให้มีดเล่มนี้กับลูกนะ เก็บไว้อย่าให้ห่างกายล่ะ” ผู้เป็นพ่อพูดพร้อมกับหยิบมีดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งวางลงบนมือของเด็กน้อย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้น

          “เอาล่ะได้เวลาแล้ว พ่อไปก่อนนะศาส”

          “พ่ออย่าไป!” เด็กน้อยพยายามวิ่งตามผู้เป็นพ่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามวิ่งเท่าไหร่แต่แผ่นหลังของผู้เป็นพ่อก็ยิ่งทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จนเขาค่อยๆ เลือนหายไป

          “พ่อครับ!!”

          “ว้าย!! ทำบ้าอะไรของนายน่ะ” เสียงร้องของหญิงสาวทำให้ศาสสะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อลืมตาดูก็พบว่ามือของเขากำลังจับอยู่บนหน้าอกของหญิงสาวที่เคยมีเรื่องกับเขานั่นเอง เธอหันมายิ้มให้กับเขาก่อนที่จะใช้กำปั้นเขกเข้าที่หัวอย่างแรงจนอาการสะลึมสะลือเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง

          “ใจเย็นลงบ้างหรือยัง....” เธอพูดพร้อมกับเดินมานั่งยังเก้าอี้ข้างเตียง

          “...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่.... ผมงงไปหมด..แล้วพี่ชัย คนที่อยู่กับผมเป็นยังไงบ้าง” ศาสพยายามถามเธอถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ตัวเขาเองก็ยังคงรู้สึกสับสนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นเพียงความฝัน ความกังวลของศาสแสดงออกมาอย่างชัดเจนจนเธอรู้สึกได้

          “คนที่แกพยายามจะฆ่าน่ะเหรอ...น่าเสียดายนะที่ยังไม่ตาย” คำพูดหนึ่งถูกแทรกขึ้นระหว่างการสนธนาเมื่อทั้งคู่หันไปก็พบกับชายในเครื่องแบบตำรวจสองคนกำลังเดินเข้ามาในห้อง

          “เอาล่ะ หมดเวลาคุยสนุกของเด็กแล้ว เธอออกไปได้แล้ว”  หนึ่งในตำรวจกล่าวขึ้นพร้อมกับโบกมือไล่หญิงสาวให้ออกไปด้านนอก หญิงสาวหันไปมองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

          “คนพวกนี้จะไม่เชื่อนายหรอก....หากนายต้องการรู้ความจริงโทรหาชั้นนะ” เธอกระซิบกับศาสพร้อมกับแอบวางเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ บนมือของเขา ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไป

          ตลอดสองชั่วโมงของการสอบสวนศาสพยายามเล่าทุกสิ่งให้กับเจ้าหน้าที่ฟัง แต่ไม่มีใครยอมเชื่อ เขากลับถูกมองด้วยสายตาที่แสดงถึงความดูถูกราวกับเขาเป็นคนเสียสติ ศาสจึงตัดสินใจที่จะไม่ให้ปากคำใดๆ อีก แต่จากการสอบสวนก็ทำให้เขาสามารถปะติปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาหมดสติไปได้ คือ มีหญิงสาวโทรเข้ามาแจ้งว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บสองคน พบร่องรอยของการต่อสู้ ในที่เกิดเหตุ แต่กล้องวงจรปิดบริเวณข้างเคียงกลับไม่พบหญิงสาวคนที่ศาสอ้างว่ามาทำร้ายพวกเขาเลย จึงทำให้ทางตำราจไม่เชื่อว่ามีบุคคลที่สาม และนั่นแน่นอนว่าเขาจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยาย

          “โชคดีนะที่ตอนนี้แกยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย....แต่อย่าคิดว่าจะลอยนวลต่อไปได้ล่ะ” พวกเขาพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินจากไป

          สักพักต่อมาก็มีแพทย์เข้ามาตรวจอาการของเขาอีกครั้งก่อนที่จะอนุญาติให้กลับบ้านได้  ทันทีที่เขากลับมาศาสก็พยายามครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับมันได้ จนในที่สุดเขาก็นึกถึงคำพูดของหญิงสาว เขารีบล้วงหาเศษกระดาษที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนที่จะตัดสินใจโทรหาเธอ

          “ขอบคุณที่โทรมานะ” เธอกล่าวขึ้นราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องโทรมา เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขามากนัก เพียงแค่นัดเขาไปเจอยังสวนสาธารณะ ที่อยู่ใกล้ๆ กับหอพักของเขา ลึกๆ ในใจเขาก็รู้สึกกลัวแต่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากเผชิญหน้ากับมัน เขาจึงตอบตกลงไป 

         เมื่อใกล้ถึงบริเวณนัดหมายหัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ขาที่อยู่ดีๆกลับรู้สึกหนักอึ้งจนแทบยกไม่ขึ้น เขาเริ่มรู้สึกไม่อยากให้ถึงจุดหมาย แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ต้องการรู้ความจริง เมื่อศาสมาถึงสถานที่นัดหมายไม่นานนักเธอก็มาถึงพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ก่อนที่เธอจะชวนเขาไปยังศาลานั่งพักที่อยู่ใกล้ๆ

          “ขอทักทายอย่างเป็นทางการเลยแล้วกัน ชั้นชื่อRea L Lookwel  ยินดีที่ได้รู้จัก” หญิงสาวกล่าวคำทักทายอย่างสุภาพจนศาสเองก็ทำตัวไม่ค่อยถูก

          “อ่า....ผม ศาสตรา พันแสง ยินดีที่ได้รู้จัก”

          “ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ก่อนอื่นเราต้องขอโทษก่อนนะศาสที่เราไปสืบประวัติของนายมา บ้านของนายเป็นหมอผีใช่ไหม”

          คำพูดดังกล่าวทำให้ศาสตกใจและไม่พอใจเขาพยายามปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้มาโดยตลอด แต่เมื่อเทียบกับเรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันกลับดูเล็กน้อยไปเลย เขาถอนหายใจพร้อมกับพยัคหน้ารับ

          “นายไม่รู้สึกตัวเลยเหรอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงนี้มันผิดปกติไปหมด ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว...”

          “เธออยากจะพูดอะไรกันแน่...แล้วหมอผีมันเกี่ยวอะไรด้วย”

          “นายนี่เป็นพวกหัวดื้อรึไงนะ” เธอพูดพร้อมกับแบมือยื่นมายังศาส พร้อมกับร่ายวลี แปลกๆออกมา ซึ่งศาสเองก็ไม่เคยได้ยินภาษาแบบนี้มาก่อน สักพักหนึ่งก็ปรากฎลูกไฟขนาดเล็กเท่าลูกปิงปองลอยนิ่งอยู่บนฝ่ามือของเธอ

          “เอ๋...เธอเป็นนักมายากลเหรอ” เขาพยายามจะเอามือไปหยิบลูกไฟนั้น ทันทีที่เขายื่นมือเข้าไปใกล้ เขาก็สะดุ้งจนดึงมือออกแทบไม่ทัน แม้เพียงแค่ชั่วครู่หนึ่งเขาก็สัมผัสได้ถึงความร้อนสูงจากมันได้ หญิงสาวยิ้มเยาะก่อนที่เธอจะกำมันจนลูกไฟดับลงไป

           “ไม่ใช่ชั้นคนเดียวหรอกนะ ที่ความสามารถแบบนี้ตื่นขึ้นมา นายเองก็เหมือนกัน”

          “...มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง”

          “ชั้นเห็นนะตอนที่นายช่วยผู้หญิงคนนั้นไว้จนถูกแผ่นกระจกตกใส่ นายคิดว่าคนธรรมดาจะรอดเหรอ”

          “มันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ไ!!!” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบหญิงสาวก็ชักมีดพกออกมาพร้อมกับฟันเข้าที่แขนของศาส

          “โอ้ยยยย!!! ทำอะไรของเธอเนี่ย!!!” ศาสรีบยกแขนขึ้นมาพร้อมกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ

          “จะร้องทำไม ดูที่แขนซะก่อน!!” ศาสรีบพลิกแขนของเขาขึ้นมาดูก็พบกับสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือร่องรอยจากการฟันเมื่อครู่มีเพียงรอยแดงยาวเป็นแนวเท่านั้น ศาสเอามือค่อยๆลูบอย่างไม่เชื่อสายตา

          “ทีนี้เชื่อหรือยัง....” รีอาพูดเสียงเขียวพร้อมกับพร้อมกับยกมีดขึ้นมา

          “ชะ เชื่อแล้วคร้าบบบ!!”  

          “หลังจากเรื่องแผ่นดินไหว ชั้นก็ลองค้นคว้าตามตำราพวกศาสตร์ของไทยก็พบวิชาพวกคงกระพันอยู่เยอะนะ นายอาจจะได้รับถ่ายทอดมาก็ได้”

           “แบบนี้ที่บ้านของเธอก็เป็นหมอผีเหรอ”

          “อืม...น่าจะใกล้เคียงนะ แต่ในภาษาของพวกนายคงเรียกชั้นว่าแม่มดล่ะมั้ง” 

          "ไอ้ของแบบนี้มันมีอยู่จริงๆ เหรอเนี่ย....แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี"

          “เอาล่ะศาสชั้นอยากขอความร่วมมือจากนาย มาช่วยกันจัดการเรื่องนี้ให้จบเถอะ”

          “หา! เธอเอาจริงอ่ะ ให้เป็นหน้าที่ของพวกตำรวจไม่ดีกว่าเหรอ!?” ศาสหันไปมองรีอาด้วยความตกใจแต่เมื่อเห็นแววตาของเธอเขาก็เข้าใจว่ามันไม่ใช่สายตาของคนที่พูดเล่น

          “นายจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับคนอื่นอีกเหรอ”

          “หึ! เธอไม่เคยเจอกับตัวไม่รู้หรอก ขนาดชั้นยังสู้มันไม่ได้เลย คิดว่ามันเป็นเรื่องเด็กเล่นรึไง!!”

          “ทำไมจะไม่รู้!!...ครอบครัวของชั้นน่ะ........” อยู่ๆเธอก็ก้มหน้า ไม่มีถ้อยคำใดออกมาอีก

          “...ขอโทษนะที่ขออะไรแบบนั้น ชั้นลืมไปว่าตัวชั้นคงรับผิดชอบชีวิตใครไม่ไหว แต่ถ้าหากนายอยากจะแก้แค้นให้กับพวกพ้องของนาย ก็ให้มาเจอกันที่นี่พรุ้งนี้” ก่อนจากไปเธอเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นห่อผ้าให้กับศาส เมื่อเขากะมันออกก็พบกับเศษใบมีดหักๆ แต่จากอักขระที่ถูกสลักบนใบมีด แค่มองผ่านๆศาสก็จำมันได้มันคือมีดของเขานั่นเอง

          “คนที่เรียกรถพยาบาลมาช่วยคือเธอเหรอ” เมื่อศาสหันกลับไปก็พบว่าเธอหายไปแล้ว

 

          วันนี้ก็เหมือนตามปกติที่ศาสมักจะชอบทบทวนบทเรียนต่างๆ ในยามเช้าแต่เรื่องกวนใจเมื่อคืนก็ทำให้เขาครุ่นคิดจนไม่มีสมาธิ เขาพยายามที่จะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานและฝืนใช้ชีวิตอย่างปกติต่อไป  แต่ความวิตกกังวลต่างๆ กลับฝุดขึ้นมาในสมองของเขาไม่หยุด  

          ในช่วงบ่ายหลังจบคาบเรียนเขาไปเยี่ยมชัยที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้เนื่องจากอาการของชัยยังอยู่ในขั้นโคม่าเมื่อรู้ว่าตนไม่สามารถทำอะไรได้เขาจึงตัดสินใจกลับมายังห้องพัก ก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้า จนเผลอหลับไป

          เสียงเคาะประตูทำให้ศาสสะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อเขาออกไปเปิดประตูก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย

          “พี่ชัย....” ศาสหลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัว  คงเป็นเพราะใบหน้าของเขาที่ดูคล้ายชัยมากจนทำให้ศาสเข้าใจผิด

          “น้องชื่อศาสตราใช่ไหม”

          “ใช่ครับ ว่าแต่พี่คือ....”

          “อ่าโทษที...พี่ชื่อชาติ เป็นน้องของพี่ชัย...พี่เขาฝากสิ่งนี้มาให้” ชาติหยิบกล่องไม้เก่าๆ ออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับส่งมันให้กับศาส

          “ว่าแต่อาการของพี่ชัยเป็นยังไงบ้างครับ” ชาติเงียบไปพักหนึ่งซึ่งนั่นก็ทำให้ศาสเข้าใจความหมายของมันได้

          “พี่เขาเสียแล้วนะ...เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมานี้ล่ะ....”  ชาติพูดด้วยเสียงที่ซ่อนไว้ซึ่งความขืนข่ม ส่วนศาสเองเขาอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่สามารถพูดมันออกไปได้ ตอนนี้ในหัวของเขามันขาวโพลนไปหมด

          “พี่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ช่วยรับมันไว้ตามความตั้งใจของพี่เขาเถอะนะ...” ชาติตบไหล่ของศาสเบาๆก่อนที่เขาจะเดินจากไป

          “...ขอบคุณครับ....” ศาสพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ชาติพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะเดินจากไป ศาสหวนคิดถึงช่วงเวลาที่เขาเพิ่งเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองใหม่ๆ ก็ได้ชัยคอยช่วยเหลือหลายๆ อย่าง จนเป็นเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งศาสก้มดูกล่องที่อยู่ในมือของเขา เมื่อเปิดมันออกก็พบกับมีดเล่มหนึ่ง มันยาวประมาณเก้านิ้ว ในสภาพทรุดโทรม ลวดลายต่างๆที่ถูกแกะบนส่วนที่เป็นไม้ต่างเลือนลาง วัสดุเคลือบผิวก็หลุดลอก เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเก่าแก่ของมัน แต่ถึงกระนั้นมันก็แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาชักมันออกจากฝักก็พบกับความแปลกใจเนื้อเหล็กภายในยังคงมันเงาลวดลาย

อัคขระยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผิดกับลักษณะภายนอกอย่างสิ้นเชิงประกอบกับทรงโค้งที่ดูแปลกตาจากมีดทั่วไป  

        “นี่มันมีดหมอ...” ศาสรู้ได้โดยสัญชาติญาณแม้ปัจจุบันมันจะเป็นสิ่งที่หาดูได้ยาก แต่การที่บ้านของเขาเป็นหมอผีจึงเคยเห็นของแบบนี้ผ่านตามาบ้าง

 

          อากาศที่เริ่มเย็นลงเพราะสายฝนที่โปรยปลายลงมา ผู้คนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านจึงทำให้สถานที่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแห่งนี้แลดูวังเวงและน่ากลัวขึ้นถนัดตา จะมีก็เพียงเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบลงบนใบไม้ ในศาลาที่พักเล็กๆยังคงมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหลบฝนอยู่ภายใน  ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นด้านหลัง เธอรีบหันไปมองอย่างมีความหวังแต่ก็ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เพราะเจ้าของเสียงนั้นเป็นกลุ่มชายแปลกหน้า

          “ไงจ๊ะคนสวย มานั่งทำอะไรที่นี่คนเดียวเนี่ย”  ชายคนหนึ่งในกลุ่มเริ่มพูดขึ้นมา ในขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาในศาลา

          “นั่งตรงนี้มันหนาวนะจ๊ะ ไปกะพวกพี่ดีกว่านะ”

          “นี่มันชาวต่างชาตินี่หว่าสงสัยฟังไม่ออกมั้ง คงต้องใช้ภาษากายละวะ ฮ่าๆๆ” ชายที่เหลือในกลุ่มรีบพูดเสริมทันที

          “ขอโทษนะคะ พอดีรอคนอยู่นะค่ะ” รีอาตอบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

          “อย่ามาเล่นตัวน่าบอกให้มาไง!!!” ชายหนึ่งในกลุ่มเดินเข้ามาคว้าแขนของเธอไว้

 

          หลังจากที่ศาสใช้เวลาอยู่กับมีดที่เขาได้รับมาอยู่นาน เมื่อเหลือบไปมองยังนาฬิกาก็พบว่าดึกมากแล้ว ในห้วงคำนึงหนึ่งก็เขาก็หวนนึกถึงคำพูดของรีอา ศาสจึงรีบคว้าข้าวของก่อนที่จะวิ่งออกมาจากห้อง  

          เมื่อศาสมาถึงบริเวณสวนสาธารณะสายฝนก็เริ่มตกลงมา ในขณะที่หอนาฬิกาใหญ่ด้านหน้าส่งเสียงกังวาลบอกถึงจุดสิ้นสุดของวัน ทำให้รู้ว่าเลยเวลานัดไปมากแล้ว

           ทันใดนั้นศาสก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังผ่านสายฝนออกมา  เขาจึงรีบวิ่งไปหาต้นเสียงอย่างไม่คิดชีวิต

          “บัดซบเอ็ย!! ขออย่าให้เป็นเธอเลย” ศาสภาวนาในใจ

          เมื่อมาถึงศาสก็พบกับภาพอันน่าตกตะลึง ชายทั้งสี่คนนอนกองอยู่บนพื้น โดยมีหญิงสาวรูปร่างเพรียวบางยืนอยู่บนร่างของชายเหล่านั้น โดยไร้ซึ่งบาดแผลใดๆ ในตอนนี้ศาสเข้าใจแล้วว่าเสียงร้องที่เขาได้ยินคงเป็นเสียงของหนึ่งในกลุ่มชายพวกนี้ เมื่อรีอาสังเกตเห็นศาสเธอจึงรีบก้าวลงจากตัวของพวกมัน

          “ชิ...ทำไมต้องมาเห็นตอนนี้นะ” รีอาบ่นพึมพัมพร้อมกับเดินเข้ามาหาศาส

          “พวกนี้จะเข้ามาลวนลามน่ะ ชั้นตกใจไปหน่อยก็เลย...” 

          วันนี้มีเรื่องเข้ามาในหัวของศาสเยอะเหลือเกินจนเขานีกคำพูดที่จะบอกกับเธอไม่ออก จึงมีเพียงรอยยิ้มแห้งๆ เท่านั้น

          “...แต่ยังไงก็ขอบคุณที่มานะ เธอจะช่วยชั้นใช่ไหม”

          “อืม...ชั้นไม่อยากเห็นใครต้องมาตายอีกโดยที่ไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว....”

          ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าจำนวนมากก็ดังเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงหยุดการสนธนาลงเพื่อสังเกตุสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง

          “ชิ!..ทีเวลาแบบนี้ล่ะมาไวจริง” รีอาพูดด้วยความหัวเสีย ก่อนที่เธอจะคว้าแขนของศาสพร้อมกับพาวิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุ  ทั้งคู่วิ่งอยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่ารอดพ้นสายตาของพวกมันแล้ว

          “เดี๋ยว! ไอ้พวกเมื่อกี้เป็นใครน่ะ” ศาสถามด้วยความสงสัย

          “ก็พวกตำรวจนั่นล่ะ...หากไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นเลี่ยงพวกนี้ไว้ดีกว่านะ” 

          "แล้วเธอรู้ได้ยังไงน่ะ..." รีอามองหน้าศาสสักพักจึงอธิบายต่อไป

          “ก็ฟังจากเสียงน่ะ เสียงฝีเท้าที่หนักแสดงว่าผิวของรองเท้าต้องหนากว่ารองเท้าทั่วไปและเสียงฝีเท้าที่คล้ายกันหมดแค่นี้ก็พอจะบอกได้แล้วล่ะ” เมื่อได้ฟังคำตอบของรีอาทำให้ศาสรู้สึกทึ่งในความสามารถของเธอ

          ในตอนนี้พวกเขาต่างเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน จนเสียงจามเล็กๆ ดังขึ้นจากรีอา เมื่อศาสหันไปก็เห็นมือของเธอกำลังสั่นอยู่ด้วยความหนาวในขณะที่กำลังกอดอกอยู่

          “เอ่อ...หากไม่ว่าอะไร ไปคุยต่อที่ห้องผมดีกว่าไหม อยู่แถวๆ นี้เอง”  เธอมีอาการตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของศาสจนเธอครุ่นคิดอยู่นาน

          “กะ ก็ได้...แต่หากนายคิดจะทำอะไรแปลกๆล่ะก็ คงเห็นเจ้าพวกนั้นแล้วสินะ....” รีอาพูดขึ้นมาด้วยเสียงเขียว

          “เฮ้ย...ผมไม่ได้หื่นขนาดนั้นนะ” ศาสตอบในขณะที่หันกลับไปมองรีอา เสื้อผ้าที่เปียกปอนทำให้มันเข้ารูปมากกว่าปกติจนสามารถเห็นสัดส่วนของเธอได้อย่างชัดเจนจนเขาเองก็รู้สึกอายขึ้นมา

          “มะ..มองอะไรเล่า...”รีอาพูดด้วยเสียงเขียวพร้อมกับไล่ให้ศาสหันไปทางอื่น ศาสจึงรีบถอดเสื้อคลุมของเขาออกและส่งมันให้กับเธอ ทั้งคู่จึงไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งมาถึงห้องของศาส รีอายืนนิ่งอยู่หน้าห้องอยู่นานจนศาสอดสงสัยไม่ได้

          “หรือว่าเธอไม่เคยเข้าห้องของผู้ชายมาก่อน”

          “พะ พูดอะไรแบบนั้น  แค่ห้องของผู้ชายไม่เห็นจะมีอะไรเลย” เธอพยายามตอบด้วยความมั่นใจ แต่จริงๆแล้วแค่ฟังน้ำเสียงของเธอก็รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังประหม่าอยู่  พร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาด้วยอาการแข็งๆ

          “เอ้านี่เช็ดผมให้แห้งซะก่อนสิ” ศาสหยิบผ้าขนหนูยื่นให้กับรีอาในขณะที่เธอกำลังเช็ดผมอยู่นั้น ศาสก็ยกกาแฟอุ่นๆ มาให้กับเธอ

          “ขอบคุณนะ” คำพูดสั้นๆจากเธอแต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับศาส ในตอนนี้เธอดูผ่อนคลายลงมากทีเดียว

          “เอาล่ะ...ไอ้ตัวที่เราจะตามล่ามันคือตัวอะไร และเราจะหามันเจอได้ยังไง” รีอาจึงขอให้ศาสเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นอย่างละเอียด สักพักเธอจึงหยิบแผนที่ออกมากางบนโต๊ะพร้อมด้วย โลหะรูปทรงคล้ายไม้กางเขนที่ถูกร้อยด้วยสายโซ่แต่ส่วนปลายของมันมีลักษณะคล้ายลูกศร 

          “นั่นมันคืออะไรเหรอ” ศาสถามเมื่อเห็นเธอหยิบเศษผ้าแปลกๆ ออกมา ซึ่งถูกซีลอยู่ในซองพลาสติกใสเป็นอย่างดี

          “มันคือเศษผ้าที่ชั้นเอาไปชุบเลือดของไอ้ตัวที่นายถูกเล่นงานไง” คำตอบนั้นทำเอาศาสถึงกับคิ้วขมวด

          “ชั้นจะทำพิธีค้นหามันจากเศษชิ้นส่วนของตัวมันนี่ล่ะ ขอชั้นใช้สมาธิสักหน่อยนะ”  หลังพูดจบเธอก็ร่ายมนต์ลงบนเศษผ้า จากนั้นเธอจึงหยิบปลายสายโซ่ของอุปกรณ์ค้นหา และยกมันขึ้นเหนือแผนที่ สักพักหนึ่งอุปกรณ์ที่ตั้งดิ่งตามแรงโน้มถ่วงของโลกกลับเริ่มสั่นไหว มันชี้ไปยังที่จุดๆ หนึ่ง จนสายโซ่เหยียดตรงราวกับถูกแรงบางอย่างดึงเอาไว้ เมื่อทั้งคู่ก้มลงดูก็พบว่ามันคือตึกที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในระแวกที่เกิดเหตุนั่นเอง

          “ตึกนั้นมันของรัฐบาลนี่นา น่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีเลยไม่ใช่เหรอ...ทำไมไม่มีใครรู้เลยล่ะ” ศาสถามขึ้นด้วยความแปลกใจตึกที่มีคนงานก่อสร้างทำงานเป็นจำนวนมากในตอนกลางวัน เจ้าปีศาจนั่นไม่น่ารอดสายตาของคนงานไปได้

          “ชั้นคิดว่ามันอาจใช้ทางน้ำใต้ดินในการเดินทางหรือหลบซ่อนตัว และอีกอย่างระบบกล้องวงจรปิดภายในของตึกนั้นคงยังไม่ได้ถูกติดตั้งไว้หรอก”

          เมื่อรู้ที่กลบดานของมันแน่ชัดทั้งคู่จึงเตรียมพร้อมที่จะไปจัดการกับมันให้จบเรื่อง ก่อนที่จะออกจากห้องศาสก็ไม่ลืมที่จะหยิบมีดที่ได้รับฝากมาจากชัย พร้อมกับจุดธูปบอกดวงวิญญาณของเขา

          เมื่อมาถึงบริเวณก่อสร้าง มองตรงไปก็พบตึกที่เป็นที่หมายตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าพวกเขา ทั้งคู่จึงใช้ความมืด เร้นกายเข้าไปใน โดยพยายามหลีกเลี่ยงจากสายตาของยามรักษาการณ์และกล้องวงจรปิดซึ่งดูเหมือนว่ารีอาจะรู้แบบแปลนทุกอย่างเป็นอย่างดี

          “นี่ๆ รีอาเราจะเข้าไปด้านในทางนี้ใช่ไหม” ศาสถามพร้อมกับชี้ลงไปยังฝาท่อระบายน้ำที่อยู่ตรงเท้าของพวกเขา รีอาทำคิ้วขมวดอยู่พักหนึ่ง

          “จะบ้าเหรอ ใครจะลงไปเหม็นก็เหม็น หนูอีก แมลงสาปอีก”

          “แล้วจะเข้าไปยังไงทางเข้าตึกมีกล้องจับหมดเลย”

          “คอยดูแล้วกัน”  รีอาหยิบสมาทโฟนขึ้นมาพร้อมกับใส่คำสั่ง เพียงแค่ไม่กี่นาทีระบบของกล้วงวงจรปิดก็หยุดลง

          “เร็วเข้าตอนนี้ล่ะ”เมื่อรีอาให้สัญญาณพวกเขาจึงวิ่งสุดฝีเท้าจนสามารถเข้าไปยังตัวอาคารได้ก่อนที่กล้องวงจรปิดจะกลับมาทำงานอีกครั้ง  รีอาหยิบอุปกรณ์ค้นหาของเธอขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับร่ายเวทย์ คราวนี้มันมีปฎิกิริยาอย่างรุนแรงพร้อมกับชี้ลงไปยังพื้นเบื้องล่างทางด้านหน้าของพวกเขา

          “ชั้นใต้ดินงั้นเหรอ...” ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไป ยิ่งพวกเขาเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่แสงไฟจากด้านนอกก็ยิ่งส่องเข้ามาไม่ถึง จนไม่สามารถมองเห็นได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องใช้ไฟฉายที่นำติดตัวมา ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงัดของกลางดึกแม้เพียงเสียงจากหยดน้ำหยด หยดเล็กๆ ยังก้องกังวาลจนพวกเขาสามารถได้ยินเสียงของมันได้ ตอนนี้อุปกรณ์ค้นหาเริ่มมีปฎิกริยารุนแรงขึ้นพร้อมกับความกดดันที่ถาโถมเข้ามา จนพวกเขารู้สึกแน่นอยู่ในอกราวจนรู้สึกหายใจไม่ออก ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชั้นล่างสุด ณ ปลายทางเบื้องหน้าที่อุปกรณ์ค้นหาชี้ไปคือห้องๆหนึ่ง ศาสค่อยๆเอื้อมมือไปจับมีดของเขาที่เหน็บไว้ที่เอวด้านหลัง ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันก่อนที่ศาสจะค่อยๆ ใช้อีกมือหนึ่งเอื้อมไปยังลูกบิดของประตู

          “พวกเธอเป็นใคร ลงมาทำอะไรที่นี่!!”  เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว ทำเอาพวกเขาถึงกับสะดุ้งสุดตัว เมื่อฉายไฟไปก็พบพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง

          “เอ่อขอโทษค่ะ พวกเราคือทีมวิศวกรพอดีเรามาหยิบแปลนที่ลืมไว้” ในขณะที่รีอากำลังเดินเข้าไปแก้ตัวกับเจ้าหน้าที่คนนั้น ศาสไม่รอช้ารีบคว้ามีดเข้าไปแทงเจ้าหน้าที่จากมุมอับเป้าหมายของเขาคือหัวใจของมันนั่นเอง เพียงพริบตาหนึ่งเจ้าหน้าที่ไหวตัวทันเขาสามารถยกแขนขึ้นมากันไว้ได้แต่แรงจากการปะทะทให้เขาล้มลงไป

          “โอ๊ย!! กะ แกบ้าไปแล้วเหรอ!!?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร้องลั่น

          “ทำอะไรน่ะศาส เขาไม่ใช่เป้าหมายของเรานะ!!!” รีอารีบร้องห้ามแต่ศาสไม่สนใจเขารีบวิ่งเข้าไปหมายจะปลิดชีวิต ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกลับส่งเสียงร้องคำรามขึ้น ประตูที่อยู่ทางด้านหลังของพวกเขาก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆพร้อมกับปีศาจที่พุ่งเข้ามาโจมตีศาส เขาก็สามารถหลบได้อย่างฉิวเฉียดแต่ก็ต้องเสียไฟฉายไป รีอาจึงเข้าใจเรื่องทุกอย่างในทันที พวกมันมีสติปัญญา มีความฉลาดในการหลอกล่อเหยื่อ และที่สำคัญพวกมันมีมากกว่าหนึ่งตัว

          สถานการณ์พลิกผันในทันที พวกเขาที่เป็นผู้ล่ากำลังตกเป็นเหยื่อของพวกมัน  เหลือไฟฉายเพียงแค่หนึ่งกระบอกเท่านั้น ซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้โดยรอบ และดูเหมือนพวกมันจะเข้าใจถึงข้อจำกัดนั้นดี พวกมันจึงเดินไปรอบๆ พวกเขาโดยใช้การแฝงกายไปกับความมืดเฝ้ารอจังหวะที่จะเข้าโจมตี ในสถานการณ์แบบนี้ศาสและรีอาทำได้แค่หันหลังชนกันเท่านั้น

          “ขืนเป็นแบบนี้พวกเราตายกันหมดแน่ พอมีแผนอะไรบ้างไหม” ศาสกระซิบถามรีอา

          “พอชั้นให้สัญญาณก็หลับตานะ”  ลีอาค่อยๆเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเธอ  ในขณะที่เสียงฝีเท้าของพวกมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงกระทืบเท้าจากนั้นเสียงก็เงียบหายไป ศาสรู้ดีว่านี่คือสัญญาณของการพุ่งเข้าโจมตีจนเขาอยากจะวิ่งออกไปจัดการให้รู้แล้วรู้รอดแต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงเชื่อมั่นในตัวของรีอาเท่านั้น

          “ตอนนี้ล่ะ!!!” ทันทีที่เสียงสัญญาณดังขึ้น เขารีบหลับตาทันทีพร้อมกับแสงสว่างจ้ามากระทบลงบนเปลือกตาของเขา จนภาพในหัวกลายเป็นสีขาวโพลน เมื่อลืมตาขึ้นห้องที่มืดสนิทกลับสว่างจ้าจนเขาสามารถเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็พบพวกมันในสภาพที่ใช้มือกุมหน้าด้วยความทรมาน ดวงตาของพวกมันถูกแสงเมื่อครู่เล่นงานจนสูญเสียการมองเห็นไป เมื่อเห็นโอกาศพวกเขาไม่รอช้ารีบเข้าจู่โจมพวกมันทันที

          เพียงพริบตาเดียวรีอาร่ายเวทย์ก่อให้เกิดกลุ่มลูกไฟขนาดใหญ่ขึ้นด้านหลังของเธอ ก่อนที่ลูกไฟเหล่านั้นก็พุ่งใส่คู่ต่อสู้ของมันอย่างแม่นยำ ในวินาทีที่มันเข้าชนมันก็แตกตัวออกกลายเป็นระเบิดเพลิงขนาดย่อมๆ จนเกิดไฟลุกขึ้นท่วมตัว มันลงไปนอนดิ้นอย่างทุรนทุรายก่อนที่จะแน่นิ่งไป

          อีกด้านหนึ่งศาสใช้มีดเข้าจู่โจม แต่ดูเหมือนคมมีดของเขาจะไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับมันได้ จนในที่สุดปีศาจก็เริ่มตั้งตัวกลับมาได้ ทันใดนั้นเขาก็หวนนึกถึงความทรงจำสมัยเด็กที่เขาเคยฝึกวิชากับปู่ของเขา วลีต่างๆที่คุ้นเคยถึงแม้เขาจะลืมมันไปแต่บัดนี้กลับชัดแจ้ง ศาสบริกรรมคาถาขึ้นตามสัญชาติญาณ จากมีดที่แทบไม่ระคายผิวของมันกลับคมขึ้นจนสามารถฟันแขนของมันให้ขาดออกจากกันได้ในทีเดียว เมื่อไร้ซึ่งการป้องกันคมมีดของเขาก็เข้าไปเสียบทะลุหัวใจของมันอย่างง่ายดาย ทันทีที่ศาสบิดมีดเลือดของมันพุ่งทะลักออกมาจนอาบหน้าของเขาไปซีกหนึ่ง พร้อมกับร่างของมันที่ค่อยๆล้มลงไป เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกถึงการฆ่าอย่างแท้จริงซึ่งมันก็ทำให้ขาของเขาอ่อนแรงจนทรุดลงไปกองกับพื้น มือของเขารู้สึกสั่นไปหมด

          “ปลอดภัยใช่ไหมศาส!”  เมื่อศาสหันไปก็พบรีอากำลังวิ่งมาหาเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และที่ด้านหลังของเธอยังมีศพของปีศาจที่ถูกเผาจนเป็นขี้เถ้า

          “อ่า...ผมไม่เป็นไร” ศาสพูดพร้อมกับรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดออกจากหน้าของเขา

          “ตาบ้า...อย่าทำให้ตกใจสิ.....” ลีอาพูดด้วยสีหน้าโล่งอก เมื่อพวกเขากลับมาสำรวจพวกมันอีกครั้งก็พบว่าร่างของพวกปีศาจค่อยๆ หลอมละลายกลายเป็นของเหลวสีแดงข้นบนกองซากกระดูก พวกเขาจึงตัดสินใจเผาทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน

          เมื่อกลับออกมาด้านนอกได้ศาสก็ล้มตัวลงนอนบนสนามหญ้าพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความโล่งใจ พร้อมกับมองดูมือของเขาที่ยังสั่นไม่หาย เขายังคงรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดบนมือ กับรีอาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

        “จบเรื่องสักที....ชีวิตที่เหมือนกับความฝันนี่” ศาสพูดพร้อมกับถอนหายใจยาวๆด้วยความโล่งใจ

        “ขอบคุณนะที่เชื่อใจชั้น...” รีอาพูดด้วยรอยยิ้ม

        “...ผมก็เหมือนกัน...ขอบคุณนะรีอา หากไม่มีเธอผมคงไม่ได้เริ่มทำอะไร และคงจะเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ

        “เออ..จะว่าไปไอ้แสงตอนนั้นมันคือเวทย์มนต์อะไรเหรอ”

        “ไม่ใช่หรอก นั่นมันคือระเบิดแสงกับพลุสัญญาณตะหากล่ะ...” เธอตอบอย่างภาคภูมิใจ

        “เธอเไปเอามันมาจากไหนเนี่ย”

        “ความลับน่ะ....เดี๋ยวชั้นคงต้องไปแล้วล่ะ ไว้เจอกันนะศาส” สุดท้ายเธอก็ไม่ยอมตอบคำถามของศาสปล่อยให้เขาสงสัยต่อไป สักพักทั้งคู่จึงบอกลากันก่อนที่จะแยกย้ายกันไป เมื่อศาสหันกลับไปก็พบว่าเธอหายไปในความมืดแล้ว

 

                      ...................................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา