[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  228.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) Chapter 05 : ที่แผนกเครื่องยนต์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 05 : ที่แผนกเครื่องยนต์


 

พอเลิกงานผมก็พาพี่พลอยไปที่บ้านของผมโดยที่ไปรถของพี่พลอยเพราะผมไม่มีรถแล้ว  ผมขอพี่พลอยแวะรับเจ้าป้องกลับด้วยเพราะมันเป็นทางผ่าน

“สวัสดีฮะ” ไอ้ป้องยกมือไหว้พี่พลอยอย่างนอบน้อม

“สวัสดีจ้ะ  นี่น้องป้องใช่ไหม? หน้าตาดีนะเนี่ย  รออีกสักสิบปีมาแต่งงานกับพี่ไหมจ๊ะ? ฮ่าๆๆ” พี่พลอยหัวเราะร่าจนไอ้ป้องหันมามองหน้าผมอย่างตกใจ

“พี่พลอยเป็นคนอารมณ์ดีน่ะป้อง” ผมบอกเพื่อไม่ให้มันตกใจมากนัก

“อ๋อ ครับ” ไอ้ป้องพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“เดี๋ยววันนี้ช่วยพี่เข้าครัวหน่อยนะ  จะเลี้ยงข้าวพี่พลอยน่ะ  พี่พลอยช่วยสอนงานพี่เยอะแยะเลย” ผมหันไปบอกเจ้าป้องที่นั่งอยู่เบาะหลัง  ตอนนี้ผมเป็นคนขับรถน่ะครับ

“ได้เลยครับ” ไอ้ป้องตอบรับเสียงใส

“ตัวแค่นี้เข้าครัวเป็นแล้วเหรอจ๊ะ? เก่งจังเลย” พี่พลอยพูดอย่างเอ็นดู

“ฮะ ผมทำเป็นตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะครับ”

“ป้องน่ะต้องดูแลพ่อมาตั้งแต่เด็กน่ะ  พ่อเขาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่คอนโดที่ผมเคยอยู่เลยไม่ค่อยมีเวลา ผมก็เลยสนิทกับเขาและชอบเอาเจ้าป้องมาเลี้ยงน่ะครับ  ตอนผมเรียนจบพี่ชัชเขาตกงานผมก็เลยให้มาทำงานที่บ้านและรับเลี้ยงเจ้าป้อง  เด็กนี่เป็นเหมือนน้องชายผมเลยล่ะ ผมรักเขามากเลยล่ะครับ” ผมมองไอ้ป้องผ่านกระจกอย่างเอ็นดู  ที่ผมเล่าให้พี่พลอยฟังได้เพราะผมร่าพี่พลอยไม่มีทางจะดูถูกไอ้ป้องแน่นอนและไอ้ป้องเองก็ไม่คิดว่าการที่มีพ่อเป็นยามจะเป็นปมด้อย  ผมสอนเสมอว่าอย่าลดค่าของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราเจ็บปวดซะเอง

“ป้องก็รักพี่เปอร์ครับ” ไอ้ป้องพูดอ้อนๆ จนพี่พลอยอดไม่ได้ที่จะหันไปหยิกแก้มนั่นเบาๆ

“น่ารักกันจริงๆ นะพี่น้องคู่นี้  พี่นึกถึงตอนที่รองเล่าเรื่องเปอร์ให้พี่ฟังเลย  เวลาพูดถึงเปอร์รองมักจะพูดด้วยสีหน้าเอ็นดูเสมอ  แฟนรองก็ด้วย” พี่พลอยบอก

“ไอ้พี่ถังอ่ะนะ? ต่อหน้าผมมันชอบทำท่ากวนประสาทจะตายแต่พี่เคย์นี่น่ารักกับผมตลอดแหละ” ผมขำนิดๆ ผมกับพี่ถังเรารักกันมากแต่จะให้มาแสดงความรักต่อกันนี่คงจะไม่ไหวเพราะเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กก็เลยไม่มีอารมณ์มารักกันขนาดนั้น  แต่ไม่คิดเลยแฮะว่ามันจะชอบเล่าเรื่องของผมขนาดนั้น

“พี่ถังชอบแกล้งผม” ไอ้ป้องทำหน้างอง้ำเมื่อพูดถึงพี่ถัง  ไอ้บ้านั่นมันชอบแกล้งคนที่เอ็นดูครับแต่มันก็สนิทกับไอ้ป้องมากจนเหมือนมีน้องชายเพิ่มมาอีกคนเลยล่ะ

“ตอนเด็กๆ พี่โดนตลอดอ่ะป้อง  ถึงจะชอบแกล้งแต่นั่นก็เพราะรักล่ะนะ” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะเพราะนึกภาพตอนที่ไอ้พี่ถังกับไอ้ป้องหยอกกัน

“แต่พี่เคย์ช่วยผมตลอดนะฮะ  ฮึ่ย! หมั่นไส้ ตอนไหนพี่เคย์จะกำราบพี่ถังได้กันเนี่ย เป็นสามีประสาอะไรหัดกลัวเมีย” ไอ้ป้องบ่นทำเอาผมกับพี่พลอยปล่อยก๊ากลั่นรถ

“ป้อง ป้องยังไม่เคยเห็นตอนที่แฟนรองโกรธนะ  รองพูดอะไรไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ” พี่พลอยหันไปพูดกับเจ้าป้องทั้งน้ำตาเพราะหัวเราะจนท้องคัดของแข็ง

“ทำไมถึงเรียกว่ารองอ่ะครับ?” ไอ้ป้องเอียงคอถามอย่างสงสัย

“อ๋อ พี่ทำงานเป็นเลขาให้ถังเขาน่ะ  เขาเป็นรองประธานบริษัทพี่ก็เลยติดเรียกว่ารอง  ที่จริงเราเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันนี่แหละ” พี่พลอยบอกพลางเช็ดน้ำตาออกจากหางตา

“ฮึ้ย! อยากเห็นตอนพี่ถังหงอจริงๆ ผมจะหัวเราะให้ฟันหลุดเลย” ไอ้ป้องตบเข่าอย่างอาฆาตทำให้ผมกับพี่พลอยกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

“ฮ่าๆๆ ยากอยู่นะ  พี่เคย์น่ะชอบยอมพี่ถัง  ถ้าไม่ถึงขีดสุดจริงๆ พี่เคย์ไม่ระเบิดนะ  แต่ถ้าระเบิดมาครั้งหนึ่งล่ะก็...บอกเลยว่าไม่มีใครน่ากลัวเท่าพี่เคย์อีกแล้วล่ะ” ผมบอก

“ยังไงอ่ะพี่เปอร์? พี่เปอร์เคยเห็นพี่เคย์โกรธเหรอ?” ไอ้ป้องชะโงกหน้ามาถามอย่างสนใจ

“เคยสิ ก็ตอนนั้น...” ผมชะงักไปนิดก่อนจะหุบยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พี่เคย์โกรธจนผมกลัว  เหตุการณ์นั้นคือตอนที่ผมถูกพี่ภีร์ข่มขืนและเป็นตอนที่ผม...ได้ยินคำว่ารักจากปากพี่ลุกซ์ “ตอนพี่ถูกรุมทำร้ายน่ะ  พี่เคย์โมโห กระทืบไอ้คนที่ทำร้ายพี่เละเลยนะ  น่ากลัวสุดๆ” ผมเล่าด้วยรอยยิ้มฝืนๆ เพื่อกลบเกลื่อน 

จะว่าไป...ตอนนี้ผมเข้าหน้าพี่ภีร์ติดแบบไม่คิดอะไรแล้วล่ะครับ  และผมก็กลับไปเรียกเขาว่าพี่แล้วล่ะ  ตอนนี้เขาทำงานอยู่บริษัทปูนซีเมนต์ของคนที่รู้จักกัน  จะบอกว่ารู้จักคงไม่ได้เพราะประธานบริษัทนั้นเป็นแฟนพี่ภีร์  ขอบอกว่าเป็นผู้ชายและหล่อมากด้วยครับ  คึๆ แอบสะใจเล็กๆ ที่คนอย่างเขาถูกจิ้มซะเอง  ผมล้อเขาตลอดเวลาที่เจอหน้ากันว่าคนอย่างเขาสุดท้ายก็มีผัว  แม้จะยังหวิวๆ ที่ใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับการที่โดนเขาข่มขืนแล้วล่ะเพราะ...เอ่อ...ผมคิดว่าไม่มีใครสามารถลบสัมผัสของพี่ลุกซ์ได้

เฮ้อ...ไม่น่าไปรื้อฟื้นเลยเรา

“พี่เปอร์นะพี่เปอร์  ทำไมถึงยอมถูกทำร้ายง่ายๆ แบบนี้นะ” ไอ้ป้องบ่น  บ่นเพราะห่วงผมรู้หรอก

“โธ่ พี่จะไปสู้อะไรเขาได้ล่ะป้อง  แล้วที่พี่ให้เราไปเรียนเทควันโดกับพี่ลันพี่ไอก็ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ  พี่ๆ เขาอุตส่าห์สละเวลามาสอน” ผมบอก  พอดีผมขอร้องให้พี่ลันกับไอ้ไอมาสอนเจ้าป้องน่ะครับ  อยากให้มันเก่งๆ  ตอนนี้ไอ้ป้องเองก็ตัวสูงมากทีเดียว  คิดว่าถ้าโตขึ้นคงสูงได้กว่านี้  ตอนนี้ก็เกือบเท่าผมละ

“ครับผม จะตั้งใจเรียนแล้วผมจะปกป้องพี่เปอร์เอง” ไอ้ป้องพูด  ผมกับพี่พลอยจึงหันมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู

 

พอมาถึงบ้านผมก็แนะนำพี่พลอยให้ทุกคนรู้จักจากนั้นก็เข้าครัวเพื่อทำอาหาร  แม่กับพี่พลอยก็มาช่วยผมกับเจ้าป้องทำด้วยล่ะครับ  พี่พลอยดูคล่องมากทีเดียว

หลังจากที่ทำอาหารเสร็จเราก็ไปนั่งกินด้วยกัน  คุยกันสนุกสนาน  พ่อกับแม่และพี่ชัชก็เอ็นดูพี่พลอยในฐานะรุ่นพี่ของผม  พี่พลอยคุยสนุกก็เลยสนิทกับพวกท่านได้เร็วจนแม่บอกให้ชวนพี่พลอยมาอีก  กินข้าวกันอิ่มผมก็เดินไปส่งพี่พลอยหน้าบ้านแล้วร่ำลากันไป

 

เช้าวันต่อมาผมมาทำงานเช้า พี่พลอยกับพี่ถังก็มาเช้าเราก็เลยนั่งจับกลุ่มกันที่โต๊ะทำงานพี่พลอยเพื่อคุยกันเล่นๆ ก่อนเข้างานโดยมีขนมเป็นกับแกล้ม

“คราวหน้าชวนกูด้วยนะมึง  คิดถึงอาหารฝีมืออานภาจะแย่” ไอ้พี่ถังพูด

“อย่ามาพูด วันๆ ก็เห็นไปกินข้าวกับพี่เคย์ตลอด  กลางวันพี่เคย์ก็มารับ  กลางคืนก็มารับ  หมั่นไส้ว่ะ” ผมแซว  ถ้าอยู่ในเวลาปกติผมก็พูดกับพี่ถังแบบนี้แหละครับแต่ถ้าเวลาทำงานผมก็จะพูดดีๆ

“หยุดพูดเลย!” ไอ้พี่ถังชี้หน้าผมแล้วจับเม็ดขนุนยัดใส่ปากเพื่อให้ผมเงียบ

“ฮ่าๆ อิจฉาอ่ะรอง  แฟนรองก็ล้อหล่อ เป็นถึงนายแบบแถมยังเป็นผอ.โรงเรียน  อะๆ ยังมีอีก  เป็นหุ้นส่วนบริษัทซะด้วย” พี่พลอยแซวบ้างทำให้พี่ถังจิ้มข้าวเหนียวใบเตยยัดใส่ปากพี่พลอยคำใหญ่

“พูดมากว่ะ  ไปทำงานดีกว่า” ไอ้ถังเขินจัดจนต้องลุกหนี

“ทำงานก่อนเวลาแบบนี้หน้าที่การงานรุ่งเรืองแน่ค่ะรอง ฮิ้ว” พี่พลอยตะโกนแซวทำเอาผมขำจนเม็ดขนุนที่เคี้ยวอยู่เกือบติดคอ

“ขอโทษนะครับ จะมาทำงานได้หรือยัง?” และแล้วความสุขของผมก็ถูกขัดโดยคนที่ผมไม่อยากเจอ

“ครับ พี่พลอย ฝากกินให้หมดด้วยนะครับ” ผมหันไปตอบรับก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบกับพี่พลอยแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง

“ช่วยดูตารางงานให้ผมด้วยครับ  วันนี้ผมมีนัดอะไรที่ไหนบ้าง” พี่ลุกซ์เดินมายืนกอดอกอยู่หน้าโต๊ะทำงานผมจึงรีบเปิดสมุดจดของผม  ผมชอบใช้สมุดมากกว่าพวกเทคโนโลยีล้ำๆ ครับ  ไอ้พวกนั้นผมเอาไว้เล่นเกม ฮ่าๆ

“ช่วงเช้าไม่มีนัดที่ไหนครับ  เวลาบ่ายโมงตรงมีประชุมกับฝ่ายขาย  สี่โมงเย็นมีนัดโทรคุยกับคู่ค้าที่ญี่ปุ่น  หกโมงเย็นมีงานเลี้ยงขอบคุณบริษัทคู่ค้าที่โรงแรมxxxน่ะครับ” ผมเปิดสมุดแล้วรายงานออก

“งั้นช่วงเช้าคุณตามผมไปที่แผนกเครื่องยนต์ด้วย” พี่ลุกซ์บอก

“กี่โมงครับ?” ผมถามเพื่อจะได้เตรียมตัว

“จะกี่โมงคุณก็ต้องว่าง” พี่ลุกซ์พูดแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าห้องไป

“ก็กูจะได้เตรียมตัวไงวะว่าจะไปทำเหี้ยอะไรที่แผนกนั้น  แม่ง! หมั่นไส้!” ผมมองตามแล้วยกนิ้วกลางใส่ประตูห้องของพี่ลุกซ์อย่างเจ็บใจ

 

62.5% left




ผมยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเครื่องเสียงเครื่องยนต์ที่ดังระงมในโกดังของฝ่ายเครื่องยนต์  ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าประธานบริษัทอื่นมีเวลาว่างมากแค่ไหนแต่บริษัทนี้ประธานล่องลอยมากครับ  ที่เขามาที่นี่ไม่ได้มาตรวจงานหรืออะไรหรอกแต่เขามาซ่อมเครื่องยนต์ช่วยพวกช่างโดยมีผมยืนถือเสื้อเชิ้ตกับสูทให้พวกเขาเปลี่ยนไปใส่เสื้อช้อปและชุดหมีเรียบร้อย

คือ...ผมไม่รู้ว่าเขาขยันหรือเขาไม่มีอะไรจะทำกันแน่?

“อ้าว เปอร์ มาทำอะไรที่นี่วะ?” ผมสะดุ้งเมื่อมีคนมาสะกิด  พอหันไปก็เห็นพี่ลันกับไอ้ไอที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากพี่ลุกซ์นัก  เอ่อ...พวกระดับหัวหน้าของที่นี่เขาเป็นอย่างนี้นี่เอง

“คือ ผมมากับประธานน่ะครับ  แล้วนี่...?” ผมมองทั้งสองคนอย่างสงสัย

“อ๋อ ก็มาดูงานน่ะ ดูเองด้วยซ่อมเองด้วย เอ้อ มึงมานี่ก็ดี  เดี๋ยวพาไปแนะนำให้หัวหน้าช่างรู้จัก” ไอ้ลันบอกก่อนจะลากผมกับไอ้ไอไปหาผู้ชายที่กำลังยืนสั่งงานลูกน้องอยู่

“อะไหล่อันไหนที่ไม่พอทำไมไม่สั่งวะ? รีบไปเช็คสต็อคแล้วไปขอเบิกงบสั่งอะไหล่ด้วย  รู้ไหมว่าอะไหล่เครื่องยนต์เราต้องสั่งจากต่างประเทศ  กว่าของจะมามันนานนะเว้ย” คนที่พี่ลันพาพวกผมไปเจอยืนโวยวายใส่ลูกน้องอย่างหัวเสีย

“พี่อู๊ด” พี่ลันเรียกทำให้เขาหันมามอง ก่อนที่หน้าบูดๆ นั่นจะยิ้มให้

“อ้าว สวัสดีครับคุณลัน  วันนี้มาเร็วดีนะครับ  แต่คนที่มาเร็วกว่าก็นู่นแหละ  ประธานคนใหม่  ชอบมาอยู่ที่นี่ทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะครับ” พี่อู๊ดพูดพลางชี้ไปที่พี่ลุกซ์ที่กำลังนอนราบอยู่ใต้ท้องรถ

“พอดีผมอยากแนะนำให้รู้จักคนนี้น่ะครับ  เป็นเลขาของประธานแล้วก็เป็นรุ่นน้องของพวกเราด้วย” พี่ลันชี้มาที่ผม ผมจึงยกมือไหว้พี่อู๊ด

“สวัสดีครับ ชื่อปรินครับ เรียกเปอร์เฉยๆ ก็ได้ฮะ” ผมยิ้มให้กับเขา

“สวัสดีครับผม” พี่อู๊ดยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“ไอ้นี่มันเป็นอาจารย์สอนวิศวะเครื่องกลที่มหาลัยเก่าของพวกผมมาก่อนน่ะครับ  จริงๆ น่าจะมาทำงานแผนกนี้นะ  น่าเสียดาย ย้ายไหมเปอร์?” พี่ลันถามทำให้ผมนิ่งไปเพราะผมสนใจจะย้ายมาก  ผมเรียนมาด้านนี้ คิดว่าทำงานตรงนี้น่าจะดีซะกว่า

“ย้ายได้ป่ะพี่?” ผมถามอย่างสนใจ

“ทำเรื่องย้ายน่ะได้นะ  แต่ในกรณีของมึงนี่น่าจะยากว่ะเพราะไอ้ลุกซ์มีอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่าง  กูไม่คิดว่ามันจะให้มึงย้าย” ผมหน้าหงอยไปเมื่อได้ยินคำตอบ  ถ้ารู้ว่ามันไม่มีทางแล้วมึงจะมาให้ความหวังกูตั้งแต่แรกทำไมวะไอ้พี่ลัน!

“ถ้าอยากทำงานตรงนี้ก็มาทำเหมือนประธานก็ได้นะครับคุณเปอร์  ก่อนหน้านี้ประมาณห้าปีประธานก็มาทำงานตรงนี้แหละครับ  พวกช่างรักเขามากเลยล่ะเพราะเขาไม่ถือตัว” พี่อู๊ดบอกพลางมองไปที่พี่ลุกซ์ส่วนผมกับพี่ลันและไอ้ไอมองหน้ากันแล้วแทบจะถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน

“ก็ดีนะครับ  ผมอยากทำงานตรงนี้ด้วย” ผมบอก

“อืม...งั้นเดี๋ยวผมไปหาชุดให้ละกันนะครับ” พี่อู๊ดบอกก่อนจะเดินไปคุยกับพนักงานของตัวเองส่วนผมก็หันมาคุยกับพี่ลันและไอ้ไอ

“เออ เดี๋ยวจะมีจัดอบรมช่างอีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้า  กูจะขอยืมตัวมึงมาเป็นวิทยากรหน่อยก็แล้วกัน” พี่ลันพูด

“ผมก็แล้วแต่เจ้านายนั่นแหละครับ  รับงานโดยพลการไม่ได้หรอก” ผมบอก  ขืนรับงานไปผมได้โดนด่าแหลกแน่เลย

“เดี๋ยวกูขอให้” พี่ลันบอก

“เอ๊ะ? พี่อู๊ดไปคุยกับพี่ลุกซ์แล้วล่ะครับ” ไอ้ไอพูดขึ้นทำให้ผมรีบหันขวับไปมองก็พบว่าพี่อู๊ดกำลังยืนคุยกับพี่ลุกซ์อยู่แล้วเขาก็กำลังหันมามองพวกเรา

คุยอยู่สักพักพี่ลุกซ์ก็ถอดถุงมือแล้วเดินดุ่มๆ เข้ามาหาพวกเราจากนั้นเขาก็คว้าข้อมือผมแล้วลากเดินไปที่ไหนซักที่

“เอ๊ะ? จะทำอะไรน่ะครับ?” ผมถามเสียงขุ่นพลางบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม

“ไปเปลี่ยนชุด  จะทำงานด้วยไม่ใช่เหรอ?” พี่ลุกซ์จับข้อมือผมแน่นแล้วหันมาถาม

“ครับ แล้วจะให้ผมใส่ชุดใคร?” ผมขมวดคิ้วถามพลางพยายามบิดข้อมือออก

“ชุดผมไง  คราวหน้าก็เอาชุดของคุณมาไว้ที่นี่ด้วยก็ได้” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยล็อกเกอร์แล้วเหวี่ยงผมเข้าไปในนั้น “เอาเสื้อกับสูทแขวนไว้ในล็อกเกอร์นั่นแหละ” พี่ลุกซ์บอกผมจึงเอาเสื้อกับสูทเขาแขวนไว้จากนั้นก็ถอดสูทของตัวเอง  พอถึงขั้นตอนที่ต้องถอดเสื้อเชิ้ตผมก็หันไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาไล่ๆ

“ผมจะเปลี่ยนเสื้อ  กรุณาออกไปก่อนได้ไหมครับ?” ผมถามเสียงเขียว

“ทุกคนเขาก็เปลี่ยนกันตรงนี้ไม่มีใครออกไปไหนนี่” พี่ลุกซ์ว่าแล้วกอดอกพิงตู้ล็อกเกอร์ 

ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างช่วยไม่ได้  เอาเถอะ เป็นผู้ชายเหมือนกันจะอายไปทำไม?

หมับ! ตึง!

“โอ๊ย!” ผมร้องเมื่อข้อมือถูกกระชากแล้วเหวี่ยงไปด้านหลังทำให้หลังผมกระแทกกับตู้ล็อกเกอร์ที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง  ขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัวเอวของผมก็ถูกมือหยาบกร้านตะปบเอาไว้แล้วลูบไปมาด้วยจังหวะหนักหน่วง  ผมอยากจะแหกปากร้องโวยวายแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกปากของอีกฝ่ายประกบเอาไว้

“...”

“อื้อ ปละ...ปล่อย...” ผมพยายามเบือนหน้าหลบเพื่อร้องโวยวายแต่สุดก็ถูกปิดปากเอาไว้อีกครั้ง  เมื่อร้องไม่ได้ผมก็พยายามใช้มือปัดมือหยาบๆ นั่นออกแต่ไม่ว่าจะปัดออกไปกี่ครั้งมันก็กลับมาบีบคลึงเอวผมได้เหมือนเดิม

“ฮืมมม” เสียงต่ำๆ ครางอย่างพึงพอใจ

“อ๊ะ! ปล่อย!” ผมร้องบอกเมื่อพี่ลุกซ์ผละออกจากปากผมแล้วโน้มหน้าลงไปดูดที่ต้นคอจนผมรู้สึกแสบ  เมื่อกี้เขาจูบผมแรงมาก  ทั้งดูดทั้งกัดจนแสบปากไปหมดแถมยังบีบเอวผมจนเจ็บไปหมดเหมือนกัน

“อย่าร้อง อยากให้ใครเข้ามาเห็นหรือไง” พี่ลุกซ์พูดแล้วขยับมาจูบปิดปากผมอีกรอบ  มือก็เลื่อนมาลูบอยู่บริเวณหน้าอก

ผมเริ่มกลัว...กลัวว่าจะหนีไม่ได้  กลัวว่าจะตกเป็นของเขา  กลัวการสัมผัสที่จะทำให้ผมคิดถึงอดีต  กลัวไปหมดซะทุกอย่าง  และเมื่อผมถูกความกลัวเข้าครอบงำผมก็หมดแรงที่จะขัดขืนเพราะรู้ว่าต่อให้ดิ้นมากเท่าไหร่ก็สู้แรงเขาคนนี้ไม่ได้

ผมปล่อยมือให้ตกลงข้างลำตัวก่อนจะปล่อยให้ร่างกายอ่อนปวกเปียกจนยืนไม่อยู่

“ถ้าสิ่งนี้ถือว่าเป็นงานก็เชิญคุณทำต่อไปเถอะนะครับ  เพราะผมก็มีค่าแค่นี้แหละ” ผมพูดออกมาอย่างเลื่อนลอยในขณะที่พี่ลุกซ์กำลังย่อตัวลงไปจูบที่ตัว

“พูดอะไร?” พี่ลุกซ์ผละหน้าออกไปจากช่วงอกผมแล้วถามโดยไม่ลืมช่วยพยุงด้วย

“ในสายตาของคุณคงเห็นผมเป็นพวกขายตัวแลกกับเงินสินะถึงได้ทำแบบนี้  คุณนี่ตาแหลมเนอะ  มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่าผมมันง่ายจนยอมให้คุณทำอะไรง่ายๆ” ผมพูดแล้วเม้มปากอย่างสะกดกั้นความรู้สึก

พี่ลุกซ์นิ่งไปนิดแล้วหยุดทุกกิจกรรมที่กำลังทำอยู่พลางถอยออกไป  ผมค่อยๆ ยืนด้วยตัวเองพลางก้มหน้าพิงตู้ล็อกเกอร์โดยไม่ขยับไปไหน

“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็ออกไปหาพี่อู๊ดซะ” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยปิดประตูเสียงดังจนผมสะดุ้ง

ผมค่อยๆ ทรุดลงนั่งกุมขมับอย่างเหนื่อยใจ  ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย  ผู้ชายคนนั้นเขาต้องการอะไรจากผมอีก  เขาออกจากชีวิตผมไปแล้ว ทำไมถึงต้องกลับมาทำแบบนี้?  เขาจะรู้บ้างไหมว่าการกระทำของเขาทำให้ผมเจ็บปวดแค่ไหน  ใจมันเจ็บจนชาไปหมด  เขาทำให้ผมรู้สึกเกลียดเขายิ่งกว่าอะไรซะอีก  ผมไม่ได้ดีใจเลยซักนิดที่เขามาแตะต้องตัวผม 

ผมเกลียดเขา เกลียดที่สุด!!

 

ผมกลับไปใส่ชุดเดิมแล้วออกจากห้องไปทำให้พวกพี่ลันแปลกใจมาก  ที่ผมไม่เปลี่ยนชุดเพราะผมไม่อยากจะใส่เสื้อผ้าที่เป็นของเขาต่างหาก  อะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาผมก็ไม่อยากจะเอามันมาใกล้ตัว  ขยะแขยงว่ะ

“เกิดอะไรขึ้น?” พี่ลันขมวดคิ้วถามผมพลางหันไปมองพี่ลุกซ์ที่ยืนเท้าสะเอวชี้นิ้วสั่งพวกช่าง

“เปล่าหรอกครับ  ชุดมันดูหลวมๆ ไปก็เลยไม่ใส่น่ะครับ” ผมบอก  ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าผมแสดงความรู้สึกยังไงออกไปแต่บอกเลยว่าผมฝืนยิ้มปัญญาอ่อนไม่ได้

“งั้นยืมชุดผมก็ได้นะพี่เปอร์” ไอ้ไอเสนอแต่ผมก็ส่ายหน้าไปมา

“ไม่เป็นไรหรอก  เอาไว้คราวหน้าก็ได้” ผมบอก

“เออ! พวกฝ่ายบริหารมาชวนกูไปงานเลี้ยงรับมึงกับไอ้ลุกซ์น่ะ  มึงจะไปหรือเปล่า?” พี่ลันถามอย่างนึกขึ้นได้ทำให้ผมต้องย่นจมูกพลางขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ

“เฮ้อ  ผมก็ไม่อยากไปหรอกครับแต่มันเป็นงานเลี้ยงรับผมด้วยนี่นา  พี่ลัน ไอ ไปด้วยกันนะ  ช่วยผมหน่อย  ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่ชายของพี่เลยว่ะ  ถ้าจะให้ดี  ช่วยเจรจาให้ผมย้ายแผนกหน่อยได้ไหม? ผมไม่ถนัดกับการเป็นเลขาหรอก” ผมถอนหายใจยาวพลางเดินไปลากเก้าอี้มานั่งอย่างเหนื่อยใจ  พอใจมันล้าร่างกายก็พาลจะหมดแรงไปด้วย

“ไอ้คุยน่ะมันคุยได้นะแต่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จเสมอไป  ยังไงมึงก็ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน” พี่ลันตบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจเบาๆ

“พี่เตี้ย! ทำไมพี่ชายพี่เป็นคนอย่างนี้? เป็นพี่น้องกันประสาอะไร ไปอยู่อเมริกาด้วยกันแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักห้ามจักปราม  ไอ้คนไม่ได้เรื่อง!!” ไอ้ไอหันไปมองพี่ลันด้วยสายตาโกรธเคืองก่อนจะเตะข้อพับขาแล้วต่อยไหล่ไปสามสี่ทีประหนึ่งแค้นเคืองกันมาแต่ชาติปางไหนจนผมเริ่มจะแปลกใจว่าตกลงพี่ลันเป็นผัวหรือเป็นทาสมันกันแน่  ไอ้พี่ลันนี่ก็ยอมเอายอมเอา  สงสัยถ้าไม่ยอมไอ้ไอมันจะไม่ให้เอาล่ะมั้ง

“โอ๊ย ไอ้เปอร์! เพราะมึงเลยเนี่ย” พี่หันยกแขนขึ้นกันหมัดไอ้ไอแล้วหันมามองผม  ผมมองสองคนนั้นขำๆ แล้วยักไหล่อย่างไม่สนใจพี่ลัน

“ไอ้ไอ เดี๋ยวนี้มึงเห็นผัวเป็นทาสเหรอวะ? ฮ่าๆ” ผมถามพลางหัวเราะอย่างขำๆ  มองแล้วก็อิจฉา พี่ลันน่ะเมื่อก่อนทั้งนิ่งและเย็นชา  ยิ้มก็ไม่ค่อยจะเป็นและไม่เคยพูดเล่นกับใครด้วยแต่พอมีไอ้ไอเข้ามาในชีวิตพี่ลันก็เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น

เฮ้อ พอมาคิดเทียบกันเรื่องของตัวเองแล้วมันเศร้า  จะว่าไป...พี่ลันเองก็ไปเรียนต่อเหมือนกันแต่ไปไม่นาน  พอกลับมา ใจของพี่ลันก็ไม่เปลี่ยน  คนเป็นน้องจิตใจมั่นคงดั่งหินผาแต่คนเป็นพี่กลับจิตใจโลเล  ไม่รู้ว่าคุณพ่อคิดยังไงถึงให้คนอย่างพี่ลุกซ์ขึ้นรับตำแหน่งแทน

“มันเห็นกูเป็นยิ่งกว่าทาส  กูเป็นหัวหน้าแท้ๆ แต่แม่งจิกหัวใช้กูตลอดแหละ” พี่ลันบ่นแล้วรวบมือไอ้ไอไว้ไม่ให้มันประทุษร้ายตัวเองได้อีก

“ใช้อะไร?” ไอ้ไอมองพี่ลันอย่างเอาเรื่อง

“ล้างจาน” เมื่อได้ยินคำตอบผมถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่  นี่พี่ลันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ สินะเนี่ย  โอ๊ย ตลกมาก ไม่ไหวละ  นึกภาพคนนิ่งๆ หน้าดุๆ อย่างพี่ลันหงอเพราะเมียไม่ออกเลยจริงๆ แฮะ  มันฮามาก!

“แค่ล้างจานทำมาเป็นบ่น  ผมน่ะทำทุกอย่างในบ้านเลยนะ!” ไอ้ไอแยกเขี้ยวใส่พี่ลันพลางพยายามจะสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมเพื่อประทุษร้ายพี่ลัน

“เป็นเมียก็ต้องทำงานทุกอย่างมันก็ถูกแล้วนี่” พี่ลันจับไอ้ไอไว้แน่นแล้วเถียงกลับ

“ไม่เกี่ยว!” ไอ้ไอถลึงตาใส่พี่ลันแล้วขู่ฟ่อจนผมหัวเราะไม่หยุด  ผัวเมียตีกันนี่ก็ดูตลกดีนะครับ

“ฮ่าๆๆ ทะเลาะกันเหมือนคู่ผัวเมียที่อยู่กันจนเบื่อขี้หน้าเลยนะ” ผมพูดขำๆ

“ไม่เบื่อหรอก  อยากกดทุกวันเลย” พี่ลันพูดแล้วหันไปมองหน้าไอ้ไอทำเอามันเขินจนหน้าแดงแต่ก็แกล้งทำเป็นเคืองกลบเกลื่อน

“หมั่นไส้ว่ะ  ไปๆ ไปทำงาน  อย่ามัวแต่มาสวีตกันอวดคนโสดได้ป่ะ?” ผมโบกมือไล่สองคนนั้นอย่างหมั่นไส้

“ถ้าอิจฉาก็รีบหาผัวเข้าล่ะ” พี่ลันบอกก่อนจะหันไปกวักมือเรียกช่างมาคุย

“ไม่ล่ะ  คราวนี้จะเอาเมีย” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะเหลือบตาไปมองที่พี่ลุกซ์ที่กำลังปีนขึ้นไปบนเครนยกรถแล้วก็เอาประแจเคาะล้อแมกซ์เพื่อเช็คอาการก่อนจะหันไปสั่งงานช่างอย่างขยันขันแข็ง

 

 
++++++++++++++++++++++++++++++++

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา