[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  228.34K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

54) Aut x Pree 07 : ไม่รู้จัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Aut x Pree 07 : ไม่รู้จัก



 

ผมที่ไม่มีการงานทำถูกเพื่อนใช้ให้มาเฝ้าไอ้เหี้ยลุกซ์ทุกวัน  อาการของมันก็ทรงๆ ทรุดๆ ครับ  บางครั้งก็มีโรคแทรกซ้อนจนผมใจหายแต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร  วันไหนมันสภาพดีก็ปากดีตามสภาพจนผมอยากให้มันกลับไปป่วยอีก  เวลามันอยู่เฉยๆ นอนนิ่งๆ มันจะดูเป็นคนดีมากๆ ครับ

นอกจากจะถูกเพื่อนใช้ให้มาเฝ้าไอ้ลุกซ์ ผมยังถูกไอ้ลุกซ์ใช้ให้ไปสอดส่องดูแลไอ้เปอร์ช่วยลูกน้องมันอีกแรง  มันเป็นห่วงจนให้ลูกน้องไปเฝ้าหน้าบ้านทุกวันๆ จนคนแถวนั้นเขาสงสัยกันแล้วเนี่ย  ผมล่ะกลัวจริงๆ ว่าลูกน้องของมันจะถูกตำรวจลากเข้าตารางเพราะทำตัวน่าสงสัย

ก๊อกๆ แอ๊ด

ขณะที่ผมกำลังนั่งคุยกับไอ้ลุกซ์อยู่ที่ข้างเตียง เสียงเคาะและเปิดประตูก็ดังขึ้นทำให้ผมกับไอ้ลุกซ์หันไปมองพร้อมกัน  เมื่อเห็นคนเข้ามาเท่านั้นแหละ  ผมรีบเบือนหน้าหนีทันที

“เป็นไงบ้างลุกซ์?” พี่อัตเอากล่องไม้มาส่งให้ไอ้ลุกซ์  มันรับแล้วพยักพเยิดให้ผมเอาไปเก็บให้ซึ่งผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินเอาไปไว้ที่โต๊ะกระจกโดยไม่แม้แต่จะชายตามองพี่อัต

“เอาอะไรมาน่ะพี่?” ไอ้ลุกซ์ถามเพราะปกติมีแต่คนเอาผลไม้กับรังนกมาให้

“ไวน์  ที่บ้านเก็บไว้เยอะ  ของดีเลยนะมึง หายแล้วค่อยกินละกัน” พี่อัตบอกแล้วนั่งแทนที่ผม

“กินเลยไม่ได้เหรอ?” ไอ้ลุกซ์ถาม  ท่าทางแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดจะน้อยไปหน่อยล่ะมั้งเนี่ย

“ไม่ได้โว้ย เดี๋ยวก็เป็นหนักกว่าเดิมหรอกมึง  แล้วนี่เป็นไงบ้างล่ะ? ดูสบายดีนี่” พี่อัตพูดพลางทำท่าสำรวจไอ้ลุกซ์

“สบาย  อย่างผมไม่ตายง่ายๆ หรอก” ผมอยากจะตะโกนแสกหน้ามันเหลือเกินว่าไม่ตายก็เกือบตาย  หยุดหายใจทำห่าอะไรก็ไม่รู้ ทำคนอื่นเค้าใจหายใจคว่ำหมด  แม้แต่ไอ้ลันที่เป็นเสือยิ้มยากและไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้ายังร้องไห้เลย

“ว่าแต่...คนนั้นเพื่อนมึงเหรอ?” พี่อัตพูดพลางชี้มาที่ผมที่ยืนอยู่ด้านหลังโดนไม่หันมามอง  ไอ้ลุกซ์เลิกคิ้วพลางหันมามองหน้าผมอย่างสงสัย  ผมเบ้ปากแล้วยักไหล่เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่อัตหมายความว่ายังไง

“ใครพี่?” ไอ้ลุกซ์หันกลับไปมองหน้าพี่อัตอีกครั้งแล้วถามออกไป

“ก็คนนั้นไง” พี่อัตหันมาหาผมแล้วชี้  ผมกับไอ้ลุกซ์ถึงกับหน้าเหวอเพราะไม่เข้าใจ

“ไอ้ภีร์ไง” ไอ้ลุกซ์ตอบออกไปทั้งๆ ที่ยังงงอยู่

“ชื่อภีร์เหรอ? เพื่อนมึงหรือเปล่า?”

“อะ...อ่าฮะ” ไอ้ลุกซ์พยักหน้ารับงงๆ

“น้อง มีแฟนหรือยังครับ?” พี่อัตเปลี่ยนท่านั่งมาเป็นนั่งคร่อมเก้าอี้เพื่อหันหน้ามาหาผมที่อยู่ด้านหลัง

เอิ่ม...พี่มันถามผมป่ะวะ?

“พี่อัต  บ้าเปล่าวะ?” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วถาม  มันคงจะงงไม่ต่างจากผมซักเท่าไหร่

“ไม่ได้บ้า แต่เพื่อนมึงบอกให้กูทำตัวไม่รู้จักกับเขากูก็เลยต้องทำ” พี่อัตพูดพลางมองหน้าผมยิ้มๆ  ผมกรอกตามองเพดานแล้วถอนหายใจ  ผมเข้าใจเหตุผลละ  ก็เพราะผมบอกให้พี่มันทำตัวไม่รู้จักกับผมเองนี่นา  ทำไงได้  คนมันไม่อยากไปยุ่งด้วยนี่หว่า

“อ๋อ” ไอ้ลุกซ์พยักหน้าพร้อมกับทำหน้าเอือมใส่เราสองคน  ผมว่ามันคงเดาสถานการณ์ออกได้ไม่ยากหรอกครับ  หมอนี่มันเข้าใจง่าย  เข้าใจคนอื่นนะแต่ไม่เข้าใจตัวเองเอาซะเลย

“แล้วตกลงน้องมีแฟนหรือยังครับ?” พี่อัตยืนขึ้นแล้วจ้องหน้าผมอย่างต้องการคำตอบ  สายตาก็คาดคั้นผมเสียเหลือเกิน

“ทำไมครับ?” ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะถามออกไป  ผมเองก็จะทำเหมือนไม่เคยรู้จักกับพี่อัตเหมือนกัน

“ถ้าไม่มี พี่จะได้จีบไง” โอ้โห ขอจีบกันอย่างนี้เลยเหรอวะ!? หน้าด้านเป็นบ้า

“อย่าจีบเลยครับ  รังเกียจ” ผมเบ้ปากนิดๆ แล้วนั่งลงบนโซฟาอย่างไม่ยี่หระ

“พูดแบบนี้ไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอ?” พี่อัตยังคงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของผม

“ไม่นะครับ  เป็นปกติของผม” ผมแสร้งทำเป็นหยิบหนังสือรถของไอ้ลุกซ์ขึ้นมาอ่านเพื่อที่จะไม่ต้องมองหน้าพี่อัต

ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าการที่ผมทำแบบนี้มันจะใจร้ายเกินไปหรือเปล่า  ไม่อยากเอาไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่พี่อัตได้ทำเอาไว้ด้วย  แต่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าความรักในใจของผมมันไม่เหลือแล้ว  อาจจะเป็นเพราะผมอคติกับสิ่งที่พี่อัตทำเอาไว้หรือเพราะผมเครียดเรื่องของเพื่อนจึงทำให้ไม่มีอารมณ์มาคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ล่ะมั้ง  แต่ผมก็คิดนะว่าถ้าผมมีความรู้สึกรักใครซักคนขึ้นมาอีกครั้ง  คนนั้นอาจจะไม่ใช่พี่อัตก็ได้

“ลุกซ์ ทำไมเพื่อนมึงใจร้ายจังวะ?” พี่อัตหันไปหาไอ้ลุกซ์ทันทีที่ผมเมิน

“จะไปรู้กับมันเรอะ” ไอ้ลุกซ์ตอบทันที  ห่า กูซึมซับความใจร้ายมาจากมึงนี่แหละ  กูจำตอนที่มึงบอกเลิกผู้หญิงสมัยที่ยังไม่มีไอ้เปอร์มาใช้ต่างหากล่ะเว้ย  ไม่ได้เลวมาจากเนื้อแท้เลยซักกะนิด!

“เพื่อนมึงชอบคนแบบไหนวะจะได้หาวิธีจีบได้” พี่อัตพลิกตัวกลับไปหาไอ้ลุกซ์  ผมเหลือบตามองแล้วทำหน้าเบื่อๆ

“ไม่รู้สิ  แบบผมล่ะมั้ง ฮึๆ” มือที่กำลังจับหนังสืออยู่พลันปล่อยจนหนังสือร่วงลงไปกองที่ตัก  ใจผมเจ็บจี๊ดยังไงก็ไม่รู้  ไม่ใช่เพราะยังรักไอ้ลุกซ์อยู่แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน  รู้สึกเหมือนมันแทงใจดำยังไงก็ไม่รู้

แต่ไอ้บ้านี่ก็เล่นไม่รู้เวลาจริงๆ  อยากกวนตีนผมแต่รู้สึกว่าจะทำให้พี่อัตจุกไม่น้อยเพราะเจ้าตัวนิ่งไปเลย  ยิ่งเห็นสีหน้าของไอ้ลุกซ์ที่ดูจะรู้สึกผิดเพราะความปากไวหลังจากมองหน้าพี่อัตแล้วผมยิ่งมั่นใจว่าพี่อัตจะต้องเจ็บปวด  พี่อัตระแวงเรื่องที่ผมเคยรักไอ้ลุกซ์มากและนั่นอาจจะเป็นเหตุที่ทำให้พี่มันลองใจผมก็ได้  แต่ผมก็ย้ำแล้วนะว่าผมคิดกับไอ้ลุกซ์แค่เพื่อน  ตอนนั้นผมแค่สับสนและหวั่นไหวเท่านั้นเอง 

หวั่นไหว...จนไปเหยียบย่ำหัวใจของคนสองคนเข้า

“เออะ! โทษทีว่ะพี่” ไอ้ลุกซ์ขอโทษพี่อัตอย่างตะกุกตะกักด้วยสีหน้าลำบากใจสุดๆ

ไม่รู้ว่าพี่อัตจะรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน ยิ่งตอนนี้ผมต้องมาเฝ้าไอ้ลุกซ์ทุกวันซะด้วยสิ  แต่ก็นะ...ถึงจะไม่อยากกลับไปคบแต่ก็ใช่ว่าผมอยากให้พี่อัตเจ็บปวดซักหน่อย

“ขอโทษเรื่องอะไรวะ?” พี่อัตนิ่งไปซักพักก็พูดออกมาเสียงดังเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่ก็คงทำเพื่อเก็บอาการไม่ให้ผมเห็นล่ะมั้ง  แต่ผมก็เห็นสีหน้าของพี่มันจากสีหน้าของไอ้ลุกซ์ล่ะนะ  ถ้าสีหน้าไม่แย่จริงไอ้ลุกซ์คงไม่ละล่ำละลักขนาดนั้น “นี่น้องภีร์ชอบคนนิสัยแบบมึงเหรอเนี่ย? กูว่ากูก็ชั่วพออยู่นะ คึๆ” ผมรีบลูบแขนตัวเองทันทีเพราะดันไปขนลุกกับคำว่า น้องภีร์ เข้า  ปกติไม่เรียกภีร์เฉยๆ ก็ไอ้ภีร์นี่หว่า  เจอคำว่าน้องนำหน้าเท่านั้นแหละ  สยองเลยบอกตรง

“ใครบอกผมชั่ววะพี่  ผมนี่ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้วเนี่ย” ดูมันพูดเข้า  ถ้าไอ้ลุกซ์เป็นคนดี ผมว่าคนที่อยู่ในคุกกับเรือนจำคงน้อยกว่านี้

“โอ๊ย ไอ้เวร!” สงสัยพี่อัตคงรับมุกไม่ทันเลยได้ด่ามันออกไป

“ยังไงก็ขอบคุณพี่มากนะที่มาเยี่ยม” ไอ้ลุกซ์บอก

“เออๆ แล้วยังไงต่อวะ? แขนหักขาหักแบบนี้จะขับรถ เล่นบาสเก่งเหมือนเดิมไหมเนี่ย?” พี่อัตชวนคุย  เออ เรื่องนี้ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน  ถ้าอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ไอ้ลุกซ์สูญเสียสกิลเจ๋งๆ แบบนั้นไปคงน่าเสียดายแย่  ถึงมันจะไม่ค่อยได้เล่นบาสและไม่ได้แข่งรถเหมือนเดิมแล้วก็เถอะแต่มันก็น่าเสียดายจริงๆ นะ

“ไม่รู้ว่ะ  ถ้าแขนขาใช้การได้แย่ลงจริงๆ ก็คงต้องขอคำปรึกษาจากพี่แล้วล่ะ” คำพูดของไอ้ลุกซ์ทำให้หนังสือในมือของผมที่เพิ่งหยิบขึ้นมาร่วงลงไปอีกครั้ง  ไอ้นี่มันถนัดพูดจี้ปมของคนจริงๆ

“เฮ้อ กูคงให้คำปรึกษาดีๆ ไม่ได้หรอก  ลำพังตัวกูเองยังเอาตัวไม่รอดเล้ย” พี่อัตพูดพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ

ผมมองไปที่ท่อนแขนของพี่อัตภายใต้สูทแล้วอดเห็นใจไม่ได้  แขนของพี่อัตใช้การไม่ได้ในขณะที่พี่มันกำลังไปได้ดีกับการเล่นบาส  ช่วงเวลาที่ยากลำบากของพี่อัตตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ด้วยเพราะเรารู้จักกันช้าไปแต่ผมก็รับรู้ได้ว่าพี่มันเสียใจกับสิ่งที่เสียไปมาก

เอ๊อ! จะไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ ให้เห็นใจเขาทำไมฟะ!?

“เอาไว้ผมออกจากโรงพยาบาลแล้วไปเล่นบาสกันไหม?” ไอ้ลุกซ์ชวน

“ไม่ไหวมั้ง  กูไม่ได้เล่นมาหลายปีละ  แถมแก่ขนาดนี้จะเอาเรี่ยวแรงไหนไปสู้คนหนุ่มวะ” พี่อัตบ่นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะนิดๆ แต่เป็นการหัวเราะที่ฝืนซะเหลือเกิน

“พี่ไม่ได้แก่คนเดียวป่าววะ” ไอ้ลุกซ์สวนทันที  ตอนนี้ผมกับไอ้ลุกซ์ก็อายุ 27 ปีเข้าไปแล้วส่วนพี่อัตน่ะเหรอ? 31 แล้วล่ะ  ปกติคนอายุประมาณพี่อัตและทำงานหนักจนไม่ค่อยได้พักผ่อนแบบนี้หน้าน่าจะเหี่ยวได้แล้วแต่พอดีพี่อัตดูแลตัวเองดีครับ  ถึงขั้นชวนพี่ถังไปปรึกษาหมอเลยนะ  มีแต่คนกลัวเสียโฉมทั้งนั้น  แต่ก็เข้าใจแหละ ถ้าผมหน้าเหี่ยวผมก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน  ทุกวันนี้ไอ้เคย์มันก็เข้าคลินิกเสริมความหล่อนะเพราะมันเป็นนายแบบและด้วยความที่มันหน้าแก่เร็วกว่าเพื่อนร่วมรุ่นก็เลยต้องดูแลตัวเองดีๆ ฮ่าๆ

ผมจำได้ว่ามีวันหนึ่ง พี่อัตตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบว่าหน้าตัวเองโทรมมาก พี่มันคำรามใหญ่เลย  กลัวตัวเองไม่หล่อ  ไม่รู้จะอยากหล่อไปให้สาวที่ไหนดู เฮอะ!

นั่นไง...เอาอีกละ  คิดถึงอดีตอีกแล้วกู!

 

หลังจากนั้นพี่อัตก็มาเยี่ยมไอ้ลุกซ์ทุกวันจนผมแทบจะบอกให้พี่มันมาอยู่เป็นเพื่อนไอ้ลุกซ์แทนผมซะเลย  ไม่รู้จะมาทำไม  บางทีมาก็ไม่คุย  นั่งเล่นเกมแข่งกันโดยไม่พูดไม่จาเฉยเลย  ส่วนผมที่ปกติมักจะคุยโม้โอ้อวดกับไอ้ลุกซ์ทุกวันพลันต้องเงียบเพราะผมจะพูดน้อยทุกครั้งที่อยู่กับพี่อัต

“เอ้า เวลาป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย?” ในช่วงพักเที่ยงของวันทำงาน พี่อัตที่มาเยี่ยมไอ้ลุกซ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูหลังจากมานั่งดู Slam dunk contest กับไอ้ลุกซ์  ตอนกำลังดู ทั้งสองคนดูท่าทางตื่นเต้นและอินกับการแข่งประหนึ่งว่าได้ลงแข่งซะเอง  เชียร์มันยิ่งกว่าตอนเชียร์บอลอีก

จริงๆ แล้วผมก็อยากไปร่วมวงนะแต่เหม็นขี้หน้าพี่อัตเลยไม่ร่วม  ได้แต่แอบมันอยู่คนเดียวเงียบๆ

“พี่ไม่เห็นต้องมาเยี่ยมผมทุกวันเลยนี่หว่า  งานก็เยอะจะตายห่า” ไอ้ลุกซ์บ่น  ท่าทางมันจะเกรงใจพี่อัตไม่น้อยที่มาเยี่ยมซะทุกวัน

“ใครบอกกูมาเยี่ยมมึง  ถ้าว่าที่แฟนกูไม่อยู่กูไม่มาหรอกโว้ย” พี่อัตลุกขึ้นบิดขี้เกียจโชว์หุ่นสวยๆ ก่อนจะหรี่ตามองผมด้วยสายตาเจ้าชู้

“จะฝันเฟื่องก็ไม่มีใครว่าหรอกนะครับ  แต่อย่าทำให้ผมเดือดร้อนก็พอ” ผมพูดขึ้นลอยๆ โดยไม่มองหน้าใคร  ทำแค่มองหนังสือเล่มเดิมทุกวันๆ ที่มักจะถือเอาไว้เพื่อหาอะไรทำ

“กู...เอ้ย! พี่จะทำให้ฝันพี่เป็นจริง  คอยดูละกัน” พี่อัตเดินมาชี้หน้าผมใกล้ๆ อย่างหมายมั่นแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับสวมเสื้อสูทไปด้วย

เมื่อห้องตกอยู่ในความเงียบ  ไอ้ลุกซ์ก็เป็นคนทำลายมันลงโดยการถามคำถามที่ผมคาดเอาไว้แล้วว่ามันต้องถาม

“มึงไม่ลองให้โอกาสพี่อัตดูเหรอวะ?” ผมถอนหายใจ พับหนังสือเก็บแล้วเดินไปนั่งข้างเตียงของมันด้วยท่าทางเหนื่อยๆ  บอกตรงๆ นะครับว่าเวลาที่พี่อัตมา ผมทั้งจิกทั้งเกร็งจนเหนื่อยไปหมด

“ไม่ล่ะ  กูเหนื่อย” ผมตอบไปทันที

“เฮ้อ เห็นคู่มึงแล้วก็นึกถึงไอ้เปอร์เลยว่ะ  กูว่ากูทำกับมันมากกว่าที่พี่อัตทำกับมึงเป็นร้อยเป็นพันเท่าเลยว่ะ  เมื่อก่อนกูแทบจะเอากับคนอื่นให้มันดู ทำร้ายร่างกายและจิตใจมันสารพัด  พี่อัตนี่เทวดาเลยนะถ้าเทียบกับกู” ไอ้ลุกซ์พูดด้วยสีหน้าหม่นๆ

“กูกับไอ้เปอร์มันคนละคนกันนะเว้ย  ที่สำคัญกรณีมันต่างกันด้วย  พวกมึงจบกันด้วยความไม่เข้าใจเพราะมึงไม่พูดไม่อธิบายอะไรให้ไอ้เปอร์ฟัง  แต่สำหรับกู กูเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับพี่อัต ทั้งเรื่องดีและไม่ดี  แต่เข้าใจแล้วไงล่ะ? กูเสียความรู้สึกไปแล้วนี่หว่า” ผมยกขาขึ้นไขว้กันแล้วเอนตัวพิงพนักพิงด้วยท่าทางสบายๆ

“ถ้าไอ้เปอร์ใจแข็งแบบมึงกูจะทำยังไงดีวะเนี่ย? ดูท่าทางคราวนี้มันจะไม่ให้อภัยกูซะด้วย  โอ๊ย เครียดว่ะแม่ง” ไอ้ลุกซ์ดิ้นไปมาอย่างเครียดๆ โดยไม่สนใจอาการป่วยของตัวเองเลย  เออ เรื่องเมียมาก่อนตลอดแหละ ไอ้สัตว์นี่!

“อันนั้นคงเป็นเวรเป็นกรรมที่มึงก่อแล้วล่ะลุกซ์  ถ้าไอ้เปอร์จะไม่ให้อภัยและไม่เข้าใจมึงก็สมควรแล้วแหละ” ผมเข้าใจไอ้เปอร์เลยจริงๆ  เข้าใจจนไม่รู้จะเข้าใจยังไงแล้วเพราะเรามันหัวอกเดียวกัน  ติดแค่ว่าผมน่าจะใจแข็งกว่าเพราะผมมันเลวกว่ามากเลยนี่หว่า  ถ้าให้พูดถึงเรื่องเมื่อก่อน อย่างไอ้เปอร์น่ะไม่เรียกว่าเลวหรอกแค่ซุกซนตามประสาเด็กๆ เท่านั้นแหละ

“กูคงได้แต่ภาวนาอย่าให้ไอ้เปอร์มันใจแข็งเหมือนมึงเลย  ไม่งั้นกูตายแน่ๆ” ไอ้ลุกซ์กรอกตามองเพดานด้วยความเซ็งสุดขีด

“กูกลับอยากให้ไอ้เปอร์ใจแข็งเพราะไอ้พวกผู้ชายเลวๆ มันจะได้กลับตัวกลับใจซักที” ผมยิ้มเยาะและยักคิ้วใส่ไอ้ลุกซ์ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับไปที่โซฟาเพื่อนอนกลางวัน

“เออ ไอ้คนดีไม่มีมลทิน! สัตว์!!” ว่าแล้วมันก็ปาหนังสือบาสที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงมันมาใส่หัวของผม  บทจะแม่นก็แม่นเกินเนอะไอ้เหี้ย หัวโนเลยไหมล่ะกู



45% left



ตกเย็น ไอ้คุณชายจอมเรื่องมากก็ใช้ให้ผมออกไปซื้อข้าวร้านประจำกับขนมอีกมากมายที่มันเขียนรายการมาให้ผมจึงต้องถ่อสังขารไปหามาให้มัน  ไอ้ผมก็โคตรจะขี้เกียจแต่ทำไงได้ล่ะครับ  ว่างงานอยู่คนเดียวนี่หว่า

“มันสั่งเหี้ยอะไรนักหนาวะเนี่ย” ผมหิ้วตะกร้าพลางก้มหน้าก้มตาอ่านลายมือไก่เขี่ยของไอ้ลุกซ์อยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดกลาง  จริงๆ มันตัวหนังสือสวยนะแต่มันเขียนไม่ถนัดก็เลยออกมาซะอ่านแทบไม่ออก  จริงๆ ให้มันพูดแล้วให้ผมเขียนก็ได้แต่มันบอกว่าอยากออกกำลังกายนิ้วผมก็เลยต้องยอมแบบงงๆ

ขณะที่ผมกำลังเดินหาขนมที่ไอ้ลุกซ์สั่งและขนมที่ตัวเองอยากกินผมก็ไปเจอกับชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่กำลังก้มๆ เงยๆ เหมือนกำลังหาอะไรซักอย่าง  ถ้าเป็นปกติผมคงไม่สนใจหรอกแต่ผู้ชายคนนี้เขาดูมีปัญหากับสินค้าบางอย่าง

“ขอโทษนะครับ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?” ด้วยความเป็นคนดีผมจึงเข้าไปทักเป็นภาษาอังกฤษ

“เอ่อ...” เขาถือนมข้นอยู่ในมือแล้วหันมามองผมด้วยสีหน้างงๆ ก่อนจะหันหน้าเข้าชั้นวางสินค้าอีกครั้งเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก “คือ...ผมอยากทำอาหารไทยให้แฟน  แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องซื้อนมอะไรไปเป็นส่วนผสม” เขาหันมาพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษแล้วยิ้มแหยๆ

ผมมองนมในมือเขาแล้วหัวเราะนิดๆ  ถึงจะไม่เก่งเรื่องในครัวแต่ผมก็พอจะรู้ว่านมข้นคงไม่ใช่ส่วนผสมของอาหารคาวแน่ๆ

“คุณจะทำอะไรครับ?” ผมถามพลางหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อช่วยเสิร์ชหาวัตถุดิบ

“ผมจะทำต้มยำกุ้งครับ” เขาบอกเสียงอ่อยๆ

“เดี๋ยวผมช่วยครับ” ผมบอกพลางก้มหน้าก้มตาเสิร์ช  พออ่านข้อมูลคร่าวๆ ผมก็ขอดูของในรถเข็นของเขาทันที  ปรากฏว่าเขาซื้อผิดเกือบหมดผมจึงพาเขาไปเลือกใหม่

 

หลังจากพาฝรั่งร่างบึ้กนามมิคาเอลหรือเขาให้เรียกว่ามิคเฉยๆ ซื้อของเสร็จหมดแล้วเขาก็ขอเลี้ยงกาแฟผมจึงไม่ปฏิเสธเพราะถูกชะตากับเขามาก  เขาดูเป็นคนซื่อๆ และน่ารักดีครับ  คล้ายๆ ไอ้เคย์เลย  ภายนอกดูบึกบึนแต่นิสัยบ๊องๆ ไม่เข้ากับหุ่นและหน้าตาเอาเสียเลย

ตอนที่เขารู้ชื่อเล่นของผมครั้งแรกเขาก็ขำนะครับเพราะมันออกเสียงเหมือนคำว่าฉี่ในภาษาอังกฤษผมจึงให้เขาเรียกผมด้วยชื่อจริงแทน  นั่นก็คือรพีนั่นเอง  อย่างน้อยก็ไม่ใช่ภีร์เฉยๆ ล่ะวะ 

ชื่อของผมมักจะถูกเพื่อนๆ ต่อเติมให้เสมอ  จากเดิมคือรพี  พวกเพื่อนเวรก็จะเติมคำนำหน้าเป็นทรพี  พวกมันเป็นเพื่อนที่น่ารักมากเลยเนอะ  แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องสมัยมัธยมนั่นแหละครับ

“ช่วงนี้แฟนของผมเขาเบื่อผมมากๆ เลยล่ะครับเพราะผมไม่มีเวลาให้เลย” ขณะที่คุยกันไปเรื่องสัพเพเหระ มิคก็บ่นขึ้นด้วยสีหน้าหงอยๆ  ยิ่งดูยิ่งเหมือนไอ้เคย์ว่ะ  มิน่าล่ะผมถึงรู้สึกถูกชะตานัก

“เป็นธรรมดานั่นแหละครับ  ผู้หญิงเขาก็ขี้น้อยใจเป็นเรื่องธรรมดา” ผมบอกอย่างคนจัดเจน  ทำอย่างกับมีผู้หญิงหลายคนอย่างนั้นแหละ  ตั้งแต่มีพี่อัตผมก็ไม่ได้ไปยุ่งกับสาวที่ไหนเลย

“ผมถึงจะทำอาหารไทยที่เธอชอบให้ไงแต่ผมไม่รู้วิธีทำเลย  นี่ถ้าไม่ได้คุณผมคงอยู่ที่นี่ถึงเช้าแน่ๆ” มิคทำแก้มพองลมนิดๆ  เหมือนกำลังน้อยใจแฟน

“คุณนี่น่ารักนะครับ  ทำเพื่อแฟนด้วย” ผมชม  ผมจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ให้ผู้หญิงคนไหนบ้างไหมนะ?

“คุณมีแฟนไหมครับ?” ผมอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อถูกถามแบบนั้นก่อนจะหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ ไม่มีหรอกครับ” ผมเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ

“จะเสียมารยาทไหมถ้าผมอยากจะมีช่องทางติดต่อคุณ?” เขาถามพลางยื่นมือถือมาให้ผมด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนเด็กอยากได้ของ

“ได้สิครับ” ผมรับมือถือของเขามาแล้วกดเบอร์ให้ก่อนจะยื่นคืน  เขารับไปแล้วรีบเมมทันที

“ผมรบกวนเวลาคุณมานานละ  เอาไว้คราวหน้าไปทานข้าวกันนะครับ” เขาลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือมาหาผมด้วยรอยยิ้ม

“ได้ครับ  ขอให้หวานกันแฟนมากๆ นะครับ” ผมลุกขึ้นแล้วพลางจับมือกับเขาก่อนที่จะเราแยกย้ายกันไป

ผมรีบบึ่งกลับไปที่โรงพยาบาลทันทีหลังจากพบว่าไอ้ลุกซ์มันไลน์และโทรมาหาผมซะถี่ยิบแต่ผมลืมโทรศัพท์ไว้ในรถก็เลยไม่รู้สึกตัวว่ามันโทรมา  กลับไปถึงผมโดนวีนแน่ๆ

 

เมื่อจอดรถเข้าที่เสร็จผมก็รีบวิ่งขึ้นลิฟต์และวิ่งต่อไปที่ห้องของไอ้ลุกซ์ทันที  ผมเปิดประตูเข้าห้องไปด้วยท่าทางกระหืดกระหอบจากนั้นก็ต้องนิ่งเมื่อเห็นพี่อัตกำลังนั่งคุยกับไอ้ลุกซ์อยู่ข้างเตียง

โวะ! ไม่รู้จะมาทำไมบ่อยๆ

“โทษทีนะเว้ย  พอดีว่ามีปัญหานิดหน่อย” ผมบอกพลางรีบไปเปิดอาหารใส่จานให้ไอ้ลุกซ์แล้วจัดไปให้มันกิน  สายตาที่มันมองผมนี่เหวี่ยงสุดๆ ไปเลยล่ะครับ คงจะเบื่ออาหารจืดๆ ของโรงพยาบาลเต็มที 

โธ่ ช้านิดช้าหน่อยทำเป็นโกรธ

“แล้วมีปัญหาอะไรล่ะ?” ไอ้ลุกซ์ถามหลังจากที่ผมเอาข้าวไปประเคนให้มันถึงเตียง

“ไปเจอฝรั่งคนหนึ่ง  เขาจะทำอาหารง้อแฟนแต่ซื้อของไม่เป็นก็เลยไปช่วยเขา  เขาเลยขอเลี้ยงกาแฟน่ะ” ผมบอกซื่อๆ พลางแอบเหลือบมองพี่อัตนิดๆ และพบว่าพี่มันก้มหน้าขมวดคิ้วใหญ่เลย  ไม่รู้ว่าไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า

“โดนจีบหรือเปล่าเนี่ย?” ไอ้ลุกซ์ทำตาดุมองผม  ทำตัวอย่างกับพ่อเลยนะไอ้นี่

“บ้าสิ  ผู้ชายนะเว้ย  อีกอย่างเขามีแฟนแล้ว” ผมรีบบอกทันที “เออมึง เขาแม่งโคตรเหมือนไอ้เคย์เลยนะเว้ย  กูถูกชะตากับเขาเป็นบ้า” ผมบอกอย่างไม่คิดอะไร

“อย่าอยากได้ละกัน” ไอ้ลุกซ์ชี้หน้าผมนิดๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างหิวโหย  ไอ้หมอนี่มันตะกละไม่สมกับที่ป่วยเลยว่ะ

“กูไม่คิดจะมีแฟนตอนนี้หรอก” ผมบอกแล้วเหลือบตามองพี่อัต  เราสบตากันพอดีเพราะพี่อัตก็มองมาที่ผมเช่นกัน  เมื่อรู้ว่าเผลอสบตาผมก็รีบเบือนหน้าหนีทันที

“ทำไม? รอแฟนเก่ามาง้อหรือไง?” ไอ้นี่ก็ชงจัง  มันตั้งใจพูดแทงใจดำเพื่อให้ผมกลับไปคิดเรื่องพี่อัตหรือไงนะ?  แต่ยังไงก็ไม่กลับไปคบหรอก  เข็ดโคตรๆ

“เปล่า  กูไม่คิดจะมีใครต่างหาก” ผมตอบ

“กลับมาคบกับกูได้ไหมภีร์?” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นขณะที่พวกเรากำลังเงียบซึ่งนั่นก็ทำให้ห้องเงียบหนักเข้าไปอีก

หลังจากที่พี่อัตพูดแบบนั้นออกมาก็ไม่มีเสียงหลุดออกจากปากของใครซักคนอีกเลย  จนกระทั่งผมรู้สึกอึดอัดชนิดที่หายใจไม่ทั่วท้องผมจึงทำลายความอึดอักนั่นซะ

“กูกลับก่อนนะลุกซ์  อีกหน่อยไอ้ลันคงมาอยู่เป็นเพื่อน” ผมลุกขึ้นพร้อมกับพูดเพื่อเดินไปเก็บข้าวของของตัวเองที่วางระเกะระกะอยู่บนโซฟา

“เดี๋ยวภีร์” พี่อัตรีบลุกออกจากโต๊ะแล้ววิ่งมาคว้าแขนของผมเอาไว้

ผมสะบัดแขนออกโดยไม่รอช้าและไม่หันไปมองหน้าพี่อัตก่อนจะรีบจ้ำอ้าวออกจากห้องทันทีด้วยท่าทางไม่พอใจ

ใช่ ผมไม่พอใจพี่อัต  ทำไมต้องมาทำให้ผมรู้สึกลำบากใจด้วยวะ  ทำเป็นไม่รู้จักกันแล้วจะมาขอคืนดีทำไมวะ?  ทำยังไงผมถึงจะไม่ได้เจอพี่อัตอีก?  หรือผมต้องหลบไปพักใจคนเดียวดีนะ? ไปให้ไกลๆ โดยไม่ให้หน้าของพี่อัตตามไปหลอกหลอนได้และถ้าผมยังตัดพี่อัตออกจากชีวิตไม่ได้ก็จะไม่กลับมาอีกจนกว่าจะทำใจมองหน้าได้อย่างปกติ   เอิ่ม...เอาไว้ไอ้ลุกซ์ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

หรือผมจะไปตอนนี้เลยวะ  ไหนๆ ไอ้ลุกซ์มันก็ดีขึ้นมากแล้วนี่หว่า?

ตึกๆ

ฟึ่บ!

ผมยืนนิ่งอึ้งหลังจากที่ถูกกอดจากด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัวขณะกำลังจะเปิดประตูเข้าไปในรถที่จอดอยู่ที่จอดรถของโรงพยาบาล  เมื่อรู้สึกตัวผมก็รีบถองศอกใส่หน้าท้องและผลักคนกอดออกไปเพราะคิดว่าคนที่เข้ามากอดผมต้องเป็นพี่อัตแน่ๆ

แต่...ไม่ใช่!

“เฮ้ย! มิค!?!” ผมหันไปมองแล้วต้องตกใจเพราะคนที่วิ่งเข้ามากอดผมไม่ใช่พี่อัตแต่ดันเป็นมิคาเอลซะอย่างนั้น

“เอ๊ะ!?! รพี!?” มิคที่ล้มลงไปกองกับพื้นเพราะถูกผมถองศอกแล้วผลักชี้หน้าผมอย่างตกใจ  เฮ้ย มันจะตกใจทำไมวะ? เข้ามากอดผมเองไม่ใช่เรอะ!?

โชคดีนะครับที่ตอนนี้เราอยู่ที่ที่จอดรถแล้ว  ถ้าเป็นในโรงพยาบาลป่านนี้คงโดนมองด้วยสายตาทิ่มแทงจากเหล่าพยาบาลและคนอื่นๆ ไปแล้วแน่ๆ

“อะไรเนี่ยมิค!?” ผมถามอย่างตกใจก่อนจะเดินเข้าไปช่วยฉุดเขาให้ยืนขึ้น

“ผมนึกว่าแฟนของผมน่ะครับ” มิคขมวดคิ้วพลางหลบตา

“นึกว่าแฟน...?” ผมเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะทำตาโตแล้วชี้หน้ามิค “อย่าบอกนะว่าแฟนเป็นผู้ชาย!?!” ผมถามเสียงดังอย่างตกใจ  ถ้าคิดว่าผมที่ผมสั้นเป็นแฟนล่ะก็แสดงว่าแฟนเขาต้องเป็นผู้ชายไม่ผิดแน่  อีกอย่าง...รูปร่างของผมไม่เหมือนผู้หญิงเลยแม้แต่นิดเดียว

“เอ่อ...” มิคก้มหน้าหลบตาผมเป็นการใหญ่

“มิค  ถ้าใช่อย่างที่ผมคิดก็ไม่เป็นไรนะ  ผมไม่รังเกียจหรอก” ผมรีบบอกเพราะกลัวมิคจะอายจนวิ่งหนีผมไป  สีหน้าเขาตอนนี้ดูต้องการความช่วยเหลือมากๆ  ท่าทางจะทะเลาะกับแฟนมา

“ใช่ครับ  คุณคิดถูกแล้วล่ะ  ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย” มิคพูดพลางกำมือแน่น  ถ้าเขาสามารถยกมือขึ้นมาปิดหน้าหนีความอายได้คงจะทำไปแล้วล่ะมั้ง

“ไม่ต้องคิดมากนะ  ผมไม่ถือหรอกเพราะผมก็เคยมีแฟนเป็นผู้ชาย” ทันทีที่ผมพูดจบมิคก็เงยหน้ามองผมด้วยสายตาเป็นประกายทว่าแฝงความเศร้าเอาไว้  ดูเหมือนเขาจะดีใจที่ได้เจอพวกเดียวกันอะนะ  แต่ก็นะ  ผมหลุดออกมาจากวังวนนั้นแล้ว  ตอนนี้ชีวิตกำลังมุ่งสู่หนทางของชายปกติ

“รพี คุณต้องช่วยผมง้อแฟนของผมหน่อยนะ” มิคพุ่งเข้ามาจับมือผมเขย่าอย่างขอร้องจนตัวผมสั่นตามแรงเขย่า

“ใจเย็นๆ นะมิค  ก่อนอื่น...คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ผมดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขาแล้วจับมือเขาเอาไว้แทน  ก็มิคดูไม่นิ่งเอาซะเลย  ตัวก็ใหญ่แต่ทำไมใจเด็กแบบนี้นะ

“คือ...” มิคหลบสายตาผมอีกครั้งอย่างลำบากใจที่จะตอบคำถาม “ผม...ผมกับแฟนมาตรวจโรคน่ะครับ  เรามาตรวจกันเป็นประจำอยู่แล้ว” มิคสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะบอกออกมา  คงจะอายและลำบากใจที่จะพูดล่ะมั้ง

“แล้วทำไมถึงได้ทะเลาะกัน?” ผมถามอย่างใจเย็น

“ผมแค่อยากจับมือเขาแต่เขาก็โมโหเพราะกลัวคนอื่นเห็นจนหนีกลับไปก่อนแล้ว  ผมนึกว่าคุณเป็นเขาก็เลยเข้าใจผิด  รถของคุณเหมือนรถของผมด้วย” มิคก้มหน้าบอกด้วยน้ำเสียงหงอยๆ  หืม? รถเหมือนกัน? แสดงว่ามิคนี่ก็รวยไม่หยอกนะครับเพราะรถรุ่นนี้ราคาไม่ใช่เล่นๆ เลย  ผมซื้อมาจากบริษัทไอ้ลุกซ์นี่แหละ  แน่นอนว่าได้ราคาพิเศษแต่มันก็แพงมากๆ อยู่ดี  ผมทุ่มเงินเก็บทั้งหมดของตัวเองเพื่อรรถคันนี้เลยนะเออ

“เขาขับรถคุณไปแล้ว?” ผมถาม

“อาฮะ” มิคพยักหน้า

“งั้นเราไปกินมื้อค่ำกันแล้วผมจะไปส่งคุณเอง” ผมชวนเพราะถ้ายังคุยกันอยู่ที่นี่คงจะไม่เหมาะแน่  อย่างน้อยๆ ก็หาที่นั่งคุยจะได้ปรึกษากันได้สะดวก  เห็นสีหน้ามิคแล้วผมรู้สึกสงสารชะมัด  เหมือนตอนไอ้เคย์ถูกพี่ถังโกรธไม่มีผิด

“แต่...กระเป๋าเงินผมอยู่ในรถ” มิคพูดด้วยสีหน้าหมาหงอยสุดๆ  หางคิ้วเขาตกอย่างกับคนสิ้นหวังในชีวิตอย่างนั้นแหละ

“ไม่เป็นไร  ผมเลี้ยงเอง  แทนคำขอบคุณที่คุณเลี้ยงกาแฟผมไง” ผมตบหลังเขาเบาๆ แล้วรุนหลังเขาให้ขึ้นไปบนรถของผม

“ขอบคุณนะรพี” มิคมองผมด้วยสายตาขอบคุณอย่างสุดซึ้งก่อนจะก้าวขึ้นรถ  ผมยิ้มนิดๆ แล้วมุดตัวลงไปในรถเช่นเดียวกัน

เอาล่ะ! ผมมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคนซะแล้วสิ




 
+++++++++++++++++++++++++

ขอโทษที่มาช้านะคะ

พอดีช่วงนี้แม่ของไรต์ไม่ค่อยสบาย(เป็นมาสักพักแล้ว) กำลังรอผลตรวจอยู่ทำให้ไรเตอร์ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแม้แต่การบ้านจึงไม่ได้มาต่อเลย

และต่อจากนี้อาจจะมาช้าอีกก็ได้  ใจไรต์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็เลยแต่งต่อไม่ได้มากนักแต่ยังไงก็จะพยายามค่ะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา