[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  228.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Chapter 07 : ไอ้คุณเอก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 07 : ไอ้คุณเอก


 

หลังจากที่ก้นผมหย่อนลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของพี่ลุกซ์  หนังสือสัญญาก็ถูกวางไว้ตรงหน้า  ผมเหลือบตามองคนที่ยื่นสัญญามาให้ก่อนจะเปิดอ่านสัญญา

งานเลขาส่วนตัวนี่มันก็เหมือนกับคนใช้ดีๆ นี่เอง  ถ้าเขาใช้อะไรผม ผมก็ต้องทำตาม อย่างเช่นให้ดูแลลูกให้หรือแม้กระทั่งเก็บกวาดบ้าน  ผมก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าจะให้ผมมาเก็บกวาดบ้านทำไมในเมื่อแม่บ้านก็เดินว่อนกันเต็มบ้านอยู่แล้ว

“เก็บกวาดนี่คือ?” ผมถามขึ้นหลังจากอ่านสัญญาเสร็จ

“คอนโด  ผมจะย้ายไปอยู่ที่คอนโด” เขาตอบผมจึงก้มหน้าเม้มปากแล้วเปิดย้อนกลับไปอ่านสัญญาอีกครั้ง 

เขาจะฆ่าผมให้ตายเลยหรือไง? คิดยังไงถึงจะให้ผมกลับไปที่นั่น  ที่คอนโดนั้นมันเต็มไปด้วยความทรงจำของผม  ถ้าผมกลับไปผมจะต้องแสดงความรู้สึกอะไรออกมาแน่ๆ  ผมไม่ใช่เขาที่จะสามารถกลับไปอยู่ในสถานที่แห่งความทรงจำได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลย

“ซื้อคอนโดเหรอครับ?” ผมกลั้นใจถามออกไป  เขาบอกว่าจะไปอยู่คอนโดก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นที่เดิมซะเมื่อไหร่

“คอนโดที่เคยอยู่สมัยเรียน” ผมหุบปากเงียบทันทีที่ได้ยินคำตอบ  ผมนั่งจิกต้นขาตัวเองแน่นเพื่อสะกดกั้นอารมณ์

เพื่ออะไร? ผมอยากจะถามเขาเหลือเกินว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร? เพื่อความสะใจเหรอ? สนุกเหรอที่ทำแบบนี้?  หัวใจเขาทำด้วยอะไร? เขาอาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับที่นั่นแต่เขาควรจะคิดถึงใจผมบ้าง  ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะทนนิ่งเฉยได้ตลอดเวลาเพราะที่แห่งนั้นมันคือที่ที่ผมใช้เวลาอยู่กับเขามากที่สุด  ไม่ว่าจะมองไปทางไหนผมก็มักจะเห็นภาพเก่าๆ เสมอ  ให้ผมกลับไปโดยที่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมผมทำไม่ได้!

“ไม่มีแม่บ้านเหรอครับ?” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะถามออกไป

“หรือว่าทำไม่ได้?” เขาไม่ตอบคำถามแต่กลับถามคำถามใหม่ออกมาและผมไม่ลังเลที่จะตอบ

“ไม่ได้ครับ” ผมตอบทันทีแล้วปิดหนังสือสัญญา

“ทำไม?” เขาจะถามคำตอบที่รู้อยู่แก่ใจทำไม?

“ผมทำงานบ้านไม่เป็น” ผมเลือกที่จะโกหกในสิ่งที่เขาก็รู้ดี  ในเมื่อเขาถามสิ่งที่เขารู้ผมก็เลือกที่จะโกหกในสิ่งที่เขารู้เช่นกัน

“ไม่อยากได้เงินเหรอ? ต่อให้คุณไปทำงานพิเศษเพิ่ม คิดเหรอว่าคุณจะได้เงินมากเท่าที่ผมเสนอ?” ผมเม้มปากกำมือแน่นเมื่อได้ยินอย่างนั้น  เขาคิดจะซื้อความรู้สึกผมด้วยเงินอีกแล้ว

“เงินมันซื้อทุกอย่างไม่ได้หรอกนะครับ  ผมจนก็จริง แต่ผมไม่ขายความรู้สึก” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากทำงานของเขาทันที

เมื่อประตูปิดลงผมก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมากุมตำแหน่งหัวใจที่กำลังบีบอัดอย่างเจ็บปวด  เขาใจร้ายจังเลยนะครับ  ใจร้ายมากกว่าเมื่อก่อนซะอีก  เขาทรมานผมจนผมอยากจะตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด  เขาต้องการอะไรจากการทรมานผม? เมื่อก่อนเขาบอกว่ารักผม  เขาสัญญาว่าจะไม่ทำให้ผมเสียใจ  เขาบอกให้ผมเชื่อใจผมก็เชื่อ! เชื่อจนเหมือนคนโง่!  ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะเลือกไม่ยุ่งกับเขา  ผมยอมเสเพลให้คนด่าประณามดีกว่าที่จะยอมเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นเพราะความโง่หลงผิด  ผมคิดผิดจริงๆ ที่รักเขา

 

ผมเดินออกจากบ้านหลังนั้นโดยไม่คิดจะลาใคร  ผมไม่มีอารมณ์เป็นเด็กดีไปมาลาไหว้ใครต่อใครแล้วล่ะ  แค่ใจที่บอบช้ำของผมตอนนี้มันก็มากเกินพอที่จะรับอะไรไหวอีกแล้ว  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  มองไปทางไหนผมก็เห็นแต่ภาพของเราในอดีต  มันไหลเข้ามาเหมือนกำลังดูหนังรอบฉายซ้ำ  เหมือนเทปม้วนเดิมที่กรอกลับไปกลับมาและฉายซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น  ถ้าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นแผ่นฟิล์มจริงๆ ผมคงทำลายมันได้ไม่อยาก  แต่มัน...ดันเป็นความทรงจำที่ไม่ได้ใช้สมองจดจำ

ผมเดินไปตามฟุตบาธต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่คิดจะเหนื่อย  ต่อให้แดดมันร้อน เหงื่อมันไหลโชกผมก็ไม่คิดจะหยุดพัก  ผมก็แค่อยากเดินให้มันลืม  ในเวลานี้ผมไม่อยากกลับบ้านเลยครับเพราะที่บ้านมันก็มีภาพความทรงจำของพี่ลุกซ์กับผมอยู่เต็มไปหมด  ถ้ากลับไปตอนนี้ผมต้องเป็นโรคประสาทแน่เลย

แดดออกจนร้อนอบอ้าวในช่วงเช้าทำให้ช่วงบ่ายมีฝนตก  ผู้คนที่กำลังเดินอยู่ต่างก็วิ่งไปยืนเบียดกันหลบฝนอยู่ใต้ชายคาแต่ผมกลับยังเดินอยู่ใต้ท้องฟ้าที่กำลังร้องไห้เหมือนใจผมตอนนี้

ติ๋ง

อ่า...ไม่รู้ว่าน้ำที่กำลังแฉะอยู่บนหน้าเป็นน้ำตาฝนหรือจากตาของผมกันแน่

แต่คงไม่หรอก  มันเย็นจะตายไป  ผมจำความรู้สึกของน้ำตาได้  มันจะอุ่นๆ แต่น้ำที่กำลังไหลอยู่ตอนนี้มันเย็นจับขั้วหัวใจเลยแหละ  ไม่มีทาง...ที่ผมจะเสียน้ำตาเพื่อคนคนนั้นอีกแล้ว  ไม่มีทาง

“คุณ! คุณ! คุณครับ!!

“หะ...หา? เอ่อ? อะไรครับ?” ผมสะดุ้งตกใจตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียกและรับรู้ถึงแรงสะกิดที่ไหล่ 

อ่า...พอรู้สึกตัวผมก็ชักจะหนาวซะแล้วสิ  นี่ผมเดินตากฝนมานานเท่าไหร่แล้วนะ? ถึงขั้นมีคนมาเรียกผมไว้แบบนี้คงจะนานพอดู

“คุณคิดจะฆ่าตัวตายหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมหน้าตาคุณมันหมดอาลัยตายอยากขนาดนั้น?” ผมย่นจมูกทันทีที่หนุ่มหล่อร่างสูงตรงหน้าทักผมแบบนั้น

หน้าตาก็ดีหรอกนะ  แต่คำพูดมันวอนตีนสิ้นดี!

“ไม่ใช่ครับ ผมแค่คิดอะไรเพลินๆ” ผมขมวดคิ้วตอบออกไป

“งั้นคุณตามผมมานี่” หมอนั่นพูดแล้วก็ขยับมาดึงแขนผมแล้วลากพาเดินเข้าไปในตึกที่คาดว่าน่าจะเป็นคอนโดโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวเพราะสมองประมวลผลไม่ทัน

“นี่คุณ! คิดจะทำอะไรกับผมหรือเปล่าครับ!? ผมไม่ใช่เด็กหัวอ่อนที่คุณจะพาผมไปที่ไหนก็ได้นะ!!” ผมโวยวายเมื่อถูกลากเข้ามาในตัวอาคารและเมื่อรับรู้ถึงความเย็นของแอร์ตัวผมก็สั่นทันที

“ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีนะคุณ” หมอนั่นเถียงกลับ

“ไม่คิดได้ไง!? คุณลากผมมาที่ทั้งๆ ที่ผมไม่เต็มใจเนี่ยนะ!?” ผมโวยวายพลางสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม  ไอ้หมอนี่มันต้องคิดว่าผมเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีทางไปแล้วคิดจะเอาผมไปขายแน่เลย

แต่...พามาคอนโดหรูขนาดนี้คงไม่หรอกมั้ง 

สงสัยผมดูละครกับแม่เยอะไป

“คุณชนวีร์มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ขณะที่ผมกับเขากำลังถกเถียงกันเสียงดังยามก็วิ่งเข้ามาถาม  เขาหันไปหายามแล้วยกมือพลางส่ายหน้าทำให้ยามหยุดนิ่งและกำลังจะถอยออกไป

“ช่วยด้วยครับ? เขาพาตัวผมมา...อุ๊บ!” ผมหันไปที่ยามแล้ววิ่งไปจะขอความช่วยเหลือแต่ก็ถูกเขาดึงกลับมาแล้วปิดปากเอาไว้

“ไม่มีอะไรหรอกครับ  เขาตากฝนจนบ้าน่ะครับเลยเสียสติไปหน่อย” ไอ้นายชนวีร์นั่นหันไปพูดกับยาม พลางสอดแขนเข้ามาใต้รักแร้ผมแล้วก็ออกแรงยกทำให้ขาผมลอยเหนือพื้นจากนั้นก็พาผมไปที่ลิฟต์  ส่วนผมมีเหรอจะยอมให้ลากไปง่ายๆ  ดิ้นสุดแรงเกิดเลยล่ะครับ

 

แต่สุดท้ายผมก็ถูกลากมาที่ห้องเขาจนได้  ผมกลัวมาก กลัวว่าจะถูกไอ้บ้าวิปริตนี่ข่มขืน  อยู่ดีไม่ว่าดีก็เข้ามาทักแล้วก็ฉุดกระชากลากถูกผมมาที่นี่  คนดีๆ เขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก

แต่...คนชั่วๆ เขาคงไม่เอาผ้าขนหนูกับน้ำอุ่นๆ มาให้ผมดื่มหรอกมั้งเนอะ แฮะๆ

“ท่าทางคุณจะดูละครเยอะไปนะครับถึงคิดว่าผมเป็นผู้ร้ายลักพาตัว” ไอ้คุณชนวีร์นั่นพูดพลางหัวเราะขำๆ ขณะที่ผมนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บนโซฟาโดยมีผ้าขนหนูวางพาดไว้บนหัว  ผมเอาผ้านั่นไปวางไว้เองแหละครับเพราะผมอายที่เผลอโวยวายอะไรบ้าๆ แบบนั้นออกไป  ก็ตอนนั้นผมกำลังเหม่อนี่ครับ  พอถูกทักและถูกลากแบบนั้นผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้วเผลอโพล่งออกไป

“ก็ดูกับแม่บ่อยๆ ครับ” ผมตอบออกไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไร  อายฉิบหาย  ปล่อยไก่ต่อหน้าคนไม่รู้จักไปตัวเบ้อเร่อเลย  เอาเถอะ คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วแหละ

“คุณนี่...เด็กจังเลยนะ ฮึๆๆ” เขาหันมามองผมแล้วหัวเราะใหญ่เลย

“นี่คุณ! ผมอายุ 25 แล้วนะ!” ผมโวยวายออกมาอย่างลืมตัวทำให้เขาถึงกับหัวเราะก๊ากซะท้องคัดท้องแข็ง  ผมเม้มปากอย่างอับอายก่อนจะมองไปข้างนอก  เมื่อเห็นว่าฝนซาแล้วผมก็เลยจะรีบชิ่ง “อ๊ะ! ฝนซาแล้วผมกลับล่ะ  ขอบคุณสำหรับที่หลบฝนครับ” ผมพูดรัวๆ เร็วๆ แล้วรีบวิ่งปรู๊ดออกจากห้องของเขาทันที  เขาเองก็วิ่งตามออกมาและยืนมองผมที่กำลังกดปิดลิฟต์อยู่หน้าห้องของตัวเอง 

ก่อนที่ลิฟต์จะปิดสนิทผมก็แลบลิ้นให้เขาหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้และนั่นก็ทำให้เขาหัวเราะออกมาอย่างตลกขบขันอีกครั้ง 

ชิ! หมอนั่นมันต้องบ้าแน่เลย  หัวเราะอยู่ได้  ตลกนักรึไงวะ!?!

 

วันต่อมาก็เกิดเรื่องครับ  หวัดกินจนผมต้องนอนซมอยู่ที่บ้านโดยมีแม่กับเจ้าป้องมาคอยดูแลเช็ดตัว ป้อนข้าวป้อนยาให้  นอกจากนั้นผมก็ถูกบ่นซะยาวว่าไปทำอะไรมาอย่างนั้นอย่างนี้จนหูชาเลยล่ะครับ  ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถูกบ่นตอนไม่สบายแบบนี้ไข้ผมขึ้นแน่แต่ตอนนี้ผมได้แต่ยิ้มรับคำบ่นเพราะผมรู้ว่าบ่นเพราะเป็นห่วงมาก  เดี๋ยวนี้เรามีกันอยู่แค่นี้ต้องรักๆ กันไว้ครับ

 

“พี่เปอร์อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมเดี๋ยวผมทำให้” ไอ้ป้องถามขึ้นเมื่อป้อนข้าวเที่ยงผมเสร็จเรียบร้อย  ตอนนี้ผมเริ่มดีขึ้นครับแต่เมื่อคืนนี่แทบรากเลือด  ปวดคอแสบคอจนอยากจะร้องไห้  พอพ่อจะพาไปหาหมอผมก็อิดออดเพราะค่าหมอมันแพงแถมยังไม่มีรถไปอีก  ยุ่งยากจะตาย  ไปซื้อยาที่ร้านยาหน้าปากซอยมากินเดี๋ยวก็หาย

“อยากกินขนม” ผมพูดอ้อนๆ  พอไม่สบายแล้วผมขี้อ้อนน่ะครับ  ไม่ว่าใครผมก็อ้อนหมดแหละ

“งั้นเดี๋ยวแม่ทำกล้วยบวชชีให้ละกันนะลูก  แต่ต้องกินหลังกินข้าวเย็นนะ” แม่ผมที่ยืนอยู่ปลายเตียงเพื่อจัดที่นอนให้ผมบอก

“ครับแม่” ผมพยักหน้ายิ้มๆ

“งั้นเดี๋ยวผมไปช่วยพ่อกับคุณลุงถางหญ้าในสวนก่อนนะครับ  เห็นบ่นๆ กันว่ามันรกน่ะ” ไอ้ป้องบอกก่อนจะเดินออกไปโดยมีผมมองตามยิ้มๆ

“ไม่เสียแรงที่รับมาเลี้ยงดูเนอะ  ตาป้องเป็นเด็กดีมากเลย  ตาชัชก็เป็นคนดี  ขนาดเราตกทุกข์ได้ยากก็ไม่คิดจะทอดทิ้ง” แม่เองก็มองตามไอ้ป้องแล้วพูดออกมาอย่างตื้นตัน

“ครับ  ผมรักเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ เลยล่ะ” ผมบอก

“แม่ก็รักตาป้องเหมือนลูกคนหนึ่งและรักตาชัชเหมือนเป็นน้องชายจ้ะ  ขอบใจนะลูกที่พาคนดีๆ แบบนี้มาอยู่ที่บ้าน” แม่พูดอย่างอ่อนโยนพลางเดินมานั่งข้างเตียงแล้วลูบหัวผมเบาๆ

“ครับ”

“นอนพักซะนะ  อยากได้อะไรก็บอกนะลูก” แม่บอกพลางลุกขึ้นเพื่อเดินออกไปแต่ผมก็รั้งไว้

“แม่ครับ เงินพอใช้ไหมครับ?” ผมถามขึ้นเพราะช่วงนี้ทุกคนในบ้านดูไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่

“พอสิจ๊ะ  พวกเราไม่เคยอดอยากนะเพราะเปอร์ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูพวกเราตลอดเลย  เงินที่เปอร์ให้มาพวกเราใช้กันแค่ที่จำเป็น  ที่เหลือก็เอาเข้าธนาคาร  ไม่ต้องห่วงหรอกนะลูก  ตอนนี้บ้านเรามีเงินเก็บเยอะจะตาย” แม่บอกยิ้มๆ

“ครับ” ผมพยักหน้ายิ้มๆ

“แม่ไปนะ  อยากได้อะไรก็เรียกล่ะลูก” แม่บอกก่อนจะเดินออกไปทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่น  ผมหลับตาแล้วยิ้มออกมาอย่างดีใจ  ผมดีใจที่ครอบครัวผมมีความสุขและมีความรักให้กันอย่างเต็มเปี่ยม

 

“ไอ้เปอร์! เปอร์!!” ขณะที่ผมกำลังนอนหลับอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากข้างล่าง  ผมค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว

“พี่ถัง เบาๆ ได้ไหมเล่า? คนเขาป่วยอยู่นะ” เสียงไอ้ป้องนี่  ฮะๆ สงสัยไอ้พี่ถังมาเยี่ยมล่ะมั้งเนี่ย

ปึง!

“ไอ้เปอร์น้องรัก! ฮือออ นี่มึงไม่สบายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?” พี่ถังที่เปิดประตูเข้ามาอย่างแรงพุ่งเข้ามากอดผมแนบอกพลางใส่เอฟเฟ็คท์เป็นเสียงร้องไห้ประกอบ

“น้องรักพ่องสิ” ผมขำนิดๆ เพราะเพิ่งเคยได้ยินมันพูดแบบนี้  หรือมันอาจจะเคยพูดแต่ผมจำไม่ได้

“ถัง เบาๆ หน่อย  น้องป่วยอยู่” พี่เคย์ขมวดคิ้วพูดผมจึงยิ้มให้พี่มันแล้วยกมือขึ้น ประมาณว่า ปล่อยให้มันทำไปเถอะ

“ไปทำอะไรมา? ทำไมถึงป่วยแบบนี้ฮะ?” ไอ้พี่ถังผละออกไปแล้วจับไหล่ผมหมุนไปมาเบาๆ เพื่อสำรวจ

“ตากฝนน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดออกมาเสียงแหบแห้ง

“เคย์ วันนี้มึงกลับบ้านคนเดียวนะ  กูจะอยู่ดูแลไอ้เปอร์” พี่ถังหันไปบอกพี่เคย์  คือ...ทุกวันนี้พี่ถังเป็นสะใภ้แต่งเข้าบ้านพี่เคย์เต็มตัวน่ะครับ คึๆ  ว่าไปนั่น  พอดีว่าบ้านพี่เคย์อยู่ใกล้บริษัทมากกว่าพี่เคย์ก็เลยชวนพี่ถังไปอยู่ด้วย

“เว่อร์เนอะ” ไอ้ป้องกอดอกเบ้ปากใส่พี่ถัง

“หนอย ไอ้เด็กปากดี  แสบจริงๆ เหมือนมึงตอนเด็กๆ ไม่มีผิด” ไอ้พี่ถังบ่นแต่ก็ไม่ได้ลุกไปแกล้งไอ้ป้องเพราะมันกำลังโอบไหล่ผมอยู่

“ปกติป้องน่ารักจะตาย  ดื้อกับถังคนเดียวนี่แหละ” พี่เคย์ว่า  ผมกับไอ้ป้องจึงรีบพยักหน้าเห็นด้วย  เมื่อก่อนผมก็เป็นเหมือนกันครับ  ผมน่ารักกับทุกคนยกเว้นไอ้พี่ถัง  ก็มันชอบกวนนี่ครับ

“ไม่รู้แหละ  วันนี้กูจะอยู่กับไอ้เปอร์ที่นี่  ถ้าพรุ่งนี้ไปทำงานไหวก็จะไปด้วยกันเลยแต่ถ้าไม่ไหวกูจะได้ลาให้” พี่ถังบอก

“ไหวๆ” ผมรีบบอกเพราะไม่อยากจะถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กเส้นแล้วคิดจะอู้งานได้ง่ายๆ

“เปอร์ ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไปทำ  ถ้าถูกด่าก็ลาออก  เดี๋ยวกูฝากงานให้มึงที่บริษัทไอ้ตฤณให้” พี่ถังหันมาขมวดคิ้วใส่ผม

“ไม่เป็นไร  ตอนนี้ก็ดีขึ้นมาแล้ว  งานกูก็ไม่ได้มีอะไรมากด้วย” ผมบอก

“อือ ช่วงนี้ไอ้ลุกซ์ยังใหม่อยู่งานก็เลยยังไม่เยอะ  เดี๋ยวอีกสักสามสี่เดือนงานบึ้มลงที่มันแน่  ระหว่างนั้นกูนี่แหละที่ทำงานแทนจนหัวฟู” พี่ถังบ่น  ก็แหงล่ะ  พี่ถังเข้ารับตำแหน่งก่อนที่ลุกซ์ตั้งหลายปี

“หัวล้านต่างหาก” ไอ้ป้องพูดแซวพลางหันไปหัวเราะคิกคักกับพี่เคย์ขณะที่พี่ถังหันขวับไปมองอย่างโกรธๆ โดยไม่ลืมที่จะเอามือปิดหน้าผาก  เดิมทีหัวมันก็ไม่ได้ล้านอะไรหรอกครับ  ไอ้ป้องก็แซวไปงั้นแหละ

“หนอยแน่ะ  มานี่เลยไอ้เด็กแสบ  ปากดีอย่างนี้ต้องโดนทำโทษ!” ไอ้พี่ถังปล่อยผมก่อนจะวิ่งไปรวบคอไอ้ป้องไว้ก่อนจะตบหัวรัวๆ อีกทั้งยังจับไอ้ป้องซุกรักแร้ของตัวเอง  ผมมองแล้วก็อดขำไม่ได้เพราะเมื่อก่อนผมก็โดนแบบนั้น  ถ้าเด็กกว่านี้หน่อยนี่โดนตีก้นเลย

“เป็นไงบ้าง? ไหวแน่นะ?” พี่เคย์มองคู่พี่น้องนั่นทะเลาะกันก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง

“ครับ ไหว” ผมพยักหน้ายิ้มๆ

“เอางี้ไหม? เดี๋ยวพี่ให้ป๊ะป๋าของพี่มาตรวจให้” พี่เคย์บอก  ป๊ะป๋าของพี่เคย์ที่ว่าก็คือสามีของพ่อพี่เคย์น่ะครับ  เห็นว่าเป็นเพื่อนกับพ่อพี่เคย์มาตั้งแต่เด็กแต่แยกกันไปมีครอบครัวแล้วก็กลับมารักกัน  เขาเป็นหมอที่เก่งมากเลยล่ะ  พี่เคย์บอกอะนะ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  ป๊ะป๋าของพี่เป็นหมอผ่าตัดไม่ใช่เหรอ? งานคงยุ่งน่าดู” ผมส่ายหน้าไปมานิดๆ เพราะไม่อยากรบกวน  อาการผมก็ดีขึ้นมาแล้วไม่จำเป็นต้องหาหมอแล้วล่ะ

“ก็พอสมควรแหละ” พี่เคย์ยิ้มนิดๆ

“ว่าแต่ไอ้คิทเป็นไงบ้างพี่? เรียนจบหรือยัง?” ผมถามถึงไอ้น้องหน้านิ่งของพี่เคย์  ได้ยินว่าหมอนั่นอกหักตอนม.ปลายเลยหนีไปเรียนที่อเมริกาแถมยังสอบเทียบไปเรียนมหาลัยตั้งแต่ยังไม่จบม.5 ด้วยซ้ำ  เก่งโคตรๆ  ผมว่าแล้วว่ามันต้องเป็นคนที่เก่งมาก  แอบภูมิใจเล็กๆ แฮะที่เคยสอนพิเศษให้มัน คึๆ

“นี่ก็เรียนใกล้จบแล้วล่ะ  อีกไม่กี่เดือนก็คงกลับมาทำงานที่ไทยนี่แหละ” พี่เคย์บอก

“กับน้องคิทตี้ที่น่ารักล่ะครับ  ไปกันด้วยดีไหม?” ผมถามถึงแฟนหนุ่มน่ารักของไอ้คิท  ก็น้องคนนี้แหละที่หักอกจนมันหนีไปแต่สุดท้ายเขาก็รักกันได้  ได้ยินว่าห่างกันตั้งสองปีแน่ะ  น่าอิจฉาเนอะ  ไอ้คิทก็มั่นคงน้องคิทก็มั่นคง  ทำไมคู่ผมถึงไม่สมหวังแบบนั้นบ้าง? 

โอ๊ย! คิดไปก็ปวดหัว  เลิกๆ เลิกคิดดีกว่า

“อื้ม รักกันดี  นี่ก็คงจะกลับมาพร้อมกัน  บ้านพี่คงเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ฮ่าๆ น่าสนุกดีแฮะ” พี่เคย์พูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข  แค่เห็นพวกพี่ๆ มีความสุขผมก็มีความสุขไปด้วยแล้วล่ะครับ  ถึงผมจะไม่มีความสุขไม่สมหวังอย่างใครเขาแต่ผมก็ยังไม่ได้หมดสิ้นทุกอย่างซักหน่อย  อย่างที่พ่อเคยพูดนั่นแหละครับ  แค่ผู้ชายคนเดียว  อย่าให้มาทำลายชีวิตที่เหลือของผมเลย

“ทุกคนมีความสุขผมก็ดีใจครับ” ผมพูดออกมาเสียงแผ่ว  ไม่รู้ว่าผมดูเศร้าไปหรือเปล่าพี่เคย์ถึงได้จับมือผมไปกุมเอาไว้แล้วมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน

“เปอร์ พี่เป็นพี่ชายเปอร์นะ  ไอ้คิทก็เป็นน้องเปอร์ด้วย  คุณลุง คุณป้า พี่ถัง ไอ้ป้อง และทุกๆ คนอยู่ข้างๆ เปอร์เสมอ  ถ้าเปอร์อยากมาหาพี่เมื่อไหร่ก็มาได้  พ่อพี่ก็บ่นคิดถึงอยู่เหมือนกัน  ถึงเปอร์จะไม่มีมันแต่ให้เปอร์จำไว้ว่าเปอร์มีพวกพี่นะ” พี่เคย์จับมือผมไปแนบกับแก้มของตัวเองพลางพูดด้วยถ้อยคำที่ทำให้ผมในตอนนี้หลั่งน้ำตา  ผมดีใจเหลือเกินครับที่มีคนเหล่านี้อยู่เคียงข้าง  ผมอุ่นใจเสมอเมื่อคิดถึงพวกเขา  ผมไม่ได้อยู่คนเดียว...ผมมีพวกเขา

“ฮึก อือ พี่เคย์ ขอบคุณมากครับ” ผมก้มหน้าสะอื้นเบาๆ ก่อนจะโผเข้าไปกอดพี่เคย์  พี่เคย์เองก็รีบขยับมานั่งบนเตียงแล้วกอดผมเอาไว้แน่น

ผมร้องไห้ด้วยความตื้นตันและปล่อยให้น้ำตามันซึมสู่อกกว้างๆ และอบอุ่นของพี่เคย์  จนกระทั่งเสียงพี่ถังดังขึ้นทำให้ผมกับพี่เคย์ต้องผละออกจากกัน

“เฮ้ยเคย์  แกล้งน้องเหรอวะ?” พี่ถังพูดด้วยท่าทางกวนๆ และตอนนี้พี่มันกำลังกอดคอไอ้ป้องอยู่  ไอ้ป้องเองก็กอดเอวพี่ถังไว้ด้วยรอยยิ้ม  เมื่อกี้พวกเขาคงหยุดทะเลาะกันแล้วหันมาเห็นผมกับพี่เคย์ล่ะมั้งครับ

“ผมไม่ใช่ถังนะจะได้แกล้งน้องตลอดน่ะ” พี่เคย์บอกแล้วขยับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงเหมือนเดิมเพราะพี่ถังกับไอ้ป้องกระโดดมาเบียดแทนที่แล้วเรียบร้อย

“โอ๊ย อึดอัดนะเนี่ย” ผมบ่นพลางหัวเราะขำๆ เมื่อพี่ถังกับไอ้ป้องรุมเข้ามากอดผมเอาไว้  ไอ้ป้องอยู่ด้านซ้าย พี่ถังอยู่ด้านขวา แถมยังกอดซะแน่นไม่เกรงใจสังขารผมเอาซะเลย

“รักพี่เปอร์จังเลย” ไอ้ป้องพูดอ้อนพลางมุดมานอนซบที่ตักของผม  ผมได้แต่หัวเราะทั้งน้ำตาอย่างดีใจและมีความสุข

 

เช้าวันต่อมา

สุดท้ายพี่ถังก็ไม่ได้อยู่ค้างกับผมเพราะผมไล่ให้มันกลับไปเองนี่แหละครับ  ถ้ามันอยู่มีเหรอผมจะได้พัก มันจะมาป่วนน่ะสิ  และเนื่องจากเมื่อวานผมมีความสุขสุดๆ ทำให้เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใสแบบสุดๆ เช่นกัน 

ผมตื่นมาทำอาหารเช้าให้ทุกคนแล้วออกไปทำงานตั้งแต่เช้าพร้อมไอ้ป้องที่จะไปเรียน  แต่ก่อนเข้างานผมมีเวลาเหลือเยอะก็เลยไปที่ร้านขนมเจ้าประจำ  วันนี้อารมณ์ดี  ซื้อขนมไปเซ่นพี่พลอยกับพี่ถังแล้วก็เอาไปฝากพวกพี่ลันด้วยดีกว่า

“วันนี้มาแต่เช้าเลยนะน้องเปอร์” พี่ตรีที่เป็นลูกสาวเจ้าของร้านและเป็นคนช่วยทำขนมทักขึ้น  ผมมาบ่อยตั้งแต่สมัยเรียนยันทำงานก็เลยสนิทกับทุกคนในร้านเลยน่ะครับ  นอกจากสนิทกับผม พวกเขายังรู้จักกับพี่ลุกซ์ดีเพราะพี่ลุกซ์ก็มาซื้อไปให้ผมบ่อย

นั่นไง! คิดถึงอดีตอีกแล้ว

“สวัสดีครับ  วันนี้ตื่นเช้าน่ะครับ” ผมบอกพลางยืนส่องดูขนมในตู้  ขณะที่กำลังเลือกขนมอยู่เสียงเอะอะเอ็ดตะโรก็ดังมาจากหลังร้านทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าคุณป้าเจ้าของร้านกำลังไล่ตีผู้ชายคนหนึ่งอยู่

“นี่แน่ะๆ บอกให้ระวังๆ อย่าให้ไข่ขาวมันปนมาเยอะก็ไม่รู้จักฟัง! ทำขนมฉันเสียหายหมดไอ้ลูกบ้า!” คุณป้าโวยวายใส่คนที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกชายอย่างหัวเสียเล่นเอาผมแอบขำเพราะท่าทางคุณลูกชายดูหัวเสียไม่แพ้กันแต่ก็ยอมให้แม่ของตัวเองตีโดยไม่ตอบโต้อะไรเพียงแค่ยกแขนขึ้นป้องกันก็เท่านั้น

“แม่คะ ไอ้เอก  อย่าทะเลาะกันสิ  อายลูกค้าเค้า” พี่ตรีหันไปบอกทั้งสองคนก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้ผมซึ่งผมก็ยิ้มตอบกลับอย่างไม่ถือสา

“อ้าวน้องเปอร์ มาแต่เช้าเลย” คุณป้าเลิกสนใจลูกชายแล้วหันมาทักทายผม

“ตื่นเช้าน่ะครับ” ผมยิ้มตอบกลับ  จังหวะนั้นคุณลูกชายก็หันออกมาทางหน้าร้านพลางลูบหัวที่ถูกตีป้อยๆ

“เฮ้ย! คุณ!!” ผมกับเขาชี้หน้ากันพลางทำหน้าตกใจที่ได้เจอกันอีก

โธ่เอ๊ย! อุตส่าห์คิดว่าจะไม่ได้เจอแล้วเชียวนะเนี่ย  ทำไมถึงได้มาเจอกันที่นี่วะ  แถมยังเป็นลูกชายของเจ้าของร้านอีก

“คุณมาได้ไงเนี่ย? เฮ้ย บังเอิญสุดๆ” หมอนั่นเดินมาหาผมพลางยิ้มแต่ก็ยังทำหน้าตกใจอยู่  ส่วนผมนี่ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเซ็ง

“รู้จักกันเหรอ?” พี่ตรีถามพลางหันไปมองแม่ของตัวเองที่ดูท่าทางจะสงสัยไม่ต่างกันเท่าไหร่

“ก็...มั้งครับ” ผมพยักหน้าตอบอย่างไม่เต็มใจนัก

“วันก่อนน่ะเจ้ ผมไปเจอเขาเดินตากฝนทำหน้าเหมือนคนอยากตายอยู่หน้าคอนโด ผมก็เลยจะพาเขาไปหลบฝนแต่เขาโวยวายหาว่าผมเป็นโรคจิตด้วยแหละ  จี้เส้นโคตร” ไอ้คุณชนวีร์เล่าอย่างกับกำลังเล่าเรื่องตลกก็ไม่ปาน 

“จริงเหรอคะเนี่ย? บังเอิญสุดๆ” พี่ตรีทำหน้าตกใจพลางหัวเราะขำๆ

“เอ่อ...พอดีผมเครียดเรื่องงานก็เลยเดินไปเรื่อยๆ น่ะครับ” ผมรีบแก้ตัวก่อนที่พวกเขาจะคิดว่าผมเป็นพวกขี้โวยวาย

“แล้วนี่คุณเป็นไงมั่ง? หายเครียดยัง? หน้าตาดูสดชื่นขึ้นนะ” ไอ้คุณชนวีร์พูดพลางจับไหล่ผมแล้วหมุนตัวผมไปมาอย่างสำรวจ  หน้าตากูจะซึมลงก็เพราะเห็นมึงนี่แหละ  ยิ่งไม่อยากเจออยู่ด้วย  เพิ่งไปก่อวีรกรรมน่าอายแบบนั้นใส่หมอนี่มาผมจะไปอยากเจออีกได้ไงล่ะ

“น้องพี่ตรีเหรอครับ? ไม่เคยเห็นเลยนะครับ” ผมปัดมือหมอนั่นออกจากไหล่ก่อนจะหันไปคุยกับพี่ตรีแทน

“ใช่จ้ะ  ชื่อไอ้เอก...”

“เอกเฉยๆ ครับ ไม่มีไอ้” ไอ้คุณเอกรีบแก้ทำให้พี่ตรีต้องหันไปทำหน้าหงิกใส่โทษฐานขัดจังหวะแต่พอหันมาหาผมพี่ตรีก็กลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิม

“น้องเปอร์ไม่เจอก็ไม่แปลกหรอกจ้ะ  เมื่อก่อนมันอยู่บ้านนอก พอเรียนจบมัธยมก็สะเออะอยากไปเรียนต่อเมืองนอกก็เลยถีบหัวส่งมันไปน่ะ” พี่ตรีเล่า  ฟังๆ แล้วดูเหมือนว่าพี่น้องคู่นี้เขาจะรักกันดีนะครับ เหอๆ

“บ้านนอกที่ไหนเล่า? แค่เรียนอยู่โรงเรียนประจำที่มันอยู่แถวชานเมืองก็เท่านั้นแหละ  อ้อ พอดีผมไปเรียนทำขนมที่ฝรั่งเศสน่ะครับ  ผมเป็นพาร์ติซิเย่” ไอ้คุณเอกหันมาแนะนำตัวกับผมด้วยท่าทางตื่นเต้นซึ่งพอได้ยินว่าหมอนี่ไปเรียนอะไรมาผมก็ชักจะตื่นเต้นตามเขา  ขนม...ฝรั่งเศส...เมืองแห่งของหวานที่ใฝ่ฝัน...

เอ่อ...นี่ผมเพ้ออะไรอยู่กันเนี่ย? อีกอย่าง...หน้าตากวนโอ๊ยอย่างไอ้คุณเอกเนี่ยนะจะทำขนมเป็น  บอกว่าเป็นนักเลงขี้หลีผมก็เชื่อเอ้า

“ไอ้เอก  อย่าไปกวนคุณเขาสิวะ  ถอยมาๆ” พี่ตรีกวักมือเรียกน้องชายตัวเองทำให้ไอ้คุณเอกนั่นหน้าหงอยไปเลย  แต่เพียงแว้บเดียวหมอนั่นก็ร่าเริงขึ้นมาอีก

“คุณพอจะมีเวลาว่างไหมครับ?” ไอ้คุณเอกถามผมด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง  อันที่จริงก็อยากจะรีบเลือกขนมแล้วรีบชิ่งอยู่หรอกนะแต่พอเห็นหน้าตาเหมือนเด็กรอซานต้าแบบนั้นผมก็โกหกไม่ลง

“ก็พอมีครับ” ผมยกแขนขึ้นเพื่อดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะพยักหน้ารับ  อีกตั้งชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะถึงเวลาเข้างาน

“งั้นรอผมแป๊บนึงนะ” ไอ้คุณเอกบอกก่อนจะรีบวิ่งกลับไปที่หลังร้าน

“อย่าสนใจเลยค่ะคุณเปอร์  ไอ้เอกมันบ้าๆ บอๆ แต่ไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอกค่ะ” พี่ตรีมองตามน้องชายตัวเองยิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ

“ครับ ผมก็ไม่ได้ลำบากใจอะไร” ผมบอกยิ้มๆ แล้วหันไปเลือกขนมในตู้ต่อ “งั้นผมเอาฝอยทองหนึ่งกล่อง  อ๊ะ ต้องเอาไปฝากพวกพี่ลันด้วยนี่นา งั้นเอาสองกล่องครับ แล้วก็เม็ดขนุนสองกล่องเหมือนกัน  เอาอาลัว ทองหยอด ขนมชั้นแล้วก็ข้าวเหนียวใบเตยอย่างละสองกล่องครับ” ผมสั่งยิ้มๆ

“วันนี้ซื้อซะเยอะเลยนะคะ” พี่ตรีหยิบของตามที่ผมสั่งใส่ถุงให้

“ซื้อไปฝากเพื่อนร่วมงานด้วยน่ะครับ  เขาชอบขนมหวาน” ผมพูดถึงพี่พลอย

“งั้นพี่ลดให้พิเศษเลยละกันจ้า” พี่ตรีบอกพลางยื่นถุงขนมมาให้ส่วนผมก็ยื่นเงินไป

“ขอบคุณมากครับ” ผมยิ้มอย่างขอบคุณ  ขณะที่พี่ตรีกำลังจะทอนเงินไอ้คุณเอกนั่นก็วิ่งปรู๊ดออกมา...
 

++++++++++++++++++++++++

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา