The Ugly Girl ฉันขี้เหร่หรือนายเท่เกิน...?

9.5

เขียนโดย Kreota

วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.01 น.

  21 ตอน
  9 วิจารณ์
  23.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 เมษายน พ.ศ. 2561 02.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ความรู้สึก...

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

[6 :: ความรู้สึก...]

 

            “เกี๊ยว...”  ฉันเรียกชื่อ ‘เพื่อน’ ของฉันเบาๆ

            “ไม่ว่าสิ่งที่ฉันเพิ่งได้ยินมามันจะเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรื่องโกหก...ไม่ว่าตอนนี้เธอจะรู้สึกยังไงกับพี่ปาร์ก ฉันขอได้ไหมน้ำปิงอย่ายุ่งกับผู้ชายคนนี้...อย่ายุ่งกับพี่ปาร์กได้ไหม! ฉันทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเธอกับพี่ปาร์กรักกัน...”  หมี่เกี๊ยวของร้องทั้งน้ำตา...ขอร้องด้วยคำเรียกที่ห่างเหิน คำว่า ‘เธอ’ ที่เกี๊ยวพูดออกมาแต่ละคำมันกระแทกหูฉันจนอื้อไปหมด

            “...ฉันทนไม่ได้ที่ต้องเห็นคนที่ฉันรัก ไปรักคนอย่างเธอ! หรือแม่แต่พี่ยศหรือพี่มาร์ช ฉันก็ไม่อยากให้คนอย่างเธอได้!!”  หมี่เกี๊ยวตะโกนใส่หน้าฉันดังๆ จนทำให้น้ำตาของฉันทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก

            ทำไมหมี่เกี๊ยวคนนี้ไม่เหมือนคนที่ฉันเคยรู้จักเลยล่ะ หมี่เกี๊ยวที่ฉันรู้จักเขาเป็นคนรักเพื่อน ห่วงเพื่อนและหวังดีกับเพื่อน แต่หมี่เกี๊ยวคนนี้!...คนที่อยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้ กลับพูดจาแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาอย่างร้ายกาจจนฉันเชื่อสนิทใจเลยว่าสิ่งที่ถูกพูดออกมาทั้งหมดนั่นมันอกมาจากจิตใต้สำนึกจริงๆ ที่ถูกฝังลึกอยู่ในใจคนพูดมานาน...กลัวพี่ปาร์เกต์รัก ‘คนอย่างฉัน’ งั้นหรอ? ในสายตาแกฉันเป็นคนยังไงหรอเกี๊ยว!!

            “ที่แกพูดออกมาทั้งหมด...แกพูดเพราะว่าแกกำลังเสียใจกับเรื่องพี่ปาร์เกต์ หรือว่าพูดเพราะว่าแกเกลียดฉันอยู่แล้วกันแน่อ่ะเกี๊ยว...”  ฉันกัดฟันถามในสิ่งที่ฉันเริ่มสงสัยว่าที่ผ่านมาคำว่า ‘เพื่อน’ ของเรามันมีความหมายเดียวกันรึเปล่า

            “...คนอย่างแนมันเป็นยังไงหรอเกี๊ยว ในสายตาแก...เพื่อนคนนี้เป็นยังไงหรอ?”  ฉันถามต่อ ทั้งที่ก้อนสะอื้นมันจุกอยู่ที่คอจนทำให้พูดลำบาก

            “ฉันจะให้โอกาสเธอจนกว่าจะออกค่ายเสร็จ พิสูจน์ตัวเองให้ฉันเห็นว่าเธอบริสุทธิ์ใจกับพี่ปาร์กแล้วเราค่อยมาคุยกัน...ส่วนเรื่องมิวบอกว่าเธอกับพี่เขาเป็นแฟนกัน เห็นแก่ความเป็นเพื่อนเจ็ดปีของเรา ฉันจะให้มันเป็นความลับไปก่อน ฉันจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”  หมี่เกี๊ยวพูดแล้วเดินออกไปทันที ฉันมองหมี่เกี๊ยวเดินจากไป พร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมายิ่งกว่าเดิม ฉันแค่อยากอธิบายว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่เรื่องโกหกเท่านั้นเอง แต่ทำไมไม่ฟังฉันบ้างเลย...

            “ให้โอกาส หึ!!”  อยู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มๆ ดังขึ้นจากมุมมืดอีกด้านของตึก ฉันหันไปมองต้นเสียงด้วยตาที่พร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา

            “พี่มาร์ช...”

            “ถ้าเพื่อนคนนั้นเป็นเพื่อนน้ำปิงจริงๆ เขาไม่พูดแบบนั้นหรอก เป็นเพื่อนกันมาเจ็ดปีหรอ? ถ้าไม่ได้ยินเองพี่ไม่เชื่อนะเนี่ย”  พี่มาร์ชเข้ามาจับแขนซ้ายของฉันขึ้นมาดู ถึงมันจะสั่นจนมือพี่มาร์ชที่จับอยู่สั่นไปด้วยก็เถอะ แต่มันกลับไร้ความรู้สึกไปหมด ทั้งที่มันควรจะเจ็บปวดมากแท้ๆ แต่ตอนนี้สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือหัวของฉัน

            “ถ้าบอกว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาเจ็ดปีพี่ยังเชื่อกว่าเลย มีอย่างที่ไหนพูดแบบนี้กับเพื่อนรักของตัวเองเพราะผู้ชายคนเดียว..”  พี่มาร์ชพูดพลางปัดเศษปูนเก่าๆ ที่แขนซ้ายออกให้เบาๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่สดใสร่าเริงอย่างพี่มาร์ชจะมีมุมที่จริงจังแบบนี้อยู่ด้วย จริงสินะ...มิกกิเคยบอกว่าพี่มาร์ชเป็นคนรักเพื่อนมากนี่นา มิน่าพี่เขาถึงมีน้ำเสียงโกรธหมี่เกี๊ยวขนาดนี้

            “แค่ ‘เพื่อน’ น่ะมันหาง่ายอยู่ที่ไหนก็มี แต่ ‘เพื่อนแท้’ กับ ‘เพื่อนตาย’ น่ะหายาก...ถ้าคนๆ นั้นเป็น ‘เพื่อนแท้’ ไม่ว่าเรื่องใญ่ขนาดไหนเขาก็พร้อมจะให้อภัยเราได้เสมอ”  พี่มาร์ชพูดโดยเน้นคำว่า ‘เพื่อน’ ให้ชัดเจนทุกๆ คำ

            “พี่มาร์ช...”

            “เฮ้อ...ถึงเรื่องน้ำปิงกับไอ้ปาร์กจะเป็นแค่เกมส์สนุกๆ เพื่อแก้แค้นแฟนเก่า...แต่ตอนนี้พี่ชักอยากจะให้พวกเธอสองคนรักกันจริงๆ ซะแล้วสิ ^^”  พี่มาร์ชยิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคยแต่แฝงด้วยความทะเล้นมาด้วย จนฉันอดยิ้มตามไม่ได้

            “แต่ก่อนที่จะให้น้ำปิงไปรักใคร พี่ว่าไปทำอะไรสักอย่างกับแขนนี่ก่อนดีกว่า รู้สึกว่ามันจะบวมด้วยนะเนี่ย หักรึเปล่าก็ไม่รู้ =_=”

            “อ๋อ ที่กองอำนวยการมีกล่องปฐมพยาบาลด้วย เดี๋ยวปิงทำเองได้ค่ะ”

            “ไม่ๆ ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเกิดเรื่องที่น้ำปิงกับไอ้ปาร์กเป็นแฟนกันแพร่กระจายไปแล้วล่ะก็ น้ำปิงไม่ปลอดภัยแน่”

            “ปิงว่ามันไม่แพร่กระจายไปไหนหรอกค่ะ”

            “ทำไมล่ะ...หรือว่าน้ำปิงเชื่อที่เพื่อนคนนั้นพูด”

            “ค่ะ ปิงเชื่อ”  ฉันตอบออกไปอย่างหนักแน่น พี่มาร์ชเลยไม่พูดอะไรอีก ใช่...ฉันเชื่อว่าหมี่เกี๊ยวจะทำอย่างที่พูด

            ถึงฉันจะบอกว่าเชื่อหมี่เกี๊ยวขนาดไหนแต่พี่มาร์ชก็เดินมาส่งฉันจนถึงกองอำนวยการอยู่ดี โดยมีสายตาของเพื่อนร่วมคณะมองฉันจนเหลียวหลังที่ได้เดินกระทบไหล่กับหนึ่งในหนุ่มฮอตของคณะวิศวะ =_=; มัวแต่ระวังเรื่องพี่ปาร์เกต์จนลืมไปเลยว่าอยู่ใกล้พี่มาร์ชก็เดือดร้อนได้เหมือนกัน (_ _;;)

            หลังจากพี่มาร์ชเช็คจนแน่ใจแล้วว่าฉันปลอดภัยไร้กังวล พี่เขาก็ขอแยกไปอาบน้ำนอนบ้างเพราะว่าเริ่มดึกมากแล้ว ที่จริงพูดเขาว่าจะรอเดินไปส่งฉันที่เต้นท์แต่ฉันเกรงใจเลยขอเดินกลับไปคนเดียวดีกว่า อันที่จริงก็เพื่อตัดปัญหาความเข้าใจผิดของคนอื่นๆ นั่นแหละ เพราะจริงๆ แล้วฉันอยากมีเพื่อนเดินกลับจะตาย ทางเดินมันมืดสลัวน่ากลัวเกินกว่าจะเดินกลับเต้นท์คนเดียว -_-;

            “ทำไมไม่บอกเราล่ะว่ามันเป็นแค่เกมของพี่ปาร์เกต์”  อยู่ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างต้นไม้ใหญ่ระหว่างทางที่ฉันเดินกลับเต้นท์ ฉันขมวดคิ้วมองมิวอย่างไม่เข้าใจว่าเจารู้เรื่องนี้ได้ยังไง...หรือว่าหมี่เกี๊ยวบอก O_O!

            “เราได้ยินพี่มาร์ชคุยกับปิงข้างตึกเรียน”  มิวตอบเหมือนอ่านใจฉันออกว่าฉันกำลังงงๆ อะไรมันจะบังเอิญได้เหมาะเจาะขนาดนี้นะ แล้วแบบนี้จะหลอกว่าฉันกับพี่ปาร์เกต์เป็นแฟนกันต่อไปเพื่ออะไรกัน U_U;

            “เฮ้อ...ต้องการจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะมิว วันนี้เราเหนื่อยมากแล้วนะ” 

            “เราไม่รู้หรอกว่าปิงไปร้องไห้อยู่ข้างตึกนั่นได้ยังไง แต่เราไม่เข้าใจว่าทำไมปิงถึงยังปล่อยให้เราแล้วก็คนอื่นๆ คิดว่าปิงกับพี่ปาร์เกต์เป็นแฟนกันด้วย”

            “มิวอยากให้เราประกาศแก้ข่าวให้คนที่เข้าใจผิดเข้าใจกันใหม่ว่า ‘เรากับพี่ปาร์เกต์ไม่ได้คบกัน ทุกอย่างมันเป็นแค่การแก้แค้นแฟนเก่าของพี่เขาเท่านั้น’ แบบนี้น่ะหรอ”

            “ใช่ ไม่เห็นยากเลยนี่”

            “ใช่มันพูดไม่ยาก...แต่ที่ผ่านมาเรายอมและไม่ได้ปฏิเสธอะไรเลย เป็นแบบนี้คนอื่นเขาจะคิดยังไงรู้ไหม? เขาจะคิดว่าเราจ้องจะจับพี่ปาร์เกต์ถึงไม่ยอมเปิดเผยสักที แล้วที่เพิ่งมาเปิดเผยตอนนี้เพราะว่าพี่ปาร์เกต์ไม่เอา”

            “ไม่หรอกน่า ปิงก็คิดมากไปเอง”

            “ไม่หรอก แค่นี้ยังคิดน้อยไปด้วยซ้ำ มิวคิดว่ามิวรู้จักนิสัยของผู้หญิงทุกคนบนโลกหรือไง...ผู้หญิงน่ะ น่ากลัวกว่าที่มิวคิดนะ”

            “แต่ยังไงทุกคนก็ต้องเข้าใจว่าปิงไม่มีทางเลือก สถานการณ์ตอนนั้นมันบังคับนี่”

            “พอเถอะมิวถ้าจะมาพูดแค่นี้...พอเถอะ”  ฉันพูดก่อนจะออกเดินต่อ แต่มิวดึงแขนฉันเอาไว้ ดึงข้างไหนไม่ดึงมาดึงข้างที่ฉันเจ็บอีก มันน่าโมโหนัก -*-!

            “แขนไปโดนอะไรมาปิง ทำไมมันบวมแบบนี้”  มิวจับแขนฉันขึ้นไปดู ฉันพยายามดึงมันกลับแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย โอ้ย!! เจ็บโว้ย!! >_<!

            “ทำอะไรน่ะมิว!”  พี่ยศเดินผ่านมาได้จังหวะพอดิบพอดี มอวเลยคลายมือที่จับแขนฉันออกนิดหน่อยแต่ก็ไม่ยอม ฉันเลยอาศัยจังหวะนี้กัดฟันดึงแขนตัวเองออก

            “ก็...คุยกับน้ำปิงนิดหน่อยน่ะครับ”  มิวตอบพี่ยศที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ ฉัน

            “แต่นี่มันดึกมากแล้วนะ พี่ว่าพวกเธอสองคนควรกลับไปที่พักของตัวเองได้แล้ว”  พี่ยศบอกเสียงเข้ม โห...พี่ฉันวันนี้มาแบบรุ่นพี่สุดเฮี๊ยบเลยแฮะ ฮ่าๆๆ

            “งั้นปิงไปก่อนแล้วกันค่ะ”  ฉันพูดแล้วเดินแยกไปที่เต้นท์ตัวเองทันที แต่เดินมาได้ไม่ถึงไหนก็มีคนเดินมาแตะไหล่ ฉันหันกลับไปมองก็เจอพี่ยศยืนยิ้มโชว์ฟันขาวอยู่ข้างหลัง

            “เมื่อกี๊ดุจังเลยนะคะรุ่นพี่...กลั๊วกลัวเลยต้องรีบเดินมาเลย ^^”  ฉันหลิ่วตามองพี่ยศอย่างแซวๆ 

            “เอ...ปิงว่าต้องเรียกว่าลุงถึงจะถูกเพราะว่าพี่อบู่ปีสามแล้วนี่ อิอิ ^^”

            “ยิ้มได้แล้วหรอ ทีเมื่อกี๊หน้ายังหงิกอยู่เลย”  พี่ยศเอื้อมมือมาขยี้ผมของฉันเบาๆ ก่อนจะจัดให้เข้าทีตามเดิม

            “ก็มิวจับแขนปิงนี่คะ เจ็บจะตาย T.T”

            “อ๋อ นี่น่ะหรอ”  พี่ยศเอื้อมมือมาจับแขนซ้ายของฉันขึ้นไปดูอย่างเบามือ  “ไอ้มาร์ชมันเล่าให้พี่ฟังแล้วล่ะว่าแขนปิงเจ็บ”

            แล้วเราก็เงียบกันพักหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าพี่มาร์ชเล่าอะไรนอกจากเรื่องแขนเจ็บให้พี่ยศฟังรึเปล่า แต่ดูเหมือนวันนี้พี่ยศมองฉันอ่อนโยนแปลกๆ พอได้มองเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้นแล้วรู้สึกเหมือนได้ยินคำปลอบใจนับร้อยคำโดยที่ไม้ต้องพูดออกมาเลย คงจะรู้เรื่องหมดแล้วสินะคะพี่ยศ...

            เราสองคนเดินมาที่เต็นท์เงียบๆ ก่อนจะแยกย้ายกันด้วยคำว่า ‘ฝันดี’ ฉันมองตามพี่ยศไปสักพักก่อนจะเข้าไปในเต็นท์ของตัวเองบ้าง ในเต็นท์ที่เราพักกันเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่นอนได้ประมาณ 10 คน ปกติคนที่นอนอยู่ข้างๆ ฉันจะเป็นหมี่เกี๊ยว แต่ดูเหมือนจะย้ายไปนอนฝั่งตรงข้ามแทนแล้ว ต่อจากนี้ฉันคงไม่มีเพื่อนแล้วสินะ

 

            [ยศ : Talk]

            ความรู้สึกแบบนี้...ผมจะเรียกมันว่า ‘ความรัก’ ได้ไหม?

            “พี่ยศ อย่าลืมแวะรับน้ำปิงนะคะ วันนี้พ่อกับแม่ของน้ำปิงไปต่างจัวหวัด”  มิกกิ น้องสาวของผมพูดขึ้นเมื่อคิดได้ว่าต้องไปรับ ‘น้ำปิง’ เพื่อนสนิทที่สุดของน้องสาวผม

            “อื้ม”  ผมรับคำสั้นๆ เหมือนมันเป็นเรื่องปกติ แต่หัวใจของผมนี่สิมันกลับเต้นเร็วและแรงอย่างควบคุมไม่ได้จนผิดปกติ มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ได้เจอกับน้องคนนี้

            ครอบครัวของผมและครอบครัวของน้ำปิงเรารู้จักกันตั้งแต่เด็กครับ เพราะตอนที่ผมอายุ 5 ขวบพ่อกับแม่ซื้อบ้านในหมู่บ้านจัดสรรโครงการเดียวกัน เราย้ายไปอยู่และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากครอบครัวของน้ำปิง ทั้งๆ ที่บ้านเราไม่ได้อยู่ข้างๆ กัน แต่ครอบครัวของเราก็สนิทกันมาก

            ผมเลี้ยวรถเข้าไปจอดชิดริมถนนก่อนที่มิกกิจะเดินลงไปกดออดหน้าบ้านน้ำปิง สักพักน้ำปิงก็วิ่งออกมาจากบ้านพร้อมกับเป้สะพายหลัง 1 ใบ ซึ่งเป้ใบนี้น้องเขาจะใช้ใส่สัมภาระเวลามาพักที่บ้านผมเป็นประจำ

            “สวัสดีค่ะพี่ยศ ^^”  น้ำปิงกล่าวคำทักทายอย่างเป็นกันเองเมื่อขึ้นมานั่งเบาะหลังที่ประจำตำแหน่ง

            “จ้ะ แล้ววันนี้พ่อกับแม่ไปดูไซด์งานที่จังหวัดไหนล่ะ”  ผมถามน้ำปิงผ่านทางกระจกมองหลัง

            “วันนี้ไปเชียงใหม่ค่ะ อีกสองสามวันจะกลับ”

            “ผมยิ้มรับรอยยิ้มที่สดใสของเธอก่อนจะออกรถตรงกลับไปที่บ้าน ที่พ่อแม่ของน้ำปิงต้องไปต่างจังหวัดบ่อยๆ เพราะพ่อของน้องเขาเป็นวิศวกรประจำบริษัทรับเหมาก่อสร้างเลยต้องไปดูแลตามไซด์งานต่างๆ ที่ทางบริษัทรับเหมาเอาไว้ แม่ของน้ำปิงเลยต้องไปเป็นเพื่อนพ่อและต้องจ้างพี่เลี้ยงมาดูแล

            ที่จริงน้ำปิงมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งชื่อวัง อายุห่างกัน 2 ปี ซึ่งก็เรียนอยู่รุ่นเดียวกับผมและเราสนิทกันมาก แต่ตอนที่พ่อแม่ของน้ำปิงไปต่างจังหวัดมีขโมยขึ้นบ้านทำให้พี่เลี้ยงและวังเสียชีวิต น้ำปิงเป็นคนเดียวที่รอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของวัง

            ด้วยเหตุนี้มิกกิเลยรับน้ำปิงมาอยู่ด้วยเสมอเมื่อพ่อกับแม่ของน้ำปิงไม่อยู่ ซึ่งผมก็เต็มใจดูแลน้องคนนี้ เพราะก่อนเสียวังมันฝากให้ผมดูแลน้องของมันให้ ผมเลยสัญญากับตัวเองว่าจะทำให้น้องสาวคนนี้มาความสุขที่สุดเพื่อเป็นของขวัญให้เพื่อนรักของผมที่อยู่บนสวรรค์

            “ได้ยินมิกกิบอกว่าพี่ยศสอบติดมหา’ลัย K หรอคะ”  น้ำปิงยื่นหน้าเข้ามาถามในช่องว่างระหว่างเบาะคนขับกับเบาะข้างคนขับซึ่งมีมิกกินั่งอยู่

            “ใช่ คณะวิศวะน่ะ”  ผมตอบโดยที่สายตายังคงจดจ่อกับถนน เธอจะรู้ไหมนะว่าการที่เข้ามาใกล้ๆ ผมแบบนี้มันทำให้ไม่มีสมาธิขับรถเลย ไอ้วังฉันขอโทษว่ะที่รู้สึกแปลกๆ แบบนี้กับน้องสาวแก -////-

            “โห น่าอิจฉาจัง >.<”  น้ำปิงพูดแล้วเอนหลังไปพิงเบาะของตัวเอง เฮ้อ...ค่อยหายใจโล่งขึ้นหน่อย =_=;;

            “เอาเวลาที่อิจฉาพี่ยศมาห่วงฉันดีกว่านะน้ำปิง พ่อฉันบอกว่าถ้าเข้าตามพี่ยศไม่ได้จะตัดออกจากกองมรดกเชียวนะ T^T”  มิกกิหันไปโอดครวญกับเพื่อนที่อยู่เบาะหลัง ผมเลยแอบหัวเราะอยู่คนเดียวเพราะที่พ่อพูดไปแบบนั้นที่จริงผล้วท่านแค่ต้องการให้มิกกิตั้งใจเรียนเท่านั้นเอง

            “ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะพี่ยศ ใช่ซี่! ตัวเองรอดแล้วนี่ ขับรถไปเลยพี่ใจร้าย T^T”  มิกกิตีต้นแขนผมทีหนึ่งแล้วกลับมานั่งกอดอกหน้ามุ่ยๆ อยู่ที่เบาะของตัวเอง ยิ่งเห็นน้องสาวทำตัวตลกๆ แบบนี้ผมยิ่งขำ เฮ้อ...ทำไมถึงได้ติงต๊องขนาดนี้นะน้องสาวเรา

            พอกลับมาถึงบ้าน เด็กๆ ทั้ง 2 คนก็แยกย้ายกันไปยังโลกส่วนตัวของตัวเอง ส่วนผมก็กลับเข้าห้องตัวเองเพื่อเก็บข้าวของย้ายไปเรียนที่กรุงเทพฯ ยังดีที่พ่อผมเป็นเจ้าของคอนโดที่นั่น ผมเลยกะว่าจะขอเปิดห้องสักห้องจะได้ประหยัดค่าที่พัก

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            “เข้ามาเลย ประตูไม่ได้ล็อก”  ผมร้องบอกทำให้เสียงประตูเงียบไป ก่อนบานประตูจะค่อยๆ เปิดออก น้ำปิงโผล่ส่วนหัวเข้ามาส่องดูด้านในห้องก่อนจะเข้ามายืนทั้งตัว

            “แฮ่ๆ ขอเข้าไปหน่อยนะคะ ^^;”  น้ำปิงขออนุญาตพร้อมกับเดินเข้ามา ผมเลยรีบจัดข้าวของให้เป็นที่เป็นทางเพื่อเคลียร์ที่นั่งให้น้องเขา

            “นั่งบนเตียงพี่ก็ได้”  ผมชี้ไปที่เตียงนอนของตัวเองเพราะเป็นที่เดียวที่ข้าวของไม่รกมาก

            “อุ้ย! ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เตียงนอนเชียวนะ”  น้ำปิงขมวดคิ้วอย่างกังวล

            “แล้วจะยืนอยู่แบบนั้นหรอเมื่อแย่เลย นั่งเถอะไม่เป็นไร”  น้ำปิงทำท่าทางประมาณว่า ‘เออว่ะ’ แล้วนั่งลงบนเตียงของผมเบาๆ เหมือนว่านั่งไปแล้วมันจะบุบสลายไปยังงั้นแหละ

            “มีอะไรหรอ”  ผมถามเพราะน้องเขากำลังมองสำรวจไปทั่วห้องผมแล้ว น้ำปิงมาค้างบ้านผมบ่อยก็จริง แต่ก็ไม่เคยได้เข้ามาในห้องผมเลย ส่วนมากก็ขลุกอยู่กับมิกกิมากกว่า

            “อ๋อ! คือว่า...ปิงเอานี่มาให้น่ะค่ะ”  น้ำปิงยื่นสมุดเก่าๆ เล่มหนึ่งมาให้ผม ถึงผมจะไม่รู้ว่าเธอเอามาให้ผมทำไมแต่ผมก็รับมันมา พอลองกรีดดูเนื้อหาข้างในคร่าวๆ ก็เจอแต่ตัวหนังสือของวังเต็มไปหมด สมุดบันทึกของวังหรอ?

            “ปิงเข้าไปในห้องเก็บของเลยเจอมันโดยบังเอิญ...มันเป็นไดอารี่ของพี่วัง”

            “ทำไมน้ำปิงไม่เก็บไว้ล่ะ ให้พี่ทำไมไม่คิดถึงวังหรอ”

            “คิดถึงค่ะ คิดถึงมากด้วย แต่ในนี้พี่วังเขียนเอาไว้ว่าอยากเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกับพ่อเพราะอยากจะเก่งเหมือนกับพ่อ ซึ่งมหาวิทยาลัยนั้นก็คือมหาวิทยาลัย K ปิงเลยเอามาให้พี่ยศ...”  น้ำปิงนั่งไปสักพักก่อนจะพูดต่อ

            “ดูพี่วังคงจะตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องสอบติดแน่ๆ ปิงเลยอยากให้พี่วังได้ไปเรียนที่นั่นด้วยน่ะค่ะ...พี่ยศช่วยพาพี่วังไปเรียนด้วยคนนะคะ”

            “งั้น...พี่จะพาวังมันล่วงหน้าไปก่อน ปิงก็ตั้งใจเรียนแล้วก็พยายามสอบให้ติดจะได้ไปเรียนที่เดียวกับวังไง แบบนี้ดีไหม”

            “ปิงไปเรียนที่นั่นไม่ได้หรอกค่ะพี่ยศ เพราะว่าปิงเรียนเก่งไม่เท่าพี่วัง แล้วอีกอย่างพ่อกับแม่เป็นห่วงน่ะค่ะเลยอยากให้เรียนใกล้ๆ บ้าน”

            “อ้าว...หรอ”

            “แต่ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่ให้พี่ชายสุดที่รักได้ไปเรียนที่นั่นปิงก็ดีใจมากแล้วค่ะ ^^”  น้ำปิงยิ้มออกมา ถึงจะดูฝืนๆ แต่ผมก็ยิ้มตอบเธอเพื่อให้เธอสบายใจ

            หลังจากที่ผมไปเรียนผมจะได้เจอเธออีกไหมนะ แล้วถ้าได้เจอกันอีกผมจะยังมีความรู้สึกแปลกๆ แบบนี้อยู่อีกรึเปล่า...ผมได้แต่ตั้งคำถามในใจว่าที่ผมรู้สึกแบบนี้กับเธอ...จะผิดมากไหม?

 

 

 

*****************************************************

อัพเดตค่ะ ฝากติดตาม+เป็นกำลังใจด้วยนะคะเจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^O^

******************************************************

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา