นางพญาปิศาจจิ้งจอก

8.0

เขียนโดย จิ้งจอกมายา

วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.18 น.

  21 ตอน
  11 วิจารณ์
  25.70K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 16.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) ตอนที่ 15 ข่าวลวง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 15 ข่าวลวง

 

จงเซิ่นค่อยพยุงสกเกี้ยวที่ตัวสั่นน้อยๆให้ลุกขึ้น พลางพิจารณา รูปโฉมแลเครื่องกาย พลางคิดในใจว่า แม่นางผู้นี้ แม้มิได้ผัดแป้งแต่งหน้าก็งามราวกับนางฟ้า แต่กิริยานั้นราวกับชาวบ้านสามัญชน ขัดกันซึ่งเครื่องกายที่เป็นผ้าแพรอย่างดีที่ราคาสูงเสียยิ่งกว่าทองสิบหาบ จะว่านางเป็นบุตรีขุนนางก็มิน่าจะใช่ จะว่าเป็นสามัญชนก็กระไร แม้นว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่เข้าที แต่ยิ่งจงเซิ่นยิ่งพิจารณานางมากเท่าไหร่ ก็ปรากฏรอยยิ้มพิศวงแลพึงใจมากขึ้นเรื่อยๆ

สกเกี้ยวนั้นรู้ดีว่าต้องอาญา ก็ไม่กล้าพูดจาขัดขืน แต่เมื่อสังเกตท่าทีของแม่ทัพหนุ่ม เห็นว่าน่าจะมีเมตตาต่อนาง ด้วยใจที่ร้อนถึงบิดามารดาว่าเจ็บไข้ จึงเอ่ยปากว่า “อันข้าน้อยล่วงเข้าสู่พื้นที่หวงห้าม แม้นต้องตายก็สมควรแล้ว แต่หากใต้เท้าเมตตาแล้วไซร้ ก็โปรดปล่อยข้าน้อยไปเถิด” จงเซิ่นพยักหน้าและผายมือออกไป สกเกี้ยวกระทำคำนับแล้วเดินจากไปด้วยท่าทีอ่อนน้อม

จงเซิ่นมองตามสกเกี้ยวแล้วคิดว่า กระไรเลย แม่นางผู้นี้ช่างแปลกประหลาดกว่านางธรรมดาทั่วไป เราจะสะกดรอยตามนางไป หากนางเป็นบุตรีขุนนางย่อมเร่งสู่ตัวเมือง หรือหากเป็นนางฟ้าเทวดาย่อมเหาะเหินหายไปดื้อๆ แลหากเป็นชาวบ้านทั่วไปคงเร่งกลับบ้านเป็นแน่ คิดได้ดังนี้ จงเซิ่นก็ได้สะกดรอยตามนางนั้นไป

สกเกี้ยวนั้นเดินดุ่มเข้าไปในตัวเมือง และเข้าไปในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง นางได้พาลูกสุนัขไปฝากไว้กับบ้านเศรษฐีก่อนจะปฏิเสธเงินที่เศรษฐีหยิบยื่นให้และกล่าวว่า นางนั้นมิอาจรับเงินได้ เพราะเศรษฐีก็ได้รับเลี้ยงลูกสุนัขนั้นให้แล้ว ย่อมต้องสิ้นเปลืองเงินทองเป็นอันมาก หากนางจะรับเงินซึ่งนับเป็นการค้าขายชีวิต ชีวิตของนางนั้นต้องมอดไหม้แลตกเป็นข้าทาสเขาแทน เมื่อเศรษฐีได้ยินเหตุผลของนาง ก็ยอมรับและสรรเสริญนางเป็นอันมาก ได้จัดโสมอย่างดีให้นางและบอกว่า โสมนี้ของฝากให้กับบิดามารดาแม่นางที่ได้สั่งสอนให้นางเป็นคนดี รู้จักกฎแห่งกรรมอย่างลึกซึ้ง สกเกี้ยวได้รับโสมก็ดีใจ ก้มกราบขอบคุณเศรษฐีเป็นอันมากและกลับไปต้มยาให้บิดามารดาที่บ้าน

จงเซิ่นได้ติดตามทุกอาการของนาง เมื่อทราบที่อยู่นางแล้วจึงย้อนกลับไปสอบถามเศรษฐีอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อทราบว่านางนั้นมีปัญญาที่มีรสแห่งธรรมก็ซาบซึ้งและขอลูกสุนัขนั้นจากเศรษฐีมาเลี้ยงไว้ที่จวน –

หลังจากนั้นจงเซิ่นก็ยังคงแอบติดตามนางอยู่ไปเรื่อยๆ แล้วก็เห็นว่านางนั้นเป็นบุตรีที่กตัญญู คอยปรนนิบัติรับใช้บิดามารดาที่แก่เฒ่า ทั้งทำงานไร่นาขยันขันแข็ง ก่อนไปทำงานก็มาสวดมนต์ที่ศาลเจ้าแม่มิได้ขาด ถึงเที่ยงวันก็กลับไปดูแลบิดามารดา แลออกมาทำงานต่อจนใกล้พลบค่ำ ก่อนกลับบ้านนางก็มาทำความสะอาดศาลเจ้าแม่ ก่อนจะสวดมนต์และกลับบ้านเพื่อไปปรนนิบัติพัดวีนวดเฟ้นบิดามารดาต่อจนถึงดึกหลังรับใช้บิดามารดาเสร็จจนเฒ่าทั้งสองเข้านอน นางก็กลับไปทำงานในบ้านต่ออีก กว่าจะนอนก็เลยค่อนคืนไปแล้ว แต่ก็ตื่นก่อนไก่ขันทุกวันเพื่อเตรียมสรรพอาหารแลหยูกยาให้กับบิดามารดาก่อนจะออกไปศาลเจ้าแม่หนี่วาต่อ –

เป็นเช่นนี้ทุกๆวัน –

จงเซิ่นแม้ประทับใจในรูปโฉมของสกเกี้ยว แต่เมื่อได้ทราบถึงความกตัญญูแห่งนางก็ซาบซึ้งตรึงใจในตัวนางเป็นอย่างยิ่ง จึงได้แสดงตัวในวันหนึ่งในระหว่างที่นางได้ปรนนิบัติบิดามารดา โดยการยกสำรับอย่างดีพร้อมหยูกยาบำรุงเข้าไปถึงในบ้านนาง

สามสามัญชนเห็นแม่ทัพคนดังแห่งแคว้นเย่ ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด กุลีกุจอจะลุกมาคำนับ

“นั่งนอนอยู่กับที่เถิด อย่าได้ลำบากกายทำความคารวะ กับข้าผู้น้อยเลย” จงเซิ่นเอ่ยพร้อมกับประคองสองเฒ่าให้นอนลงดังเดิม

“แม่ทัพจงเป็นบุคคลสำคัญแห่งแคว้นเรา ไฉนมาถ่อมตัวว่าเป็นผู้น้อยดังนี้เล่า” เฒ่าสกผู้บิดาเอ่ยถามอารามตกใจ

“อันว่าธรรมเนียนผู้น้อยผู้ใหญ่นั้น ขึ้นอยู่กับความเป็นอาจารย์ หาใช่ที่ชาติตระกูลสูงศักดิ์ไม่ เมื่อข้าน้อยเห็นท่านทั้งสอน สั่งสอนบุตรีให้มีความกตัญญูและเจริญในธรรมได้ดังนี้ ข้าน้อยจึงเกิดเลื่อมใสท่านทั้งสองดังนี้”

สองเฒ่าได้ฟังเหตุผลของแม่ทัพหนุ่มก็ปลาบปลื้มที่มีบุตรดี ได้ว่ากล่าวให้สกเกี้ยวตระเตรียมข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงโต๊ะแม่ทัพหนุ่ม

“อย่าได้ทำเช่นนั้นเชียว” จงเซิ่นบอกและห้ามสกเกี้ยวเมื่อเห็นนางขยับไปทางครัว “อย่าได้ให้ความตั้งใจของข้าน้อยเสียไปเลย วันนี้ ข้าน้อยอยากจะมาปรนนิบัติท่านผู้เฒ่าทั้งสองต่างหากเล่า”

ว่าแล้วจงเซิ่นก็ถือถังน้ำล้างเท้าและเดินออกไป สองผู้เฒ่าเห็นดังนั้นก็ส่งสายตาไปยังสกเกี้ยวที่ยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง สองผู้เฒ่าจึงเร่งขับให้บุตรีไปช่วยงานแม่ทัพหนุ่ม ก่อนจะหันไปปรึกษากันว่า

“อันสายตาที่ ท่านจงเซิ่นมองไปยังบุตรีเรา มีหรือเราจะไม่รู้” สกฮูหยินปรึกษากับผู้สามี “แลท่านจงเซิ่นกระทำดังนี้ คงมิได้ทราบสัมพันธ์ของบุตรีเรากับท่านฮองเต๊กเป็นแน่แท้”

สกเอี๋ยงผู้สามีถอนหายใจแลปรับทุกข์กับภรรยาต่อไปว่า “ก็แลเราทั้งสองก็ชราดังนี้ สังขารก็จะล่วงลับดับไปเมื่อใดไม่เห็นแน่ชัด จะเป็นห่วงก็สกเกี้ยวเท่านั้น เราเคยปรารมภ์กับท่านฮองเต๊กเรื่องนี้ ก็บ่ายเบี่ยงตลอดว่า ผู้เป็นน้องมิควรเลยจะล่วงสู่วิวาห์ก่อนผู้พี่ ตอนนี้ท่านฮองเต๊กเองก็ยกทัพไปอยู่นาน ไม่รู้ข่าวว่าจะเป็นตายร้ายดีประการใด เห็นทีเราจะฝากผีฝากไข้สกเกี้ยวกับท่านจงเซิ่นจึงจะควร”

สกฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ตกใจแล้วรีบท้วงว่า “ท่านพี่กล่าวดังนี้ จะมิทำให้พี่น้องหมางใจกันดอกหรือ ตัวสกเกี้ยวเองก็มีใจให้ท่านฮองเต๊กเช่นกัน อันข้าเป็นมารดา ย่อมมองออกว่า สกเกี้ยวนั้นก็มีใจให้ท่านฮองเต๊กเป็นแน่แท้”

“อันว่าพี่น้องร่วมท้องยังฆ่าแกงกันได้ แม้นในสมัยใดก็มีตัวอย่างให้เห็น นับประสากระไรกับพี่น้องร่วมสาบานแต่เท่านี้” เฒ่าสกบอกภรรยา “อีกอย่างสกเกี้ยวเองก็เป็นหญิงแคว้นเย่ ควรหรือจะให้เป็นสะใภ้ของชาวแคว้นติว หากนางได้เป็นภรรยาของตระกูลขุนนางเช่นท่านจงเซิ่นย่อมดีกว่า”

“อันว่าหากยกลูกเราให้ท่านจงเซิ่นสิเป็นเรื่องใหญ่ ก็แลหากท่านฮองเต๊กบาดหมางกับท่านจงเซิ่น มิไยจะเกิดสงครามขึ้นเล่า แต่หากเรายกนางให้ท่านฮองเต๊กสิจะเป็นการดองให้ท่านฮองเต๊กกลายเป็นคนของเย่ อย่างเต็มตัวสิไม่ว่า” สกฮูหยินแย้ง แลเมื่อผู้สามีได้สดับก็เห็นด้วย จะตกลงกันว่า จะบอกเรื่องของสกเกี้ยวและฮองเต๊กให้จงเซิ่นในเวลาอันสมควร –

แต่กระนั้นสองเฒ่าก็ได้แต่นั่งเงียบ เมื่อได้รับการดูแลเอาใจใส่จากจงเซิ่น

จงเซิ่นนั้นแวะเวียนมาหาสองเฒ่ามิได้ขาด ว่างจากราชการเมื่อไรก็มาหา พร้อมหยูกยา เครื่องบำรุง แลปรนนิบัติสองเฒ่าราวกับตนเป็นบุตรในอุทร ทั้งช่วยสกเกี้ยวทำไร่ไถนา แลเมื่อสวดมนต์บูชาเจ้าแม่ก็ไพเราะกังวาน ยิ่งทีสองเฒ่ายิ่งรักใคร่ด้วยกิริยามารยาทก็งาม ทั้งรูปโฉมก็คมสันเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นเย่ จะเจรจาก็มีความสุภาพแลทรงปัญญาในสำเนียง ทั้งดูแลสกเกี้ยวมิได้ขาด ไม่เคยเกี่ยงฐานะชาติตระกูล

ความทราบถึง จงเหลงแม่ทัพใหญ่ ว่าบุตรชายกำลังมีความรัก ก็ดีใจที่จะได้ทำความตามจงป้าเคยห่วงไว้ แต่เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสามัญชนธรรมดา ก็ลังเลอยู่ --

 

กล่าวถึงฮองปิดซึ่งถูกล้อมอยู่นานหลายเดือน เสบียงก็ร่อยหรอ ทหารก็อ่อนเปลี้ย แลทัพหนุนก็ไม่เห็นวี่แววจะยกมา จึงปรึกษากับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะลอบบุกทะลวงออกจากที่ล้อมในตอนกลางคืน แต่ กองสิด ปลัดทัพได้ทักท้วงว่า “แลเมื่อคืนนี้ข้าเห็นดาวบนท้องฟ้าสว่างรุ่งเรืองมาแต่ทิศเหนือเห็นว่าทัพหนุนจะยกมาในเร็ววันนี้ ควรที่เราจะจัดทหารรักษาเวรยามให้แน่นหนาเพื่อให้ข้าศึกตายใจว่าเสบียงเรายังบริบูรณ์อยู่จะได้มิกล้ายกเข้าหักหาม แลเมื่อทัพหนุนยกมาตีทัพล้อมแล้ว เราก็ยกทัพออกไปหนุน เห็นว่าชัยชนะจะตกเป็นของเราอย่างมั่นคง”

แม่ทัพที่เคยได้ยินกิติศัพท์ในด้านดาราศาสตร์ของกองสิดได้ยินดังนั้นก็กล่าวสนับสนุนเต็มที่ ฮองปิดเองก็เป็นคนที่คลั่งไคล้ในเรื่อง คุณไสย ดาราศาสตร์อยู่แล้วจึงออกคำสั่งให้ทำตามคำแนะนำของกองสิดทันที

 

ฮองเต๊กด้วยอารามเกรงว่าทัพของฮองปิดซึ่งตกอยู่ในที่ล้อมคับขันนักจึงเร่งทหารม้าให้ยกมาก่อน แลทัพหนุนให้เร่งตามมาในตอนหลัง แต่เมื่อทัพม้ามาถึงก็ได้สังเกตว่าค่ายซึ่งล้อมทัพของฮองปิดไว้นั้นหนาแน่น แลยากต่อการลุกไล่ตามตี ทั้งกองทหารม้านั้นนำเสบียงมาน้อย หากจะทำศึกซึ่งๆหน้าก็จะได้ยากลำบากด้วยค่ายที่แน่นหนา หากจะตั้งค่ายรอกองหนุน เสบียงก็คงหมดก่อน แลหากจะย้อนกลับไปเร่งทัพหนุนก็เกรงว่าทัพของฮองปิดจะถูกตีแตกเสียก่อน

ฮองเต๊ก คิดไม่ตกจึงปรึกษากับนายกอง ในที่นั้น กองอ้วน ซึ่งเป็นผู้พี่ของ กองสิด ได้เสนอว่า ให้แบ่งทัพออกเป็นสามส่วน สองส่วนนั้นไปแอบซุ่มไว้ อีกส่วนนั้น ให้ทำเป็นปล่อยข่าวว่าท่านฮองเต๊กอาการป่วยกำเริบถึงแก่กรรมและให้ทั้งกองแต่งขาวไว้ทุกข์ และค่อยยกกลับอย่างเอิกเกริกไปยังเมืองหลวง ชาวแคว้นฮกนั้นป่าเถื่อน เห็นว่ากองสามจะถูกตามตีเพื่อแย่งศพ ในระหว่างนี้ก็ให้กองทหารม้าอีกสองกองยกไปแก้เอาทัพของท่านฮองปิดให้ได้

ฮองเต๊กได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งให้ทหารช่างต่อโลงใส่เกวียนและให้ตั้งขบวนแห่อย่างเอิกเกริกถอยกลับไปยังเมืองหลวง ไม่ช้าทัพของแคว้นฮกทราบข่าวการตายของฮองเต๊ก ก็ปรึกษากันว่าจะแต่งทัพไปแย่งศพของฮองเต๊กเพื่อนำมายุแยงให้ฮองปิดลุแก่โทสะ จะได้ยกทหารออกมารบแย่งศพของพี่ชายคืน ในระหว่างนั้นให้จับตัวฮองปิดให้ได้ –

ทัพของแคว้นฮก ที่นำด้วย โกฮิวแม่ทัพ เร่งยกมาทันกองไว้ทุกข์ที่กำลังแห่กลับ ก็ออกคำสั่งให้ทหารไล่ตามตีกองไว้ทุกข์นั้น ทหารเย่บางส่วนไม่ทราบถึงแผนการของฮองเต๊ก สำคัญว่าแม่ทัพตายจริง ก็แตกหนีกระจัดกระจายไป แลเมื่อทัพของโกฮิวไล่ตีมาจนถึงโลง ฮองเต๊กก็ทะยานออกจากโลงไม้กระโดดเข้าแย่งม้าจากทหารฮก และสั่งทหารเย่กลับลำเข้าโจมตี แลเมื่อฮองเต๊กไล่ตีไปทางใด ทหารฮกก็แตกหนีราวกับสัตว์ป่าหนีไฟกระนั้น โกฮิวเห็นทหารแถวหน้าแตกหนีกลับมาจึงคุมทัพยกพุ่งไป เมื่อเห็นฮองเต๊กยังปกติอยู่ก็ร้องตะโกนไปว่า

“อันว่าแม่ทัพฮองเต๊กนั้นมีฝีมือสูงส่ง แลมีน้ำใจลูกผู้ชาย จะทำศึกครั้งใดก็เป็นที่กล่าวขานเพราะการรบที่ห้าวหาญราวกับแม่ทัพสวรรค์ก็มิปาน วันนี้ข้าโกฮิวมิเห็นเป็นดังคำเล่าลือ” ฮองเต๊กได้ยินเสียงดังนั้นก็หยุดม้าและมองไปยังแม่ทัพนายหนึ่งซึ่งถือแส้ม้าชี้หน้าด่าตนอยู่ จึงกระทำคำนับและบอกไปว่า

“อันการสงครามนั้นจะยึดแบบแผนเป็นมิได้ สมควรพลิกแพลงและปรับเปลี่ยนอยู่เป็นนิจ จึงจะได้ชัยชนะ”

โกฮิว ได้ยินดังนั้นก็กระทำคำนับตอบและกล่าวว่า “อันแม่ทัพทุกคนต่างก็อยากประมือกับลูกผู้ชายน้ำใจชาตรีเช่นท่าน แต่ก่อนข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้นถึงตายก็ไม่เสียดายที่ได้เกิดมา แต่หากข้าจะต้องสิ้นชื่อเพราะแผนการอันแยบยลนี้ก็ไม่เต็มใจสักน้อยหนึ่ง -- หรือว่าแม่ทัพชายชาตรีแคว้นติว ที่ชื่อฮองเต๊กนั้น เมื่อแปรพักตร์ไปเข้ากับไซ่เอวี๋ยนอ๋องแล้ว น้ำใจแห่งชายชาตรีก็แปรผันไปด้วยหรือ”

ฮองเต๊กได้ยินดังนั้นก็ละอายแก่ใจ --

หากเป็นกาลก่อน ฮองเต๊กคงมิยินยอมพร้อมใจกับแผนการของกองอ้วนเช่นนี้เป็นแน่แท้ ฮองเต๊กนั้นยึดมั่นกับการรบที่สูงส่งแลขาวสะอาดเสมอมา – แต่ครานี้ ฮองเต๊กรู้สึกร้อนรนกังวลใจแปลกๆ ในใจประหวัดถึงสกเกี้ยวอยู่มิว่างเว้น จึงยอมทำตามแผนการครั้งนี้เพราะตระหนักแล้วว่าจะเป็นหนทางที่เร็วที่สุดในการเผด็จศึก –

ฮองเต๊กกล้ำกลืนถ้อยคำทั้งปวงก่อนจะสั่งทหารตีทะลวงทัพของโกฮิวในทันที

โกฮิวกระตุ้นม้ารำง้าวพุ่งเข้ามาหาฮองเต๊ก แต่ยังมิทันได้ประง้าว ศีรษะของโกฮิวก็หลุดออกจากบ่าด้วยเพลงง้าวอันรวดเร็วของฮองเต๊ก ทหารแคว้นฮกเมื่อเห็นแม่ทัพสิ้นชีพในที่รบอย่างง่ายดายก็แตกหนีกลับไป ฮองเต๊กไม่รอช้าสั่งขับทหารรุกไล่เข้าตีค่ายใหญ่ทันที แต่ก็ได้กำชับทหารเย่ทุกคนว่า มิให้ทำอันตรายกับทหารที่ยอมแพ้หนีทัพไป

ทหารฮกที่แตกทัพกลับไปแจ้งยังค่ายใหญ่ว่าแม่ทัพโกฮิวเสียทีในที่รบแล้ว แม่ทัพนายกองทั้งปวงต่างตกใจ ในเวลาเดียวกันนั้นทหารลาดตระเวนก็เข้ามารายงานว่ามีทัพข้าศึกยกมาเป็นสามทางจะตีโอบค่ายใหญ่ แลทหารของฮองปิดก็ยกออกมาด้วย หากนิ่งเฉยอยู่ในค่ายดังนี้ก็จะถูกตีกระหนาบถึงสี่ด้าน เมื่อทราบดังนั้น แม่ทัพทั้งปวงก็เห็นตรงกันว่าควรที่จะถอนทัพให้เร็วที่สุด --

ชัยชนะครั้งนี้ตกเป็นของฝ่ายแคว้นเย่แน่แท้แล้ว --

ฮองเต๊ก เมื่อทราบว่าทัพของฮองปิดออกจากที่ล้อมได้แล้วก็วางใจ แต่ยังคงคุมทหารยกตามทัพของแคว้นฮกไปจนถึงเขตชายแดน ก่อนจะตั้งค่ายแล้วมีสารเรียกให้ฮองปิดรีบคุมทหารมายังชายแดน และเชิญไซ่ฮัวมายังค่ายใหญ่ เมื่อทั้งสองมาถึง ฮองเต๊กก็เชิญไซ่ฮัวนั่งในที่อันสมควร แต่ให้ทหารมัดฮองปิดเอาไว้ ก่อนจะสั่งให้ทหารรายงานความสงครามทั้งหมดให้ฟัง ทหารก็รายงานว่าฮองปิดหลงกลทหารฮก ยกเข้าไปตั้งทัพให้หุบเขาจะยกทัพหนีก็มิได้จะยกเข้ารุกตีก็ยากลำบาก เพราะเป็นที่ล้อมทำให้เป็นที่ยากลำบากแก่ทหารไพร่พลทั้งปวง ทั้งยังสูญเสียเสบียงเป็นอันมาก มาถึงตอนนี้ ฮองเต๊กก็ก้าวออกมายืนหน้าไซ่ฮัวข้างๆฮองปิดที่ตัวสั่นงกงันเพราะมีโทษถึงตาย

ฮองเต๊กกล่าวว่า “อันความทั้งปวงที่ฮองปิดนั้นกระทำ มีโทษถึงตาย แลข้าพเจ้าที่มิได้สอนสั่งน้องชายก็มีโทษเช่นเดียวกันทุกประการ สมควรลงอาญาแก่ข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน”

ไซ่ฮัว ฮองปิดและทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็ตกใจกับคำพูดของฮองเต๊ก – ไซ่ฮัวจึงกล่าวว่า “อันการศึกสงครามก็แลมีแพ้บ้างชนะบ้าง ฮองปิดเองก็อยากสร้างผลงานตามวิสัยคนหนุ่ม อันเป็นธรรมเนียมแห่งสงคราม เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นไปด้วยดี แลจะลงโทษให้ท่านทั้งสองถึงตาย ก็จะมิเสียน้ำใจทหารทั้งปวงหรือ”

“ข้านั้นได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากไซ่เอวี๋ยนอ๋องมากมายนัก สินเบี้ยทุกเม็ดย่อมต้องเป็นไปเพื่อการกอบกู้ราชวงศ์ แลเมื่อต้องสาบสูญทรัพย์สินทั้งไพร่พลมากมายเพราะความรู้เท่าไม่ถึงกาลของผู้น้องข้าพเจ้า ความผิดย่อมตกเป็นของข้าน้อยที่มิได้อบรมน้องชายให้จงดี ท่านไซ่ฮัวเองก็มีศักดิ์เป็นถึงราชบุตร หากมิทำโทษให้ประจักษ์แก่คนทั่วไป แลเหตุการณ์ในภายภาคหน้าอาญาทัพจะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร”

ไซ่ฮัวเห็นฮองเต๊กยืนกระต่ายขาเดียวดังนี้ก็นับถือน้ำใจของฮองเต๊กที่ยอมรับผิดร่วมกับน้องโดยไม่ปกป้องหรือออกตัวแทนขอโทษ เห็นท่าทีของฮองเต๊กดังนี้ ไซ่ฮัวก็เข้าใจว่าฮองเต๊กนั้นจงรักภักดีต่อแคว้นเย่อย่างจริงจังสุดหัวใจ แต่จำจะต้องลงโทษแต่เพียงน้อยเพื่อมิให้ฮองเต๊กออกปากขอรับโทษประหารท่าเดียวดังนี้ ทั้งต้องการให้ฮองปิดมีรู้สึกสำนึกคุณของพี่ชาย จึงออกปากให้ปลดฮองเต๊กออกจากที่แม่ทัพ และแต่งตั้งให้ฮองปิดเป็นแม่ทัพรักษาชายแดนไว้

แม่ทัพนายกองหลายคนต่างตกใจที่จู่ๆ แม่ทัพใหญ่ไซ่ฮัวตัดสินใจดังนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าท้วงถาม ฮองเต๊กรับบัญชาและเวนคืนตราแม่ทัพให้ฮองปิด ผู้ซึ่งร่ำไห้น้ำตาไหล กล่าวขอโทษฮองเต๊กแลบรรพชนไม่ขาดปาก ฮองเต๊กก็ใช้โอกาสนี้ อบรมบ่มนิสัยของน้องชายมิให้วู่วามตามอารมณ์ ควรจะฟังผู้มีปัญญาให้มาก แลจะตัดสินใจสิ่งไรก็ให้ใคร่ครวญให้รอบคอบถี่ถ้วน ก่อนจะขี่ม้ากลับเมืองหลวงแต่ผู้เดียว

 

อันคำกล่าวที่ว่า จะหลอกศัตรู ต้องหลอกมิตรให้ได้เสียก่อน เป็นคำกล่าวที่ได้ผล – ในหลายๆประการ

กล่าวถึงทหารผู้ไม่รู้ความซึ่งอยู่ในขบวนแห่ศพปลอมๆของฮองเต๊ก สำคัญว่าจริงด้วยแผนการอันล้ำเลิศของ กองอ้วน ได้แตกร่นละหนีกลับไปยังเมืองหลวง แจ้งข่าวการตายของฮองเต๊กต่อตระกูลจง

แม่ทัพจงเหลงและจงเซิ่นนั้นตื่นตกใจ แต่ก็ไม่เป็นกระต่ายตื่นตูม เพราะคาดการณ์ว่า การสงครามนั้นย่อมมีการปล่อยข่าวลวงเพื่อทำลายขวัญกำลังใจ จึงปลอบขวัญชาวเมืองมิให้ตื่นตระหนก – ทว่าบ้านตระกูลสกในกาลเวลานั้นถึงคราวคับขันยิ่งนัก ด้วยสกฮูหยินนั้นได้ถึงแก่กรรมไป ต่อมาไม่นาน เฒ่าสกบิดาของสกเกี้ยวก็ล้มเจ็บอาการร่อแร่ เมื่อทราบข่าวการตายของฮองเต๊ก ก็ทรุดหนักทันที จงเซิ่นทราบข่าวก็เร่งรีบไปยังบ้านตระกูลสกทันทีพร้อมหมอหลวงที่เบิกตัวไป

“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอหลวง” จงเซิ่นถามอย่างร้อนรน หมอหลวงเพียงแต่ส่ายศีรษะ ไม่ตอบคำถามใดๆก่อนจะเดินออกจากบ้านหลังเล็กไป จงเซิ่นจึงเร่งเข้าไปในห้อง ก็เห็นสกเกี้ยวร้องไห้กอดเท้าบิดาที่นอนหายใจรวยรินบนที่นอน เฒ่าสกกวักมือเรียกจงเซิ่นให้เข้าไปหา และกล่าวด้วยน้ำเสียงขาดเป็นห้วงๆว่า

“อันชีวิตข้านั้นคงไม่พ้นคืนนี้เป็นแน่ -- จะเป็นห่วงก็แต่เพียงบุตรสาวเท่านั้น – ด้วยยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝา -- ” พูดได้เพียงนี้ เฒ่าสกก็หอบหายใจไปพักใหญ่ก่อนจะพยายามรวบรวมกำลังและกล่าวต่อว่า “ท่านจงเซิ่น – ท่านจะช่วยรับอุปการะดูแลบุตรีของข้าได้หรือไม่ --”

“ท่านผู้เฒ่าอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย -- ” เสียงของจงเซิ่นขาดหาย เพราะมิอาจหาคำใดๆมาช่วยปลอบประโลมได้

“อย่าได้แสร้งให้ข้าทุกข์ร้อนเลย – ท่านจงเซิ่น ท่านรักบุตรสาวของข้า ใช่ – หรือ ไม่ --”

จงเซิ่น ยิ่งทีเห็นอาการของสกเอี๋ยงทรุดลงตามลำดับประหนึ่งดวงประทีปที่ใกล้จะดับมิดับแหล่ ก็น้ำตาไหลคุกเข่าร้องไห้โขกศีรษะแล้วกล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า “ข้าน้อยมีบุญน้อยจึงมิอาจได้ดูแลท่านทั้งสามได้เต็มที่ ข้าน้อยรักบุตรีแห่งท่าน และขอสัญญาว่าจะรักและดูแลสกเกี้ยวให้ดีที่สุด ขอท่านอย่าได้เป็นห่วงเลย”

เฒ่าสกเผยอยิ้มอย่างยากลำบากก่อนจะส่งเสียงอ้อแอ้ๆว่า “ดีแล้วๆ” เฒ่าสกยกมืออย่างยากเย็นชี้ไปที่สกเกี้ยวและชี้ไปที่จงเซิ่น เป็นทีให้กราบฝากตัวเป็นภรรยา สกเกี้ยวเห็นว่าบิดาคงสิ้นเป็นแน่แล้วจึงอยากปฏิบัติตามคำสั่งของบิดาเป็นครั้งสุดท้าย สกเกี้ยวคำนับจงเซิ่นและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพี่” จงเซิ่นก็รับคำนับ แล้วทั้งคู่ก็หันไปหาสกเอี๋ยงแล้วกล่าวพร้อมกันว่า

“ท่านพ่อ.......”

เฒ่าสกสิ้นชีวิตตั้งแต่บัดนั้น แต่ใบหน้าก็เปี่ยมสุข สกเกี้ยวร้องไห้เป็นอันมาก จงเซิ่นก็ร้องไห้อาลัยเฒ่าสกเป็นอันมาก -- 

เมื่อคลายโศกเศร้าจงเซิ่นก็ดำเนินพิธีศพของสองสามีภรรยาโดยให้บูรณะฮวงซุย(หลุมศพ)ใหม่ –

หลังจากนั้นก็พาสกเกี้ยวไปคำนับจงเหลงแล้วแนะนำว่า นางจะเป็นสะใภ้ตระกูลจง จงเหลงทราบดังนั้นแม้นไม่เต็มใจแต่ก็มิอยากขัดบุตรชาย แต่ก็แสร้งเอ่ยเหน็บแนมเมื่อจงเซิ่นพาสกเกี้ยวเข้ามาคำนับ

“เห็นว่ากาลก่อนลูกลำบากมามาก ต่อไปนี้ก็ขอให้อยู่สบายดีเถิด”

สกเกี้ยวเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจว่า จงเหลงกำลังบอกว่าตนเองซึ่งเคยยากจนเข็ญใจ จะได้สุขสบายเพราะแต่งงานเข้าตระกูลใหญ่ จึงเอ่ยพร้อมคำนับว่า “แม้นว่าท่านพ่อเต็มใจให้ข้าน้อยเป็นสะใภ้ตระกูลจงแล้ว ข้าน้อยมีเรื่องจะขอดังนี้”

“กระไรเล่า ว่ามาเถิด” จงเหลงยิ้มรับ แต่ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่บุตรชายไปเก็บสตรีวิสัยขอ ซึ่งมีดีเพียงหน้าตามาเป็นภรรยาเสียแล้ว

“ข้อหนึ่ง ข้าน้อยจะมิขออยู่บ้านใหญ่ แต่ขอกระท่อมท้ายครัวเป็นที่อยู่อาศัย

ข้อสอง ข้าน้อยจะมิขออาหารที่ปรุงดีแล้ว แต่ขอข้าวเหลือหลังจากทุกคนในบ้านทานอิ่มแล้ว

ข้อสาม ข้าน้อยจะมิขอทรัพย์สินสิ่งใด แต่ขอยามกลางวันเพื่อกลับไปทำไร่ไถนาหาเลี้ยงชีพ

ข้อสี่ ข้าน้อยจะมิขอเครื่องนุ่งห่มผ้าแพรอันดี แต่ขอผ้าเก่าเอามาเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม

และข้อห้า ข้าน้อยจะมิขอเครื่องผลัดแป้งแต่งหน้าอันราคาแพง แต่เพียงจะแต่งเพื่อพอมิอายยามท่านพ่อเรียกใช้สอยเท่านั้น”

จงเหลงเมื่อได้สดับก็ประหลาดใจ แต่แสร้งทำเป็นโมโหและกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน ทำเอาหลายๆคนที่เฝ้าอยู่สะดุ้งและตกใจ จงเซิ่นก็ผงะไปด้วย

“เจ้าจะให้ข้าได้อายหรือกระไร จะให้เขาได้ดูถูกว่าเป็นสะใภ้ตระกูลจงแล้วกลับทำตัวเยี่ยงสามัญหรือ

ข้อหนึ่ง กระท่อมท้ายครัวนั้นเป็นที่ซุกหัวนอนของข้าทาสบริวาร สะใภ้ตระกูลจงย่อมมิควรอยู่ที่นั้น

ข้อสอง ข้าวที่เหลือจากทุกคนในบ้านทานอิ่มแล้ว ย่อมตกเป็นของขอทานแลสุนัข สะใภ้ตระกูลจงย่อมมิควรรับประทาน

ข้อสาม เจ้าจะมิรับทรัพย์ใดแต่จะกลับไปทำงานเลี้ยงชีพตนเยี่ยงสามัญชน สะใภ้ตระกูลจงย่อมมิควรได้ลำบากเช่นนั้น

ข้อสี่ เจ้าจะเอาผ้าเก่ามาเย็บเป็นชุดนุ่งห่มนั้นมิได้ สะใภ้ตระกูลจงย่อมมิควรนุ่งชุดราวขอทาน

แลข้อห้า อันสตรีควรผลัดแป้งแต่งสวยอยู่ตลอดเวลา สะใภ้ตระกูลจงย่อมมิควรทำให้ชื่อเสียงตระกูลจงเสียหาย ที่เจ้าขอมาทั้งมวลนั้น เหมือนจงใจจะให้ตระกูลจงนั้นเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าซึ่งเป็นประมุขตระกูลจงยอมมิได้”

สกเกี้ยวแม้เผชิญคำปรามาสอย่างดุดัน แต่ก็มิได้แสดงอาการกลัวหรือท้าทาย ยังคงอยู่ในอาการนอบน้อมก่อนจะคุกเข่าลง แลกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กินใจว่า “อันข้อความที่ท่านพ่อกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว แต่ข้าน้อยนั้นมิได้มีเชื้อชาติขุนนาง ถึงแม้นได้ซุกหัวนอนในกระท่อมท้ายครัวของตระกูลจงก็นับเป็นบุญแล้ว

แลข้าวที่เหลือจากทุกคนในบ้านกินอิ่ม แม้นจะเป็นอาหารของขอทานแลสุนัข แต่ก็เป็นอาหารที่ปรุงอย่างดีแล้ว มิควรทิ้งขว้าง ข้าน้อยนั้นมิได้มีเชื้อชาติขุนนาง แม้นได้กินข้าวเหลือนั้นก็ย่อมดีกว่าข้าวที่เคยกินมาแต่ก่อน

แลการที่ข้าน้อยจะกลับบ้านทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพนั้น เพราะตระหนักว่า เงินทุกเบี้ยในตระกูลจงนั้นมาจากเบี้ยหวัดผ้าปีจากราชสำนัก ข้าน้อยแจ้งอยู่ว่าท่านพ่อนั้นเป็นขุนนางที่จงรักภักดีไม่เคยรับสินบาทคาดสินบน ข้าน้อยจะกล้าใช้เงินที่ท่านพ่อให้มาเพื่อความสิ้นเปลืองส่วนตัวของข้าน้อยได้อย่างไร

แลที่ข้าน้อยจะขอชุดเก่ามาตัดใส่เอง เพราะกาลก่อนข้าน้อยก็ทำอยู่เป็นประจำ บิดาแลมารดาของข้าน้อยสอนให้รู้จักถนอมสิ่งของทุกสิ่งอย่าง มิควรทิ้งขว้าง ของสิ่งใดก็ตามควรใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าที่สุด

แลข้อสุดท้าย ข้าน้อยนั้นเป็นคนยากจนเข็ญใจ แป้งเพียงหนึ่งตลับก็มิเคยคิดจะซื้อ จะให้มานั่งแต่งหน้าทาปากอยู่ทุกวันนั้นมิใช่วิสัยของข้าน้อย แต่ข้าน้อยตระหนักดีว่าบ้านตระกูลจงนั้นเป็นตระกูลใหญ่แขกเหรื่อมากมาย ข้าน้อยจึงจำจะแต่งเพียงเมื่อท่านพ่อเรียกใช้สอย เพื่อเป็นเกียร์ติแต่ตัวข้าน้อยที่ได้ปรนนิบัติท่านพ่อ แทนคุณท่านพ่อที่ได้ให้ข้าน้อยมาอาศัยร่มเงาของตระกูลจงดังนี้”

จงเหลงเมื่อได้สดับดังนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มประทับใจในตัวสกเกี้ยวที่งามทั้งรูปทรัพย์และปัญญาทรัพย์ ก็ยิ้มอย่างใจดีแลพยุงให้สกเกี้ยวลุกขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “ที่พ่อปรามาสในตอนแรกนั้นเพียงเพื่อจะลองใจเจ้าดอก เจ้าจงอยู่เป็นปกติสุขในตระกูลจงเถิดอย่าให้พ่อได้ลำบากใจเลย พ่อแจ้งแล้วว่าเจ้ามีปัญญาแลความภักดี โปรดเป็นสะใภ้ตระกูลจง คอยช่วยเหลือค้ำจุนจงเซิ่นให้ดีเถิด”

สกเกี้ยวตกใจที่จู่ๆ จงเหลงขอร้องให้ตนเป็นสะใภ้ เมื่อสบตากับจงเหลงก็พบแต่กระแสอบอุ่นและจริงใจจึงคุกเข่าขอบคุณและกระทำคับนับฝากตัวเป็นสะใภ้ --

 

กำหนดการแต่งงานนั้นจัดเป็นพิธีเอิกเกริกใหญ่โต เชิญขุนนางน้อยใหญ่มากมายมาเป็นอันมาก –

 

ณ. นอกเมือง อดีตแม่ทัพหนุ่ม ฮองเต๊กควบม้ามาด้วยหัวใจที่ร้อนรน…….

ณ. ศาลเจ้าแม่หนี่วา นางปิศาจจิ้งจอกต๋าจี ลงจากสวรรค์ด้วยหัวใจที่เต็มตื้นตื่นเต้น.....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา