Black or White สองรักร้ายป่วนหัวใจยัยจอมมึน

9.8

เขียนโดย LazyGirl

วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 04.05 น.

  4 บท
  33 วิจารณ์
  7,932 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 22.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ผู้ครองเมือง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

2

ผู้ครองเมือง

 

                 สัญลักษณ์นั่นทำเอาฉันต้องเลื่อนขึ้นไปอ่านข่าวใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ!

                 ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกนะว่าที่อ่านมาทั้งหมดนั่นเป็นความจริง แต่พอเห็นสัญลักษณ์บ้านั่นฉันก็แทบคลั่ง! นี่เราเป็นพวกคนโกงอย่างที่ข่าวเขียนจริงเหรอ?! พ่อทำลายบริษัทคู่แข่งไปทีละบริษัทเพื่อให้ตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุดในเมือง นี่มันเรื่องจริงหรือละครหลังข่าวกันแน่ สับสนไปหมดแล้วนะ! >O< สุดท้ายเมื่อความจริงนี้ถูกเปิดเผยก็ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย เมื่อไม่มีงาน ก็ไม่มีเงิน แถมยังติดหนี้อีกหลายล้าน สุดท้ายบ้านหลังนี้และทุกอย่างที่พ่อสร้างมาก็ถูกยึด

                จำเริญล่ะแม่คุณ -_-

                “โอ๊ย!! เราจะไปอยู่ที่ไหนกันเนี่ย ฉันอยากจะบ้าตาย!!!” แม่ตะโกนลั่นทำเอาฉันกับพ่อต้องยกมือขึ้นปิดหู และแม่ตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากคนบ้าเลยสักนิด ก็หล่อนเล่นเอามือทึ้งหัวตัวเองจนผมหลุดติดมือมาเป็นกระจุก ฉันบอกป้านวลแม่ครัวที่คฤหานส์แล้วนะว่าอย่าใส่ผงชูรสเยอะ เห็นไหม แค่สะกิด ผมก็หลุดแล้ว! แต่ถ้าแม่ยังไม่เลิกดึงแบบนี้ อนาคตกาแล็กซี่ของเราต้องมีดวงอาทิตย์สองดวงแน่ -_-

                บรึ้นนน

                ตอนนี้เราทั้งสามคนพ่อแม่ลูกครอบครัวล้มละลายกำลังเดินทางย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหนสักที่ และฉันก็ภาวนาให้การเดินทางครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น คงไม่มีขโมยออกมาปล้นตอนกลางวันแดดร้อน ๆ แบบนี้หรอกนะ แต่ถ้ามีจริง เราก็ไม่มีเงินให้หรอก -_- เพราะเงินทั้งหมดเอาไปจ่ายค่าจ้างให้พวกคนรับใช้นับร้อยไปหมด แล้วไหนจะค่าออกมหาลัยกลางคันของฉันอีก แถมยังต้องซื้อรถมือสิบสองใช้แล้วทิ้งสนิมเขรอะสภาพพร้อมพังนี่มาขนของออกจากเมืองโพรเพลสลิตาร์(เมืองแห่งความรุ่งเรือง)นั่นอีก ไอ้ของที่อยู่หลังกระบะรถก็เป็นพวกพัดลมเก่า ๆ กระเป๋าเสื้อผ้าและกระติกน้ำแข็งที่เอามาใช้แทนตู้เย็น แอร์รถก็เสีย อากาศก็ร้อนจนฉันจะละลายตายคาเบาะอยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าชีวิตมันจะตกอับเป็นแบบนี้ ฉันคงไม่ไปจัดปาร์ตี้วันเกิดให้มันเปลืองเงินเล่นหรอก T^T

                “แม่ ที่รักขอถามอะไรหน่อยสิ ไอ้ข่าวในเน็ตนั่นมันเป็นความจริงรึเปล่า?” ฉันถามหญิงสาวผมดำประดิษฐ์ที่นั่งเบาะหน้าอย่างอยากรู้ ถึงตราสัญลักษณ์ที่ปรากฏท้ายข่าวนั่นจะชัดเจน แต่ฉันอยากฟังความจริงจากคนในครอบครัวมากกว่า

                “มันจะจริงได้ยังไงล่ะยัยโง่!” แม่ถลึงตาตะคอกใส่ฉันอย่างมีอารมณ์ นางขมวดคิ้วจนเห็นเป็นร่องลึก รู้สึกอยากเอาเหรียญสิบไปเสียบที่ร่องคิ้วของแม่จัง =_=^

                “แต่เว็บ ‘บอกเล่าเก้าสิบห้า’ ไม่เคยลงข่าวมั่วซั่วจนทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนเลยนะ พวกเขาไปเอาข่าวจากไหนมา?” ฉันถามต่อด้วยความสงสัย ถึงแม้การลงข่าวในครั้งนี้จะไม่มีที่มาที่ไปและไม่น่าเชื่อถือเหมือนข่าวก่อน ๆ ที่ทางเว็บจะระบุหลักฐานและรายละเอียดต่าง ๆ อย่างชัดเจน แต่ด้านล่างของข่าวมีตราสัญลักษณ์เมืองโพรเพลสลิตาร์แปะอยู่ เหมือนตั้งใจไม่บอกที่มาของข่าว และบอกทุกคนที่อ่านข่าวนี้เป็นนัย ๆ ว่า ‘ถึงแม้จะไม่มีที่มา แต่เจ้าเมืองขอรับรองว่านี่เป็นเรื่องจริง ไม่ติงนัง ไม่หลอกลวง!’

                “ทำไมวันนี้แกพูดมากจัง ฮะ?”

                อ้าว ฉันผิดอีกแล้วเหรอ? =_=;

                “แกจะเชื่อครอบครัวของแก หรือจะเชื่อไอ้ข่าวบ้า ๆ ที่ไม่มีที่มาแต่ดันมีไอ้สัญลักษณ์เฮงซวยนั่นล่ะ?” เรื่องนี้มันก็ชั่งใจยากอยู่นา...

จะเชื่อครอบครัว หรือเมืองฟู่ฟ่าที่เราเพิ่งจากมันมาดี...

                “ยังไงก็เลือกครอบครัวตัวเองอยู่แล้ว” เพราะฉันยังไม่รู้จักเมืองนั้นดีพอยังไงล่ะ ถึงเมืองนั้นจะเป็นเมืองที่น่าอยู่เป็นอันดับ 3 ของโลก ผู้คนเป็นมิตรและอัธยาศัยดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดีทุกคน แม้กระทั่งเจ้าเมืองเองก็ตาม

                ถึงเราไม่ได้เป็นอย่างที่คนพวกนั้นกล่าวหา แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี คำตัดสินจากผู้ครองเมืองถือเป็นคำขาด ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเรียกร้องอะไรได้ทั้งสิ้น ตราสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ในส่วนท้ายของข่าวก็เป็นเหมือนตรารับรองของผู้ครองเมือง เมื่อมีตรานั้นอยู่ เราก็ทำอะไรไม่ได้ น่าเบื่อชะมัด ไอ้ระบบผู้ครองเมืองนี้ใครมันเป็นคนคิดขึ้นกันเนี่ย!

                เอาเถอะ! มันเป็นอดีตไปแล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ตอนนี้เราคิดเรื่องปัจจุบันและอนาคตกันดีกว่า

                “เราจะไปไหนกันเหรอคะ?” ฉันถามคุณพ่อที่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปข้างหน้าอย่างเดียว ตั้งแต่ออกจากเมืองโพรเพลสลิตาร์(เมืองแห่งความรุ่งเรือง)มาก็ไม่ได้ยินเสียงพ่ออีกเลย หวังว่าพ่อคงไม่เครียดจนกลายเป็นใบ้ไปหรอกนะ =_=

                “เมืองทางเหนือน่ะ”

                เอ๊ะ...หรือว่าจะเป็นเมืองประหลาดนั่น!!?

                “เมืองเฟอร์เรนดัมม์(เมืองแห่งความยากลำบาก)เหรอ?”

                “อื้ม ใช่ ที่นั่นอากาศดีมากเลยนะ พ่ออยากลองไปชนบทมานานแล้ว ฮือฮือ ฮื๊อฮือฮือฮือ~^O^” พ่อฮัมเพลงคุณลำไยอย่างเริงร่าแล้วขับต่อไปเรื่อย ๆ ฉันไม่เข้าใจอารมณ์พ่อจริง ๆ บ้านเราล้มละลายนะ ไม่เครียดเลยหรือไง? =_=

                “เมืองยาจกแบบนั้นฉันไม่อยู่หรอก!! อากาศจะดีจะแย่ยังไงฉันก็ไม่สนใจทั้งนั้นแหละ! นี่ คุณ เรากลับเมืองอิลิคโอ(เมืองแห่งความวุ่นวาย)ไม่ได้เหรอ?  ทำไมเศรษฐีอย่างเราต้องไปอยู่ในเมืองสลัมคับแคบอย่างเฟอร์เรนดัมม์ด้วย ที่นั่นทำถนนกันหรือยังก็ไม่รู้ ลำบากจะตาย” แม่เบ้ปากแสดงท่ารังเกียจเมืองนั้นสุด ๆ เอาจริง ๆ ฉันก็ไม่อยากไปเมืองที่ว่านั่นเหมือนกัน มีแต่คนบอกว่าเมืองนั้นประหลาด ถ้าเกิดฉันไปอยู่ที่นั้นแล้วเพี้ยนขึ้นมาจะทำยังเล่า TOT

                แต่พอแม่บ่นถึงเมืองอิลิคโอ(เมืองแห่งความวุ่นวาย)ก็ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ เมืองนั้นคือเมืองที่ฉันเกิด เป็นเมืองที่ดี แต่ดูวุ่นวายไปหน่อย ที่มันวุ่นวายเพราะเมืองนั้นตั้งอยู่ใจกลางของประเทศ และรวมผู้คนจากทั้งสี่เมืองเข้าด้วยกัน มันจึงกลายเป็นเมืองที่วุ่นวายยังไงล่ะ พอนึกภาพออกไหม? =_=;;

                “ค่าเข้าเมืองอิลิคโอ้ต้องเสียสองแสน และตอนนี้เราไม่มีเงินแม้แต่สตางค์เดียว เราไม่มีสิทธ์จะไปเมืองไหนทั้งนั้นนอกจากเฟอร์เรนดัมม์!” พ่อพูดเสียงแข็งทำเอาคิ้วแม่กระตุกเล็กน้อย ฉันเพิ่งเคยเห็นพ่อดุแม่เป็นครั้งแรกเลยนะ บุญตาชะมัด!! +O+

                “ค…ค่าเข้าเมืองอิลิคโอมันแพงขนาดนั้นเลยเหรอ? โอ้ว มาย ก้อดด นี่ฉันต้องไปเหยียบไอ้เมืองยาจกนั่นจริงเหรอเนี่ย! /(TTOTT)\”

                “จริง ๆ เราไม่น่าย้ายจากอิลิคโอ้ไปโพรเพลสลิตาร์(เมืองแห่งความรุ่งเรือง)เลยต่างหาก ปัญหาล้มละลายจะได้ไม่เกิดขึ้น” เพราะแม่นั่นแหละที่โลภมากอยากเป็นไฮโซก็เลยย้ายไปอยู่ที่นั่น แล้วเป็นยังไงล่ะ เมืองที่แม่หลงใหลนักหนากลับมาทำร้ายแม่ซะเอง

                “แหม ทำเป็นพูดดี! พอแกได้ข่าวว่าเราจะย้ายไปอยู่โพรเพลสลิตาร์ แกก็ดีใจกระโดดโลดเต้นตีลังกาสามตลบสะดุดกระถางต้นไม้พลัดตกระเบียงบ้านจนขาหักเข้าโรงะยาบาลให้หมอใส่เฝือกเลยไม่ใช่หรือไง?” แม่ยักคิ้วเยาะเย้ย แล้วทำไมต้องขุดเรื่องเก่า ๆ มาพูดด้วย เรื่องนั้นมันน่าอายที่สุดในขีวิตฉันเลยนะ! TOT

                “อะแฮ่ม ยอมรับก็ได้ว่าตอนนั้นดีใจมาก แต่ยังไงที่รักก็คิดว่าอีลิคโอเป็นเมืองทีดีที่สุดอยู่ดี เพราะที่นั่นมีปู่กับย่าที่น่ารักยังไงล่ะ” พอพูดถึงปู่กับย่าขึ้นมา แม่ก็หน้าซีดกลืนน้ำลายไม่ลงทันที

                “หุบปากได้แล้ว วันนี้แกพูดมากจริง ๆ นั่นแหละ -_-” แม่ตัดบทจบเพื่อเลี่ยงที่จะพูดต่อ  ช่างสิ แม่ไม่พูด เดี๋ยวฉันเล่าให้คุณผู้อ่านก็ได้!

                แม่ของฉันไม่มีพ่อกับแม่(ตากับยาย) เพราะพวกท่านเสียไปตั้งแต่แม่ยังเด็ก พอแม่แต่งงานกับพ่อ แม่ก็เข้ามาอยู่ในบ้านของปู่กับย่า ด้วยนิสัยที่เห็นแก่ตัวและโลภมากของแม่ทำให้ปู่กับย่าไม่พอใจ แม่เบื่อที่จะถูกทั้งสองด่า ก็เลยออกมาอยู่โพรเพลสลิตาร์กับพ่อ ปู่จึงตัดลูกตัดพ่อกับพ่อของฉัน นั่นจึงทำให้เราไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องคนใดได้ เราถูกตัดหางปล่อยวัดอย่างสมบูรณ์! พวกเราสามคนพ่อแม่ลูก ถูกต้นตระกูลทิ้งไปแล้ว TOT

                อันที่จริงเรื่องนี้ฉันไม่ผิดเลยนะ ฉันรักปู่กับย่ามาก ๆ แต่ทำไมฉันถึงต้องมาซวยแบบนี้เนี่ย TOT

 

                ไม่นานก็มาถึง

                เมืองประหลาด…ในที่สุดฉันก็ได้มาเยือน!

                เมือง เฟอร์เรนดัมม์

                “เฮ ฮา”

                “ยินดีต้อนรับค่า ^O^”

                “มีความสุขมาก ๆ นะครับ ^O^”

                ทันทีที่ล้อหน้าของรถกระบะเก่า ๆ สัมผัสกับผืนดินของเมืองแห่งความยากลำบากแห่งนี้ ชาวเมืองทั้งหลายก็พากันเฮ โบกมือตอนรับอย่างอบอุ่น เด็กตัวเล็ก ๆ โปรยกลีบดอกไม้อย่างสนุกสนาน นี่เป็นการสร้างความประทับใจแรกพบสินะ ชาวเมืองที่นี่ดูใส่ใจแขกใหม่ผู้มาเยือนดีแฮะ >_<

                พอมองดูดี ๆ ที่นี่ก็ไม่ได้สลัมอย่างที่แม่ว่านะ เพราะสิ่งที่แยกที่นี่ออกจากคำว่า ‘สลัม’ ก็คืออากาศที่บริสุทธิ์ แถมผู้คนยังเป็นมิตรและใจดีอีกต่างหาก ชาวเมืองน่ารักกันจะตาย อุ๊ย! ดูสิ! มีเด็กชูป้าย ‘ยินดีต้อนรับสู่เมืองเฟอร์เรนดัมม์’ ด้วย น่ารักน่าชังชะมัด พวกฉันไม่ใช่แขกบ้านแขกเมืองสักหน่อย ไม่ต้องทำการต้อนรับใหญ่โตแบบนี้ก็ได้ ครุคริ >_<

                “ที่นี่น่าอยู่เหมือนกันนะ ว่าไหม? ^^” พ่อหันมาถามด้วยรอยยิ้ม นั่นเป็นรอยยิ้มแรกของปีนี้เลยนะ

                “ค่ะ! แล้วที่นี่ก็ไม่ได้ลำบากอย่างที่แม่คิดด้วย ดูสิ ถนนทอดยาวไปถึงนู่นนน ^O^” ฉันชี้นิ้วไปสุดสายตาเท่าที่จะมองเห็น ตอนแรกก็คิดเหมือนกันนะว่าเมืองนี้คงจะเล็กนิดเดียว แต่พอมาเห็นเข้าจริง ๆ ก็ต้องคิดใหม่ เพราะที่นี่ไม่มีตึกสูง ๆ บังทัศนียภาพ ทำให้เห็นรอบ ๆ อย่างชัดเจน มีบ้านคนมากมายหลายหลัง และที่สะดุดตาที่สุดก็คือกำแพงสีเงินที่เด่นเป็นสง่าอยู่ด้านในสุด มันสูงจนมองไปข้ามไปฝั่งนู้นไม่เห็น อย่างกับเส้นแบ่งเขตแดนอย่างนั้นแหละ

                กึก ๆๆ !!

                อ.อะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ รถก็ชักกระตุกเหมือนโดนไฟช็อตแบบนี้ล่ะ O_O

                เคล้ง!!

                “เวรล่ะ!” พ่อสบถก่อนที่ฉันจะชะโงกหน้าออกไปนอกรถแล้วพบว่าเศษเหล็กที่ติดกับตัวรถหล่นไปกองกับพื้น!!   และสิ่งที่ปรากฏสู่สายต่อมาคือควันสีขาวจากกระโปรงรถลอยฟุ้งไปทั่ว! O_O

                ตุ้บ!!

                “กรี๊ดดด!!” อยู่ดี ๆ รถก็เอียงไปทางซ้ายเหมือนมันจะคว่ำไปทั้งคัน อย่าบอกนะว่ายางแตก!! ฉันไม่ได้อ้วนขนาดนั้นนะ!! TOT

                เอ๊ะ ไม่สิ…

                หลุน หลุน หลุนนนน ~

                ยางมันไม่ได้แตกสัก…แต่ล้อมันหลุดไปต่างหากล่ะ!!

                 “รถพังอย่างสมบูรณ์แบบ!!!! /(O{}O)\”

 

                อ่า…ใครจะไปรู้ว่ารถมือสิบสองสนิมเขรอะมันจะบอบบางขนาดนี้ พอหยุดรถปุ๊บ มันก็พังปั๊บ ดีนะที่ล้อไม่หลุดระหว่างทาง ไม่งั้นคงได้นอนข้างทาง กลายเป็นขอทานข้างถนนไปแล้ว =_=

                โชคดีที่เมืองนี้มีแต่คนจิตใจดีมีเมตตา เมื่อชาวเมืองรู้ว่าพวกเราคือ ‘ครอบครัวล้มละลาย’ ก็พากันร้องห่มร้องไห้ ใส่ชุดดำไว้อาลัย เห็นอกเห็นใจปลอบขวัญกันยกใหญ่ และด้วยความที่พวกเรายากจนและไร้ซึ่งที่อยู่ ครอบครัว ‘เลิฟลี่’  ซึ่งเป็นตระกูลที่มีเงินมากที่สุดในแถบนี้  ได้ยกบ้านหลังสวนให้เราอยู่ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี พวกเขาใจดีมากเหลือเกิน TOT

                “ขอบคุณมากนะคะที่มาช่วยพวกเรา ต่อจากนี้เดี๋ยวพวกเราทำเองค่ะ บุญคุณครั้งนี้จะไม่ลืมเลย ถ้ามีอะไรให้พวกเราช่วย บอกได้เสมอนะคะ ^^” ฉันโค้งตัวขอบคุณลุง ๆ ป้า ๆ ทั้งหลายที่แบกข้าวแบกของจากทางเข้าเมืองมาจนถึงบ้านหลังสวนของเรา เพราะรถเก่านั่นมันพัง เราก็เลยต้องใช้วิธีแบกหามฝ่าอากาศอันร้อนระอุมาที่นี่ บอกเลยว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผิวหนังฉันขับเหงื่อออกมามากขนาดนี้ มันร้อนสุด ๆ !!

                “หุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ นังลูกตัวดี!”

                “เป็นอะไรเนี่ย โอ๊ย!!” แม่โผล่มาจากไหนไม่รู้ อยู่ ๆ ก็มาดึงแขนฉันไปหลบเข้ามุมบ้าน

                “ใครบอกว่าเราจะทำกันเอง หา? ดูสิ คนพวกนั้นมันเดินกลับบ้านไปหมดแล้ว ทีนี้ใครจะยกข้าวของเข้าไปไว้ในบ้านกันล่ะ!”

                “โอ๊ยแม่ แม่คิดจะใช้งานพวกเขาอีกเหรอ? เขายกของให้เรามาตั้งไกล ให้พวกเขากลับไปพักที่บ้านเถอะ น่าสงสารจะตาย” นี่มันบ้านเรา ข้าวของพวกนั้นก็ของเรา จะให้คนอื่นมาลำบากได้ยังไงเล่า -O-

                “แกนี่ขี้สงสารซะจริง!” แม่เบ้ปากใส่ฉันแล้วยืนกอดอกพลางมองแผ่นหลังผู้คนที่ค่อย ๆ เดินออกจากบ้านเราไป

                “นี่ แล้วเท้าแม่เป็นไง? หายดีแล้วเหรอ? -_-” ฉันเหล่ตามองต่ำไปที่ข้อเท้าของหล่อน ที่ถามนี่ไม่ได้เป็นห่วงนะ แต่เพราะฉันรู้ว่าหล่อนกุเรื่องหลอก ๆ ขึ้นมาว่าข้อเท้าแพลงต่างหากถึงได้ถาม เพื่อจะได้นั่งสบาย ๆ โดยไม่ต้องมาแบกของอย่างลำบาก แม่ก็เลยต้องทำแบบนี้ แต่หารู้ไม่ว่าฉันกับพ่อดูออกว่านั่นเป็นการแสดง ถ้าไม่ใช่แม่ ฉันคงด่าไปแล้วล่ะ! -_-

                “อ๊ะ! จริงสิ โอ๊ยยยย!! โอ๊ยย!! เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน แบบนี้จะยกของต่อไหวได้เยี่ยงไร ฮือ ๆ TOT” ว่าแล้วนางก็แสร้งทำเป็นข้อเท้าแพลง เดินไม่ได้ ลุกไม่ไหว นั่งลงกับพื้นแล้วบีบน้ำตาร้องโอดโอยเรียกคะแนนความสงสารและขอความเห็นใจจากผู้ชมทุก ๆ ท่าน

                แต่ขอโทษที

                “ไม่มีใครเขาเห็นหรอก พวกเขากลับกันหมดแล้ว  =_=” ฉันชี้นิ้วให้แม่ดูถนนตรงหน้าที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน มีเพียงแค่พ่อคนเดียวที่กำลังยกกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าบ้าน

                “แล้วแกไปบอกให้พวกนั้นกลั-”

                “เท้าคุณน้ายังไม่หายดีเหรอครับ?” ก่อนที่แม่จะตวาดจบ ก็มีเสียงนุ่มของชายคนหนึ่งแทรกเข้ามา เขาคนนั้นคือ ‘ไลค์’ ลูกชายคนโตตระกูล ‘เลิฟลี่’ ที่ยกบ้านให้เราอยู่นั่นเอง หน้าตาก็ดีไม่น่าพูดแทรกเลย เกือบจะได้เห็นนางมารด่าลูกแล้วเชียว!

                “ช..ใช่จ้ะ ปวดมาก ๆ เลย  ฮือ ๆ น้าคงเดินต่อไม่ไหวแล้วล่ะ น้าจะตายไหมเนี่ย TOT”  อื้อหือ!! ร้อง ‘ฮือ’ ทีนึง น้ำตาไหลลงมาพราก ๆ ราวกับใช้เวทมนต์ นั่นน้ำตาจริงหรือเหงื่อเนี่ย? -O-

                “มาทายาที่บ้านฉันก่อนดีไหมคะ? ^^” แล้วคนที่ติดกับของแม่อีกคนก็คือคุณน้า ‘ลิลลี่’ แม่ของไลค์นั่นเอง โอ๊ย! ฉันอยากจะบ้าตาย ที่นี่มีคนดีเยอะเกินไปแล้ว!! /TOT\

                “แต่ว่า…ฉันต้องช่วยสามีและลูกของฉันก่อนนะคะ…แต่เท้าของฉันมัน…. L”

                ‘’ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกับลูกชายจะไปช่วยด้วยอีกแรง” แล้วคนที่ติดกับคุณแม่เป็นคนสุดท้ายคือ ลุง’ลักซ์’ สามีของคุณน้าลิลลี่นั่นเอง

                แล้วในวันนั้น แม่ก็ไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย…

 

                4 ชั่วโมงผ่านไป ไวเหมือนโกหก

                “ในที่สุดบ้านก็เป็นบ้านสักที!” ถึงบ้านมันจะดูโทรมไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ยังมีห้องน้ำและห้องนอน ไฟก็ใช้ได้ น้ำก็ไหลปกติ และตอนนี้ของทุกอย่างก็จัดเสร็จเรียบร้อย ว้าว! มิชชั่น คอมพลีส!! >_<

                “เธอ ที่เป็นลูกสาวของคุณน้าผมดำครอบครัวล้มละลายน่ะ มานี่หน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” เรียกซะเต็มยศแบบนี้กลัวฉันไม่รู้ตัวหรือไง -_-!

                “มีอะไรเหรอ ไลค์” ใช่ ผู้ชายที่เอาความอัปยศของฉันมาตั้งเป็นชื่อเล่นก็คือ ‘ไลค์’ ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี แต่เสียใจที่เรื่องนี้เขาเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ

                “แม่เธอจบการแสดงมาเหรอ? แสดงซะเนียนเลยนะ”

                “น..นายรู้!! O_O” ขนนี่ลุกเลยค่ะ!! แต่ทำไมต้อประชดแรง ๆ แบบนั้นด้วย ฉันเจ็บแทนแม่เลยนะ T^T

                “ใคร ๆ ก็ดูออกกันทั้งนั้น แต่พวกเขาไม่พูดกันมากกว่า” ‘ใคร ๆ ก็ดูออก’ งั้นเหรอ? แบบนี้ก็รู้กันทั้งเมืองเลยน่ะสิ เพราะวันนี้ชาวเมืองทั้งหลายถูกแม่หลอกใช้นับไม่ถ้วน น่าอายชะมัด อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว!TOT

                “เอ่อ…ฉ..ฉันต้องขอโทษแทนแม่ด้วยนะ คือ…เรามาจากเมืองโพรเพลสตาร์..”

                “เมืองแห่งความรุ่งเรืองสินะ คนที่มาจากที่นั่นก็เรื่องมากแบบนี้ทุกคน ฉันเข้าใจ” อา…อย่างน้อยเขาก็เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายสินะ เขาคงรู้ดีว่าสถากานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง

                “ขอเตือนเธออย่างนึง ไม่สิ เตือนแม่เธอต่างหาก”

                “เตือน?”

                “ใช่…ถ้าไม่อยากเห็นคนใดคนหนึ่งในครอบครัวหายไป ก็บอกให้แม่เธอเลิกทำตัวแบบนั้นซะ”

                “หา?” คนใดคนหนึ่งในครอบครัวจะหายไปงั้นเหรอ? พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง เพ้อเจ้ออะไรเนี่ย?

                “ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด ช่วยอธิบายทีได้ไหม?”

                “หน้ามึน ๆ อย่างเธอ ถ้าจะไม่เข้าใจก็ไม่แปลก เอาเป็นว่า อย่าทำให้ชาวเมืองต้องเดือดร้อนเพราะแม่ของเธอก็พอแล้ว ฉันบอกได้แค่นี้”  หน้ามึน ๆ อย่างฉัน? นี่ฉันกำลังถูกด่าอยู่ใช่ไหม? -_-

                หลัจากที่เขาพูดธุระของตัวเองเสร็จ เขาก็เดินจากไปอย่างหล่อ ๆ พร้อมกับอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า

 

                หลายวันผ่านไป…

                บ้านหลังนี้เป็นของเราอย่างสมบูรณ์ คุณพ่อผู้น่ารักจัดการเรื่องการโอนบ้านและอะไรต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้พ่อก็ได้งานทำแล้วด้วย เขาเป็นบุรุษไปรษนีย์ ปั่นจักรยานส่งจดหมาย ฉันว่างานนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ส่วนใหญ่จะเขียนจดหมายเอา ถ้าทำงานนี้รุ่ง ฉันว่าเราต้องรวยแน่ ๆ ^O^

                เรื่องที่น่าดีใจก็คงจะมีแค่นั้น เพราะฉันและแม่ต่างก็อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่มีงานทำ จริง ๆ ฉันไม่ได้อยู่เฉย ๆ หรอก ฉันกำลังรออย่างตั้งใจ รอมหาลัยที่ติดต่อไปตอบกลับมา รอที่จะได้ไปเรียนสักที! ส่วนแม่ก็นั่งเป็นคุณหญิงว่างงานแย่งพัดลมฉันใช้ สิ่งที่เลวร้ายคือพวกเราทั้งคู่ทำอาหารไม่เป็น และคนที่ทำงานคนเดียวก็คือพ่อ แน่นอนว่าเงินที่ใช่จ่ายในแต่ละวันมันไม่พอ แม่ทนรับสภาพแบบนี้ไม่ไหวจึงเดินทางออกหาเหยื่ออีกครั้ง

                วันก่อน แม่ใช้เครื่องสำอางแต่งหน้าให้ดูผอมซูบ เดินไปทักทายผู้คนอย่างเป็นมิตร ชาวเมืองสังเกตเห็นรูปร่างที่ผอมบางก็รู้สึกสงสาร จึงแบ่งของกินและของใช้มาให้ และพวกเขาก็หางานให้แม่ทำจะได้เป็นการหารายได้ไปในตัว แต่คิดเหรอว่าคนรักสบายอย่างแม่ฉันจะทำ?

                ต่อมาคือบ้านชำรุด พื้นพัง หลังคารั่ว นางก็เรียกให้คนมาซ่อมโดยที่แม่ไม่ให้อะไรเขาตอบแทนเลย พอฉันแอบเอาเสื้อผ้าที่ไม่ใช้ให้เด็กที่วิ่งเล่นไปมา ก็โดนแม่ด่าว่าเอาของมีค่าพวกนั้นไปให้เด็กต่ำต้อยทำไม ก็ฉันเกรงใจนี่นา แม่ใช้งานพ่อแม่ของเด็กพวกนั้นอย่างกับทาส ฉันไม่รู้จะขอบคุณพวกเขายังไง สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่นี้แหละ L

                แล้วเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง บ่อยครั้ง ถี่มากขึ้นทุกวันจนไม่มีใครอยากคบหาสมาคมกับครอบครัวของเราแล้ว…

 

                วันหนึ่ง ในขณะที่พวกเรากำลังทานอาหารมื้อเย็นกันหน้าบ้าน

บรืนน...

                จู่ ๆ ก็มีรถสีขาวสะอาดตามาจอดอยู่หน้ารั้ว ที่นี่ไม่น่าจะมีใครมีรถหรู ๆ แบบนี้นี่นา เอ๊ะ! หรือนั่นจะเป็นเพื่อนพ่อ เขามาจากเมืองโพรเพลสลิตาร์เพื่อมาเยี่ยมพ่อสินะ! *O*

                “สวัสดีครับ นี่ใช่ครอบครัว ’เพชรจรัสแสงแวววาว’ ที่เพิ่งย้ายมาใหม่หรือเปล่าครับ?” ชายร่างบึกไว้หนวดรกรุงรังในชุดดำเอ่ยขึ้น  ท่าทางน่ากลัวแบบนี้ไม่ใช่เพื่อนของพ่อฉันแน่นอน -_-

                “อ๋อ ใช่ค่ะ คุณเป็นใครคะ มาจากเหมืองอื่นเหรอคะ? ^^” แม่วิ่งไปต้อนรับอย่างมีมารยาท แต่สายตาของนางกลับมองแต่ไอ้รถสีขาวคันนั้นจนแทบจะกินมันแทนอาหารเย็นไปแล้ว

                “เปล่าครับ ผมมาจากคฤหาสน์” ชายคนนั้นตอบพลางผายมือไปทางกำแพงสีเงินที่สูงจนแทบจะแตะก้อนเมฆ ไอ้กำแพงสูง ๆ นั่น คนที่นี่เขาเรียกว่าคฤหาสน์เหรอ? ใช้ศัพท์แปลกจังแฮะ =_=

                “คฤหาสน์? ฉันไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่คงเป็นเรื่องดีสินะ เชิญด้านในเลยค่ะ เรากำลังทานอาหารกันอยู่พอดี โฮะๆ ^O^” พอแม่ได้ยินคำว่า ‘คฤหาสน์’ ก็จูงมือแขกแปลกหน้าเข้าบ้านทันที เขาเป็นใครก็ไม่รู้ หน้าตาก็น่ากลัว กล้าพาเข้าบ้านได้ยังไง พ่ออยู่ไหน แม่กำลังจะมีชู้!! TOT

                “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่มาทำธุระ”

                “ธุระ? ธุระอะไรเหรอครับ?”  พ่อที่เงียบอยู่นาน เอ่ยถามขึ้นบ้าง

                “ผมมารับตัวคุณหนูคนนี้ ตามคำสั่งของผู้ครองเมืองครับ” คุณหนูคนนี้? ฉันเหรอ? O_O

                หมับ!!

                พูดจบเขาก็คว้าแขนฉันไปเฉยเลย เฮ้ย! เขาบอกให้ ‘มารับตัว’ ไม่ใช่ให้ ‘จับตัว’ สักหน่อย!  >_<

                “คุณจะพาลูกสาวผมไปไหน!” พ่อพุ่งตัวมาทางฉันเพื่อจะดึงตัวกลับ แต่ถูกชายชุดดำอีกสองคนขวางทางซะก่อน เฮ้! พวกเขามาจากไหนกัน ทำไมฉันไม่เห็นเลยล่ะ!!

                “นี่เป็นความต้องการของผู้ครองเมือง หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจ”

                “ลูกฉันทำอะไรผิดเหรอคะ ทำไมต้องเอาตัวลูกฉันไปด้วย!” คิ้วแม่ขมวดกันจนเป็นปมด้วยความสับสน ฉันเองก็ไม่ต่าง มันเกิดอะไรขึ้น งงไปหมดแล้วนะ!

                “คุณถามตัวคุณเถอะครับ ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้”

                “ฉัน?” แม่เอียงคอถามพลางชี้ไปที่ตัวเอง

                “การกระทำทุกอย่าของคุณมันสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวเมือง พวกเขาไม่พูด ก็ใช่ว่าพวกเขาพอใจให้คุณหลอกใช้นะครับ พวกเราเฝ้าดูการกระทำของคุณมานาน และหวังว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่พฤติกรรมองคุณกลับแย่ลงทุกวัน พวกเราไม่ยอมให้คนที่เพิ่งย้ายจากเมืองอื่นเข้ามากลั่นแกล้งชาวเมืองของเราเด็ดขาด และทั้งหมดที่กล่าวมาคือเหตุผลที่ผมต้องทำเช่นนี้” ชายร่างบึกคนเดิมอธิบายพลางจับแขนฉันแน่นขึ้นกว่าเดิม  พอแม่ได้ยินแบบนั้นหน้าก็ขึ้นสีด้วยความกาธทันที จริง ๆ ไม่มีใครพูดตรง ๆ แบบนี้กับเลยนอกจากปู่กับย่า…แต่สิ่งที่ลุงคนนี้พูดมาเราแย้งไม่ได้เลย เพราะทัเงหมดมันคือความจริง

                แต่…

                “มันเกี่ยวอะไรกับหนูล่ะคะ” ฉันถามบ้าง

                “มันเป็นคำสั่งครับ” เขาตอบฉันก่อนจะหันหน้าไปหาแม่ “หากคุณยังรัก และเป็นห่วงลูกสาว คุณคงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่” จบประโยค เขาก็พาฉันไปที่รถทันที เอ๊ะ ง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?

                “เดี๋ยว! พวกเราจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่พวกคุณพูดเป็นความจริง มีหลักฐานหรือเปล่า!” พ่อตะโกนไล่ตามพยายามขัดขวาง  จริงสิ! พวกเขาไม่มีหลักฐานสักหน่อย คนพวกนี้อาจเป็นมิจฉาชีพก็ได้!!

                “นี่เป็นตราสัญลักษณ์ของเมืองเฟอร์เรนดัมม์ เป็นตราที่ได้มาจากท่านผู้ครองเมือง” ชายคนเดิมยื่นเหรียญอะไรบางอย่างให้พ่อดู พอพ่อเห็นก็กำมือแน่นด้วยความโกรธ

                เอาอีกแล้ว…ไอ้ตราสัญลักษณ์เฮงซวย!

                “ทุกคนในเมืองต่างรู้ดีว่าการที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมันมีน้อยมาก ทุกคนที่นี่อยู่อย่างสงบสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีใครคนใดเลยที่จะเอาเปรียบกัน” ที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นเพราะมีใครบางคนแตกหมู่สินะ และใครคนนั้นก็คือแม่ของฉันเอง

                “ใช่…ถ้าไม่อยากเห็นคนใดคนหนึ่งในครอบครัวหายไป ก็บอกให้แม่เธอเลิกทำตัวแบบนั้นซะ”

                ทีเวลาแบบนี้ล่ะเพิ่งคิดขึ้นได้! คำพูดของไลค์ที่บอกว่าจะมีคนหายไป มันหมายถึงแบบนี้เองเหรอ

                “ผมขอพาตัวคุณหนูคนนี้ไปเลยนะครับ ขอบคุณที่ให้วคามร่วมมือ” พูดจบ อีตาลุงนั่นก็เปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งทันที แม่ก้มหน้ากำมือแน่นพยายามกลั่นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล นี่เป็นครั้งที่สองที่เราถูกเอาเรื่องตราสัญลักษณ์มาขู่ เราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากทำตามข้อเสนอที่เขาให้มา เมื่อมีตราบ้านั่น เราก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับตอนที่เราอยู่โพรเพลสลิตาร์ เปี๊ยบเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้มละลาย ตอนนี้ก็เช่นกัน

 

                คฤหาสน์เฟอร์เรนดัมม์

                รถสีขาวมามาไกลสุดได้แค่หน้ากำแพงสีเงินที่สูงกว่าร้อยเมตร พวกเขาส่งฉันให้หญิงวัยกลางที่ยืนรออยู่หน้ากำแพงให้ดูแลฉันต่อ เธอสวมผ้ากันเปื้อน และเครื่องแต่งกายเธอเหมือนนกับ…แม่บ้าน?

               “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อคาร่า เป็นหัวหน้าแม่บ้านในคฤหาสน์แห่งนี้ ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยนะคะที่เราให้รถเข้าไปส่งด้านในไม่ได้ เราไม่ต้องการให้คนภายนอกเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในน่ะค่ะ” อะไรจะเป็นความลับขนาดนั้น แต่เอาเถอะ เรื่องของผู้ครองเมือง ฉันไม่เผือกดีกว่า -_-

               “ไม่เป็นไรค่ะ”

                “คุณชื่ออะไรเหรอคะ?”

                “ส…สุดที่รักค่ะ แหะ ๆ” เป็นอะไรไม่รู้ เวลาแนะนำตัวเองให้คนอื่นฟังชอบมีอาหารคันยิก ๆ ที่หนังศีรษะจนอดยกมือขึ้นเกาหัวไม่ได้ทุกที >_<

                “ฮ่ะ ๆ เป็นชื่อที่น่ารักดีนะคะ คุณพ่อคุณแม่ของคุณ คงจะรักคุณสุดที่รักน่าดูเลยนะคะ ^^”

                “ค่ะ…” ป่านนี้พ่อกับแม่จะเป็นยังไงบ้างนะ พ่อต้องเก็บตัวอยู่ในห้องเพราะกำลังโกรธอยู่แน่ ๆ เลย ส่วนแม่…ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้แม่เป็นยังไงบ้าง แต่เธอต้องเป็นห่วงฉันมากแน่ๆ L

                “เราเข้าไปด้านในเถอะค่ะ” พูดจบ คุณคาร่าก็เปิดประตูเล็ก ๆ ที่ติดกับกำแพงสีเงินออก นี่มันทางเข้าวีไอพีหรือยังไง เป็นคฤหาสน์ซะเปล่า ไม่มีประตูใหญ่เลยเหรอ? ทำไมทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ จัง ชักสงสัยแล้วนะ =_=

                “เอ่อ…คุณคาร่าคะ ฉันมีอะไรที่อยากจะถามหลายเรื่องเลยล่ะค่ะ พอจะตอบได้ไหมคะ?”

                “ได้ค่ะ แต่ฉันตอบได้แค่บางเรื่องเท่านั้นนะคะ” เธอยิ้มตอบก่อนจะผายมือเชิญฉันเข้าไปข้างใน

                “โอ้โห...” ฉันอุทานอกมาทันทีที่เท้าได้สัมผัสกับพื้นดินของที่นี่ สถานที่นี้ถูกตกแต่งด้วยเงินทำให้มีแสงระยิบระยับอแยงตาทั่วตัวอาคาร อากาศดี ร่มเย็นด้วยไม้ยืนต้นนานาชนิด มีสระน้ำที่ขุดเป็นบ่อสี่เหลี่ยมขนาดเล็กและทางน้ำไหลทอดยาวไปไกง คนที่ออกแบบที่นี่ต้องเป็นสถาปนิกระดับสูงแน่ ว้าว! รู้สึกปลื้ม! นี่ใช่เฟอร์เรนดัมม์ เมืองแห่งความยากลำบากจริงเหรอเนี่ย สุดยอด! *O*

                “มีอะไรจะถามเหรอคะ? ^^” มัวแต่ตื่นตาตื่นใจจนลืมไปหมดแล้วว่าฉันสงสัยอะไรอยู่

เอาเป็นว่า…คำถามนี้ก็แล้วกัน!

               “ทำไมถึงสร้างกำแพงสูงขนาดนั้นด้วยล่ะคะ?” อย่าบอกนะว่าสร้างขึ้นเพื่อกันไททันบุกเข้ามา -_-

                “อ๋อ เราไม่ต้องการให้คนภายเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในนี้น่ะค่ะ เรื่องข้างในนี้ มันเป็นความลับ อ้อ! คุณสุดที่รักเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่คงไม่เคยได้ยินเรื่องเล่านั้นสินะคะ”

                “เรื่องเล่านั้น?” ฉันถามซ้ำ

                “เรื่องที่ว่า ‘ไม่มีใครรู้เลยว่าด้านหลังของกำแพงสีเงินนี้มีอะไรซ่อนอยู่ เพราะผู้ที่เคยเข้าไป ไม่เคยได้กลับออกมา’” ยัยป้านี่จะกดเสียงต่ำลงให้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญทำไมกัน คนยิ่งขี้กลัวอยู่ด้วย

                แต่เดี๋ยวนะ

                “ไม่เคยได้กลับออกมาเหรอคะ? มันหมายความว่ายังไง? O_O” นี่มันเรื่องตลกใช่ไหม ป้าแกกำลังแกล้งให้ฉันตกใจเล่นอยู่สินะ ฮ่ะ ๆ ฮ่ะ ๆ โอ๊ย! ขำไม่ออกหรอกโว้ย!! TOT

                “ตามนั้นเลยค่ะ ^^” ตามนั้นแล้วมันตามไหนกัน ฉันต้องติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ!

                “ที่พูดนี่ อำกันใช่ไหมคะ แหะ ๆ ^^”

                “พูดจริงค่ะ” เธอตอบเสียงแข็งทำเอาขนแขนลุกวาบ ก็ได้ ๆ ฉันเชื่อก็ได้ ถ้าได้อยู่ที่นี่โดยม่ได้ออกไปไหนจริง ๆ  ก็แย่สิ แล้วพ่อแม่ฉันล่ะ อนาคตของฉันล่ะ สามีฉันล่ะ? L

                “ข้าวของของคุณจะตามมาทีหลังนะคะ ตอนนี้เราไปดูห้องนอนของคุณกันก่อนดีกว่า ^^” ว้าว! มีห้องนอนให้ฉันด้วยเหรอ! โห…คฤหาสน์ใหญ่โตแบบนี้ ห้องของฉันมันจะกว้างขนาดไหนกันนะ >_< เอ๊ะ ไม่ได้ ๆ !  พ่อกับแม่ฉันกำลังร้องไห้อยู่นะ ฉันจะทำตัวรื่นริงแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!T^T

ในที่สุดคุณคาร่าพาฉันเข้ามาในตัวคฤหาสน์สักที เธอพาฉันมาในห้องที่มีโซฟาสีแดงขนาดใหญ่และโทรทัศน์จอใหญ่เท่าช้างสิบตัวแปะอยู่บนผนัง มันจะใหญ่อลังการอะไรขนาดนี้ นี่ห้องรับแขกหรือโรงหนังกันแน่เนี่ย ค่าไฟคงแพงน่าดู ฉันชักอยากจะเห็นไอ้เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้แล้วสิว่าหน้าตาจะเป็นยังไง จะหล่อสู้พ่อของฉันได้หรือเปล่า คิคิ >_<

                “ยัยนี่เหรอ เด็กที่เข้ามาใหม่” เสียงทุ้มปริศนาดังขึ้นจากทางด้านหลังทำเอาฉันสะดุ้งเฮือก ฉันหันไปตามเสียงดุ ๆ นั่น แล้วพบกับชายผมทองกำลังขมวดคิ้วจ้องมาทางฉันอยู่

ใครน่ะ? เทวดาหรือเปล่า? *O*

                “สวัสดีค่ะคุณมาโวล์ร” คาร่าก้มหัวให้ชายคนนั้นอย่างนอบน้อมแสดงความเคารพนับถืออย่างชัดเจน

                “มีอะไรก็ไปทำเถอะ” เขาโบกมือเป็นสัญลักษณ์ว่าให้เธอไปได้แล้ว เหมือน ‘หมดหน้าที่ของเธอแล้ว จะไปไหนก็ไป’ อะไรเทือกนั้น ว่าแต่ เขาเป็นใครกันล่ะเนี่ย?

                “เอ่อ...สวั-”

                “ชื่ออะไร”

                “คะ?”

                “อย่าให้ถามซ้ำ หูหนวกหรือไง?”  คนอะไรหน้าตาก็ดี หล่อก็ระดับพระเจ้า แต่ระดับการพูดโคตรนรกเลย ไม่ผ่านอ่ะ ไม่ปลื้ม! L

                แต่ช่างเถอะ รีบ ๆ บอกชื่อไปจะได้จบ ๆ

                “ฉันชื่อ..สุดที่รักค่ะ”

                “ชื่อห่วยชะมัด”

อะไรนะ!!

                “หน้าอย่างเธอชื่อ ‘ มึน’ ยังจะเหมาะกว่าอีก”

                “นายมีสิทธิ์อะไรมาตั้งให้ฉันไม่ทราบ?!”

                “ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ล่ะ ก็เธอเป็นของฉันนี่” จบประโยค เขาก็ก้าวเท้าเข้ามาอีกสองก้าว ทำให้ฉันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน

                “พ..พูดอะไร น่าขนลุกชะมัด!” ฉันพูดพลางลูบแขนตัวเองไปมา แล้วก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

                “เธออย่าลืมสิว่าฉันเป็นคนเรียกตัวเธอมา”

                “ฮะ? เรียก?”  ฉันขมวดคิ้วจนเมื่อยไปหมดแล้วนะ! เมื่อกี้เขาบอกว่าเขาเป็นคน ‘เรียก’ ตัวฉันมางั้นเหรอ?

                เขาหัวเราะดังหึพอใจที่เห็นฉันกำลังสับสนอยู่ ก่อนที่เขาจะพูดอะไรบางอย่าง…

                “ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์สีเงิน ฉันชื่อมาโวร์ล ผู้ครองเมืองแห่งความยากลำบากเฟอร์เรนดัมม์ ขอให้ใช้ชีวิตตลอดทั้งชีวิตของเธออยู่ที่นี่อย่างมีความสุขนะ ยัยมึน J”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา