วัยรุ่นหิมพานต์

7.9

เขียนโดย โชจัง

วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.15 น.

  20 บท
  38 วิจารณ์
  23.11K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) งานกลุ่มมักจะไปไม่รอด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

"งานชิ้นแรกก็คือทำต้นไม้ประดิษฐ์มาส่งครูนะ”
               เช้าอันสดใสเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ณ โรงเรียนสุวัฒนา ภายในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งดูๆ แล้ว ที่นี่คงไม่ใช่ห้องเรียนทั่วไปแน่ๆ
               พื้นที่ทั้งหมดของห้องนี้กว้างขวางเกินกว่าจะเป็นห้องเรียนปกติ โต๊ะไม้ขนาดใหญ่จำนวน ๖ ตัว ถูกวางอย่างเป็นระเบียบอยู่กลางห้อง เหมือนไว้สำหรับให้นักเรียนนั่งทำกิจกรรมบางอย่างได้อย่างสะดวกยังไงยังงั้น มิหนำซ้ำ ยังมีเครื่องมืองานไม้อีกมากมาย อาทิเช่น ค้อน เลื่อย ไขควง ฯลฯ ถูกแขวนอยู่บนผนังด้านหลังอีกด้วย ซึ่งคงจะมีไว้สำหรับการทำงานไม้หนักๆ โดยแน่แท้
               เมื่อดูจากองค์ประกอบเหล่านี้แล้ว จึงพอจะอนุมานได้ว่า นี่คงเป็นห้องเรียนคหกรรม สำหรับเรียนวิชาการงานอาชีพฯ ของโรงเรียนสุวัฒนาไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน
               ณ ขณะนี้เอง คงเป็นคาบของเหล่านักเรียนห้อง ม.๔/๘ ที่ได้มีโอกาสมาใช้ห้องเรียนแห่งนี้ พวกเขาทั้งหลายกำลังนั่งเป็นกลุ่มๆ อยู่บนโต๊ะที่จัดไว้ให้ สายตาทุกดวงต่างจดจ้องไปยังตัวอาจารย์ชายวัยใกล้เกษียณคนหนึ่ง ผู้ซึ่งกำลังยืนอธิบายงานหน้าห้องด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึมกับหัวล้านๆ ทุกคนพร้อมใจกันตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างใจจดใจจ่อ จะมีก็เพียงแต่กันกระมัง ที่ยังคงนอนหลับอยู่ข้างๆ ติ๊ก โดยที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยแม้ซักนิด
"งานนี้ ๒๐ คะแนน แค่เอาทำมาส่งก็พอแล้ว" อาจารย์หัวล้านคนนี้คงกำลังสั่งงานนักเรียนอยู่ “แล้วทำรายงานมาส่งด้วย ต้องบอก...”
“ใครมันใส่วิชานี้เข้ามาในหลักสูตรกันวะ” กฤตที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับติ๊กเริ่มออกอาการเบื่อหน่าย “มึงว่ามั้ย ซัน?”
“ซัน”
               ถึงเพื่อนคนสนิทคนนี้จะเรียกอีกซักกี่ที เขาก็คงไม่สน ไม่รู้เพราะเหตุผลอันใดกัน ซันถึงแสดงท่าทีจริงจังอย่างเห็นได้ชัด สายตาของเขาจดจ้องไปยังตัวอาจารย์ผู้สอนอย่างแน่วแน่ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นแบบไม่เคยเป็นที่ไหนมาก่อน ประหนึ่งสมาธิของเขานั้นได้พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด เพียงเพื่อรับฟังงานที่อาจารย์กำลังสั่งก็เท่านั้น ช่างเป็นคนที่จริงจังกับการเรียนเสียจริงๆ
/งานกลุ่ม.../ ซันคิดอย่างเคร่งเครียด /อย่างน้อยก็ต้องหาคนทำงานซักคนมาอยู่ด้วย.../
“โอเค แล้วก็เรื่องต่อมา” อาจารย์สั่งงานต่อ “จัดกลุ่ม ๘ คน...”
/๘ คน?/ ซันคิดต่อด้วยใบหน้าที่เครียดขึ้นเรื่อยๆ /อย่างน้อยขอผู้หญิงซักคนก็พอ/
“เอ่อ... ซัน...” กฤตเริ่มจะหวั่นๆ กับอาการของเพื่อนคนนี้แล้ว
“งั้นก็จัด...” อาจารย์หน้าห้องกล่าวต่อ
/ต้องหาไอ้พวกตัวทำงานมาให้ได้!/
“จัดตามโต๊ะที่นักเรียนนั่งอยู่เลยละกัน”
“!!!”
               เป็นการจัดกลุ่มที่เรียบง่ายมาก เพราะแต่ละโต๊ะต่างก็มีจำนวนนักเรียนที่นั่งใกล้เคียงกันอยู่แล้ว แถมแต่ละคนที่มานั่งด้วยกันก็คงจะรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้วด้วย เรียกได้ว่า เป็นการจัดกลุ่มที่สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งนักเรียนและอาจารย์เป็นอย่างดีทีเดียว
/ชิบหาย.../
               ทว่า นั่นกลับเป็นข่าวร้ายสำหรับคนที่จริงจังกับงานเกินเหตุอย่างซันยิ่งนัก เพราะถึงแม้โต๊ะที่เขากำลังนั่งอยู่นั้น จะเป็นโต๊ะที่รวมเอาแต่เพื่อนของเขาอย่างกัน ติ๊ก กฤต ก็อต รวมถึงเพื่อนเพศชายอีกถึง ๓ คน ไว้ด้วยกัน แต่เมื่อมองไปยังแววตาอันเลื่อนลอยของแต่ละคน เขาก็ตรัสรู้ได้ในทันทีเลยว่า แทบไม่มีใครพึ่งพางานได้เลยซักคน
/มันจะพึ่งได้มั้ยเนี่ย!!!/

 

วัยรุ่นหิมพานต์
บทที่ ๗ งานกลุ่มมักจะไปไม่รอด


 
               เมื่อหมดคาบการงานอาชีพฯ ลง ณ ตอนนี้ เหล่านักเรียน ม.๔/๘ ก็ได้เดินทางกลับมายังห้องของพวกเขาแล้ว ทุกคนต่างเข้าสู่อิริยาบถเดิมๆ ของชีวิตวัยเรียน การสนทนากันตามประสาเด็กนักเรียนยังคงครื้นเครงเหมือนทุกวัน แต่กับชายคนหนึ่งกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย เพราะซันกลับได้แต่นั่งกลุ้มกับงานวิชาการงานฯ ด้วยใบหน้าอันเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ช่างเป็นนักเรียนที่จริงจังเสียเหลือเกิน
/เอาไงดีวะ.../ ซันคิดจนเส้นเลือดขึ้นแล้ว /ไอ้พวกนี้มันจะไปรอดเหรอวะ.../
"สหายซัน" จู่ๆ กันก็เดินมาหาเขา "กลุ่มเรานี่ทั้งแถวนี่เลยใช่มะ?"
"หือ?" ซันเงยหน้าขึ้นตอบด้วยความสงสัย "เออใช่ หมดนี่เลย”
เป็นดังที่ซันพูด เพราะกลุ่มการงานอาชีพฯ ของพวกเขาก็คือ กลุ่มนักเรียนชายทั้งหมด ๘ คน ที่นั่งอยู่บนโต๊ะแถวหลังสุดของห้องนั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มของเด็กหลังห้องโดยแท้ก็ว่าได้
“มีไรเหรอวะ?” ซันถามต่อ
"ก็กูอุตส่าห์พูดหน้าห้องวันแรกซะอลัง แต่จะครบสัปดาห์กูยังไม่ได้คุยกับใครเลยเนี่ยนอกจากพวกมึง" กันยิ้มบอก "กูก็เลยอยากทำความรู้จักกันหน่อยว่ะ เพื่อที่จะได้เป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้ไงล่ะ"
"จ่ะ" ซันตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความ ก่อนที่กันจะเดินจากไป /เกี่ยวเหี้ยไรตรงไหนวะ?/
"เอ้า กันนี่หว่า" ก็อตเรียกในขณะที่กันกำลังเดินผ่านโต๊ะของเขา "รูปมึงคนถูกใจจะร้อยแล้วนะเว้ย"
"ช่างแม่งเหอะ" กันดูไม่ค่อยสนใจนัก "มึงอยู่กลุ่มเดียวกับกูใช่มะ"
"เออ" ก็อตตอบ พลางหันไปหาเพื่อนที่นั่งข้างๆ เขา "ไอ้นี่ก็ด้วย"
เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อตคนนี้ คือนักเรียนชายรูปร่างผอมเตี้ยคนหนึ่ง ด้วยตาตี่ๆ กับจมูกยาวๆ จึงก่อเกิดเป็นใบหน้าตี๋ๆ สไตล์คนจีน และเมื่อกันมาหาถึงที่ หนุ่มหน้าตี๋คนนี้ก็เป็นมิตรพอที่จะแนะนำตัวให้เพื่อนคนนี้ได้รู้จักโดยไม่ขัดเขินใดๆ ทั้งสิ้น
"สวัสดี กูชื่อ...!!!"
แต่ก่อนที่หนุ่มหน้าตี๋จะได้ทันเอ่ยปาก กันก็เดินเมินไปหาอีก ๒ คน ข้างๆ แทน ทิ้งไว้แต่เพื่อนคนนี้ที่ได้แต่นั่งนิ่งด้วยความเศร้าโดยไม่แยแสใดๆ ทั้งสิ้น
“...”
               และแล้ว กันก็ได้เดินมาถึงยังโต๊ะของนักเรียนชายสองคนบริเวณริมหน้าต่าง หลังสุดของห้อง ม.๔/๘ ซึ่งก็เป็นสมาชิกกลุ่มเดียวกับเขาด้วยเช่นกัน
               คนทางซ้ายมือของกันคือชายรูปร่างสูงผอม สูงยิ่งกว่ากันเสียอีก มีเอกลักษณ์ที่จมูกโตๆ อีก กับสายตาชวนหาเรื่องของเขา
               ส่วนอีกคนทางขวาคือชายรูปร่างอ้วนใหญ่ หุ่นนั้นดั่งนักซูโม่ญี่ปุ่น น้ำหนักตัวคงเกิน ๑๐๐ กก. แน่ๆ ซึ่งก็ไม่รู้เขากินอะไรมาถึงได้เป็นเช่นนี้
“พวกมึงอยู่กลุ่มกูใช่ป่าว?” กันยิ้มถาม
"หะ?" ชายรูปร่างสูงผอมทำหน้าชวนหาเรื่อง
“กลุ่มๆ” กันอธิบายเพิ่ม “กลุ่มการงานอ่ะ”
"ก็เรื่องของกูดิ ไอ้เหี้ย" ไอ้โย่งตอบกลับไปด้วยท่าทียียวน จนกันถึงกับเงียบไปเลยทีเดียว
"..." กันตั้งสติ ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง "คือกูแค่จะถามว่า..."
"อย่ามาเสือกดิ๊สัส!" ไอ้โย่งเหมือนพยายามจะไล่ "ไป มึงจะไปไหนก็ไป"
"คือ..." กันพยายามจะถามต่อ
"มึงหุบปากเลยไอ้หัวแหลม ไอ้เหี้ย แม่ง นั่นหัวคนรึสัปปะรดวะสัส เย็นนี้มึงกลับไปไถออกเดี๋ยวนี้เลยนะ"
"..."
               ถ้อยคำแต่ละประโยคของชายคนนี้ช่างรุนแรงยิ่งนัก มันเต็มไปด้วยความหยาบคายและความไร้ปราณี และยังสามารถพุ่งตรงเข้าไปทำลายถึงข้างในทรวงอกของกันได้อย่างเจ็บปวด จากชายผู้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความกล้า บัดนี้ เขาทำได้เพียงเดินออกไปริมหน้าต่าง โน้มตัวลงโดยใช้แขนสองข้างพาดไว้กับขอบ มองออกไปยังท้องนภาสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ภายนอก ด้วยใบหน้าอันเฉยชาและเหม่อลอย ราวกับว่าท้องฟ้าอันสดใสยังดีซะกว่าคำพูดอันสกปรกเมื่อครู่นี้
"มึงมองฟ้าหาพ่อมึงเหรอ?" หนุ่มปากหมาคนนี้ยังไม่เลิกตามราวีกัน "พ่อมึงด้องรึไง?"
"เฮ้ย!"
               เจ้าของเสียงเรียกปริศนานี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะกฤตคงไม่ยอมอยู่เฉยให้เพื่อนโดนด่าอีกต่อไปแน่ๆ หนุ่มหน้าหล่อคนนี้รีบเดินรี่เข้ามาหาไอ้โย่งด้วยสายตาวอนหาเรื่องไม่แพ้กัน หวังจะจัดการเรื่องนี้ให้แก่กันที่โดนเล่นงานซะยับก่อนหน้านี้ให้มันจบๆ ไป
"มึงด่าเพื่อนกูเหรอ?" กฤตถามห้วนๆ
"เออสิวะ ไอ้เหี้ยเหล็กดัด" ชายคนนี้ด่าโดยไม่ลังเลใดๆ "มีปัญหารึไง?"
"มึงชื่อไร?" กฤตถามต่อ
"จะรู้ไปทำเหี้ยไร?" ไอ้โย่งถามต่อ "ออกข้อสอบรึไง?"
"เวลามึงตาย กูจะได้รู้ไงว่ามีข้าวต้มฟรีที่ไหน"
               ประโยคตอบโต้ของกฤต เล่นเอาชายคนนี้ถึงสะดุ้งขึ้นมาเหมือนมีอะไรแวบเข้ามาในหัวทันที สายตาของชายร่างสูงค่อยๆ มองเข้าไปในนัยน์ตาของกฤต ทั้งสองจ้องตากันเหมือนมีอะไรตรงกันอยู่นาน ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมานั่งบนโต๊ะ แล้วใช้แขนขวาโอบไหล่กฤตเอาไว้อย่างแนบแน่นด้วยรอยยิ้มอันแสนปลาบปลื้ม เหมือนสหายที่รู้ใจกันมาอย่างยาวนานยังไงยังงั้น
"กูชื่อเชน" เชนขานนามด้วยความดีใจ "มึงแม่งซี้กูว่ะ!!!"
"มึงก็แม่งซี้กูเหมือนกันด้วยเว้ย!!!" กฤตยิ้มรับด้วยความยินดี "ต่อจากนี้เราจะเป็นซี้กัน!!!"
"ได้ไงวะ!!!"
               ในขณะเดียวกัน ระหว่างที่ความสัมพันธ์ระหว่างกฤตกับเชนดูเหมือนจะไปกันได้ดี กันก็ดูเหมือนจะหายขาดจากความเศร้าเสียที เขาค่อยๆ กวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง แล้วจึงมาหยุดลงที่โต๊ะของไอ้หนุ่มหน้าตี๋ ก่อนจะรีบหันหลังเดินออกจากหน้าต่างด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นปกติมาเรื่อยๆ
               นั่นทำให้หนุ่มหน้าตี๋รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาลุกออกจากที่นั่งแทบจะทันทีเพื่อหวังจะแก้ตัวกับกันอีกรอบ ทว่า กันกลับมาหยุดอยู่ข้างหน้าโต๊ะของชายร่างใหญ่ข้างๆ เชนแทน นั่นทำให้เขาเป็นอันต้องผิดหวังคร้ังใหญ่อีกครั้งเสียแล้ว
"หือ?" ชายรูปร่างอ้วนท้วมคนนี้เงยหน้าขึ้นมา "มีไร?"
"มึงชื่อไร?" กันถามประโยคเดิมอีกครั้ง
"เฟม" เขาตอบสั้นๆ
"งั้นตอนนี้มึงก็..." กันพยายามจะถาม
"เดี๋ยว" เฟมหยุดไว้ "กูขอถามไรมึงก่อน"
"หือ?" กันสงสัย "เออ ก็ว่ามาสิ"
"มึงเล่นห่อนรึเปล่า?"
“...”
                ประโยคเพียงประโยคเดียว เล่นเอาความคิดของกันแทบหยุดนิ่งเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนเขาจะยังคงพูดตอบโต้ได้อยู่บ้างเหมือนกัน
"ห่อนเหรอ?" กันยิ้มบอก แต่ดูเหมือนไม่มั่นใจเอาเสียเลย "เล่นดิ"
"ไอดีไร?" เฟมหยิบสังข์ขึ้นมาไว้ในมือขวา "เดี๋ยวกูแอดไป"
"จำไม่ค่อยได้แฮะ" กันพยายามคิด "เอ ๑๒๓ มั้ง"
"เยี่ยม เดี๋ยวกูแอดไปให้" เฟมดูเหมือนจะดีใจอย่างบอกไม่ถูก "มึงเล่นตัวไรวะ? สายไร? เรทติ้งเท่าไร?"
"..." กันนิ่งไปซักพัก "เออ... หมามั้ง"
"เขี้ยวเงินเหรอ!!!" เฟมเหมือนจะตกใจอย่างแรง "ไอ้ตัวเล่นยากๆ แถมคอมโบเยอะนั่นเหรอ? ไอ้เหี้ยเอ๊ย มึงเก่งจังวะ"
"เออ ก็นั่นแหละ..." กันเริ่มแถไปเรื่อยๆ "/คุยเรื่องเหี้ยไรของมันวะเนี่ย?/ กูก็แค่อ่านสูตรบ่อยๆ บน บน ล่าง ล่าง รอ ๑ รอ ๒ เดี๋ยวมึงก็เล่นเป็นแล้ว... มั้ง..."
"นั่นมันสูตร จทอ. แล้วเว้ย!!!" ซันอดไม่ได้ที่จะขัด
"กัน!!!" กฤตที่อยู่ข้างๆตะโกนใส่เสียงดัง "มึงรู้จักซี้ใหม่กูยัง!!!"
"ไอ้เหี้ยนั่น กูไม่อยากรู้จักว่ะ มึงด้วย กฤต!!!" จู่ๆ กันก็มานั่งตักเฟม "นี่สหายใหม่กู!!!"
"เฮ้ย!" เฟมงงไปซักพัก "กูไปเป็นสหายมึงตอนไหนวะ กูยังไม่ส่งคำร้องไปเลย"
"ไอ้เหี้ยหัวแหลม" เชนบอก "มึงคิดยังกะกูอยากรู้จักมึงนักล่ะ"
"สหายกฤต!!!" กันฟ้องเสียงดังเหมือนเด็กๆ "มันด่ากูอ่ะ!"
"มึงด่าเพื่อนกูเหรอ!?" กฤตผลักแขนของเชนออกไปอย่างรวดเร็ว "พอกันที มึงไม่ใช่ซี้กู"
"เฮ้ย! มึงอย่าดิ" เชนพยายามเกลี้ยกล่อม "ไม่ได้ยินที่มันเรียกมึงเหรอ มันใช่ซี้มึงรึไง?"
"..." กฤตนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วกอดคอเชนไว้อีกครั้ง "เออว่ะ มึงมันสหายกูนี่หว่า ซี้กูมีแค่เชนคนเดียวเท่านั้น!!!"
"พวกมึงพูดคำว่าเพื่อนเป็นรึเปล่าวะ!!!" ซันที่นั่งมองอยู่ อดไม่ได้ที่จะขัด
"..."
               ประโยคอันทำร้ายจิตใจเช่นนี้ เป็นเหตุให้กันถึงกับนิ่งเงียบไปตามเคยอีกครั้งหนึ่ง แต่อาการในคราวนี้กลับหนักกว่าเก่าเสียอีก ตอนนี้ เขาทำได้เพียงนั่งพิงกำแพงไปกับพื้นห้อง ด้วยความสิ้นหวังจนแทบจะฆ่าตัวตายเลยก็ว่าได้
"กูไม่ใช่ซี้มึงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
               และในขณะที่กันได้แต่นั่งพูดสำนึกผิดอยู่คนเดียวนั้น กฤตกับเชนก็เริ่มสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นทุกที ส่วนก็อตที่บังเอิญเหลือบเห็นพฤติกรรมของกัน ก็ไม่รอช้า รีบลุกขึ้นมาพร้อมกล้องที่ถือเอาไว้บนมือ เดินมาลั่นชัทเตอร์อย่างรัวๆ เพื่อเก็บภาพกันผู้ซึมเศร้า ซึ่งหาดูได้ยากยิ่งเอาไว้อย่างเพลิดเพลิน
"กัน ซึมครับ" ก็อตพูดกับตัวเอง ในขณะที่นิ้วชี้ยังคงลั่นชัทเตอร์ "มึงนี่มันฮาทุกอิริยาบถจริงๆ"
"วันนี้ว่างเปล่า เดี๋ยวนัดเล่นกัน" เฟมเข้ามานั่งข้างๆ กัน เพื่อซักไซร้เรื่องห่อนอย่างต่อเนื่อง "กูอยากเห็นเขี้ยวเงินโหดๆ ว่ะ มึงเล่นให้กูดูหน่อย"
/สนใจกูหน่อยสิๆๆๆๆๆๆ/ ส่วนหนุ่มตี๋ที่นั่งยองๆ ดั่งเงามืดทางด้านซ้ายก็เหมือนกำลังเพ่งจิตอะไรบางอย่างให้กันสนใจเขาบ้าง
"ไอ้พวกนี้มีปกติซักคนมั้ยเนี่ย!!!"
               มีเพียงผู้เดียวที่ทำได้แค่เพียงนั่งสังเกตการณ์อยู่อย่างห่างๆ โดยมิอาจทำอะไรได้ มิหนำซ้ำ ภาพที่เขาเห็นยังทำร้ายจิตใจข้างในได้อย่างหนักหน่วงอีกตะหาก ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นซัน ผู้ซึ่งตอนนี้รังสีแห่งความตึงเครียดได้แผ่กระจายออกมาจากทั่วร่างอย่างต่อเนื่องแล้ว
/มันจะไปรอดแน่เหรอวะ ไอ้กลุ่มเนี้ย?/ ซันยังกลุ้มไม่ตก /ไอ้คนนึงก็โรคจิต อีกคนก็ปากหมา ติดเกม บ้ากล้อง แถมยังมีไอ้บ้าไม่รู้จักโตพ่วงมาด้วยอีก เอ๊ะ เหมือนลืมใครไปนะ ช่างแม่งเหอะ แต่นี่มันรวมดาวเหี้ยชัดๆ แล้วกูต้องมานั่งทำงานกับไอ้พวกนี้เนี่ยนะ มีแต่เละกับเละอย่างเดียวล่ะทีนี้/
"ซัน" เสียงสวรรค์ดังเข้ามาขัดจังหวะซัน "ตกลงเอาไงมั่ง?"
               ผู้ที่เป็นดั่งเทวดามาโปรดให้กับซัน คือหนุ่มแว่นผู้ตั้งใจเรียนอย่างติ๊กนั่นเอง คนที่ดูตั้งใจในการศึกษาอย่างติ๊ก คงจะเป็นเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจความรู้สึกของซันได้ เพราะถ้านับๆ ดูแล้ว คงมีเพียงสองคนนี้กระมังที่ปกติสุดในกลุ่มแล้ว
/ใช่! ยังมีมันอยู่นี่นา!!!/ ซันคิด /คนปกตินอนจากเราในกลุ่มนี้!!!/
"จะทำวันไหน มีไรต้องเตรียมมั่ง" ติ๊กถามอย่างตั้งใจ "เผื่อมีไรกูอาจจะช่วยได้"
/ถึงจะไม่ค่อยชอบเข้าสังคมก็เถอะ แต่ผลการเรียนกับความขยันของมันคงช่วยงานนี้ได้แน่!!!/  ซันเริ่มดีใจจนออกหน้าออกตาแล้ว "ก็ไม่มีไรมากอ่ะ ก็แค่ทำเปเปอร์มาเช่ง่ายๆ อ่ะ"
"แล้วเอาไง จะทำที่ไหน วันไหน?" ติ๊กถามต่อ "รีบๆ หน่อยล่ะ กูอยากทำให้เสร็จเร็วๆ จะได้ไม่ค้าง"
/นี่แหละ... นี่แหละคนขยันงานของแท้!!!/ ซันคิด "ก็แล้วแต่มึงอ่ะ มันส่งวันพฤหัส ถ้ารีบๆ ทำวันเดียวก็เสร็จมั้ง ทำโรงเรียนก็ได้มั้ง จะได้มากันง่าย"
"เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวก่อนสิ" จู่ๆ เสียงปริศนาก็ดังขึ้นมา "จะให้ทำที่โรงเรียนตอนเย็นเนี่ยนะ ร้อนตายห่ากันพอดี"
"หา?" ติ๊กสงสัย "แล้วมึงจะให้ทำที่ไหนวะ?"
"ถ้าอยากทำงานที่ยิ่งใหญ่ล่ะก็" ผู้ที่มาเสนอความเห็นคือกันที่หายซึมแล้วนั่นเอง "มาทำที่บ้านกูเซ่!!!"
/มึงอีกแล้วเหรอ!!!/

 


๕ วัน ต่อมา


"มาทำงานที่บ้านเพื่อนมันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่กูถามหน่อยเหอะ..."
           เวลา ๕ วัน ช่างผ่านไปไวดั่งสายลม ในวันนี้ คงเป็นวันที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับติ๊ก สายตาอันเย็นชาของเขา สามารถบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายออกมาได้อย่างชัดเจน เพราะตอนนี้ เขาทำได้เพียงนั่งมองอยู่เฉยๆ เมื่อได้เห็นสิ่งทีกำลังเกิดขึ้นข้างหน้า
"ทำไมต้องมาทำที่บ้านกูวะ"
               ไม่แปลกใจนักที่เขาจะแสดงท่าทีตึงเครียดเช่นนี้ เพราะทั้งบ้านของติ๊กถูกยึดครองโดยเพื่อนร่วมห้องของเขาเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว จากห้องนั่งเล่นอันกว้างใหญ่ บัดนี้ ถูกเติมเต็มด้วยเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายจนเต็มทั่วพื้นทหมดแล้ว
               ติ๊กกับซันกำลังนั่งพิงโซฟาขนาดใหญ่สีน้ำเงินอย่างเบื่อหน่ายบนพื้นกระเบื้องสีขาวสะอาดของห้องนี้ ข้างๆ มีขดลวดที่ปักอยู่ในดินของกระถางต้นไม้สีดำ ซึ่งถูกม้วนจนมีรูปร่างคล้ายๆ กับลำต้นของต้นไม้หักงอลงมาดูสวยงาม และใกล้ๆกันนี้ ยังมีกะละมังสีฟ้า ซึ่งเต็มไปด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ จำนวนมากมายหลายร้อยชิ้นลอยอยู่ในน้ำผสมกับกาว ดูๆ แล้วคงเอาไว้สำหรับการทำต้นไม้ประดิษฐ์แน่นอน
               ขณะที่เชนนั้นงนอนตะแคงตัวอยู่บนโซฟาโดยใช้แขนขวาตั้งฉากรองหัวเอาไว้อย่างสบายใจเฉิบบนโซฟา ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านของตนยังไงยังงั้น ในขณะที่มือซ้ายของเขายังกดปุ่มบนรีโมทไปมา เพื่อเปลี่ยนช่องโทรทัศน์จอแบนสีดำที่วางอยู่บนตู้ไม้เบื้องหน้าอีกด้วย
"ทีวีบ้านมึงแม่งไม่มีเหี้ยไรดูเลยว่ะไอ้แว่น มึงเดินไปซื้อหนังมาให้กูดูซักเรื่องดิ๊"
                ส่วนก็อตนั้น ก็ดูเหมือนจะเบื่อหน่ายถึงขีดสุด ขนาดที่ว่าถึงกับหลับคาสังข์ในมือซ้าย ลงไปนอนกองกับพื้นบ้านเลยทีเดียว
"บ้านแม่งน่าเบื่อว่ะ ไม่มีเหี้ยไรน่าสนใจให้แฉให้ถ่ายเลย"
                ในขณะที่คนที่ดูเหมือนจะถูกลืมอย่างหนุ่มตี๋ ก็กำลังนั่งรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ ณ มุมแคบๆ มุมหนึ่งของห้อง โดยที่ไม่มีใครสนใจเลยซักนิด เสมือนเป็นมุมมืดที่ไม่มีใครมองเห็นอย่างไรอย่างงั้น ถึงแม้ในใจเขาจะยังคงเพ่งจิตสมาธิอยู่ก็ตามที
/สนใจกูบ้างสิๆๆๆๆๆๆๆๆๆ/
                แต่ผู้ที่ดูจะเครียดที่สุดเห็นจะเป็นติ๊กไม่ก็ซัน ผู้ซึ่งได้แต่นั่งนิ่งโดยไม่เอ่ยอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งก็คงไม่แปลกนัก สำหรับคนที่บ้านทั้งบ้านเพิ่งถูกเพื่อนยึดไปโดยปริยายแล้ว 
"นั่นสิ" ซันเอ่ย "นี่พวกมันมาทำงานหรือมาเที่ยวกันวะ?"
"ก็แล้วกูอนุญาตให้มาตอนไหนกันวะ?" ติ๊กบอก "แม่งพูดเองเออเองอยู่คนเดียว"
"ก็หรือจะให้ไปทำที่บ้านมันล่ะ?"

 


เมื่อวานก่อน


"ไอ้เหี้ยแหลม เมื่อไรจะถึงวะ?"
                ย้อนกลับไปเมื่อวานก่อน ณ เวลานั้นเอง เหล่านักเรียนชายโรงเรียนสุวัฒนาทั้งแปดน กำลังเดินตรงไปตามทางเท้าข้างถนนเรื่อยๆ ผ่านตึกแถวและอาคารมากมายหลายแห่งตามทางโดยไร้จุดหมายใดๆ ทั้งสิ้น ได้แต่เพียงเดินตามหลังกัน ผู้ซึ่งเป็นคนนำทางทั้งเจ็ดคนนั่นเอง
 "มันจะดีแน่เหรอวะ?" กฤตหันไปถามซัน "ที่ไปบ้านมันน่ะ?"
"ก็ไม่รู้ดิ" ซันตอบ "มันเป็นใครยังไม่รู้เลย"
"เอาน่า" เฟมเสริม "ขอแค่มีคอมเครื่องนึงให้กูเล่นห่อนก็พอ"
"กูชักไม่แน่ใจแล้วว่ะ" กฤตเริ่มแสยะยิ้ม "กูกลัวมันจับไปตุ๋ยตูดว่ะ เหอๆ"
"มึงก็คิดเป็นแต่เรื่องนี้เนอะ" ซันบอกตามความจริง "แต่ก็จริงนะ ทำไมต้องมาทำบ้านด้วยวะ ทำโรงเรียนซะยังจะง่ายกว่าเลย"
"พวกมึงโง่รึไงกัน" จู่ๆ ก็อตก็เดินมาแสดงความเห็น "ควายจริงๆ มันชวนไปบ้านน่ะ สวรรค์ของเราชัดๆ"
"หา?" กฤตสงสัย "มึงพูดเรื่องไรวะ?"
"ก็ถ้ามันไม่ใช่บ้านลูกเจ้าเมืองนพบุรี" ก็อตบอกพลางหยิบสังข์ขึ้นมา "กูก็ไม่ถ่อมาถึงนี่หรอก"
"ไรนะ!!!" กฤตตกใจอย่างแรง "ลูกเจ้าเมือง!? ไอ้กันเนี่ยนะ!?"
"พวกมึงนี่แม่งตกข่าวจริงๆ เลยว่ะ" ก็อตยิ้มบอก พลางมองหน้าจอที่ลอยขึ้นมา "กิตติ เหมันต์วงศ์ พ่อชื่อฉัตรชัย เหมันต์วงศ์ เจ้าเมืองนพบุรี แถมยังเป็นวีรบุรุษสงครามเมื่อ ๒๐ ปี ก่อน"
"เฮ้ย!!!" ซันตกใจยิ่งกว่าเสียอีก "จริงดิ!?"
"มึงก็ดูระดับพลังมันดิ เด็ก ม.ปลาย ธรรมดาๆ ทำไม่ได้หรอก" ก็อตบอก "ไม่แปลกใจหรอก"
"เดี๋ยว..." กฤตเริ่มตื่นเต้นอะไรบางอย่าง "ถ้าลูกเจ้าเมืองก็..."
"เออ รวยสัสๆ เลยล่ะ" ก็อตยิ้มบอก "ขนาดวังเจ้าเมืองขีดขินยังใหญ่เป็นวังเลย แล้วนพบุรีมันจะขนาดไหนวะ"
"เหยดดดดดดดดเข้!!!" กฤตดีใจอย่างบอกไม่ถูก "งั้นบ้านแม่งต้องใหญ่เหี้ยๆ เลยดิ จะได้เข้าคฤหาสน์คนรวยแล้วเว้ยยยย"
"ห่อน!!!" เฟมดูดีใจยิ่งกว่าเสียอีก "กูจะได้เล่นห่อนจอ ๕๐ นิ้ว แล้วโว้ยยยย"
"ก็ถึงว่าทำไมมันดูมั่นใจจริง" ซันบอก "เออก็ดี อย่างน้อยก็มีพื้นที่ทำงานเยอะกว่าโรงเรียนแหละวะ"
"ถึงแล้ว" กันเรียกจากทางด้านหน้า "เข้ามาได้เลย"
"อย่างน้อยๆ  ก็คงเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่แหละวะ ไม่ถึงกับคฤ..."
                ทว่า สถานที่ที่อยู่เบื้องหน้าเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายกลับผิดคาดชนิดรุนแรงมหาศาล เพราะที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์หลังโตโอ่อ่าดังที่ส่วนใหญ่ได้มโนภาพเอาไว้ แต่กลับเป็นตึกอพาร์ทเมนต์สีขาวธรรมดาๆ แถมยังดูเก่าแก่ซอมซ่ออีกด้วย เล่นเอาทั้งหมดได้แต่ยืนอึ้งไปตามๆ กันเลยทีเดียว
               ท่ามกลางความตกตะลึงของทั้งกฤต ซัน ก็อต และเฟม ที่ได้แต่ยืนอึ้งเมื่อได้เห็นสถานที่อยู่อาศัยของลูกเจ้าเมือง กันก็ได้เดินนำพวกพ้องขึ้นบันไดที่อยู่ข้างหน้า ขึ้นไปข้างบนตัวอาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"มึงจะยืนหาพระแสงไรวะ รีบขึ้นมาได้แล้ว"
                ทั้งหมดทำได้เพียงเดินตามกันขึ้นมาอย่างเงียบเชียบและนิ่งเฉย ได้แต่เก็บงำความรู้สึกภายในใจเอาไว้ โดยหวังว่าอาจจะมีอะไรดีๆ รออยู่ข้างหน้าก็เป็นได้
"เดี๋ยวๆๆๆ" กฤตเรียกถามกัน "นี่บ้านมึงแน่เหรอวะ?"
"เออ" กันมาหยุดอยู่ที่ประตูไม้สีน้ำตาลบานหนึ่ง พร้อมกับล้วงนำกุญแจดอกหนึ่งออกมา "มีปัญหาอะไร?"
"มึงแน่ใจนะ..." ซันเริ่มไม่แน่ใจ แล้วหันไปถามก็อต "มึงค้นมาดีแน่นะ..."
"เอ่อ..." ก็อตเริ่มจะไม่แน่ใจตามซัน "กูว่ากูค้นตามใบทะเบียนแล้วนะ..."
"กลับตอนนี้ยังทันนะ..." ซันบอก
"ห่อน!!!" เฟมเหมือนเรียกร้องอะไรบางอย่าง "จะมีคอมให้เล่นป่าวยังไม่รู้เลยเนี่ย!!!"
"เดี๋ยวๆๆๆๆ" ก็อตบอกซันกับเฟม "พวกมึงอย่าด่วนสรุปสิวะ!!! ไม่เคยดูในหนังรึไง ประเภทซื้อยกตึกอ่ะ ระดับลูก..."
"ยินดีต้อนรับสู่บ้านกู"

 


พื้นที่พักสายตา



               ทันทีที่ประตูไม้บานนี้ถูกเปิดออกมาเพื่อเผยให้เห็นทุกสิ่งภายในห้องแห่งนี้ ความคิดของผองเพื่อนทั้งหลายคงแทบจะแตกสลายไปในทันทีเลยก็ว่าได้ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นบ้านของลูกเจ้าเมืองผู้ร่ำรวย แต่สถานที่แห่งนี้กลับอยู่คนละฝั่งของความหรูหราชนิดแทบกลับตาลปัตรเลยทีเดียว
               บ้านของกันนั้นเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมสีขาวเล็กๆ ห้องหนึ่งเท่านั้น กองเสื้อผ้าและกางเกงมากมายหลายสิบชิ้นถูกวางเกลื่อนอยู่บนพื้นปูนลายไม้สีน้ำตาลเข้ม ชนิดที่ว่าแทบจะไม่มีพื้นที่เดินเลยก็ว่าได้
               เก้าอี้ไม้ยาวเบาะสีขาวที่ตั้งชิดติดกับกำแพงทางด้านขวามือ เต็มไปด้วยถุงขนมและขวดน้ำอัดลมอันว่างเปล่ามากมายหลายกระจัดกระจายทั่วเบาะ ขณะที่โทรทัศน์จอแบนสีดำซึ่งถูกวางชิดติดผนังอีกมุมหนึ่ง ก็ยังพังไม่เหลือชิ้นดีด้วยหน้าจอเหมือนถูกต่อยอย่างแรงจนเป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่
               ส่วนโต๊ะทำงานไม้สีน้ำตาลที่ตั้งอยู่ตรงมุมซ้ายหลังห้อง ก็เต็มไปด้วยเศษกระดาษทิชชู่มากมายข้างหน้าจอคอมพิวเตอร์สีเทา เรียกได้ว่าเป็นห้องที่สกปรกและซกมกเสียนี่กระไร
ทุกคนที่ได้เห็นถึงกับต้องอึ้งและทึ่งกับสภาพของห้องนี้อย่างหาที่เปรียบไม่ ได้ เพราะที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์อันหรูหรา แต่เป็นห้องพักอันคับแคบและเน่าเหม็นเหลือคณานับของลูกเจ้าเมืองต่างหาก
/บ้านลูกเจ้าเมือง.../ ทั้งหมดคิดเป็นเสียงเดียวกันอย่างไม่น่าประหลาดใจนัก
"นิ่งอีกแล้ว พวกมึงแดกยาเขย่าขวดป่ะเนี่ย" กันเดินนำเข้าไปในห้อง ก่อนจะใช้ขาขวาเตะบ็อกเซอร์สีแดงที่วางอยู่ข้างหน้าออกไปให้พ้นทาง "เออ เข้ามาแล้วถอดรองเท้าด้วยล่ะสัส"
"มึงยังไม่ถอดเลยนี่หว่า!!!"  ซันตะโกนออกไปแบบไม่ทันรู้ตัว
"มาๆๆๆ" กันนั่งลงบนเก้าอี้ "รีบทำจะได้รีบกลับ"
"หือ?" ติ๊กเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง "นั่นมัน!!!"
"ไรวะ?"
               ด้วยความสงสัยถึงใบหน้าอันตื่นกลัวของติ๊ก กันจึงค่อยๆ หันกลับไปทางซ้ายมือตามที่เพื่อนของเขาชี้ไป ทว่า สิ่งที่เขาพบกลับทำให้เขาต้องตกใจถึงขีดสุด เพราะตอนนี้ แมลงสาบตัวเท่ากำปั้นผู้ใหญ่ได้ขึ้นมาเกาะบนไหล่ของเขาแล้ว แต่นอกจากความใหญ่โตแล้ว แมลงสาบตัวนี้ยังไม่ใช่แมลงสาบธรรมดาๆ อีกด้วย
                ถึงแม้รูปร่างจะเป็นแมลงสาบ แต่ตาของมันกลับเป็นตาของแมลงวันอย่างน่าแปลกประหลาด ท้องของมันนั้น นอกจากจะเป็นลายแมลงสาบอันน่าเกลียด ยังเป็นท้องสีแดงเลือดหมูอีกตะหาก และที่ยิ่งไปกว่านั้น ปากของมันนั้นมิใช่ขากรรไกรธรรมดา แต่เป็นปากของยุงอันแหลมคม ที่พร้อมจะดูดเลือดสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่ตรงนั้น และตอนนี้ ปากนั้นก็กำลังจะทิ่มเข้าไปดูดเลือดที่คอของกันอยู่รอมร่อแล้ว
"แมลงสาบดูดเลือด!!!"
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”
                ทันทีที่กันได้เห็นมัน สติของเขาแทบแตกกระจุยในพริบตา เขารีบใช้มือขวาปัดมันออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นกลัว ก่อนจะลุกขึ้นมายืนบนเก้าอี้ คอยดูสถานการณ์ต่อไปหลังจากที่มันได้ตกลงมาอยู่กับพื้นแล้ว ปรากฏว่า แมลงสาบดูดเลือดได้เปลี่ยนเป้าหมายจากกัน ไปเป็นเพื่อนอีก ๗ คน นอกห้องแทน
               และในชั่วพริบตาเท่านั้น แมลงสาบอันแสนน่ากลัวตัวนี้ก็รีบบินพุ่งเข้าไปหาเหยื่อด้วยความเร็วสูง ในขณะที่เหยื่อผู้โชคร้าย ได้แต่ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกเท่านั้น
"กูจัดการเอง!!!"
               ผู้ที่ดูจะกล้าหาญชาญชัยที่สุดเห็นจะเป็นกฤต ทันทีที่คิดออก เขารีบถอดรองเท้านักเรียนออกมาไว้ในมือขวา ก่อนจะวิ่งพุ่งเข้าใส่แมลงสาบดูดเลือด แล้วฟาดรองเท้าใส่แบบไม่ยั้งอย่างบ้าคลั่ง ทว่า ความเร็วของแมลงสาบดูดเลือดกลับเหนือชั้นกว่า มันสามารถบินฉวัดเฉวียนหลบรองเท้าของกฤตได้อย่างง่ายดาย แล้วตอนนี้กำลังบินเข้าไปหาเพื่อนๆ ที่เหลือแล้ว
"ไอ้เหี้ย!!! มาแล้ว!!!"
                ผู้โชคร้ายที่แมลงสาบดูดเลือดเลือกนั้นคือไอ้หนุ่มหน้าตี๋นั่นเอง มันเลือกที่จะบินโฉบลงมาเกาะอยู่บนกลางหน้าผากของเขา ในขณะที่เหยื่อของมันได้แต่วิ่งพล่านไปมาพลางใช้มือสองข้างพยายามปัดมันให้หลุด แต่อย่างไรก็ตาม ถึงการที่โดนแมลงสาบเกาะหน้าจะถือว่าโชคร้ายแล้ว แต่การที่เพื่อนๆ มากมายนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นจะโชคร้ายกว่ากันเยอะ
"เฮ้อ ไปได้ซะทีเนอะ" กันยิ้มบอก "ดีนะ ไม่มีใครโดนแม่งดูด"
"มันกลัวตีนกูถึงได้หนีไปล่ะสิ" กฤตเสริมด้วยความหลงตัวเอง
"บ้านมึงแม่งสกปรกยังกะกองขยะเลยว่ะ" นิสัยปากหมาของเชนยังอยู่ "แม่ง เลี้ยงแมลงสาบดูดเลือดไว้ในบ้านด้วย"
"งั้นกูขออนุญาตเล่นห่อนก่อนนะ" เฟมเดินเข้าไปในห้อง "น่าจะเล่นได้อยู่นะ"
"แหม่ เสียดายกูถ่ายไม่ทัน" ก็อตแสดงอาการเสียดายอย่างบอกไม่ถูก
"เอามันออกไปที!!!" ผู้ที่ไม่มีใครเหลียวแลลงไปนอนกลิ้งเกลือกลงบันไดไปเสียแล้ว
"เอ่อ..." ดูเหมือนจะมีแต่ติ๊กกับซันเท่านั้นที่เห็นภูมิอยู่ในสายตา "แล้ว..."
"พวกมึงตาบอดกันรึไงวะ!!!"
ปัจจุบัน
"แล้วสุดท้าย ก็มาลงเอยที่บ้านกู"

 



               กลับมายังปัจจุบัน ติ๊กกับซันก็ยังคงนั่งปรับทุกข์กันอยู่ด้วยความเบื่อหน่าย ในขณะที่เชนที่นอนอยู่ก็ได้หลับสมใจไปแล้ว
"พูดแล้วก็นึกถึง เรื่องเมื่อวานว่ะ" ซันหันไปหาหนุ่มหน้าตี๋ "สบายดีนะ ปิ๊"
"..." ปิ๊ใช้มือขวาคลำแผลกลมใหญ่สีแดงที่กลางหน้าผาก "จ่ะ"
"แล้วไอ้ตัวต้นเรื่องแม่งก็หายหัวไปไหนไม่รู้" ซันกลับมาคุยต่อ "บอกให้ออกไปซื้อของแป๊บเดียว แม่งล่อจะชั่วโมงแล้วเนี่ย สงสัยหลงแล้วมั้ง"
"ไม่น่าหรอก" ติ๊กบอก "เคยมาครั้งนึง ก็ไม่น่าโง่ขนาดลืมทางได้หรอก"
"หรือแม่งอาจจะโดดกลับบ้านแล้วก็ได้" ซันแสดงความเห็น "คนอย่างมันเหี้ยขนาดไหนมึงก็น่าจะรู้ดีนี่"
"นี่มึงยังไม่ชินกับมันอีกเหรอวะ?" ติ๊กถาม
"จะไปชินได้ไงวะ!!!" ซันเถียง "แม่งตั้งแต่ตอนวันแรกแระ แล้วยังเสือกทำพวกกูเกือบมีเรื่องอีก คนอย่างมันถ้าไม่เหลืออดจริงๆ กูก็ไม่รับเข้ากลุ่มหรอก!!!"
“ไม่หรอก” ติ๊กยิ้มบอกเหมือนกำลังระลึกความหลังอยู่ “ถ้ามึงเป็นเพื่อนมึงก็เข้าใจมันแหละ”
"ของมาแล้ว!!!" เสียงของกันดังขึ้นมาจากข้างหลัง
"มาจนได้นะมึง" ติ๊กบอก "คงได้ของ...”
"ทำไมจะไม่ได้วะ" กันเดินลงมานั่งพร้อมหย่อนถุงใบตองขนาดใหญ่สีเขียวที่หิ้วมาสองข้างลงกับ พื้น ก่อนจะนำกระป๋องสีทาบ้านกับแปรงแปรงหนึ่งออกมา "อ่ะ นี่สีกับแปรง"
/กูอาจจะคิดไปเองก็ได้/ ซันเริ่มใจเย็นลงหน่อย "ก็ใช้ได้นี่หว่ามึง"
"ส่วนนี่ เหล้ามักกุราของแท้ ส่งตรงจากอโยธยา เดี๋ยวมึงไปเอาแก้วกับน้ำแข็งมาด้วย"
               ความเย็นใจของซันอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะถัดจากขดลวดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่กันนำออกมาจากถุงใบตอง กลับเป็นขวดเหล้าคอแบนซึ่งติดฉลากสีเขียวไว้ว่า มักกุรา พร้อมขวดโซดาอีก ๓ ขวด เล่นเอาสติของซันแตกกระจุยไปอีกครั้งหนึ่งเลยทีเดียว
"กูให้ไปซื้องาน ไม่ใช่ไปซื้อเหล้าโว้ย!!!" ซันเริ่มอารมณ์เสียเต็มทนแล้ว
"นี่มึงเอาเหล้ามาแดกบ้านกูเหรอวะ!!!"  ติ๊กอารมณ์เดือดยิ่งกว่าซันเสียอีก "เก็บเลยนะเว้ย ก่อนที่คนอื่นจะมาเห็น!!!"
"แหมๆๆ" กันทำท่าแบบสบายๆ "พวกมึงอย่าทำตัวเป็นเด็กดิวะ ทำงานกันทั้งทีมันต้องสนุกหน่อยสิวะ"
"กูเกรงว่างานจะเละล่ะสิไม่ว่า!!!" ติ๊กเริ่มโวยวาย
"อาๆ" ซันใช้มือขวากุมหัว เพื่อพยายามทำใจ "โอเคๆ มึงแดกได้ แต่พวกกูไม่แดกละกัน เรื่องนั้นค่อยว่ากันเถอะ แล้วกฤตกับเฟมล่ะวะ?"
"อ๋อ?" กันสงสัย "ก็ตอนเดินผ่านร้านเกมน่ะ สงสัยแดดมันแรง มันเลยโดนแดดเผาจนระเหยไปแล้วล่ะว่ะ"
"ไอ้เหี้ยนั่นก็ติดเกมไปแล้วโว้ย!!!" ซันตะโกน "อย่าบอกนะกฤตไปกับมันด้วย?"
"หา?" กันสงสัย "มันไม่ได้ออกไปกับกูซะหน่อย"
"ติ๊ก!!! มียายแก่จะมายกเค้าบ้านมึงว่ะ!!!"
                 มาตามคำเรียกร้องอย่างเหมาะเจาะเลยก็ว่าได้ ณ ตอนนี้ กฤตกำลังวิ่งลงบันไดไม้ทางขวาของห้องมาเรื่อยๆ ด้วยความรวดเร็วและสีหน้าที่แตกตื่น และผู้ที่ตามหลังเขามานั้นคือหญิงวัยชราร่างเล็กคนหนึ่ง ไว้มวยผมสั้นหงอก ในชุดสีเหลือง โจงกระเบนสีแดง ในมือขวาถือไม้เท้าเล็กๆ เอาไว้
               ใบหน้านั้นดูใจดีและเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เธอค่อยๆ เดินตามกฤตลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงห้องนั่งเล่น และทันทีเมื่อติ๊กได้พบเธอ จิตใจของเขาก็ต้องประหลาดใจถึงขีดสุด
"รีบแจ้ง ๑๙๑ เร็วเข้า!!!" กฤตวิ่งมาหลบหลังติ๊ก "ว๊ากกกกกกกก"
"ยาย!!!" ติ๊กเรียก
" ติ๊ก!" ยายของติ๊กตกใจอย่างมาก ทันทีเมื่อเห็นขวดเหล้าวางกองอยู่ "นี่เอ็งกินเหล้าเป็นตั้งแต่ตอนไหนกัน?"
"เดี๋ยวครับ เดี๋ยวครับยาย!!!" ติ๊กชี้นิ้วไปทางกัน "ของไอ้กันมันครับ!!!"
"อ๋อ" ยายของติ๊กกลับมายิ้มอีกครั้ง "งั้นก็แล้วไป"
"ไหงเชื่อกันง่ายจังวะ!!!" ซันตะโกนเสียงดัง
"ยายติ๊ก" กันยิ้มทักพร้อมพนมมือไหว้ "ดีครับ"
"อ้าว?" กฤตสงสัย "นี่ยายมึงเหรอ? กูก็เห็นเรียกยายๆ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นญาติใครวะ!!!"
"ก็ถ้าไม่ใช่ยายมัน แล้วจะเป็นญาติใครล่ะวะ!!!" ซันตะโกน
"อ๋อ" ยายเริ่มมองไปรอบๆ "นี่จะทำงานกันเหรอ?"
"ทำด้วยกันมั้ยล่ะครับ" กฤตถาม "เหอๆๆๆ"
"ก็เหี้ยแล้ว ใช้คนแก่ทำงานเนี่ยนะ!!!" ซันตะโกน
"เอ็งน่ะพอเลย!" ยายติ๊กหัวเราะเบาๆ "ข้าหลับอยู่ในห้องดีๆ เอ็งก็มาเอะอะโวยวายข้างเตียงข้า แหม่ ดีนะข้าแก่แล้ว ถ้าสาวๆ หน่อยป่านนี้เอ็งไม่เหลือหรอก!!!"
"แล้วมึงจะปลุกยายมันทำเหี้ยไรวะ!!!" ซันตะโกน
"โห ผมขอโทษครับยาย" กฤตพนมมือไหว้ "ผมก็นึกว่ายายเป็นขโมย"
"แต่ว่านะ" ยายของติ๊กหันไปทางหลาน "ติ๊ก"
"หือ?" ติ๊กสงสัย "ครับ?"
"มีเพื่อนเยอะแล้วมันก็ดีแบบนี้ล่ะนะ"
                ทันทีเมื่อกล่าวจบประโยค ยายของติ๊กก็ค่อยๆ เดินขึ้นห้องกลับไปนอนตามเดิม แต่ทว่า แค่เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้หลานของเธอ ดูเหมือนจะภูมิใจอะไรบางอย่างจนเผลออมยิ้มออกมาเลยทีเดียว
"งั้นผมจะขอตามไปส่ง..." กฤตเดินตามยายของติ๊กไป
"มึงอ่ะไม่ต้องไปไหนเลย!!!" ซันตะโกนห้าม
"เกือบไปแล้วไง!!!" ติ๊กเขย่าตัวกัน "มึงเกือบทำยายกูเข้าใจผิดแล้วไง!!!"
"ก็ถ้าไม่รู้เรื่องก็ปล่อยแกไปเหอะ" กันบอกขณะที่ยังโยกตัวตามแรงของติ๊ก
"แล้วถ้าเกิดมีเรื่องขึ้นมามึงรับผิดชอบนะโว้ย!!!" ติ๊กตะโกนลั่นบ้าน "มึงจะเอาเหล้ามึงกลับเอง หรือให้กูโยนทิ้งเดี๋ยวนี้เลย เอาไง!!!"
"เออ พวกมึงอ่ะหยุดกันกันได้แระ" ซันห้ามเอาไว้ "แม่ง มาเป็นชั่วโมงงานยังไม่เริ่มเลยเนี่ย"
"อาๆ" กันกับติ๊กสงบลงแล้ว "เอาไงก็เอา"
"อ่ะ" ติ๊กลากกะละมังที่ใส่กระดาษหนังสือพิมพ์แช่น้ำเข้ามาใกล้ๆ "ตอนนี้ที่เหลือก็มีแค่แปะกระดาษอ่ะ"
"ดีแล้วแหละที่พวกเราดัดลวดเอาไว้แต่เมื่อวาน!" ซันชม "ให้ไอ้พวกนี้มันช่วยแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง"
"ไหนๆๆ" กันเดินมาสมทบ "มีไรให้กูช่วยมั่ง"
"มาพอดีเลย" ซันบอก "มึงก็แค่เอากระดาษนี่มาแปะใส่ลวดอ่ะ ทำได้ใช่มะ"
"ทำไมจะทำไม่ได้"
                 แต่วิธีการของกันนั้นผิดไปหมดทุกอย่าง เพราะแทนที่เขาจะค่อยๆ บรรจงแปะลงไปช้าๆ เขากลับกำกระดาษหนังสือพิมพ์ไว้เต็มมือ แล้วจึงง้างแขนสุดแรง แปะกระดาษชำระเข้าไปใส่ลวดอย่างแรงกระเด็นใส่หน้าเพื่อนๆ เลยทีเดียว
"ก็เหี้ยแล้ว!!!" ซันตะโกน
"เอ่า ไม่ถูกเหรอ?" กันสงสัย ก่อนจะนำกระดาษชำระมากำอีกหมัด "แบบนี้มันจะ..."
"มึงๆ หยุดเดี๋ยวนี้เลย!!!" ติ๊กตะโกนห้าม ก่อนจะค่อยๆ บรรจงสาธิตให้ดู "เนี่ย ช้าๆ เงี้ย พอจะ..."
"ถ้างั้นสาดใส่ทีเดียวเลยมันจะไม่ง่ายกว่าเหรอวะ?" กันยกกะละมังขึ้นมา หวังจะสาดใส่ทีเดียว
"มึงจะเล่นสงกรานต์เร็วไปมั้ย!!!" ซันทนไม่ไหว ซัดหมัดขวาใส่กันโดยไม่รู้ตัว
"อ่อก" กันกระเด็นไป "ไม่ถูกรึไงวะ?"
"ผิดอย่างแรงเลยล่ะโว้ย!!!" ซันตะโกนเสียงดัง "มึงนั่งอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ เลย!!!"
"ชิ" กันทำท่าไม่พอใจ
"ไม่ต้องมางอนใส่กูเลยโว้ย!!!" ซันตะโกน "นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ตอนนี้มึงมันก็แค่ตัวไร้ประโยชน์เท่านั้นแหละวะ!!!"
"เออๆ ช่างแม่งเถอะน่า" ติ๊กบอก "รีบๆ ทำให้เสร็จเถอะ"
"ของมันแน่อยู่แล้วสิวะ" ซันหยิบกระดาษชำระชิ้นหนึ่งขึ้นมา "ไม่ยอมให้งานเสียเพราะมันคนเดียวหรอก"
๕ นาทีต่อมา
"กูคือมนุษย์ค้างคาวโว้ย!!!"
               แต่ก่อนที่สมาชิกกลุ่มที่เหลือจะได้ทันทำงานก็สายไปเสียแล้ว ภายในเวลาอันน้อยนิดเท่านั้น ภาพที่ติ๊กกับซันเห็น คือภาพแห่งความอลเวงในบ้านของติ๊กนั่นเอง
               กันนั้นอยู่ในสภาพที่เปลื้องเสื้อผ้าออกเหลือแต่โจงกระเบนตัวเดียว พร้อมด้วยหน้าอันแดงก่ำและสติสตางค์ที่ไม่ค่อยเหลือเท่าไรนัก ส่วนทางด้านกฤตนั้น เขาได้เอาถุงขยะสีดำจากที่ไหนไม่รู้มาทำเป็นผ้าคลุมติดที่หลังหลัง ทำตัวลับๆ ล่อๆ ก่อนจะโผกระโจนออกมาต่อยกับอากาศอย่างเมามัน
"ไอ้เหี้ยแหลม เอาเหล้ากูมาดิ๊ เหล้าเหี้ยไรวะแม่งไม่มีรสชาติเหี้ยไรเลย!!!"
               ในขณะที่เชนนั้นก็ยังคงพ่นวาจาเน่าๆ ออกมาพลางเดินแบโซเซตามหลังกันไปเรื่อยๆ ยื่นแขนขวาออกไปเหมือนจะเอาเหล้ามาดื่มเพิ่ม ส่วนปิ๊นั้น ก็ได้นอนไม่รู้อะไรจมถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
               จากพฤติกรรมที่คนสติดีๆ มักจะไม่ทำกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาเมาจนสติหลุดหมดสิ้นแล้ว ด้วยฤทธิ์อันร้อนแรงของเหล้ามักกุรา ภายใน ๕ นาทีเท่านั้น บ้านของติ๊กก็กลายเป็นงานเลี้ยงแอลกอฮอลล์ของเพื่อนๆ เสียแล้ว นั่นยิ่งทำให้ติ๊กกับซันหนักใจเข้าไปใหญ่
"ไอ้เหี้ย!!!" ติ๊กตะโกนเสียงดัง "นี่บ้านกูนะโว้ยยยย"
"ไอ้ตัวตลกหัวเขียว" กฤตวิ่งออกไปนอกบ้านแล้ว "มึงอยู่ไหนวะ!!! ย๊ากกกกกกกกก"
"บ่นเหี้ยไรไม่รู้วะสัส" เชนบอก "น่ารำคาญชิบหายเลยว่ะเหี้ยแว่น"
"ถ้ายายกูมาเห็นแล้วจะเป็นไงมึงรู้มั้ย!!!" ติ๊กยังไม่เลิกความพยายาม "ฟังกูหน่อยสิเว้ย"
"กูฟังอยู่นะ" ปิ๊ขาน แต่ก็ดูจะไม่มีความสำคัญนัก
               ทั้งคู่เหมือนจะพยายามอดกลั้นความรู้สึกในใจเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะพวกเขารู้ดีว่า การจะไปห้ามเหล่าคนที่ไม่มีสติสัมปชัญญะเหล่านี้ คงจะต้องใช้เวลานานและอาจไม่ได้ผลเสียด้วยซ้ำ จึงควรนำเวลาที่ว่านั้นไปใช้ในการทำงานเห็นจะดีกว่า
               ในตอนนี้ สมาธิของทั้งคู่เต็มเปี่ยมแล้ว พวกเขายังคงค่อยๆ บรรจงแปะกระดาษชำระทีละชิ้นทีละชิ้น เพื่อเติมเต็มพื้นที่ของม้วนลวดไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรสามารถหยุดพวกเข้าได้แล้ว แต่หารู้ไม่ว่า กันได้เข้ามาอยู่ข้างหลังทั้งคู่แล้ว
"ทำอะไรกันอยู่ครับ" กันยื่นหัวออกมาข้างหลังซันด้วยความเมามาย
"งาน" ซันตอบสั้นๆ
"ไม่ลองมักกุราหน่อยรึไง?" กันผู้หน้าแดง ยื่นขวดมักกุราที่เหลือไม่ถึงครึ่งขวดในมือขวามาให้ซันดู "ของดีเลยนะครับ เอิ๊ก"
"กูจะทำงาน" ซันพยายามเก็บความรู้สึกให้ได้มากที่สุด
"งั้นกูร้องเพลงให้ฟันละกันจะได้ทำงานกันดีๆ ฮ่าๆๆๆๆ" ซันเหมือนจะอดทนไม่ไหวแล้ว "โอ้ว ทะเล โอ้ว ทะเล ดื่อ ดือ ดื๊อ ดือ ดื่อ ดื้อ ดื้อ ดื่อ ดื๋อ นี่ไงกูมีประโยชน์แล้ว กร๊ากกกกกกกก"
"มึงอ่ะหุบปากไปเหอะ"
               ก่อนที่ความอดทนของซันจะหมดลงไปมากกว่านี้ ติ๊กจึงจำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลม เขารีบดึงสก็อตเทปสีชมพูในมือขวาออกมาเพื่อปิดปากกันเอาไว้แน่น เพื่อพันธนาการเสียงของเขาอย่างหวุดหวิดก่อนที่จะสายไปกว่านี้ และตอนนี้ งานของพวกเขาก็เสร็จมาจนถึงครึ่งทางแล้ว
"ว่าแต่ติ๊ก" ซันหันไปคุยกับติ๊ก "เดี๋ยวนี้มึงเปลี่ยนไปเยอะนะ"
“...” ติ๊กคิดซักพัก “ยังไงเหรอ?”
"ตั้งแต่เจอกับเหี้ยเนี่ย" ซันยิ้มชม "กูว่ามึงเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นนะ"
"ก็ไม่มากหรอก" ติ๊กยิ้ม "ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกมึงด้วยแหละ"
"กูก็เหมือนกันแหละ" ซันยิ้มบอก ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์ในกะละมัง "ถ้าไม่มีมึง งานนี้กูคงต้องทำคนเดียวแล้วแหละ"
“เออ กูก็เพิ่งรู้ว่า...”
"ลูกเตะค้างคาว!!!"
               คนมันซวยก็ซวยจริงๆ ถึงแม้งานนี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีแล้วก็ตามที แต่จู่ๆ ฝ่าเท้าคู่ของกฤตก็กระโดดลงมาเหยียบลงใส่ในกะละมังใบนี้อย่างไม่ทันให้ตั้ง ตัว กระดาษหนังสือพิมพ์และน้ำกาวกระเด็นใส่ใบหน้าของซันเต็มๆ ด้วยความเมามาย แต่กฤตคงหารู้ไม่ว่าเขาได้ทำอะไรลงไปแล้ว
"เป๊าะ"
                เสียงดังเป๊าะที่ดังก้องไปทั้งห้องนี้ทำให้ทุกคนเป็นต้องสงสัยอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาพยายามที่จะค้นหาที่มาของเสียงนี้ แต่ดูไปดูมาก็เหมือนกับว่ามันดังมาจากข้างในหัวของซัน และนั่น ยิ่งเพิ่มความฉงนยิ่งขึ้นไปใหญ่
"หือ?" กฤตที่เมามายสงสัย "เสียงไรวะ? เดี๋ยวมนุษย์ค้างคาวเคลียร์เอง"
"มึงยังไม่รู้เลยนี่หว่าว่ามันมาจากไหน" เชนที่นอนอยู่บอก "ไอ้นกมีหูเอ๊ย"
"ไม่ต้องห่วง กูมีสัญชาตญาณค้างคาว ฮ่าห์!!!" กฤตกระโดดไปมารอบๆ ก่อนจะมาหยุดลงที่ต่อหน้าซัน "ฮ่าห์!!! ย่าห์!!!"
"ไอ้เหี้ย!!!!!!!!!!!!!!! พ่อมึงตายรึไง!!!!!!!!!!!!!!! ไอ่นรกส่งมาเกิด ไอ้ชั่ว ไอ้เลว ไอ้ไม่รู้จักกาละเทศะ ไอ้***!!!!!!!!!!!!!  ไอ้เพื่อนสารเลว!!!!!!!!!!!!!"
                คำด่าของซันเหมือนดั่งลาวาที่พุ่งออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ ความอดทนที่เข้าอัดอั้นมานานถูกปลดปล่อยออกมาในครั้งเดียวอย่างรุนแรงชนิดที่ว่าไม่มีอะไรเทียบได้ คำพูดของเขาช่างทรงพลังอย่างน่าเกรงขาม จนทุกคนที่ได้ยินแทบจะหยุดนิ่งไปด้วยความตกใจเลยทีเดียว สายตาของเขาดุดันดั่งพยัคฆ์ สีหน้าของเขาแดงก่ำดั่งยมบาล ไอน้ำจำนวนมากระเหยออกมาจากหัวของเขา พร้อมๆ กับจิตสังหารสีดำ ที่แผ่กระจายไปทั่วห้องนี้ และความโกรธอันมากมายมหาศาลจนแทบลุกเป็นไฟแล้ว
"สะ... สหายซัน..." กันดึงสก็อตเทปออกมา "มึงเป็น..."
"ไม่ต้องมาพูดกับกู!!! ไอ้เพื่อนเหี้ย เลว สัส!!! มึงมาบ้านนี้มึงได้ช่วยกูทำงานบ้างมั้ยเนี่ย!!! ไอ้***!!!!!!!" ซันเหมือนจะห้ามไม่อยู่แล้ว "มึงออกไปเลย!!!!!!!!!! ออกไปเดี๋ยวนี้เลย!!!"
“...” กันถึงกับหงอยไปเลย
"ทำไมมึงพูดหมาๆ งี้วะ?" เชนลุกขึ้นมาเถียง "ปากมึงทำฟาร์มหมารึไง ไปด่าเพื่อนกูเสียๆ หายๆ..."
"มึงน่ะตัวดีเลย!!! หุบปากไปเลยนะมึง!!!!!!!!! พ่อมึงเป็นหมารึไง ลูกถึงออกมาปากหมายังงี้!!!!!!!" ซันด่ารัวๆ เลยทีเดียว "ไอ้เปรต!!!!!!!! มึงกลับไปวัดเหอะ!!!!! ไอ้ควย***!!!!!!!!!!!!!"
"..." แม้แต่เชนก็ยังต้องยอมสยบ
"เฮ้ยๆๆๆ" แต่เหมือนกฤตจะยังไม่เลิก "มึงเหรอไอ้ตัวตลกหัวเขียว... มาเจอเพลงหมัดค้าง..."
"ค้างคาวบ้านพ่อมึงสิ!!!!!!!!!!!!!!"
                ความโกรธอันรุนแรงมหาศาลคงมีผลต่อพละกำลังทางกายภาพของซันอย่างแน่นอน เพราะในความเป็นจริง คงไม่มีใครที่ไหนที่จะสามารถง้างแขนขวาต่อยเข้าใส่กลางหน้าเพื่อนเต็มๆ ด้วยความรุนแรงชนิดที่ว่าสามารถส่งเพื่อนคนนี้ให้ลอยทะลุออกมาจากหน้าต่างหลังห้อง กระเด็นออกไปหน้าบ้านเป็นระยะทางไกลเกือบ ๓ ม. ได้แน่นอน นั่นจึงทำให้ทั้งหมดได้แต่อึ้งและทึ่งอย่างเงียบงันและเกรงกลัวต่อพลังของซัน ผู้ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธสุมหัวในใจจนแทบระเบิดออกมาเต็มทีแล้ว
“กูล่ะเบื่อพวกมึงจริง”
                หลังจากตะโกนออกมาจนสุดเสียงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงอยู่นานเกือบนาที ซันคงจะหมดแรงและหมดโกรธไปได้เสียที ทั้งร่างของเขาค่อยๆ หมดสติและสลบจนล้มลงไปนอนกองกับพื้น ท่ามกลางความสงสัยของเพื่อนๆ อีกมากมาย ถึงอาการอันน่าแปลกประหลาดของชายคนนี้
"..." กันค่อยๆ เดินมาดู "เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ?"
"ซี้กูเป็นไรป่าววะ?" เชนเดินออกไปตามกฤต 
"อะไรของมันวะเนี่ย?" กันเดินมาดูร่างของซัน "น่ากลัวสัสอ่ะ"
"เหี้ยเอ๊ย" ก็อตเดินมาสมทบ พร้อมถ่ายภาพร่างอันไร้สติของซัน
"กูรู้" ปิ๊ที่เพิ่งสร่างเมาเดินเข้ามาเป็นรายถัดไป "นั่นเรียกว่า ฟิวส์ขาดไงล่ะ"
"อ้าวเฮ้ย!!!"
                จู่ๆ กฤตที่ควรจะนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นหญ้าหน้าบ้านด้วยแรงหมัดของซัน ก็เกิดปาฏิหารย์ ลุกขึ้นมายืนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมด้วยโลหิตที่ยังคงไหลออกจากปาก พลางชี้นิ้วไปที่เฟม ซึ่งกำลังเดินเข้ามาผ่านประตูเหล็กที่เปิดอ้าอยู่หน้าบ้าน สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนเป็นอย่างมาก
"เฟมนี่หว่า!!!" กฤตร้องเรียกด้วยความดีใจ
"กว่าจะมาได้นะมึง" เชนทัก "ไอ้อ้วนนี่แม่งไขมันอุดตันรึไง"
"เล่นห่อนเพลินเลยสิมึง" ก็อตบอก "เดี๋ยวกูถ่ายรูปฟ้องไลน์ห้องแม่งเลยสัส"
"กัน" เฟมเรียก "ไม่เห็นไอดีมึงขึ้นเลยว่ะ"
"เอ่อ... สงสัยตอนมึงใส่มึงลืมกดเปลี่ยนภาษามั้ง" กันบอกด้วยท่าทีขัดเขิน
"ไอ้เหี้ยนี่แม่งโง่สัสเลยว่ะ" เชนเย้ยหยันอย่างไร้ปราณี "ฮ่าๆๆๆ"
"ไอ้เรื่องลืมกดเปลี่ยนภาษานี่ก็น่าสนใจนะ" ก็อตบอกต่อ "เดี๋ยวนี้กูพิมพ์ผิดเป็น ถถถ ทุกทีเลย"
"มึงเล่าซะเรื่องที่มันต่อยกูเมื่อกี้ไม่สำคัญเลยว่ะ" กฤตยิ้มบอกโดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด "เรื่องเปลี่ยนภาษานี่มันหัวข้อสำคัญจริงๆ"
"..." ถึงจะเป็นผู้รู้เพียงคนเดียว แต่เรื่องที่เขาจะพูดกลับถูกเรื่องการเปลี่ยนภาษาบนคีย์บอร์ดกลบมิดชนิดที่ ว่าไม่มีใครเห็นหัว ช่างเป็นชายผู้น่าสงสารเสียจริงๆ
"พวกมึงช่วยเห็นหัวมันหน่อยเถอะ กูขอร้อง!!!"


โปรดติดตามบทถัดไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา