วัยรุ่นหิมพานต์

7.9

เขียนโดย โชจัง

วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.15 น.

  20 บท
  38 วิจารณ์
  23.11K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ห้องปกครอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“หนูชอบพี่ค่ะ!!!”

               แค่เพียงประโยคเดียวที่เอื้อนเอ่ยจากปากของหญิงสาวคนหนึ่ง ทั่วทั้งโรงเรียนสุวัฒนาแห่งนี้ก็ดูเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะในทันใด นักเรียนทุกคนต่างตกอยู่ในความอึ้งและทึ่ง ชนิดต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน โดยที่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้เลยซักคนเดียว

 เมื่อจู่ๆ สาวน้อยผู้น่ารักและเพียบพร้อมอย่างพีช กลับมาสารภาพความในใจกับผู้ชายธรรมดาๆ แถมสติไม่ค่อยเต็มเต็งอย่างกัน ท่ามกลางสักขีพยานเป็นสิบโดยไม่สนใดๆ ทั้งสิ้น คำถามมากมายผุดขึ้นมาเต็มหัวของทุกคนที่เห็น ว่าเพราะเหตุผลอันใดกันจึงทำให้เธอคิดจะทำอะไรบ้าๆ เยี่ยงนี้ เพราะอะไรกันทำให้เธอใฝ่ต่ำไปตกหลุมรักกับกันได้

คำถามเหล่านี้เองที่ทำให้ทุกคน โดยเฉพาะพีชต่างใจจดใจจ่อรอคำตอบของกัน ที่เหมือนจะทำอะไรไม่ถูกจนได้แต่ยืนอึ้งชนิดไม่ขยับไปไหน ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกสำหรับคนที่อยู่ๆ ต้องมาเผชิญกับเรื่องราวแบบนี้ แล้วกันจะทำอย่างไรกันล่ะ?

“...” พีชที่กำลังเขินอายค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นมามองกัน /เล่นแรงไปมั้ยเนี่ย.../

               เวลายังคงล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ แต่กันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับพีชเลยซักนิด จนหลายคนที่เฝ้ารอมานานเริ่มเกิดอาการสงสัย โดยเฉพาะกับพีชที่พอจะมองเห็นสิ่งผิดปกติแล้ว

“...” พีชเริ่มจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของกัน จนเริ่มสังเกตถึงสิ่งผิดปกติ “นี่มันแข็งเกินไปมั้ยเนี่ย....”

               ดังที่พีชพูดจริงๆ ด้วย ร่างกายของกันในตอนนี้แข็งเกินกว่าจะเรียกว่าสิ่งมีชีวิตแล้ว นัยน์ตาของเขาไม่กะพริบเลยแม้แต่น้อย เบิกโพลงโตเหมือนงู และถึงพีชจะพยายามโบกมือผ่านหน้า แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาเลยซักนิด เมื่อเธอลองจิ้มเข้าไปในขนสีขาวที่แขนดู ประสาทสัมผัสของเขาก็ดูจะตายด้านไปแล้ว จนท้ายที่สุด เมื่อสาวน้อยลองเอานิ้วไปทาบใต้จมูกของไอ้หนุ่มหัวแหลม เธอกลับไม่รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกเลย เหมือนกับเขาเป็นศพเย็นชืดไปแล้วยังไงยังงั้น

“เชี่ย!” พีชดูจะตกใจอย่างที่สุด “ตายยังวะเนี่ย!!!”

“นี่เหรอเด็กใหม่ที่เป็นข่าวน่ะ”

               และแล้ว ตัวต้นเหตุก็โผล่มาเสียที ไม่ใช่ใครอื่นใด แต่เป็นนรสิงห์สีเงินอย่างปราชญ์สุรักษ์ ผู้อำนวยการของโรงเรียนสุวัฒนานั่นเอง

“!!!”

               ตั้งแต่วันเปิดภาคเรียนวันแรกเมื่อสัปดาห์ก่อน ปราชญ์สุรักษ์ก็ได้แสดงความสามารถในร่างนรสิงห์ของเขา อย่างการสั่งการให้นักเรียนทั้งโรงเรียนหยุดนิ่งไปกับที่ ดังนั้น การจะหยุดนักเรียนคนเดียวก็คงไม่เกินกำลังชายแก่คนนี้นักหรอก

               เขากำลังเดินตรงมาหาเหล่านักเรียนด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มเช่นเคย พร้อมกับอาจารย์อีกคนหนึ่งที่คอยเดินตามหลังมา และในขณะที่สายตาของเหล่านักเรียนกำลังจดจ่ออยู่ที่กันกับพีช ก็อตที่บังเอิญตาไวเห็นเป็นคนแรก ก็จำต้องประกาศภาวะฉุกเฉินให้กับคนอื่นแล้ว

“สุรักษ์มาว้อย!!!”

“!!!”

               ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สัญชาตญาณนักเรียนของทุกคนก็ถูกปลุกขึ้นมาโดยพลัน เพราะถ้าเป็นไปได้ พวกเขาก็คงเลือกที่จะอยู่ห่างๆ อาจารย์ฝ่ายระเบียบเป็นแน่ และในสถานการณ์ที่ต้องมาเจอกับผู้อำนวยการตัวเป็นๆ เช่นนี้ สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดมีเพียงฝีเท้าเท่านั้น

                ทันทีที่ก็อตลั่นประโยคนี้ออกไป ก็เหมือนมีระเบิดลงกลางสุวัฒนา เหล่านักเรียนนับสิบ ณ ที่แห่งนี้ จำต้องผันตัวกลายเป็นนักวิ่งมาราธอนแทบจะทันที ทุกคนรีบวิ่งหนีตายออกไปคนละทิศคนละทางกันชนิดจ้าล่ะหวั่น บ้างพากันหนีขึ้นไปบนอาคารเรียน บ้างวิ่งไปหลบในห้องน้ำ ความวุ่นวายเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหน โดยที่ปราชญ์สุรักษ์ยังไม่ทันทำอะไรเลยแม้แต่น้อย

               ภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น ลานหน้าห้องน้ำหญิงแห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่รกร้างผิดกับเมื่อซักครู่นี้ นับว่านักเรียนแห่งสุวัฒนามีฝีเท้าดีใช้ได้ทีเดียว จะเหลือก็เพียงแต่ปราชญ์สุรักษ์กับอาจารย์ผู้ติดตาม กันที่ตัวแข็งเป็นหินขยับไปไหนไม่ได้ รวมถึงพีช ที่สารภาพรักอยู่ดีๆ ก็มีผู้อำนวยการมาขัดจังหวะแบบงงๆ ซะอย่างงั้น

“งั้นขอเชิญมาห้องปกครองหน่อยนะ กิตติ เหมันต์วงศ์”

 

วัยรุ่นหิมพานต์

บทที่ ๙ ห้องปกครอง

 

               หลังจากสามารถวิ่งหนีครูบาอาจารย์มาได้อย่างหวุดหวิด เพื่อนๆ ของผู้เคราะห์ร้ายอย่างกัน อันได้แก่ ติ๊ก ซัน และก็อต ก็มาหยุดอยู่ ณ ตู้กดน้ำตัวหนึ่งบริเวณใต้อาคารเรียน

มันเป็นตู้กดน้ำสแตนเลสสีเงินตัวใหญ่  มีหัวก๊อกด้านล่าง ๓ ตัว ให้นักเรียนดื่มน้ำฟรีๆ ถึงจะรับประกันความสะอาดได้ไม่มากนัก แต่การได้ดื่มน้ำอันเย็นฉ่ำแบบฟรีๆ ก็คงบรรเทาอาการเหนื่อยจากการวิ่งหนีตายเมื่อครู่ได้เป็นอย่างดีแล้ว

ซึ่งในขณะที่ติ๊กกับซันกำลังก้มตัวลงดื่มน้ำอยู่นั้นเอง ก็อตที่เพิ่งดื่มเสร็จ ก็กำลังชมผลงานบนกล้องของเขาอย่างมีความสุข นั่นคือคลิปที่พีชกำลังสารภาพรักกับกัน ซึ่งหากดูจากความชัดและมุมกล้องที่เลือกถ่ายแล้ว ถ้าไม่บอก บางคนคงนึกว่านี่เป็นหนังรักเลยทีเดียว

“ฮะๆๆๆๆ” อยู่ๆ ก็อตก็ขำขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลซะงั้น “โอ๊ย ไอ้เหี้ยนี่แม่งตัวจี้จริงๆ ว่ะ”

“ก็ใครมันจะนึกล่ะวะ” ซันที่เพิ่งดื่มเสร็จพูดขึ้นมา “อยู่ๆ จะมีเด็กน่ารักๆ อย่างงั้นมาขอแม่งเป็นแฟน”

“เออสิวะ” ก็อตยังขำไม่หยุด “นี่แม่งดอกฟ้ากับหมา... ไม่สิ นี่มันดอกฟ้ากับเห็บหมาแล้ว ๕๕๕”

“น้องเค้าคิดไรอยู่วะ” สองคนนี้ยังคงนินทากันอย่างมันปาก “ประสาทกลับรึไง ๕๕๕”

“แต่ก็โชคดีของมันแหละ” ติ๊กเสริมขึ้นมาอีกคน “อยู่ๆ กลายมาเป็นหนูตกถังข้าวสารงี้อ่ะ”

“เฮ้ยๆ” ก็อตเถียงขึ้นมา “กูว่าโชคร้ายของมันมากกว่าว่ะ”

“???” อีกสองคนดูจะไม่เข้าใจ

“อะไรของมึงวะ?” ติ๊กถามขึ้นมา

“นี่พวกมึงไม่รู้จริงๆ เหรอ” ก็อตถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

“เออ ดูหน้าพวกกูสิ” หน้าที่อึ้งรับประทานของทั้งสองตอบคำถามก็อตได้เป็นอย่างดี

“พวกมึงจะลืมก็ไม่แปลกหรอก” ก็อตส่ายหน้าด้วยความเย้ยหยัน “เรื่องแม่งนานมาแล้วนี่ แต่อย่าคิดนะว่าคนอย่างมันจะลืมง่ายๆ”

“!” ติ๊กดูจะเข้าใจในที่สุด “ชิบหายแล้วไง?”

“เออ มันจะได้เจอพรสามประการตัวจริงก็คราวนี้แหละ”

 


 

              

               อีกฟากหนึ่ง ณ ห้องที่ใครต่อใครต่างก็ยกย่องให้เป็นห้องที่หนาวเย็นที่สุด ในโรงเรียนรัฐบาลที่ผู้ปกครองไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนให้เช่นสุวัฒนาแห่งนี้ เครื่องปรับอากาศถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง โรงเรียนหนึ่งอาจมีไม่กี่ตัว และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ห้องเรียนธรรมดาๆ จะมี และหนึ่งในห้องที่เครื่องปรับอากาศแรงที่สุดห้องหนึ่ง นั่นคือห้องที่มีชื่อว่าห้องปกครองนั่นเอง

               และหลังจากก่อเรื่องวุ่นวายโดยไม่มีใครจับได้มาเป็นระยะเวลานาน ในที่สุด กันก็ได้เข้ามารับไอเย็น ณ ห้องปกครองอันเลื่องชื่อแห่งนี้ เพื่อรับโทษที่เขาก่อไว้ทั้งหมดนั่นเอง

               มันเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ห้องหนึ่ง จะมีก็เพียงแต่โต๊ะตัวใหญ่กับเก้าอี้สองตัวเท่านั้น กันกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น ส่วนอีกตัวที่อยู่อีกฟากของโต๊ะ เป็นที่นั่งของอาจารย์ฝ่ายปกครอง ผู้ติดตามปราชญ์สุรักษ์เมื่อครู่นี้  ซึ่งถ้าดูจากป้ายชื่อสุดแนวบนโต๊ะ ที่เป็นเหมือนป้ายไฟคอนเสิร์ต ถูกเขียนด้วยตัวอักษรหลากสีสันเป็นคำว่า “อ.นพ สหภาค” ก็คงจะบ่งบอกชื่อเสียงเรียงนามของเขาได้เป็นอย่างดี

               และไม่เพียงแค่ป้ายชื่อเท่านั้น ลักษณะของเขายังดู “แนว” ไม่แพ้กันอีกตะหาก เขาเป็นอาจารย์หนุ่มผิวคล้ำร่างเล็กคนหนึ่ง ไว้ทรงผมเสยข้างเท่ห์ๆ แบบสตีฟ แม็คควีน แต่ดันไว้หนวดเคราแพะแบบสั้นๆ แบบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ซึ่งดูแล้วเป็นอะไรที่ไม่เข้ากันมากๆ และถึงจะอยู่ในเครื่องแบบครู แต่ไม่รู้ทำไม อาจารย์คนนี้ถึงพกแว่นกันแดดไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายซะอย่างงั้น ช่างเป็นอาจารย์ที่แนวผิดกับอาจารย์ห้องปกครอง ที่มักจะเคร่งขรึมให้นักเรียนกลัวจริงๆ

“เอ้า”

               จู่ๆ อาจารย์คนนี้ก็หยิบหนังสือปกสีน้ำเงินเล่มหนาจากลิ้นชักมาวางไว้บนโต๊ะ ซึ่งกันเองก็ดูจะแปลกใจพอสมควรกับหนังสือเล่มนี้

“นี่คือ?” กันถามขึ้นมา

“อ่านไม่ออกเหรอ?” อาจารย์ถามด้วยสายตาจริงจัง

“ก็นี่ครูเอาปกหลังมาให้ผมอ่าน ผมจะอ่านออกมั้ยล่ะครับ”

“...”

เป็นดังที่กันพูดจริงๆ เพราะที่กันเห็นมีเพียงปกหลังสีน้ำเงินเท่านั้น และดูท่าอาจารย์คนนี้ก็เพิ่งจะรู้ตัวเสียด้วย

“โอเคๆๆ งั้นโทษทีนะ” ด้วยความหน้าแตก ก็เล่นเอาอาจารย์ท่านนี้ถึงกับพลิกกลับให้แทบไม่ทันเลยทีเดียว “เอ้า อ่านออกยัง”

“ระเบียบนักเรียนโรงเรียนสุวัฒนา?”

ตัวอักษรสีทองดังที่กันพูดปรากฏบนหน้าปกเล่มนี้ พร้อมกับตราสุวัฒนารูปดอกไม้ ๘ แฉก ด้านบนเป็นสัญลักษณ์

“มีทั้งหมดเกือบๆ ๕๐๐ ข้อ” อาจารย์อธิบายด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ทะเลาะวิวาท  ๑๐ คะแนน ใช้ละอองสวรรค์โดยไม่ได้รับอนุญาต ๑๐ คะแนน แต่งตัวผิดระเบียบลบ ๑๐ คะแนน แล้วก็...”

“...” หลังจากอาจารย์นิ่งอยู่นาน กันเลยเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “แล้วก็?”

“ขอถามหน่อยเหอะ” เขากำลังมองทรงผมแหลมๆ ของกันอยู่นั่นเอง “มึงบอกช่างว่าทรงไรวะ?”

“ก็รองทรงสูงเบอร์ ๑ ธรรมดานี่ครับ”

“ไม่ๆ หมายถึงไอ้แหลมๆ นั่น ใครเป็นคนคิดวะ?”

“อ๋อ นี่เหรอ!” กันดูจะภูมิใจกับทรงนี้มาก “ไอ้นี่เรียกทรงเปี๊ยวครับ ออกแบบโดยผมนี่แหละ!”

“งั้นช่วยเอาลงหน่อยได้ป่ะวะ” อาจารย์ถามต่อ “คือนอกจากผิดระเบียบแล้วมันยังขัดลูกหูลูกตาคนอื่นด้วย”

“โห ไม่ได้หรอกครับ” กันยิ้มบอก “ไอ้นี่ยังไงก็เอาไม่ลงหรอก”

“ไหนบอกไม่ลงไง!!!”

               ไม่รอช้าใดๆ ทั้งสิ้น อาจารย์คนนี้รีบโน้มตัวไปลูบหัวกันลงมาอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่ามันก็ยังคงทรงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลย

“...”

               เขายังไม่ยอม ลูบลงมาอีก ๕ ที ด้วยความเร็วสูง แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม เล่นเอาอาจารย์คนนี้ประหลาดใจเข้าไปใหญ่

“งั้นครูขออนุญาตนะ”

อาจารย์ค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบหนังสือระเบียบบนโต๊ะ ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างฟาดมันลงไปยังกลางศีรษะของกันอย่างรุนแรง แต่ถึงมันจะเป็นหนังสือเล่มหนาขนาดไหนก็ตาม มันกลับไม่สามารถทำให้ทรงผมของกันเสียทรงเลยแม้แต่นิดเดียว

“บ้าไปแล้ว...” อาจารย์ยิ่งอึ้งรับประทานเข้าไปอีก “นี่หัวคนหรือลูกนิมิตวะ!!!”

“ก็บอกแล้วไงครับ” กันเอามือลูบหัวด้วยความเจ็บ “ยังไงก็เอาไม่ลง”

“๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕” แล้วทั้งสองก็หัวเราะเสียงดังลั่นห้องปกครอง

“หยุด พอ” แต่จู่ๆ อาจารย์ก็ยกมือห้ามกันไว้ แล้วก็กลับมาทำหน้าเครียดอีกครั้ง “เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ”

“ก็...” กันตั้งตัวไม่ค่อยทันเลยทีเดียว “ทรงผม... ใช่ๆ ทรงผมครับ”

“ทรงผมตัดไปอีก ๑๐ คะแนน” อาจารย์กุมมือวางไว้บนโต๊ะ “เท่ากับว่าวันนี้เธอโดนตัดคะแนนความประพฤติไปแล้วทั้งหมด ๔๐ คะแนน”

“...” กันตกใจเล็กน้อย “โอ้โหเฮะ”

“นี่ยังไม่นับของเก่าตอนวันแรกอีกนะ” อาจารย์เล่าต่อ “ไม่อย่างงั้น ป่านนี้เธอโดนไล่ออกไปแล้ว”

“นี่จะไล่ผมออกเลยเหรอ!!!” กันตะโกนลั่นขึ้นมาแบบไม่รู้ตัวทันทีที่ได้ยินประโยคนี้

“ก็ถ้าว่าตามระเบียบก็ตามนั้นแหละ” สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกที

“...” กันนิ่งไปเลยทีเดียว

“งั้นครูจะขอถามคำถามนึง” อาจารย์ถาม “เธอรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปมั้ย?”

“?” กันรู้สึกงงไม่น้อยกับคำถามนี้ “เอ่อ... ครับ ผมรู้สึกผิด”

“สำนึกมั้ย?”

“ครับ... สำนึก”

“แล้วจะทำอีกป่าว?”

“ไม่ครับ ไม่ทำอีกแล้ว สาบานเลย...”

“โอเค งั้นช่างหัวไอ้หนังสือเล่มนี้ แล้วทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน” แล้วอาจารย์คนนี้จึงเก็บหนังสือลงลิ้นชักอย่างรวดเร็ว

“ไรวะเนี่ย!!!” เหตุการณ์แบบนี้ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของนักเรียนยิ่งนัก

“ไม่ต้องงงหรอก” อาจารย์เริ่มอธิบายด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ผอ. โรงเรียนนี้ก็เป็นงี้แหละ”

“ผอ.?”

“กำชับนักหนาว่าอย่าหักคะแนนเด็ก เอาแค่ตักเตือนก็พอ” อาจารย์เล่าให้ฟัง “ไอ้หวังที่มึงล้มตอนวันเปิดเทอม โดนครูถามแบบนี้เป็นสิบครั้ง จนทุกวันนี้ยังเดินหน้าสลอนอยู่เลย”

“...” อึ้งไปเลยทีเดียว “ขนาดนั้นเลย?”

“ก็นั่นแหละ” อาจารย์เองก็ดูจะเอือมระอาไม่น้อย “เป็นงี้มาสิบกว่าปีแล้ว”

“แล้วนี่คือจบแล้วใช่ป่าวครับ?” กันค่อยๆ ลุกขึ้นมา “ผมจะได้ขึ้นเรียนซักที...”

“นั่งลงก่อน” อาจารย์ห้ามไว้ก่อน “ใครบอกให้ไปกันวะ? อย่างน้อยก็เชิญผู้ปกครองมาคุยกันก่อน โทรมาเดี๋ยวนี้เลย จะได้จบๆ ไป”

“คือตอนนี้ผมอยู่คนเดียวนี่สิครับ”

“?” อาจารย์สงสัยขึ้นมาในทันที “แล้วพ่อแม่ล่ะ?”

“พ่ออยู่นพบุรี ส่วนแม่อยู่อโยธยาครับ”

“ไปคนละทิศคนละทางเลยเว้ยเฮ้ย” อาจารย์ยังถามไปเรื่อยๆ “แล้วพ่อทำงานไร?”

“เจ้าเมืองครับ”

“อ๋อ ใช่ๆ เจ้าเมืองคงไม่มีเวลา...” แต่ดูเขาจะเพิ่งตระหนักได้ “เมื่อกี้ครูได้ยินคำว่าเจ้าเมืองนะ”

“ครับ ก็เจ้าเมืองไง”

“...” อาจารย์อึ้งไปซักพัก “เออ เด็กใหม่ นี่ชื่อไรนะ?”

“กิตติครับ”

“นามสกุล?”

“เหมันต์วงศ์”

“กิตติ เหมันต์วงศ์...” ก่อนที่อาจารย์คนนี้จะเริ่มยิ้มหวานขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เหมือนพึ่งถูกหวยรางวัลที่หนึ่งมายังงังงั้น “โป๊ะเช๊ะ!!!”

“เอ่อ... มีไรเหรอครับ?”

“บ้าไปแล้ว!!!”

               ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์คนนี้เพิ่งไปตะลุยอวกาศด้วยบ้องวิเศษมาหรือยังไง แต่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ จู่ๆ เขาก็เริ่มโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างมีความสุขกลางห้องปกครองแห่งนี้ ทำเหมือนกับที่นี่เป็นเวทีคอนเสิร์ต โดยไม่อายสายตานักเรียนที่นั่งดูอยู่อย่างกันแม้แต่น้อย

“บ้าไปแล้ว!!!”

               ก่อนที่อาจารย์ท่านนี้จะปิดท้ายด้วยการกระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะ แล้วแสดงลีลาสเต็ปเทพต่อหน้ากันที่ได้แต่นั่งดู จนอีกฝ่ายถึงกับมึนงงไปเลยทีเดียว

 


พื้นที่พักสายตา


 

 

“ว้าว!!!” เต้นมาซักพักก็เริ่มเหนื่อย อาจารย์จึงกลับมานั่งที่ตามเคยในที่สุด “สุดยอดไปเลยว่ามั้ย!!!”

“เอ่อ... สุดยอดมากครับ” มีแต่ต้องตามน้ำไปเท่านั้น

“ก็ไม่บอกแต่แรกนี่ว่าเป็นลูกพี่ช้าง” อาจารย์ยังไม่หายตื่นเต้น “พ่อสบายดีมั้ยเนี่ย?”

“สบายดีครับ....” กันยังอึ้งไม่หาย “แล้วรู้จักกันได้ไงอ่ะครับ?”

“พ่อเอ็งน่ะช่วยชีวิตครูกับทหารเกือบหมื่นตอนนั้น” อาจารย์เล่าให้ฟัง “ก่อนเอ็งจะเกิดอีกมั้ง”

“...” ประโยคนี้เล่นเอากันเบิกยิ้มขึ้นมาในทันที “แล้วนี่ผมไปได้ยังเนี่ย”

“ครูชื่อนพ  เรียกสั้นๆ ว่า อ.นพ(ออ-นพ) ตามป้ายนี้เลย” ในที่สุดก็รู้ชื่อเสียที “มีปัญหาไรก็บอกได้ทุกเมื่อนะ”

“ครับ” กันยกมือไหว้ ก่อนจะค่อยๆ เดินลุกออกจากเก้าอี้ไป “งั้นผมไปแล้วนะ”

“ตามสบาย” อ.นพ ค่อยๆ ลุกตามหลัง มาส่งกัน “แต่ว่านะ กิตติ”

“ครับ...!!!”

               ทว่า ในระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากห้องนี้ไปอยู่รอมร่อแล้วนั้นเอง จู่ๆ สัญชาตญาณก็บอกให้กันเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก ที่ครั้งนี้ดูเหมือนมันจะถูกต้องเสียด้วย เมื่อเขาพบว่า อ.นพ ที่เพิ่งจะคุยกันอย่างถูกคอเมื่อครู่ กลับกำลังเล็งลำกล้องปืนจ่อมายังกลางหลังของตนแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเสียแล้ว

               ยิ่งไปกว่านั้น ปืนที่ อ.นพ กำลังถืออยู่ก็ดูน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง มันไม่ใช่ปืนพกธรรมดาทั่วไป แต่กลับเป็นปืนไฟ ปืนโบราณที่มักจะพบได้ตามร้านขายของเก่าไม่ก็พิพิธภัณฑ์ เหตุผลก็คือหากเทียบกับปืนยุคปัจจุบันแล้ว ประสิทธิภาพของมันก็ห่างกันราวฟ้ากับเหว ทั้งระยะหวังผลที่ไม่แน่นอน รวมถึงการที่สามารถยิงได้ทีละนัดเท่านั้น

               อีกทั้งความสวยงามของปืนกระบอกนี้ก็ดูไม่เหมือนของธรรมดาๆ อีกตะหาก ด้ามนั้นทำจากไม้เนื้อดีสีน้ำตาลเข้ม ส่วนไกกับลำกล้องนั้นเป็นเหล็กสีเงินแวววาว ที่สำคัญคือ บริเวณปลายลำกล้องยังถูกสลักเป็นลายอักขระทั้งสองด้านอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นปืนที่งดงามจริงๆ

               นับว่าสัญชาตญาณของกันนั้นเฉียบคมมากทีเดียว ที่สามารถรับรู้อันตรายใกล้ตัวได้อย่างรวดเร็ว และถึง อ.นพ จะตั้งใจขู่เล่นเฉยๆ แต่ถ้าหากไม่ใช่อย่างงั้น กันเองก็คงจะเฉียดตายมาแบบหวุดหวิดไปแล้ว สร้างความตระหนกตกใจไม่น้อยทีเดียวกับไอ้หนุ่มหัวแหลมคนนี้

“เชื้อพ่อมาแรงนี่หว่า” อ.นพ ยิ้มชม

“โธ่ อย่าเล่น...”

               แต่ดูเหมือนกันจะประมาทไปหน่อย เพราะในระหว่างที่กำลังจะหันกลับไปหา อ.นพ อยู่นั้นเอง อาจารย์คนนี้ก็ใช้โอกาสที่นักเรียนกำลังเผลอ เตะเข้าไปที่ข้อเท้าขวาของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไอ้หนุ่มหัวแหลมจึงเสียการทรงตัว และล้มลงไปกองกับพื้นในที่สุด

               ทว่า ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาได้ทัน อ.นพ กลับก้มตัว แล้วใช้ปืนในมือจ่อหัวกันเสียแล้ว ช่างเป็นชายที่น่ากลัวเกินกว่าที่จะรับมือไหวจริงๆ

“...” กันได้แต่อึ้งถึงความสามรถในตัวอาจารย์คนนี้

“แต่ว่ายังใจร้อนไปหน่อยนะวัยรุ่น” อ.นพ ยกปืนขึ้นแล้วยิ้มบอกกับกัน

“บ้าไปแล้ว...” แม้แต่กันยังอุทานเป็นคำเดียวกับ อ.นพ /ทำไมโรงเรียนนี้แม่งเถื่อนจังวะ.../

 


 

 

             ขณะเดียวกันนี้เอง บริเวณทางเดินหน้าห้องปกครองนี้เอง ถึงจะได้เวลาเข้าห้องเรียนมาตั้งนานแล้ว แต่ที่นี่ กลับมีนักเรียนสาวคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นสังข์อยู่บนเก้าอี้ม้านั่งไม้ โดยไม่แยแสเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปเลยแม้แต่น้อย เหมือนว่าเธอกำลังรอใครซักคนอยู่ และถ้าหากบอกว่าเด็กสาวคนนี้คือพีช ก็คงรู้แล้วล่ะว่าเธอกำลังรอใครกันแน่

“อีเหี้ย!”

               ละอองแสงรวมตัวกันเป็นหน้าจอลอยอยู่เบื้องหน้าพีช และบนหน้าจอนั้นเอง ก็เป็นคลิปเหตุการณ์เมื่อช่วงกลางวันของก็อต ซึ่งบัดนี้ มันได้ลงสื่อสังคมออนไลน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ระหว่างที่ดูนั้น สาวน้อยกลับไม่มีทีท่าโกรธหรืออายเลยซักนิด แต่เธอกลับยิ้มด้วยความดีใจ เหมือนกับดาราดังๆ ที่ชอบทำตัวให้เป็นข่าวยังไงยังงั้น

“อีพี่ก็อตนี่” พีชยังยิ้มไม่หุบ “กูเป็นข่าวอีกแล้วเนี่ย!”

“ชิบหายแล้วไง จะหมดคาบแล้วเนี่ย”

               แต่ระหว่างที่กำลังดูอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้นเอง บุคคลที่สาวน้อยกำลังรอคอยก็เดินออกมาประตูกระจกของห้องปกครองเสียแล้ว

“พี่กัน!” พีชยิ้มเรียกทันที

“หือ?” กันดูจะจำชื่อพีชไม่ได้ “น้องที่เจอกันตอนเที่ยงนี่ ชื่อไรนะ?”

“พีชค่ะ!” พีชเก็บสังข์ใส่กระเป๋าโจงกระเบน แล้วเรียกกันมา “นั่งนี่สิคะ”

“อ้อ...” กันที่ยังงงอยู่ ค่อยๆ เดินไปนั่งบนม้านั่ง โดยนั่งให้ห่างอีกฝ่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “อ่า... มีเรื่องไรเหรอ?”

“ก็เมื่อกลางวันไงคะ” แต่ถึงจะห่างแค่ไหน พีชก็พยายามเขยิบมาใกล้เรื่อยๆ อยู่ดี “พี่ยังไม่พูดไรเลยนะ”

“?” กันดูจะไม่รู้เรื่อง “เรื่องไรเหรอ?”

“ก็เรื่องที่...” พีชคงอายเกินที่จะพูดตรงๆ “ที่พีชบอกไงคะ”

“???” หน้าตากันงงอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนั้นน้องถามแค่ชื่อพี่เองนะ”

“?” พีชก็ดูจะงงไม่แพ้กัน “แล้วไงต่อคะ”

“แล้วอยู่ๆ พี่ก็สลบไป แล้วมาอยู่ห้องปกครองเนี่ย” กันเล่าให้ฟัง “ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนอะไรเข้าไป แม่งโคตรงงอ่ะ”

“อ๋อ...” พีชรู้เสียที /สงสัยโดนสุรักษ์เล่นก่อนกูจะพูด.../

“แล้วตกลงมีเรื่องไรจะพูดเหรอ?” กันถามต่อ

“เปล่าค่ะ” ปิ่นยิ้มปฏิเสธ “เรื่องนั้นช่างมันเหอะ...”

“ถ้าไม่มีไรแล้ว งั้นพี่ไป...” เมื่อหมดธุระ กันก็คงต้องลาสาวน้อยไปเรียนแล้ว

“เดี๋ยวก่อนค่ะ!!!” พีชห้ามไว้แทบไม่ทัน

“...” กันชะงักไปเลยทีเดียว

“คือ... ช่วยนั่งเป็นเพื่อนพีชก่อนสิคะ?” พีชพูดด้วยความเขินอาย

“เอ่อ...” กันจึงจำต้องหย่อนบั้นท้ายลงไปนั่งตามเดิม “ได้สิ...”

“...” ทั้งคู่ได้แต่นั่งเงียบ

“แล้วนี่นั่งรอไรเนี่ย?” กันเอ่ยปากถามในที่สุด

“ไม่รู้สิคะ” พีชตอบไปตามตรง

“อ้อ...” กันก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน “อืม... เยี่ยมไปเลย”

“...”

               และในขณะที่ทั้งสองกำลังเค้นหาคำพูดอยู่นั้นเอง พีชก็อาศัยจังหวะนี้ ค่อยๆ เขยิบเข้ามาหากันแบบไม่ให้รู้ตัวอีก จนเมื่อเธอเขยิบมาจนชิดนั่นเอง อีกฝ่ายจึงจะรู้สึก

“...” กันค่อยๆ หันไปมองหน้าพีช แล้วยิ้มให้ “นี่จะชิดไปมั้ยเนี่ย”

“หนูก็ว่างั้นแหละค่ะ” พีชยิ้มแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก “แหะๆ”

“แหะๆๆๆ” กันก็เลยหัวเราะตามไป /เมื่อไรจะได้ขึ้นห้องเนี่ย/

“เอ้อ พี่กันคะ!” พีชจึงใช้โอกาสนี้เปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วพี่...”

“พีช!”

               แต่แล้วโอกาสที่เธอจะได้คุยกับชายในฝันกลับถูกมารผจญมาขวางไว้เสียได้ จนเมื่อทั้งสองหันไปตามเสียงของหญิงสาว จึงได้พบกับนักเรียนสาวแสนสวยคนหนึ่ง ผู้ที่กำลังยืนมองทั้งคู่อยู่ด้วยสายตาอันเย็นชา ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

               เธอเป็นนักเรียนสาว ม.ปลาย คนหนึ่ง รูปร่างสูงหุ่นดีเหมือนนางแบบ แถมยังอกโตอีกตะหาก ผิวนั้นขาวเนียนพอๆ กับพีช อีกทั้งหน้าตายังแลดูคล้ายกัน เพียงแต่โครงหน้าดูจะเรียวยาวกว่า สวมแว่นกลมรี เกล้าผมม้ายาวด้วยโบว์สีน้ำเงิน ดูแล้วสวยใสพอสมควร ถ้าหากใบหน้านั้นไม่ได้บึ้งตึงด้วยสายตาอันเย็นชาเช่นนี้ และดูเหมือนว่าพีชจะรู้จักหญิงสาวคนนี้เป็นอย่างดีเสียด้วย

“พี่มินต์!” เป็นพี่น้องกันนี่เอง

“อ้าว นี่พี่พีชเหรอ?” กันยิ้มถาม “อยู่ห้องไรอ่ะเธอ?”

“ม.๕/๘!” มินต์ตอบไปด้วยสายตาอันจริงจัง

“สวัสดีครับ” กันเลยยกมือไหว้ไปตามระเบียบ “ห้องเดียวกันซะด้วย”

“ทำไมไม่ขึ้นเรียน?” พี่สาวผู้หวังดีถาม “แล้วมานั่งไรตรงนี้? แล้วคนนี้เป็นใคร?”

“คือ...” โดนเป็นชุดขนาดนี้คงจะตอบไม่หมดเป็นแน่ “ก็กำลังจะขึ้นเรียนอ่ะค่ะ พอดีผ่านมาเจอพี่เค้าพอดีก็เลยแวะคุยด้วย”

“คุยกันธรรมดาไม่ได้เหรอ?” มินต์ยังไม่พอ “ชิดกันซะขนาดนี้ทำไม?”

“ก็...”

“อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะว่ามันเป็นใคร” มินต์พูดด้วยสายตาเย็นชาเช่นเคย

“คือก็ไม่ได้จะว่าไรหรอกนะ” กันขอเข้ามาร่วมวงด้วย “แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่...”

“ไม่เกี่ยวอย่าเสือก!”

“ขอโทษจ้า” ยกมือไหว้ตามระเบียบ

“ก็ว่าจะไปแล้วอ่ะค่ะ” พีชยิ้มบอก “แค่คุยกันนิดเดียวเอง...”

“แล้วเมื่อไรจะไป?” โหดจริงๆ พี่สาวคนนี้

“งั้น...” เพื่อไม่ให้บานปลายไปมากกว่านี้ กันจึงลุกออกไปในที่สุด “เดี๋ยวพี่ไปแล้วนะ”

“อ้าว” เมื่ออยู่ในสายตามินต์ พีชคงจะรั้งไว้ไม่ได้แล้ว “พี่กัน!”

“จ๊ะ?” แต่เมื่อหันกลับไปเจอกับสายตาอำมหิตของมินต์ กันจึงขอลาแบบไม่กลับมาอีกเลย “บายจ้า”

“เฮ้อ” พีชถึงกับถอนหายใจ “ไปซะแล้ว”

“ก่อเรื่องทุกวันเลยนะ” มินต์บอก “บอกแล้วอย่าไปยุ่งเรื่องผู้ชายให้เยอะนัก ไม่เคยฟังเลย”

“นี่มันเรื่องของความรักต่างหาก” พีชเริ่มอารมณ์เสียแล้ว

“ความรัก?” มินต์ถาม “คนก่อนก็พูดแบบนี้นะ”

“พีชจะรักใครชอบใครก็เรื่องของหนูได้ป่ะค่ะ!!!” พีชทนไม่ไหวแล้ว ตะคอกกลับใส่เต็มแรงด้วยความอัดอั้น “ทำไมพี่ต้อง... ต้องมาเสือกกับหนูทุกทีเลยอ่ะ!!!”

“แต่พี่พูดไปก็เพราะ...”

“ก็เพราะพี่ไม่เคยรู้จักความรักจริงๆ ไงล่ะคะ!!!” พีชเก็บอาการไม่อยู่แล้ว “พี่ถึงได้เป็นคนอย่างงี้!!!”

“...” ประโยคนี้ทำให้มินต์อึ้งไปซักพักเลยทีเดียว

“นี่เป็นเรื่องของพีช” พีชค่อยๆ สงบสติอารมณ์ได้แล้ว “พี่อยู่เฉยๆ ก็พอ พีชโตแล้ว”

               หลังจากระเบิดความในใจออกมาจนหมดสิ้นแล้ว พีชก็ดูจะไม่มีอะไรจะพูดกับพี่สาวอีกต่อไปแล้ว เธอหันหลังกลับไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินจากไปตามทางของตนด้วยความไม่เข้าใจในที่สุด โดยไม่สนสายตาอันแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยของมินต์เลย

“เฮ้อ”

 

โปรดติดตามบทถัดไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา