That’s love? เรียกว่ารักได้หรือเปล่า

5.5

เขียนโดย markriya

วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 01.42 น.

  4 chapter
  3 วิจารณ์
  5,962 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) คลื่นกระทบฝั่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

That’s love? เรียกว่ารักได้หรือเปล่า

 

ตอนที่ 1 คลื่นกระทบฝั่ง

 

“พ่อๆ เมียใหม่พ่อสวยป่ะ รวยมั้ย บ้านหลังใหญ่เปล่า” เสียงใสพูดพลางยื่นหน้าเข้าถาม ไม่สนสายตาเอือมๆ ของคนเป็นพ่อที่มองสบมา

 

“ไม่รู้วะ” ฝ่ายพ่อก็ตอบแบบส่งๆ ไปอย่างตัดรำคาญ

 

“แล้วบ้านเขาอยู่กันกี่คน” คนเป็นลูกยังคงซักไม่เลิก แม้จะรู้ว่าพ่อรำคาญ ก็แหม แสดงออกซะเด่นชัดขนาดนั้น อีมาร์ไม่ใช่คนโง่นะครัช

 

“ไม่รู้” เสียงที่ตอบมายังคงทวีความรำคาญเพิ่มขึ้น แบบที่ไอ้ตัวดียังคงยิ้มร่า

           

“เลี้ยงแมวป่ะพ่อ อยากลองเลี้ยงเปอร์เซียอะ บ้านเขาจะมีมั้ย” เสียงใสยังคงพูดในสิ่งที่อยากรู้ต่อไป ให้คนเป็นพ่อถอนหายใจอย่างนึกปลง

           

“ไอ้มาร์ กูไม่รู้วะ กูจะไปเป็นผัวเขา ไม่ได้จะไปเป็นผัวคนในบ้าน หรือผัวหมาแมวเขานะโว้ย” พ่อโวยออกมานิดๆ ให้ไอ้มาร์ยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มจะสนใจตัวเองก่อนยิงประโยคเด็ด

           

“แล้ว...ฟิตมั้ยพ่อ”

           

ผลั๊ว!

           

“โอ๊ย! ตบหัวอีกแล้วนะพ่อ เกิดรอยหยักในสมองลดลงแล้วโง่ขึ้นมาจะทำยังไง” มาร์แว๊ดกลับอย่างไม่จริงจังนัก ไอ้เรื่องลงไม้ลงมือกับพ่อนี่เป็นเรื่องปกติ แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้อ้อนแอ้นอ่อนแอขนาดต้องมาซีเรียสอะไรกับเรื่องพวกนี้

           

ใช่... ไอ้มาร์ที่โดนพ่อโบกกบาลเมื่อครู่เป็นผู้หญิง

           

“ทะลึ่งนะมึง เป็นสาวเป็นแส้เสือกถามว่าฟิตมั้ย กูไม่ถีบมึงร่วงออกนอกรถนี่ก็ถือว่ากูมีความเป็นพ่อสูงส่งขนาดไหนแล้ว” หน้าตาท่าทางพ่อราวกับจะพ่นไฟใส่ลูกสาว ประทานโทษ

           

ไอด้อนแคร์...

           

“ก็พ่อเล่นไม่รู้อะไรสักอย่างเลยนี่หว่า เกิดเขาเป็นแม่เล้าหลอกพ่อไปขายตูดพ่อจะทำยังไง ไอ้มาร์ออกปากเลยว่าไม่ช่วยนะพ่อ ไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อคนแก่” ปากหมาๆ ยังคงพ่นไม่หยุด ก็มันคันยิกๆ เวลาถามไปแล้วไม่ค่อยจะได้อย่างที่อยากฟังนี่หว่า

           

“ไอ้นี่ ลามปามนะมึง กูรู้แค่ว่าผัวเขาตายนานแล้ว มีลูกติดอีกสองคนก็แค่นั้น กูบอกแล้วกูคบกับเขา ไม่ได้คบกับยาม สนามหญ้า หรือยุงในบ้านเขา ทำไมกูต้องรู้อะไรให้มากมายด้วยวะ” พ่อถอนหายใจอีกเฮือก ไอ้มาร์เลยเลิกเซ้าซี้แล้วควักคิทแคทขึ้นมากิน

           

“ไอ้มาร์ คุณเดือนเขาเป็นห่วงเรื่องของมึงกับลูกชายเขามากเลยนะโว้ย มึงว่าพอจะเข้ากับเขาได้บ้างมั้ย” พ่อเปิดบทสนทนาขึ้นมาอีกรอบ

           

“อะไรนะ! ลูกชายงั้นหรอ งั้นก็ดีสิพ่อ นึกว่าต้องไปเจอพวกสาวสวยไฮโซ ลูกคุณหนูทุกระเบียดนิ้ว ขืนเป็นแบบนั้นฉันคงอกแตกตาย” มาร์ว่าอย่างนึกขยาด ไอ้พวกเรียบร้อยราวผ้าพับไว้นี่มันคนละสปีชีส์กับเธอที่เป็นผ้ายัดๆ กองๆ ไว้ราวส้มตำกับสเต็ก

 

ไอ้มาร์นะที่เป็นส้มตำ ให้พวกไฮโซนั่นเป็นสเต็กนั่นแหละดีแล้ว แดกยาก!

           

“ลูกชายนี่สิตัวดี มึงยังไม่เข็ดอีกรึไงกับไอ้พวกเนี้ย” พ่อบ่นใส่แล้วถอนหายใจอีกรอบ เขาว่าถอนหายใจบ่อยๆ จะแก่เร็ว อีกชั่วโมงนึงพ่อคงให้จองศาลาได้ เล่นถอนหายใจบ่อยขนาดนี้ก็นะ

 

ตายละหว่า เผลอแช่งพ่อ จะอกตัญญูมั้ยกูเนี่ย

           

“จะอะไรให้มันมากละพ่อ หรือพ่อไม่ใช่ผู้ชาย อะไหนๆ พกกระโปรงมานุ่งด้วยป่ะ ขอฉันรื้อกระเป๋าหน่อย” มาร์อดแขวะใส่ไม่ได้ ไม่มีใครอยากจดจำอดีตนักหรอก แต่บางทีมันก็ลืมไม่ได้ แค่หวังไม่ให้ขุดคุ้ยมันขึ้นมานี่ยากมากมั้ยพ่อ เดี๋ยวปั๊ด... เหนี่ยวคอมากัดเลยนี่

           

“ลามปามอีกแล้วนะมึง เดี๋ยวกูถีบร่วงรถซะจริงๆ” พ่อถอนหายใจอีกรอบ หน้าตามีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ฉันยังทำหน้าเป็นเข้าใส่

           

“ฮันน่อวววว ที่แท้ก็เป็นห่วงเค้าสินะตัวเอง น่ารักจุง มามะ มาจุ๊บที” ไอ้มาร์แกล้งทำปากยื่นปากยาวเข้าหาพ่อที่หน้าบึ้งสนิท ก่อนจะผลักไสหัวลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนออกอย่างเบามือ

           

ซะที่ไหนละครัช ผลักเต็มสตรีมขนาดนั้น ถีบเลยดีกว่ามั้ย?

           

“ว่าแต่พ่อเคยเจอลูกชายเขาหรือเปล่า” ยิงคำถามทันทีหลังจัดแจงจับตัวเองยัดกลับเข้าเบาะนั่งได้แล้ว งงสินะว่าพวกเราเดินทางด้วยอะไร ขอบอกจากใจว่ารถทัวร์สิครัช ประหยัดสุด ค่าตั๋วร้อยกว่าบาท สบายกระเป๋ากว่าขึ้นเครื่องเป็นไหน ถ้ากลัวนั่งนานเหมื่อยตูดก็แค่ยักย้ายตูดบ้างเป็นพักๆ ก็พอ

           

“ไม่เคยวะ ก็คงไม่มีอะไรมากหรอกมั้ง เห็นว่าน่าจะเป็นพวกผู้ดีเก่า เรื่องมารยาทคงโอเค” พ่อบอกด้วยแววตาครุ่นคิด พ่อไอ้มาร์จัดว่าหล่อเหลาคมคาย ก็ไอ้เชื้อสายลูกครึ่งสเปนของพ่อนั่นแหละ ไอ้คนลูกอย่างไอ้มาร์ก็เลยกลายเป็นลูกเสี้ยวสเปน มีชื่อเก๋ๆ อยู่ทุกวันนี้

           

พวกคุณอยากรู้คำแปลหรอ... ไม่บอก ฮ่าๆๆๆ

           

“ฉันก็ไม่อะไรนะพ่อ จะทำตัวเป็นเทวดาตีนไม่ติดพื้นฉันไม่ว่า แต่มันจะรับนิสัยอย่างฉันได้มั้ยก็พอ บอกไว้ก่อนฉันไม่คิดจะกระแดะ หรือเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร” มาร์ว่า ตัวตนของเธอเป็นอะไรที่มันเกินกว่านิสัย หรือว่าง่ายๆ มันซึมลึกเข้าสู่กมลสันดานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะให้มาเปลี่ยนแปลงอะไร เพื่อใครน่ะทำไม่ไหวหรอก

           

“จะไปยากอะไรวะ มึงก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ถ้าเห็นท่าไม่ดีมึงก็ซัดสักทีสองทีก็ได้กูไม่ว่า” คำบอกเหมือนอนุญาตให้เธออัดพวกนั้นกลายๆ เรียกเสียงหัวเราะใสๆ ได้ถนัดนัก

           

“ที่แท้ก็ลงมือเองไม่ได้เลยใช้ฉันสินะ ฮันน่อววว พ่อนะพ่อ” มาร์ทำตาวิบวับล้อเลียนบุพการี ไอ้นิสัยพวกนี้อย่าถามเชียวว่าได้มาจากใคร

           

พ่อล้วนๆ...

 

           

โอ้โฮเฮ้ย บ้านเมียใหม่พ่อนี่มันใหญ่ยังกะวัง เคยดูหนังที่บ้านตัวเอกรวยๆ หลังใหญ่ๆ กว้างๆ ทุกอย่างจัดไว้เป็นสัดส่วนอย่างลงตัวไหมละ ไหนจะไอ้พวกเครื่องตกแต่งหรูหราพวกนั้นอีก แค่มองค่าตกแต่งภายนอกก็คงกินไปหลายล้านแน่ๆ ไม่อยากจะนึกถึงข้างใน

           

แหมๆ มีคนใช้เดินมาเปิดประตูบ้านด้วยเว้ยเฮ้ย!

           

พ่อบอกให้แท็กซี่ขับรถเข้าไปข้างในได้เลย ระยะทางจากหน้าบ้านก็ไม่ไกลนัก แต่ถ้าให้เดินไปก็ขี้เกียจพอดู

           

นี่แมร่งบ้านสส.พรรคไหนเปล่าวะ ไอ้มาร์เริ่มจะสงสัย

           

ที่หน้าบ้านมีหญิงสาวหน้าตาสะสวย อายุราวสามสิบต้นๆ แต่มองดูก็พอจะรู้ว่านี่แหละคุณเดือนเมียใหม่พ่อไม่ผิดแน่

           

ไอ้ชุดเรียบแต่หรูติดแบรนด์ดังนั่น เขาคงไม่ซื้อให้คนใช้ใส่หรอก

           

“สวัสดีครับคุณเดือน รอนานไหมครับ” พ่อส่งยิ้มไปทักทายเมียใหม่ที่เพิ่งจดทะเบียนกันไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

 

จุ๊ๆ อย่าถามว่าทำไมพ่อต้องย้ายมาอยู่กับเขา ไม่ต้องเดาก็น่าจะรู้ เมียใหม่พ่อคงจะยอมไปอยู่บ้านหลังธรรมดาๆ กับพ่อหรอกนะ แล้วมันบังเอิ้น บังเอิญที่พ่อเสือก เอ้ย โดนย้ายมาที่นี่พอดิบพอดี ประจวบเหมาะก็เลยหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ซะเลย

 

“ไม่นานค่ะ เดินทางมาเหนื่อยไหมคะ เข้าไปพักข้างในก่อนดีกว่านะคะ” คุณเดือนมองกับพ่อแล้วหันมาทางฉัน ซึ่งฉันก็ยกมือไหว้ให้อย่างคนพอมีมารยาท เห็นเธอยิ้มให้น้อยๆ ก่อนที่พ่อจะออกปากแนะนำ

 

“นี่มาร์ครับ ลูกสาวคนเดียวของผม” พ่อผายมือมาทางฉัน ซึ่งฉันก็ฉีกยิ้มกว้างหน้าเป็นขึ้นมาทันที

 

คุณมายิ้มขำเข้าทีนึงก่อนจะชวนเข้าบ้านอีกรอบ “เจอก่อนสักทีนะหนูมาร์ เข้าบ้านก่อนดีกว่าค่ะ จะได้พักให้หายเหนื่อยด้วย” ประโยคท้ายเธอหันไปบอกกับพ่ออีกรอบ

 

เธอเดินนำหน้าพ่อกับฉันเข้าไปในบ้าน เป็นสัญญาณให้เราสองพ่อลูกเดินตามไป

 

ผ่านห้องโถงกว้างขวางตกแต่งอย่างหรูหรา ข้างทางมีประตูปิดไว้อีกหลายห้องรอคอยการสำรวจจากสมาชิกใหม่ ที่ห้องรับแขกของบ้านมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนรออยู่

 

รูปร่างเขาสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวขาวเหลืองอย่างคนถอดแบบมาจากแม่ แต่หน้าตาคมสันที่คาดได้ไม่ยากว่าคงมาจากพ่อ คิ้วเข้ม ตาคมกริบวาววับดุจสายตาของราชสีห์ รอยยิ้มน้อยๆ ระบายประดับบนริมฝีปาก เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลกับกางเกงสแล็คสีดำ บุคลิกดูน่าเกรงขามที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเชิงการค้า

 

อัศวิน... นั่นคือคำนิยามที่เหมาะที่สุดกับผู้ชายคนนี้

 

“ชิน นี่คุณมูนกับลูกสาว” เสียงคุณเดือนแนะนำสั้นๆ ดึงสติของเธอให้กลับสู่สภาวะปกติ ก่อนที่จะพินิจอีกฝ่ายเจาะลึกไปมากกว่านี้

 

เห็นเขายกมือไหว้พ่อ ก่อนที่ฉันจะยกมือไหว้เขา และก็จบด้วยที่ต่างฝ่ายต่างรับไหว้ให้แก่กัน เราทั้งคู่ต่างมองจ้องตากันราวกับกำลังประเมินอีกฝ่ายอยู่อย่างไม่ปิดบัง

 

“เป็นไงมั่ง” พ่อเอ่ยปากถามให้ได้ยิน

 

ฉันยกยิ้มกว้างขณะที่ยังสบตาอีกฝ่ายไม่เลิก ก่อนตอบพ่อไปอย่างชัดเจน

 

“ราชสีห์ทองเลยละพ่อ”

 

อีกฝ่ายเบิกตามอง มีแววประหลาดใจฉายวาบมาชั่วครู่ ก่อนที่ริมฝีปากหยักลึกจะยกยิ้มอย่างพึงใจ

 

“เราเองก็ใช่ย่อยนะน้องสาว” รอยยิ้มการค้าหายไป กลายเป็นรอยยิ้มราวคนเจอของเล่นถูกใจเข้าให้ แต่เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะเล่นใคร

 

“ก็พอตัวนะคะพี่ชาย” ฉันยกยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งกลับไป ก่อนเราทั้งคู่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ เหมือนเจอคนคอเดียวกันที่พอลับคมให้กันได้อยู่

 

ถือว่าเป็นการเปิดฉากที่ไม่เลว

 

จากนั้นคุณเดือนก็เรียกคนใช้ในบ้านทั้งหมดออกมาราวสิบคนเพื่อแนะนำให้ฉันกับพ่อได้รู้จักว่าใครทำอะไร มีหน้าที่ยังไงในบ้านหลังนี้

 

“เรื่องอาหารในบ้าน ป้ามนจะเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด มีอะไรชอบไม่ชอบบอกป้าแกได้เลยนะคะคุณมูนหนูด้วยนะจ๊ะหนูมาร์” คุณเดือนหันมาแนะนำคนสุดท้ายที่อายุอานามไม่น่าไกลจากคุณเดือนเท่าไหร่นัก

 

“ขอโทษนะคะ ป้ามนอายุเท่าไหร่คะ” ฉันออกปากถาม ไม่ต้องเกรงใจอะไรมากนัก ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนใช้ แต่เพราะมีอะไรที่สงสัยเก็บไว้กับตัวไม่ได้ต่างหาก แล้วเรื่องอายุก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร

 

“ห้าสิบกว่าแล้วค่ะ” ป้ามนตอบกลับด้วยรอยยิ้มใจดี

 

“โว้ว มาร์นึกว่าไม่เกินสี่สิบซะอีก คิดว่าน่าจะรุ่นๆ พ่อด้วยซ้ำนะคะเนี่ย” ฉันออกปากชม นี่ไม่ได้ยอ แต่มันคือเรื่องจริง ผิวพรรณที่ยังไม่มีความเหี่ยวย่น แถมยังขาวใสขนาดนั้น แอบสงสัยไม่ได้ว่าป้ามนใช้ครีมบำรุงอะไร จะได้ซื้อมาใช้มั่ง

 

“แหม คุณหนูมาร์ละก็ ปานหวานกับคนแก่อย่างป้าได้นะคะ” ป้ามนมีท่าทีขวยเขินได้อย่างน่ารัก

 

“อ้าว ก็มันเรื่องจริงนี่คะ พ่อยังดูแก่งั่กกว่าอีก” พูดไม่ทันขาดคำก็ต้องรีบโดดหลบฝ่ามือพยายมที่กำลังตวัดมา

 

“จะไปไหนไอ้ลูกเวรนี่ กวนตีนนักนะมึง มาๆ ลูกรัก ให้พ่อเพ่นกบาลสักทีสองที” เสียงพ่อดังฟังชัดเจนจนคนเป็นลูกรู้ทันว่าอยู่ใกล้ๆ นี่แน่ก่อนจะโดดแผล๊วไปเกาะหลังว่าที่แม่ใหม่ ซึ่งเป็นหลุมหลบภัยชั้นดี

 

“ก็กวนตีนเหมือนพ่อนั่นแหละ เลี้ยงมายังไงก็เป็นยังงั้น แล้วพ่อจะด่าตัวเองทำไม เฮ้อ” ว่าพลางแสร้งถอนหายใจ

 

“ไอ้ห่านี่ กวนได้กวนดี คิดถูกคิดผิดวะที่กัดฟันเลี้ยงมึงมาเนี่ย” พ่อด่าไล่หลัง แต่ไม่ยักจะเข้ามาใกล้คุณเดือน

 

“พ่อกัดฟันเลี้ยงฉันมาตอนไหน เห็นมีแต่กัดฟันท่ามกลางเสียงครางของสาวน้อยสาวใหญ่ที่มาติดพันพ่อมากกว่า” แล้วก็ต้องโดดหลบไปหลังไอ้พี่ชิน เพราะพ่อเริ่มเบี่ยงหมัดขวาเขาใส่เฉียดสีข้างไอ้มาร์ไปนิดเดียว

 

นิดเดียวจริงๆ เอวบางๆ ไอ้มาร์เกือบดับวูบซะแล้ว

 

“ไอ้มาร์ ปากหมานะมึง แน่จริงอย่าหลบสิวะ” เสียงพ่อฮึดฮัดกัดฟันกรอดให้ฉันโผล่หน้าจากเบื้องหลังออกไปมองเบื้องหน้า ก่อนจะโดดแผล๊วกอดคอพ่อ หอมแก้มเข้าให้อย่างประจบ

 

“โธ่พ่อ ปากฉันมันก็หมามาแต่เกิดแล้ว พ่อจะเอาอะไรมาก ยังไงไอ้มาร์ปากหมาคนนี้ก็รักพ่อที่สุดในโลกอยู่แล้ว ขืนรักน้อยกว่านี้สิได้กลายเป็นหมาหัวเน่าแน่ๆ นี่แค่เผลอแปปเดียวพ่อก็โดนคุณเดือนแย่งไปและ อีกหน่อยไอ้มาร์ก็จะหมดความหมาย เชอะ”

 

ไม่ว่าเปล่า แกล้งสะบัดหน้าอย่างแสนงอนใส่ไปด้วย พ่อเจอไม้นี้ทีไรเป็นใจอ่อนทุกทีสิน่า ไอ้มาร์รู้ทันหรอก หึหึ

 

“ไอ้มาร์ ยังไงมึงก็ลูกกู จะยังไงกูก็รักมึงมากที่สุด” พ่อบอกแววตามั่นคงจริงจัง

 

“แล้วคุณเดือนกับพี่ชินละพ่อ” ไม่วายหยอดเข้าให้อีกทีนึง

 

“นั่นก็เมีย มันเปรียบเทียบกันไม่ได้โว้ย ส่วนชินน่ะเขามีแม่เขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพ่ออย่างกูหรอก” พ่อหันไปสบตากับคุณเดือนชั่วแว๊บนึง

 

“จริงหรอพี่ชิน” ว่าแล้วไอ้มาร์ก็โยนขี้ไปทางพี่ชินสิครัช

 

“หา อ่า อื้อ” ไอ้พี่ชินตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยจะมีสติ แต่ก็รับมุกได้ดีเยี่ยม

 

“ว้า งั้นก็ไม่มีใครอยากได้พ่อเลยนี่หว่า” ฉันหันไปสบตาคุณเดือนก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้ “มาร์ขอมอไซออโต้คันนึงเป็นค่าสินสอด แล้วจะเซ็นโอนลอยพ่อให้คุณน้าทันทีแบบไม่มียึกยัก”

 

“ไอ้มาร์! กูไม่ใช่เวฟร้อยสิบของมึงนะ จะได้มาโอนลอยกูให้ใครน่ะ” พ่อว่าพลางประเคนฝ่าตีนให้ แต่โทษทีนะครัช ไอ้มาร์รู้ทัน ย้ายที่พำนักรอท่าไว้แล้ว

 

“โห่ พ่อก็ ยอมๆ ไปเหอะน่า เพื่อมอไซคันใหม่ของลูกสุดที่รักเลยนะ แล้วเดี๋ยวพอถึงเวลามีคนมาสู่ขอฉัน พ่อก็แค่ปั่นราคาเก็งกำไรนิดหน่อยก็ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวฉันเรียกให้หนักๆ แทนเลยเอ้า!” ฉันว่าอย่างใจปล้ำ อีแก่คันที่บ้านก็ไม่ได้แบกมาด้วย สงสารมันถ้าเกิดจะพามันเดินทางไกล

 

“อย่างมึงแถมเงินให้เขายังไม่เอากันเลยเว้ย” พ่อว่าเข้าให้ แหมๆ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพ่อมีนโยบายแถมเงินให้ว่าที่ลูกเขยในอนาคตด้วย

 

“ถ้าคุณอาอยากขายขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวผมขอซื้อคนแรกเลยละกันครับ” ไอ้พี่ชินเก็กท่ายิ้มกว้างอย่างน่าหมั่นไส้

 

“โทษทีพี่ชิน ถึงพี่จะหล่อลาก แต่คนอย่างไอ้มาร์ แม้จะเป็นคนเอาเพื่อนเอาฝูง แต่ไม่นิยมเอาพี่เอาน้องแน่นอน” ว่าพลางยักคิ้วกวนเข้าให้จึ้กนึง แต่หัวแทบทิ่มเมื่อกระเป๋าเอกสารของพ่อลอยละลิ่วปะทะกบาลแม่นราวจับวาง

 

“โอ้ย พ่อ เจ็บนะเนี่ย ขว้างมาได้ หัวแตกรึเปล่าไม่รู้” ฉันว่าพลางลูบคลำหัวตัวเองป้อยๆ คุณเดือนกับไอ้พี่ชินหน้าเหวอขึ้นมาทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ็บจริงอะไรจริงไม่มีแอ๊บ

 

แต่แค่นี้มันยังจิ๊บๆ ไอ้มาร์ยังไหว แต่ขอแอ๊บดราม่านิด

 

“มึงมันลามปามเกินไปและไอ้มาร์ ดูไว้นะชิน ถ้ามันลามปามอีกซัดมันได้เลย อาอนุญาต” พ่อออกปาก ไม่สนใจแยแสหัวลูกตัวเองสักนิด

 

“น้องไม่เจ็บแย่หรอครับคุณอา” ไอ้พี่ชินมองมาด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างจริงใจ ไม่ได้เสแสร้ง ให้ไอ้มาร์ได้ทีกระโดดกอดแขนหมับแล้วเอาหน้าถูอ้อน

 

“พี่ชินดูดิ พ่อแมร่งใจร้าย ทำร้ายร่างกายลูกสาวได้ลงคอ คอยดูๆ คืนนี้จะจุดธูปฟ้องแม่ให้มาหลอก เชอะ” ฉันแกล้งขู่

 

“ทำยังกะกูจะกลัว เลิกแสดงได้และไอ้มาร์ มึงจะหาอะไรกินหรือจะนอนก่อน” พ่อถามเมื่อเห็นตาฉันเริ่มปรือ แม้คนอื่นจะยังไม่ทันสังเกต

 

“นอนสิพ่อ นั่งรถนานเมื่อยตูดจะแย่ จากเชียงใหม่มากรุงเทพไม่ใช่ใกล้ๆ เลยนะ เกิดตูดแบนใส่กางเกงยีนส์ไม่สวยขึ้นมาใครจะรับผิดชอบเนี่ย” ฉันแกล้งบ่นพลางยืดตัวบิดขี้กลัว

 

“ลำบากหนูมาร์แย่เลย ชิน พาน้องขึ้นไปพักทีสิลูก แล้วดูแลน้องดีๆ ด้วยนะ” คุณเดือนบอกลูกชายแล้วหันมายิ้มให้ฉันเป็นการปิดท้าย แต่เวลานี้ฉันไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากที่ซุกหัวนอน ก่อนที่จะยืนหลับกลางอากาศ

 

 

 

“พออยู่ได้มั้ยมาร์” เสียงนุ่มๆ ของไอ้พี่ชินถามยิ่งทำเอาเคลิ้มจนแทบหลับ

 

“โอ้ย พี่ชิน คนอย่างไอ้มาร์น่ะมีที่ซุกหัวนอนก็หรูแล้ว” ไม่ว่าเปล่า โดดแผล๊วลงบนที่นอนนุ่มขนาดคิงไซส์ ให้ตาย ถ้าห้องจะใหญ่หรูขนาดนี้ไม่พออยู่ สงสัยกูต้องไปนอนในสวนสาธารณะแทน

 

พอหัวถึงหมอนก็เคลิ้มหนักขึ้นอีก แต่ปากก็ยังงึมงำ “จะอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ แค่นี้ก็ดีเกินพอแล้ว” แล้วสติก็ดำดิ่งสู่นิมิต ไม่ฟังไอ้พี่ชินว่าอะไรอีก

 

“หมายความว่ายังไง” ชินถามเสียงไม่เบานัก แต่พอมองจ้องเขม็งอีกฝ่ายนานๆ เข้าก็รู้ว่าคงเข้าเฝ้าพระอินทร์ไปเรียบร้อยแล้ว

 

“พี่ไม่เคยมีน้องสาว ถ้าการมีน้องสาวอย่างเรามันทำให้พี่รู้สึกดีขนาดนี้ พี่ก็อยากให้เราอยู่ที่นี่ตลอดไป” ชินลูบผมสีดำสนิทที่นุ่มนิ่มลื่นมืออย่างทนุถนอม มองใบหน้าอ่อนใสแสนน่ารัก แม้เวลาขยับปากจะจัดจ้านไม่สมตัว แต่ยามหลับกลับดูบอบบางราวลูกแมวน้อยที่ต้องการคนดูแลและปกป้องจากสิ่งไม่ดีทั้งปวง

 

“ให้พี่ได้ดูแลเราเถอะนะมาร์ น้องสาวคนเดียวของพี่” ชินไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงเอ็นดูน้องสาวต่างสายเลือดคนนี้ แต่เขาไม่คิดปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง เพราะมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหากเขาจะเอ็นดูมาร์ เพราะถึงอย่างไรพ่อของมาร์ก็ถือเป็นพ่อของเขาไปแล้ว เพราะฉะนั้นมาร์ก็ต้องเป็นน้องของเขาด้วย

 

แต่ไอ้ความรู้สึกที่อยากดูแลอย่างใกล้ชิดนี่มันคืออะไร?

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา