The Vampire Powers.

9.1

เขียนโดย katzee

วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 14.24 น.

  37 chapter
  168 วิจารณ์
  42.04K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 17.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

36) New Born

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

    

      ท่ามกลางเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างไม่ลดละ ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่แทบจะทนกับความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดต่างๆนานาที่ถาโถมเข้ามาไม่ดีนัก เข้าสะดุ้งตื่นทันทีที่เข้าเห็นภาพความฝันบางอย่างที่เลวร้าย การหลับเป็นวิธีที่เขาประยุกต์เข้ากับตัวเองเพื่อให้สิ่งที่อยู่ภายในหัวของเขาสงบลงสักพัก  ถึงแม้แวมไพร์นั้นไม่เคยหลับแต่เขาทำในสิ่งที่เป็นไปได้แล้ว ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเตียงนอนที่เรียบง่ายในเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับสัมผัสรอยบาดแผลที่เกิดจากพลังของเขาเอง ถ้าแผลไม่ได้รักษาตัวเองเป็นเวลานานแสดงว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายเขาหรือแม้แต่จิตใจของเขาเอง

 

เพื่อนๆของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย สิ่งเดียวที่สามารถตอบคำถามเขาได้นั้นคือ จะไปช่วยเพื่อนหรืออยู่กับผู้ที่ปลดปล่อยเขาออกจากวังวนของพวกป่าเถื่อน

 

ร่างสูงเดินไปหยิบเสื้อยืดมาสวมใส่ พร้อมกับฮูดสวมทับ เหวี่ยงเป้ขึ้นมาสะพายบนบ่า เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาควรทำอะไรสักอย่างดีกว่าปล่อยให้เพื่อนๆกังวลเรื่องของเขาไปอย่างนี้

 

ทันทีที่เขาเดินพ้นมาจากอาณาเขตของหมู่บ้าน เขาหวังว่าคงไม่มีใครมาตามเขาแต่ทว่า

 

“ไม่คิดจะบอกกันสักคำเลยเหรอ” คลินท์ว่าพลางลับมีดพกก่อนจะปาเข้าใส่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีสลักวงกลมไว้และฝีมืออย่างคลินท์คงไม่พลาดกับการปามีดพวกนี้

 

“ฉันสัญญา ว่าจะไม่ทำให้ลูเซียสเดือดร้อน” เอ้ดตัดบทขณะเดินเลี่ยงไปยังทางอื่น ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบมีดที่ขว้างเฉียดหน้าเขาเพียงไม่กี่อึดใจ

 

“เรามีงานต้องทำ”

 

“ฉันพอกับการที่ต้องถูกตามล่า ฉันต้องไปช่วยคนที่เหลือ พวกเขาต้องการฉัน”

 

“ฉันก็ด้วย” คลินท์เอ่ยพร้อมกับมีท่าทีที่ค่อนข้างจะไม่พอใจ

 

“นายไปอยู่เพื่อนๆขนปุยของนายก่อนก็แล้วกัน พวกนั้นต้องการนายมากกว่าฉัน” เอ็ดว่าพลางเดินด้วยฝีเท้าแวมไพร์

 

“นายไม่เคยสงสัยบ้างเลยเหรอ ว่านายและพวกเพื่อนๆได้พลังพวกนั้นมาจากไหน” เอ็ดชะงักฝีเท้าขณะเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่ดูเหมือนจะกุมความลับไว้ซะมากมายเหลือเกิน

 

“ทำไม”

 

“ไม่มีแวมไพร์ตนไหนมีพลังเหนือแวมไพร์ทั่วไปอย่างนั้นหรอก” คลินท์ว่าพลางยิ้มอย่างเหนือชั้นเมื่อเขาสามารถหยุดเอ็ดได้แล้ว

 

“นายหมายความว่ายังไงกับคำว่าทั่วไป” คลินท์ทำเสียงหึอยู่ในลำคอพลางกอดอกยืนพิงต้นไม้อย่างสบายใจ

 

“ทั่วไปก็คือ โดนแสงไม่ได้ กระหายอยู่ตลอดเวลาและถ้าขาดเลือดไปซักชั่วโมงจะทำให้นายขาดสติ ลืมว่าตัวเองคือใคร และฆ่าพวกที่เหลือ นั่นแหละสิ่งที่เรียกว่าทั่วไป” พลางเอ่ยต่อว่า “พวกนายทั้ง11ต้องแลกทุกสิ่งทุกอย่างมาเยอะ ลูคัสเป็นจำพวกถ้าไม่เห็นประโยชน์ก็จะฆ่าทิ้งซะให้หมดเรื่องหมดราว แต่ดันมาเป็นพวกนายซะนี่ที่มีประโยชน์ต่อหมอนั่น นายไม่เคยเอะใจเลยเหรอ ว่าทำไมต้องสั่งให้พวกนายตามหาลูกของตัวเอง”

 

“นี่นายรู้มาโดยตลอดสินะ นายเองก็ไม่ต่างจากหนอนบ่อนไส้ที่พร้อมจะแว้งกัดตลอดเวลา” เอ็ดลองทายใจหมอนั่นดูและก็ได้ผลเมื่อเห็นแววตาที่ตื่นตระหนกไปชั่วขณะ

 

“พวกแวมไพร์เชื่อใจไม่ได้สักคนหรอก” คลินท์ว่าก่อนจะยุติบทสนทนาด้วยการเดินกลับไปยังหมู่บ้าน

 

“แล้วนายอยู่ไปเพื่ออะไร ในเมื่อนายเกลียดแวมไพร์”

 

“เพราะฉันมีเรื่องที่ต้องทำยังไงล่ะ” คลินท์ตอบขณะที่เดินหายไปท่ามกลางต้นไม้ที่ขึ้นระโยงระยางโดยที่ฝากความต้องการที่จะหาคำตอบไว้ที่เอ็ดอย่างค้างคาใจ…..

 

  ท่ามกลางความเงียบนั้นได้มีเสียงฝีเท้าของพวกเขาไรอันและโรสเลือกที่จะไปตามหาอีกฟากหนึ่งและแอลกับนิโคลก็ออกตามหาอยู่ภายในคฤหาสน์โดยไม่ลืมที่จะสังเกตสิ่งต่างๆที่พอบอกว่ามีห้องลับหรือเปล่า นิโคลเคยมาที่นี่หลายต่อหลายครั้งแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะรู้สึกหวาดกลัวกับคฤหาสน์หลังโตแห่งนี้ ถ้าเกิดบ้านเงียบเชียบอย่างนี้ ลูเซียสคงออกไปทำงานที่ต่างแดนแน่ๆอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“นายได้กลิ่นหรือได้ยินเสียงอะไรไหม”

 

“เหมือนมีบางอย่างพยายามกันฉันออกไป” นิโคลมองหน้าเขาที่พยายามจะฟังเสียงโดยการอ่านใจให้ได้มากที่สุด

 

“ป่านนี้เรเนสจะเป็นอะไรไปหรือเปล่าก็ไม่รู้” เธอว่าขณะสอดสายตาหาช่วยเขา

 

“เหมือนพวกเม่มดเลย ฉันได้กลิ่นไม่ดีของพวกแม่มดแต่มัน…ต่างออกไป” แอลว่าพร้อมกับใช้มือสัมผัสผังกำแพง

 

“อะไรนะ” นิโคลตกใจกับสิ่งที่เขาพูด ทันทีที่แอลเดดินนำไปก่อน ความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอหันไปมองทางด้านขวา ก่อนจะชะงักไปชั่วครู่เมื่อมองเห็นเงาบางอย่าง เงาที่แอบแฝงอยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำที่ยืนนิ่งจ้องมายังเธอ ขณะที่เธอกำลังเรียกเขาแต่เขาดันเดินหายไปซะก่อน เธอจึงพยายามหรี่ตามองเพื่อให้มองเห็นอย่างแน่ชัด

 

“เฮ้ นั่นซูเหรอ” นิโคลก้าวเท้าเข้าไปเพื่อให้ได้มองเห็นได้ชัด แต่เงาดังกล่าวกลับดันถอยหลังหนีจากเธอพร้อมกับหายเข้าไปในความมืด ระหว่างที่เธอกำลังจะเดินเข้าไปหาเงานั่น จู่ๆก็เหมือนมีบางอย่างมารั้งสติเธอไว้ วึ่งนั่นก็คือแอลนั่นเอง

 

หมับ ชายหนุ่มกระชากแขนแฟนสาวด้วยควมเป็นห่วงเพราะเขาไม่มั่นใจกับคฤหาสน์หลังนี้เท่าที่ควรเพราะครั้งล่าสุดที่พวกเขามาเยือน ค่อนข้างจะจบไม่สวยเท่าไหร่

 

“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถามพลางสัมผัสไหล่เล็กมนทั้งสองข้างด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆของเธอ

 

“เอ่อ ฉันแค่อาจจะตาฝาดไปเองน่ะ” เธอว่าขณะจับแขนของเขาที่กุมอยู่บนหัวไหล่กลมมนของเธอพลางอธิบายว่าเธอแค่เห็นเงาของเฟอร์นิเจอร์ที่อาจจะทำให้เธอคิดไปว่านั่นคือรูปร่างของคน แต่ใบหน้าของเขาดันจ้องไปยังมุมมืดนั่นอย่างเพ่งพินิจ

 

“อะไรเหรอ”

 

“ฉันว่าเธอคงไม่ได้ตาฝาดหรอก” เขาพูดเมื่อแฟนสาวก็หันมามองตามสายตาของเขา

 

เขาละออกจากเธอพลางสำรวจผนังมืดๆนั่นพลางเคาะอยู่สองสามที ก่อนจะชูมือขึ้นและออกแรงชกเข้าทีกำแพงโดยไม่ได้คิดว่าจะมีคนมาเห็นหรือเปล่าเพราะสาบานได้เลยว่าคฤหาสน์นี่ไม่ต่างไปจากห้องโถงที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ

 

ทันทีที่เขารื้อสิ่งนั้นออกเขากลับพบกับประตูอีกบานนึงที่ดูเหมือนจะเป็นระบบใส่รหัสผ่านตัวเลขซึ่งเขานั่นไม่ได้สนใจมันอยู่แล้ว เพราะเขาดันพังแผงตัวเลขเก้าหลักที่สำหรับใส่รหัสไปซะแล้ว

 

“แอล” นิโคลกระซิบทักท้วงเขาพลางมองซ้ายมองขวาว่าจะมีคนอยู่แถวๆนี้หรือเปล่า

 

ปึง ประตูนั่นส่งเสียงเหมือนระบบจะรวนไปเสียแล้ว แอลเหวี่ยงมันออกไปให้พ้นทางพลางกวาดสายตามองหาเรเนส นิโคลตรงดิ่งไปยังเงาทะมึนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น นิโคลปรี่เข้าไปพลางเขย่าตัวเพื่อนสาวที่แทบจะไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบตามเสียงเรียกของเธอ

 

“โอ้ พระเจ้า ออกไปจากที่นี่กันเถอะ” นิโคลพลางหลีกทางให้แอลอุ้มเรเนสออกไปให้โดยเร็ว

 

นิโคลตกใจกับเลือดที่ไหลออกมาทางปากของเรเนสเป็นอย่างมาก และเธอไม่อยากให้เพื่อนของเธอต้องมาพบเจอกับเรื่องพวกนี้อีกต่อไป

 

“แอล ที่นี่ไม่มีคนอยู่เลย ฉันว่ามันค่อนข้างที่จะแปลกๆไปหน่อยนะ” ไรอันปรี่เข้ามา ขณะที่พวกเขาทั้งสี่กำลังออกจากคฤหาสน์หลังนี้

 

“เราต้องพาเรเนสไปหาพวกแม่มด”

 

“ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่เลยนะ” ไรอันแย้งด้วยสีหน้าแหยงๆ

 

“ฉันพอรู้อยู่คนหนึ่ง” สองหนุ่มแวมไพร์จดจ้องมายังเธอ นิโคลเธอทำสีหน้าเพื่อให้พวกเขาเชื่อให้ได้มากที่สุด

 

เมื่อมาถึงที่หมาย ไรอันยืนมองอย่างสงสัยกับตึกที่อยู่ระหว่างตรอกซอกซอยที่ผุพัง โดยแอลยังคงอุ้มเรเนสไว้ในอ้อมอกยังดีที่พวกเขาเป็นแวมไพร์ซึ่งนั่นทำให้นิโคลยังพอเบาใจขึ้นมาบ้าง

 

“เธอแน่ใจเหรอ ดูเหมือนไม่มีคนอยู่เลยแฮะ” ไรอันถามเธอพลางพยายามไปด้อมๆมองๆแถวหน้าต่างก็จะถูกบางสิ่งบางอย่างผลักเขาออกมาด้วยพลังมหาศาลไปกระแทกกับกำแพงตึกร้างในทางตรงกันข้าม เขาชูมือขึ้นมาดูรอยไหม้ค่อยเลือนหายไปก่อนจะถอนหายใจเพราะไม่คิดว่าทำไมต้องเป็นตนเองอยู่เรื่อย

 

“ดูเหมือนมีคนอยู่ด้วยนะ วางอาคมกันสิ่งเหนือธรรมชาติเอาไว้ซะด้วย” นิโคลมองตามที่แอลบอกว่ามีผงสีแดงโรยไว้และสัญลักษณ์ต่างๆห้อยไว้อย่างพะรุงพะรัง

 

นิโคลผ่อนลมหายใจพลางก้าวเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวโดยไม่ทันได้ฟังเสียงห้ามปรามของสองหนุ่มแวมไพร์และโรส แต่เธอนั้นได้ทำลายผงที่โรยไว้ก่อนอาคมจะสลายกลายเป็นร้านหนังสือที่เธอเคยมาเมื่อครั้งก่อน

 

“นี่มัน” นิโคลผงะออกพลางมองร้านที่เธอเคยมาซื้อหนังสือเพราะไม่คิดว่าเธอจะสามารถทำมันได้

 

“เธอเป็นไรไหม” โรสถามก่อนจะได้รับการส่ายหน้าของเธอ

 

“ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณเธอยังไงดี” ไรอันว่าขณะเดินมาหอมแก้มเธอฟอดใหญ่พลางกระแทกประตูเปิดออกแล้วพยักหน้าให้แอลอุ้มเรเนสเข้ามา โดยมีโรสตามหลังเข้ามาเป็นคนสุดท้าย

 

“นี่พวกแกเป็นใคร” หญิงชราเดินลงมาจากบันไดพร้อมกับตวาดเสียงแหบๆใส่อย่างโมโห

 

“โทษทีนะยาย เราจำเป็นต้องใช้สถานที่” ไรอันพูดอย่างไม่แยแสก่อนจะรื้อของที่วางอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ออกแล้วรีบประคองตัวเรเนสนอนลง

 

“ฉันไม่รับแวมไพร์อย่างพวกแก ออกไป แค่นี้แกก็ทำให้โลกของฉันลำบากมามากพอแล้ว” หญิงชรายังว่าต่อ

 

เฮือก จู่ๆร่างกายของเรเนสก็ชักกระตุกอย่างรุนแรงต่อเนื่องกัน โรสและนิโคลโผเข้าหาเพื่อนรักที่กำลังสำลักของเหลวสีดำออกมาผ่านดวงตา หู จมูก หรือทุกที่ที่สามารถไหลออกมาได้ ดวงตาสีดำทั้งเบ้าเบิกโพลง นิโคลร้องเรียกเพื่อนรักอย่างเป็นห่วงขณะหันไปมองหญิงชราที่กำลังทำปากขมุบขมิบบางอย่างดวงตาจดจ้องมายังเรเนส

 

“หยุดนะ!!”

 

ดูเหมือนคำห้ามปรามของเธอจะไม่เป็นผล แอลเห็นดังนั้นจะใช้พลังของตนกระแทกหญิงชราคนนั้นไปยังกองหนังสือกองโตก่อนจะสลบเหมือดไป เขาหันมามองเรเนสที่อาการเริ่มหยุดการสำลักมองนิโคลกอดเพื่อนรักร้องไห้โฮ โรสพอตั้งสติได้กับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นถึงแม้มันจะดูแปลกและไม่น่าเชื่อแต่เธอก็ยังรับได้เธอจึงเอนหัวลงบนหน้าอกของเรเนสเพื่อฟังเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจก่อนจะรู้สึกมีหวังขึ้นมา

 

“เรเนสยังหายใจอยู่” โรสว่าพลางปลีกตัวออกไปหาสิ่งที่พอทำความสะอาดคราบที่เปรอะเปื้อนไปทั้วทั้งใบหน้าจนถึงบริเวณลำคอ

 

“เด็กนั่นเพิ่งกำเนิดเป็นแบนชี เป็นไปไม่ได้ที่ยังทนอยู่ในอาณาเขตของเราได้ อาณาเขตของผู้มีคาถา” หญิงชราคนนั้นพูดขึ้นขณะยืนมองเรเนสด้วยความสงสัย หญิงชราที่มีสภาพเสื้อผ้าทรุดโทรมเริ่มเลือนหายไปมาเป็นชุดผ้าคลุมสีดำเผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ ไรอันมองด้วยสายตาตกตะลึงพร้อมกับเปิดทางให้เธอเดินผ่านเข้ามา แอลยังคงไม่สะทกสะท้านอะไรมากจึงทำได้เพียงมองผู้หญิงคนนี้กำลังทำท่าเหมือนกำลังร่ายมนตร์

 

“ความสามารถนี้ถูกปลุกโดยเลือดของแวมไพร์ที่มีกำเนิดมาจากแวรืวูฟและแวมไพร์ผสมเข้าด้วยกัน หรือ ไลแคน” แอลขมวดคิ้วพลางไปยังหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติบนโซฟาโดยที่มีนิโคลมองจ้องเขาตอบกลับมา

 

“ไลแคนงั้นเหรอ”

 

“ตามจริงแบนชีคือผู้ที่ถูกสาปตกทุกข์ทนอยู่กับบาปของตนในมิติหนึ่ง แต่นี่เธอเหมือนจะได้รับสิ่งเหนือธรรมชาติเข้ามาพร้อมกัน” เธอคนนั้นว่าขณะร่ายคาถาคำสุดท้ายออกมาพลางวาดปลายนิ้วลงบนหน้าผากของเรเนสเป็นสัญลักษณ์แปลกๆพลางเอ่ยต่อว่า ‘สิ่งนี้จะไม่ทำให้เพื่อนของเธอสูญเสียความเป็นตัวเอง’

 

“ไม่งั้นจะเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” นิโคลถามขณะที่เพิ่งเห็นโรสเดินเข้ามาพร้อมกับผ้าชุ่มน้ำ

 

“ทุกสิ่งรอบตัวจะตาย พลังของเธอจะมาจากเสียงหวีดร้อง อย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด” ทั้งสามคนจ้องมองสลับกันไปมาอย่างงุนงงพลางมองคนที่นอนนิงสลบเหมือดบนโซฟา ณ ตอนนี้ สิ่งเลวร้ายได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.1 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา