ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  107.95K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

114)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

===============================================

 

 

 

     ...ณ พระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์...ที่เวลานี้กลายเป็นสถานที่ประชุมราชการศึกที่ประจำไปเสียแล้ว...

 

     ...ข่าวความคืบหน้าของราชการศึกที่สำคัญที่สุดในวันนี้คงจะหนีไม่พ้นข่าวของชัยชนะครั้งแรกของกองทัพอโยธยา (ตั้งแต่หลังจากที่รับศึกมาตั้งแต่ที่กองทัพพระเจ้าอลองพญารุกคืบเข้ามาที่ชายแดนด่านสิงขร ซึ่งก็แพ้มาตลอด) ภายใต้การนำของผู้เป็นแม่ทัพใหม่ถอดด้ามที่พึ่งได้รับพระราชทานพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ไปสดๆร้อนๆอย่างท่านออกญาเพชรบุรี เรือง...ซึ่งถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่ความดีความชอบโดยตรงของไกร แต่เขาก็สามารถรับความชอบทางอ้อมได้ เพราะเขาคือคนเดียวที่ยอมเอาคอขึ้นพาดหลักประหารเพื่อเป็นนายประกัน ดึงดันเสนอให้ออกญาเพชรบุรีเป็นผู้รับพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ และอำนาจสิทธิขาดในการสั่งการของเมืองเพชรบุรีนั่นเอง...

 

      " นี่ไม่ใช่ความชอบของกระผม...แต่เป็นความสามารถของตัวออกญาเพชรบุรีเอง "  ไกรพยายามบอกเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้วมั้งระหว่างที่เขาและขุนนางคนอื่นๆที่มาร่วมประชุมรอคอยการเสด็จของพระเจ้าอยู่หัว แต่ถึงเขาจะพยายามถ่อมตนไปเท่าไหร่ ไอ้คำพูดถ่อมตนนั้นก็ยังดูเหมือนน้อยจนแทบไม่เกิดผลเลยทีเดียว

 

      ' เฮ้อ...อย่างที่ท่านผู้เฒ่าว่าไว้เลย เราออกหน้ามากเกินไปแล้ว ขืนแป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังไอ้เราและตำแหน่งเจ้าพระยาพิทักษ์ฯได้เนื้อหอมจนห้ามไม่หยุดฉุดไม่อยู่แน่ๆ ...สงสัยคงต้องเริ่มเก็บเนื้อเก็บตัวมากกว่านี้เสียหน่อยแล้วสิ '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยอย่างเหนื่อยๆ พลางสัญญากับตัวเอง...แต่ที่เขาไม่รู้คือเขาไม่เคยทำได้อย่างที่สัญญากับตัวเองไว้เลย

 

      " ไกร "  เสียงทักทายของชายหนุ่มที่เขาคุ้นเคยดังขึ้นเบาๆจากด้านหลังของเขา ทำให้ไกรที่ตกอยู่ในภวังค์อยู่สะดุ้งน้อยๆ ก่อนที่เขาจะหันมาและทักทายกับผู้ที่เข้ามาทักเขาทันที

 

      " ท่านผู้เฒ่า...หมายถึง...ท่านเจ้าพระยา "  ไกรรีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกท่านผู้เฒ่าใหม่ เพราะเรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านยุคันตวาตยังเป็นความลับอยู่ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่มีสีหน้าค่อนข้างเหนื่อยอ่อนพยักหน้าให้น้อยๆ ก่อนที่เขาจะลากไกรออกจากวงสนทนาช้าๆ

 

      " เจ้าไม่จำเป็นจะต้องมาประชุมราชการศึกก็ได้ แผลของเจ้าถึงจะไม่ฉกรรจ์แต่ก็เจ็บไม่ใช่น้อยๆ "  ท่านผู้เฒ่าพูดเรียบๆพลางเหลือบมองผ้าพันแผลที่มองเห็นผ่านคอเสื้อกว้างๆของไกร ในขณะที่ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยใส่คำพูดของท่านผู้เฒ่าทันที

 

      " ทั่งหมดทั้งมวลคงต้องขอบคุณลูกสาวสุดที่รักของท่านนั่นแหละขอรับ "

 

      " เฮ้อ...ข้าไม่อยากจะถามอย่างไม่ไว้ใจอะไรเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเจ้าไม่ได้ไปล่วงเกินอะไรลูกสาวข้าจนทำให้นางโกรธเคืองเข้าน่ะ "  ท่านผู้เฒ่าถามขึ้นเบาๆ และคำถามของเขาก็ทำให้ไกรโคลงหัวดิกๆทันที

 

      " นี่ท่านเห็นข้าเป็นคนยังไงกันขอรับ? "

 

      " อืม...จากความสัมพันธ์ของเจ้ากับอเทตยา กับสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร กับสตรีนางอื่นๆ ข้าขอพูดตรงๆเลยนะว่าข้าไม่ค่อยใคร่จะไว้ใจเจ้าเท่าไหร่เลย ไกร "

 

      " ตูไม่ได้ทำอะไรเฟ้ยขอรับ! "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยหน่ายใจที่จะตอบคำถามประเภทนี้เต็มทนแล้ว และก่อนที่เขาจะได้ทันแก้ตัวอะไรต่อไป สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็เสด็จออกพระที่นั่งอย่างกะทันหันโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยและไม่มีพิธีรีตองใดๆทั้งสิ้น จนขุนนางทุกคนต้องรีบทรุดลงไปทั้งๆที่ยังจับกลุ่มคุยกันอยู่ทันที

 

      " พ่ออยู่หัวทรงพระเจริญ "

 

      " พอเถอะ...เวลานี้ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองให้ยืดยาวแล้ว ข้ามีเวลาไม่มากด้วย "  พระเจ้าอุทุมพรตัดบทเรียบๆพร้อมโบกหัตถ์เป็นเชิงอย่างที่ตรัสจริงๆ ทำให้ขุนนางที่เข้าเฝ้าอยู่ทุกคนตั้งแต่ระดับเจ้าพระยายันระดับพระรีบกลับเข้าที่นั่งของตนอย่างเร่งด่วนทันที

 

      ' เอ๋? คราวนี้พระเจ้าอุทุมพรเสด็จมาเพียงพระองค์เดียว?...ทั้งๆที่ปรกติพระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับพระเจ้าเอกทัศน์แท้ๆ '  ไกรอดทำหน้าสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ แต่ท่านผู้เฒ่าเองก็เหมือนจะรู้ทันความคิดของไกร เขาจึงจ้องเขม็งมาพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆเป็นเชิงปรามทันที

 

      ' ให้นิ่งไว้ก่อนสินะ '  ไกรพยักหน้าอย่างเข้าใจ พร้อมกับเสไปมองที่โต๊ะแผนที่ขนาดใหญ่ที่เวลานี้เหมือนกับถูกวางอย่างถาวรไปแล้วที่กลางพระที่นั่งพร้อมกับลูบคางอย่างครุ่นคิด

 

     ...แน่นอนว่าข่าวของกองทัพฉุกละหุกที่พระยาเพชรบุรีจัดขึ้นต่อตีกับกองทัพพระเจ้าอลองพญาและบังคับให้ล่าถอยกลับไปได้ถือเป็นข่าวดีสุดๆในรอบหลายสัปดาห์นี้ที่ทุกคนได้ฟัง ซึ่งทุกคนไม่เว้นแม้แต่ไกรต่างก็คิดว่าพระเจ้าอุทุมพรที่อยู่ในฐานะแม่ทัพใหญ่น่าจะดำรัสอะไรบ้าง แต่เมื่อได้ฟังคำทูลถวายรายงานอย่างครบถ้วนกระบวนความ พระเจ้าอุทุมพรกับเพียงแค่พยักพระพักตร์เล็กน้อยเป็นเชิงว่าพระองค์รับรู้ ก่อนที่พระองค์จะเข้าเรื่องอื่นต่อเลยโดยไม่ดำรัสอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งแม้แต่ไกรยังถึงกับต้องเอียงคออย่างสงสัยทันที...มีเพียงท่านผู้เฒ่าของเขาเท่านั้นี่ยังคงอยู่ในอาการสงบ นั่นทำให้เขาเดาได้ลางๆแล้วว่าท่านผู้เฒ่ารู้เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

 

      ' เอ...แค่หมดสติไปแปปเดียวทำไมรู้สึกเหมือนมีอะไรให้อัพเดทเยอะจริงวุ้ย '  ไกรบ่นในใจเบาๆก่อนจะสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดไร้สาระออกจากหัวตัวเองทันที เพราะออกญามหาเสนา ผู้รั้งตำแหน่งสมุหกลาโหมเริ่มเปิดประเด็นใหม่ทันที เพราะสมุหกลาโหมเฒ่าพินิจมองไปที่โต๊ะแผนที่ขนาดใหญ่ตรงหน้าโดยเฉพาะเจาะจงไปที่เมืองเพชรบุรีและชัยภูมิรอบๆ ก่อนจะกราบทูลว่าสมควรจะตั้งกองทัพเรือ และเกณฑ์พวกสำเภาที่อยู่ที่ท่าเรือมาติดตั้งปืนใหญ่และยิงกระหนาบกองทัพพม่าที่ชายทะเลไปเลย เพราะด้วยชัยภูมิที่ได้เปรียบอย่างมหาศาล ขอแค่เพชรบุรีไม่แตก ทัพเรือก็จะสร้างความเสียหายให้กับทัพพระเจ้าอลองพญาจนบีบให้ทัพล่าถอยไปเลยก็ได้ ซึ่งคำกราบบังคมทูลเสนอของออกญามหาเสนาบุนนาคก็ได้รับความสนับสนุนจากเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนอย่างมาก แม้แต่ไกรเองก็ยังยอมรับอย่างปลอดอคติว่่านี่เป็นแผนที่ดีจริงๆ ...แต่ข้อเสนอนี้ก็ถูกขัดขึ้นเบาๆจากปากของขุนนางเฒ่าผู้อยู่ในระดับเดียวกัน...ออกญาจักรีครุฑ ที่ขมวดมุ่นคิ้วพร้อมกับพูดขัดขึ้นทันที

 

      " ขอโทษด้วยนะ ท่านบุนนาค แต่พวกเราใช้แผนการนี้ไม่ได้หรอกขอรับ "

 

        คำขัดของเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์เรียกความสนพระทัยของพระเจ้าอุทุมพร และความสนใจของขุนนางคนอื่นๆได้อย่างชะงัด แม้แต่ไกรก็หันไปมองขุนนางเฒ่าผู้เป็นบิดาบุญธรรมของหลวงยกกระบัตรเมองตาก สิน อย่างสงสัยใคร่รู้ ในขณะที่เจ้าพระยามหาเสนาเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับถามขึ้นเบาๆว่า

 

      " ข้อเสนอ...แผนการของกระผมมีส่วนใดผิดพลาดอย่างนั้นหรือ ท่านครุฑ ท่านออกญาจักรี? "  เจ้าพระยามหาเสนาถามอย่างใจเย็น ในขณะที่ท่านครุฑลูบคางอย่างครุ่นคิดก่อนจะชี้ไปที่แผนที่พร้อมกับอธิบายอย่างช้าๆ

 

      " กระผมมิได้ติแผนการใดๆของท่านเลย ท่านออกญามหาเสนา...แผนการของท่านนั้นสำคัญยิ่ง แต่นั่นมองในแค่การศึกถ่ายเดียว ซึ่งในฐานะออกญาจักรี กระผมมองแค่การศึกแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ "

 

      " ท่านหมายถึง? "

 

        ก่อนที่ท่านครุฑจะได้ทันอธิบาย ท่านผู้เฒ่าที่อยู่ในตำแหน่งเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ และขุนนางเฒ่าในชุดสีขาวอีกคนที่อยู่ในตำแหน่งของออกญาโกษาธิบดี หนึ่งในจตุสดมภ์เจ้ากรมธรรมาธิกรณ์ (กรมคลัง) ก็ร้อง อ๋อ! ออกมาพร้อมๆกันราวกับรู้เหตุผลแล้วจนไกรต้องหันไปมองทันที

 

      " สำเภาจีน... "  ท่านผู้เฒ่าและออกญาโกษาธิบดีหันไปมองหน้ากันพร้อมกับครางออกมาเบาๆพร้อมกันทันที ซึ่งออกญาจักรีก็สบช่องพร้อมกับขยายความต่อว่า

 

      " กระผมรู้ว่าท่านนำแผนการนี้มาจากในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศที่เกณฑ์สำเภาฝรั่งแขนลายมาติดปืนและรับทัพพระยาพะสิมจนแตกพ่ายกลับไป ซึ่งว่ากันตามตรงทั้งสถานการณ์และชัยภูมิในคราวนี้ก็แทบไม่ต่างจากคราวนั้น เพียงแต่...สำเภาที่เราจะเกณฑ์มาในคราวนี้นั้นไม่ใช่สำเภาของฝรั่งแขนลาย แต่เป็นสำเภาของจีน...สำเภาที่อยู่ภายใต้พระเนตรพระกรรณของพระเจ้าเฉียนหลง...จักรพรรดิเจ้ากรุงจีน "

 

      " สำเภาจีน...ให้ตกนรกสิ!...เข้าใจล่ะขอรับ...ข้า...เพียงคิดแค่เรื่องให้เราชนะศึกโดยไม่คำนึงถึงเรื่องนี้...ข้าละอายใจนัก "  เจ้าพระยามหาเสนาคอตกพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างยอมรับอย่างง่ายๆจนกระทั่งไกรที่นั่งอยู่ใกล้กันถึงกับต้องเบนตัวไปพร้อมกับถามขึ้นเบาๆอย่างสงสัยชนิดห้ามใจไม่อยู่

 

      " จะบอกว่าเพราะเป็นสำเภาจีน แผนการครั้งนี้เลยตกไปเลยอย่างนั้นหรือขอรับ ท่านบุนนาค? จะบอกว่าสำเภาจีนด้อยกว่าสำเภาของพวกตะวันตกอย่างนั้นหรือ "

 

      " กระผมโง่เขลาไม่ทันคิดเองจริงๆนั่นแหละ ท่านไกร จริงอยู่ที่สำเภาจีนกล้าแข็งไม่ต่างจากสำเภาพวกตะวันตก เพียงแค่วางปืนใหญ่ก็กลายเป็นสำเภารบได้แล้ว เพียงแต่...สำเภาจีนนั้นขึ้นต่างจากสำเภาของพวกตะวันตก...สำเภาจีนที่มาค้าขายกับอโยธยาส่วนใหญ่เป็นสำเภาของจักรพรรดิเฉียนหลง หรือไม่ก็เป็นพวกตระกูลขุนนางใหญ่ที่มั่งคั่ง และท่านก็น่าจะทราบเกี่ยวกับนิสัยของชาวจีนดีนี่ขอรับ...นิสัยยึดติดกับบุญคุณความแค้น และการตอบแทนบุญคุณเสียยิ่งกว่าพวกตะวันตกหลายเท่านัก "  ออกญามหาเสนาโน้มตัวลงมากระซิบอธิบายกับไกรอย่างยอมรับและไม่ได้โกรธเคืองที่ถูกเบรกแผนการเช่นนี้ ในขณะที่เมื่อไกรได้ยินเหตุผลที่พอจะสามารถอนุมานไปต่อได้ เขาก็ครางออกมาเบาๆทันที

 

      " แปลว่าการขอให้เรือสำเภาจีนมาช่วยก็จะกลายเป็นเราติดหนี้บุญคุณกับจักรพรรดิจีนอย่างมหาศาล "  ไกรครางออกมาเบาๆเพราะนึกภาพตามได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าหากใช้แผนการนี้จนเสร็จศึกขึ้นมาจริงๆ อโยธยามีหวังได้ตามใช้หนี้กันยันชั่วลูกชั่วหลานแน่นอน 

 

     ...มิน่าเล่า นอกจากท่านผู้เฒ่าของเขาแล้ว คนที่คิดได้คนแรกจึงเป็นออกญาโกษาธิบดีผู้คุมกระทรวงการคลังไว้นั่นเอง...

 

      " แต่ว่า เราอาจจะสามารถเจรจา... "  ขุนนางคนหนึ่งพยายามพูดขึ้นเพื่อเสนอทาง แต่ออกญาโกษาธิบดีกลับส่ายหน้าช้าๆ

 

      " ไม่ได้หรอกขอรับ แม้ว่าเราจะต่อรองได้ แต่ผลก็คือเราติดบุญคุณกับจีนต้าฉิงอยู่ดี...และจะให้ใช้เรือสำเภาของพวกตะวันตกที่ยังพอมีมาค้าขายกับอโยธยาก็ไม่ได้อีก เพราะเราตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับชาวฝรั่งแขนลายไปแล้วตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา พวกพ่อค้าวาณิชย์เหล่านั้นก็ไม่มีพันธะจะต้องช่วยเรา และถ้าช่วยก็คงจะทำให้พวกพ่อค้าจีนไม่พอใจและพาลคิดว่าเราเอาใจออกห่างจากจีนต้าฉิงอีก ดีร้ายเราอาจจะต้องรับศึกทั้งสองด้านจากทั้งจีนและพม่าเลยก็ได้ "  ออกญาโกษธิบดีที่เป็นผู้ที่เข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากที่สุดในพระที่นั่งแห่งนี้อธิบายช้าพร้อมกับหน้าซีดลงเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังกลายเป็นคนที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำเสียแล้ว แต่ขุนนางทุกคนกลับจำนนต่อเหตุผลของเขาจนทั้งพระที่นั่งถึงกับเงียบลงอย่างน่าใจหายทีเดียว

 

      " พ่ออยู่หัว... "  ท่านผู้เฒ่าที่เริ่มเห็นว่าบรรยากาศชักเริ่มหม่นหมองลงเรื่อยๆ จึงทูลเรียกพระเจ้าอุทุมพรที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่เหมือนกับพยายามบอกให้พระองค์ตัดสินพระทัย ทำให้พระเจ้าอุทุมพรนิ่งไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะปัสสาสะออกมายาวเหยียด

 

      " แผนการนี้ใช้ไม่ได้...เราจะเสี่ยงเอาพระคลังทั้งหมดที่มีเป็นประกันเพื่อชนะศึกไม่ได้ "  ดำรัสของผู้เป็นแม่ทัพใหญ่เป็นดั่งประกาศิตบอกว่าแผนการนี้ตกไป นั่นทำใหทุกคนต้องมาคิดแผนการใหม่ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ดี หรือเด็ดขาดเท่ากับแผนการแรกที่เสนอขึ้นมา...ซึ่งตัวไกรนั้นทำเพียงแค่นั่งดูอย่างเงียบๆโดยไม่ออกความเห็นอะไรเพราะกลัวว่าความเห็นของคนที่มาจากโลกในอนาคตของเขาจะไปเปลี่ยนเหตุการณ์ในอดีตเช่นนี้อีก ...ข้อสรุปของแผนการจากที่นั่งปรึกษากันเกือบ ๒ ชั่วโมง ผลที่ได้ก็คือการส่งกำลังที่พร้อมไปเตรียมไว้ที่กาญจนบุรี ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านที่ถัดจากด่านเมืองเพชรบุรีเท่านั้นเอง

 

      " แผนการนี่มัน... "  หลังจากที่แยกย้ายกันออกมาจากพระที่นั่ง ไกรถึงกับครางออกมาเบาๆกับท่านผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้วยกัน ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าหันมามองพร้อมกับฝืนหัวเราะออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจไม่แพ้กันทันที

 

      " ไม่ต้องพูดต่อเลย ไกร "

 

      " นั่งประชุมกันจนเกือบเที่ยง สรุปไม่ได้อะไรเลย "

 

      " จะว่าอย่างไรดีล่ะ เจ้าต้องเข้าใจว่าอโยธยาไม่ใช่เมืองที่เอาดีทางด้านการศึกหรือการแผ่ขยายราชอาณาจักร แต่เป็นการค้าขายและความมั่งคั่งเป็นสำคัญ ...ทำให้นอกจากการศึกแล้วเรายังต้องมองในด้านอื่นๆ อย่างความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรใกล้เคียงที่เราค้าขายด้วย และยังต้องคอยระวังพวกเขมร หรือดีไม่ดีจะลามไปถึงพวกญวณที่ไกลออกไปอีก... "  ท่านผู้เฒ่าอธิบายช้าๆ ซึ่งไกรก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อ

 

      " เพราะต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีของทุกฝ่ายไว้ เลยต้องกลายมาอยู่ในสภาพคาราคาซังเช่นนี้...ฮ่ะๆ น่าขันชะมัด "

 

        ท่านผู้เฒ่าเหลือบมองไกรที่เวลานี้เขารู้สึกว่าเป็นดั่งลูกชายของเขาเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างนึกแกล้งระคนหมั่นไส้ทันที

 

      " คิดบ้างไหมว่าสภาพของอโยธยาตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากสภาพคาราคาซังของเจ้ากับสตรีหลายๆนางที่มาข้องแวะกับเจ้าไม่มีผิดเพี้ยนเลย "

 

        คำพูดของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรที่คิดอะไรอยู่เพลินๆถึงกับหน้าร้อนวูบวาบ ก่อนจะหันขวับกลับมามองท่านผู้เฒ่าอย่างเคืองๆ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ท่านผู้เฒ่าก็ชิงพูดต่อว่า

 

      " เฮ้อ ไอ้ข้าที่อดีตก็เคยทำเรื่องเช่นนี้มาไม่น้อยก็ไม่ได้อยากจะว่าอะไรหรอกนะ ถ้าไม่ใช่ว่าไอ้สตรีหลายๆนางที่ว่านั่นมันเหมารวมลูกสาวบุญธรรมของข้าที่เป็นหลานสาวของสหายรักข้าไปด้วย แต่ก็ระวังไว้บ้างก็ดีนะ...นอกจากลูกสาวข้า ต้องนับรวม บุตรีแห่งสุรีย์แสง อย่างเจ้าหญิง...อ้อ ที่เจ้าเรียกว่าท่านหญิงสิริจันทรของเจ้าไปอีก...รายนั้นขืนไปขัดพระทัยอะไรเข้าจนพระองค์สำแดงเดชอีกมีหวังได้วินาศสันตะโรกันหมดแน่ๆ "

 

      " แปลไว้ลี้ได้ให้ลี้สินะขอรับ "

 

      " จะแนะนำว่าให้เกี้ยวไปเรื่อยๆต่างหากล่ะ "  ท่านผู้เฒ่าบอกหน้าตาย จนไกรหันขวับกลับไปมามองอย่างไม่เชื่อหูตัวเองอีกครั้ง 

 

      " ขออีกทีดิ๊ ท่านผู้เฒ่า "

 

      " สมเด็จพระพี่นางพินทวดีดำรัสกับข้าว่าเจ้าหญิงเริ่มกังวลพระทัยเกี่ยวกับเจ้าที่พยายามหลบหน้าพระองค์แล้ว ข้าไม่ได้อยากจะด่าเจ้าหรอกนะ แต่เรื่องนี้เจ้าผูกเอง เจ้าต้องแก้เอง...และที่แก้ข้าไม่ได้หมายความว่าให้หักดิบหลบหน้าเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เป็นได้แค่ไอ้ชายเจ้าชู้ขี้ขลาดเท่านั้นแหละ "

 

      " ข้าไม่ได้ขี้ขลาดนะขอรับ! "  ไกรขมวดคิ้วพร้อมกับเถียงกร้าวๆ ซึ่งท่านผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้คิดจะเถียงอะไร เพราะเขาก็พยักหน้ารับบางๆ

 

      " ก็ข้ารู้อย่างไรล่ะ ข้าถึงเตือน "

 

        คำพูดทั้งหมดของท่านผู้เฒ่าทวนเวียนอยู่ในหัวของไกรทำให้ไกรนิ่งไปอย่างครุ่นคิด ซึ่งท่านผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้คิดจะกดดันอะไรไกรต่อ เพราะเขารู้ดีว่าในหัวของไกรเวลานี้เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆมากมายอยู่แล้ว และในอดีตที่ยังใช้นามว่า ศรีปราชญ์ ท่านผู้เฒ่าเองก็ผ่านช่วงเวลากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบเด็กหนุ่มเช่นกัน ทำให้เขารู้สึกเห็นอกเห็นใจไกรจนต้องตบไหล่เด็กหนุ่มข้างๆเป็นเชิงปลอบใจพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

      " ฮ่ะๆ ก็อย่างที่เขาว่าล่ะนะ แม้แต่วีรบุรุษก็ยังยากจะฝ่าด่านหญิงงาม แต่เจ้ามันเป็นคนฉลาด...ข้าเดาว่าอีกซักพักเจ้าก็คงจะแก้เงื่อนนี้ไปได้อย่างงดงามเช่นเดิมนั่นแหละ...แหม่ น่าสนุกจริงๆ "

 

      " แหม ถ้าความลำบากใจของข้าสร้างความบันเทิงให้กับท่านได้ ข้าก็ยินดีเหลือเกินขอรับ "  ไกรครางออกมาเบาๆ แต่เขาก็ฝืนยิ้มพร้อมกับก้มหัวขอบคุณคำแนะนำของท่านผู้เฒ่าช้าๆ

 

      " ...ขอบคุณนะขอรับ "

 

      " รอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ตั้งหลายครั้งหลายครา อย่ามาตกม้าตาย ตายเพราะสตรีเชียวนะ ไม่ว่าจะเป็นสตรีน้อยๆนางใดก็ตาม ไม่อย่างนั้นเวลายมบาลถามว่าเป็นอะไรตาย มีหวังได้อายไปทั้งยมโลกแน่ "  

 

      " ถ้านี่เป็นการให้กำลังใจของท่าน มันก็ไม่ได้ช่วยสร้างกำลังใจให้ข้าเลยเฟ้ยขอรับ "  

 

        ท่านผู้เฒ่าเหลือบมองผู้เป็นดั่งลูกชายแท้ๆของเขาอย่างขำๆอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเอามือนวดขมับพร้อมกับถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยล้าและเริ่มต้นหัวข้อสนทนาใหม่อย่างช้าๆอีกครั้ง

 

      " อ้อ เผื่อเจ้ายังไม่รู้นะไกร ก่อนที่จะกลับไปพิษณุโลกไป ออกญาสุรสีห์เรือง ได้นำเอาบุตรีบุญธรรมของท่านมาถวายตัวเป็นพระสนมในสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์เมื่อหลายวันก่อน "

 

      " ขอรับ? "  ไกรรับคำเล็กน้อยอย่างงงๆเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆอีกครั้ง

 

      " ได้ข่าวว่าเวลานี้พ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์กำลังทรงหลงเสน่ห์พระสนมคนใหม่ที่พึ่งเข้ามาถวายตัว รวมทั้งโปรดการเสวยน้ำจัณฑ์ที่พวกฝรั่งแขนลายนำมาถวายเป็นอันมาก จนไม่อาจจะปลีกพระวรกายมาออกว่าราชการได้ "

 

      " ห...หา?! ประเดี๋ยวสิ! "  ถึงเวลานี้ไกรถึงกับต้องร้องขัดออกมาอย่างไม่เข้าใจทันที เพราะต่อให้เขาเป็นคนที่มาจากอนาคต แต่เท่าที่เขาสัมผัสมา พระเจ้าเอกทัศน์ไม่มีทางจะทำเรื่องอย่างที่ท่านผู้เฒ่าว่าได้อย่างแน่นอน...ทั้งพระวรกายและพระจริยวัตรไม่เอื้ออำนวยเลยแม้แต่น้อย

 

      " นั่นคือข่าวที่พวกเรากำลังจะปล่อยออกไป ให้ทุกคนทราบโดยทั่วกันในหมู่เหล่าขุนนางทั้งหมดทั้งปวง "

 

      " ข...ข้าชักตามไม่ทันแล้วนะขอรับท่านผู้เฒ่า "

 

      " เฮ้อ...ไกร...เรื่องนี้เป็นความลับระดับสุดยอดที่รู้กันเพียงไม่กี่คนและไม่กี่พระองค์เท่านั้นนะ "

 

      " ขอรับ? "

 

      " ...พ่ออยู่หัว พระเจ้าเอกทัศน์เวลานี้กำลังทรงประชวรหนัก พิษอโรคาพยาธิที่สะสมมาตลอด ประสมกับพิษไข้พระหทัยหลังจากผ่านเรื่องราวในราตรีเลือดคืนนั้นทำให้พระอาการของพระองค์ทรงกำเริบขึ้นอีก...พ่ออยู่หัวอุทุมพรทรงต้องเป็นผู้ถวายการรักษา ประคับประคองพระอาการอย่างใกล้ชิดจนแทบไม่ได้บรรทม จนทำให้พ่ออยู่หัวเอกทัศน์มีพระอาการดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังทรงมีพระวรกายอ่อนแอจนไม่อาจจะออกว่าราชการในเร็ววันนี้ได้แน่ๆ ...ฉะนั้นพวกข้า หมายถึงข้า สมเด็จพระเจ้าอุทมพร พระพี่นางพินทวดี รวมไปถึงอัครมหาเสนาบดีทั้งสองอย่างท่านครุฑและท่านบุนนาคจึงต้องปรึกษากันเพื่อหาข้อแก้ต่างที่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์จะไม่ทรงออกว่าราชการในเวลาเช่นนี้...แล้วก็ได้ข้อแก้ต่างอย่างที่บอกไปนั่นแหละ "  ท่านผู้เฒ่าเฉลยสิ่งที่ไกรสงสัยเบาๆพร้อมกับเหลือบสายตาไปมองรอบๆราวกับกลัวว่าจะมีคนอื่นได้ยิน ซึ่งเมื่อได้ฟัง ไกรก็ยังคงจ้องเลิกคิ้วอย่างไม่หายสงสัย

 

      " แล้วทำไมไม่ใช้เหตุผลอื่นที่มันดีกว่านี้ล่ะขอรับ! "

 

      " ก็เพราะข่าวลือที่เหมือนจะเป็นขี้ปากชาวบ้านแบบนี้น่ะสิที่ทำให้มันดูเป็นเรื่องจริง...ถ้าหากเจ้าได้ยินว่าที่พ่ออยู่หัวไม่ออกว่าราชการเพราะพระองค์ทรงเจริญสมาธิปฏิบัติธรรม หรือติดราชกรณียกิจอย่างอื่นที่สำคัญกว่า แล้วเจ้าเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเจ้าจะเชื่อโดยไม่สงสัยเลยอย่างนั้นหรือ? มนุษย์ปุถุชนนั้นชื่นชอบคำนินทากาเลที่เสียหายอยู่แล้ว ถ้าหากเป็นข่าวลือเช่นนี้ทุกคนจะเชื่ออย่างสนิทใจน่ะสิ...แล้วข้าขอบอกเลยนะว่าให้ทุกคนเข้าใจว่าพ่ออยู่ห้วทรงหลงนางสนมคนใหม่หรือเมามายน้ำจัณฑ์ก็ยังดีกว่าให้ทุกคนรู้ว่าพระองค์ทรงประชวรหนักแน่ๆ โดยเฉพาะกับในช่วงที่อโยธยากำลังติดศึกสงครามเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ดีไม่ดีจะพวกเกิดเป็นสงครามภายในจนไปถึงการชิงราชสมบัติเลยก็ได้! "

 

      ' จ...จริงสินะ ในเวลาที่ต้องเผชิญกับศึกภายนอกเช่นนี้พระเจ้าอยู่หัวจะทรงอ่อนแอไม่ได้ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะระส่ำระสายที่สุด และเราเองก็เอาบรรทัดฐานค่านิยมของคนยุคเรามาเทียบกับผู้คนในยุคสมัยนี้ไม่ได้ด้วยสิ เพราะหลงพระสนมก็ยังดีกว่าประชวรหนักจริงๆ...แต่ก็พอจะเข้าใจล่ะ เหตุผลที่พระราชประวัติเกี่ยวกับพระเจ้าเอกทัศน์ที่มีความย้อนแย้งในตัวเองจนมั่วไปหมด...เหตุผลทางด้านการเมืองล้วนๆเลยสินะ ' 

 

        ท่านผู้เฒ่าที่เห็นว่าไกรนิ่งไปอย่างยอมรับก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเสริมเบาๆว่า

 

     " ข้าเลยมาบอกเจ้าก่อน เพื่อไม่ให้เจ้ากระโตกกระตากจนทำเสียเรื่องไป...อ้อ ที่พูดนี่ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แค่มานัดแนะกันไว้ก่อนเท่านั้นแหละ "

 

     " เข้าใจแล้วขอรับ "

 

        ไกรรับคำอย่างว่าง่ายและไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรพร้อมกับบิดตัวอย่างเมื่อยขบ แต่การบิดตัวอย่างกะทันหันทำให้แผลที่กลางหน้าอกเจ็บแปล๊บขึ้นราวกับถูกไฟช๊อตจนเขาต้องทรุดลงไปกุมบริเวณแผลพร้อมกับนิ่วหน้าวูบ ก่อนจะครางออกมาเบาๆพร้อมกับล้วงไปในกระเป๋าลับและหยิบขวดยาเล็กๆขึ้นมาเปิดจุกและกรอกยาสุดขมเข้าปากเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เริ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง...ชายหนุ่มแลบลิ้นเล็กน้อยอย่างแหวะในรสชาติ หวานเป็นลม ขมเป็นยา นี้ ก่อนจะหันมาหาท่านผู้เฒ่าพร้อมกับแบมือยื่นไปหาช้าๆ

 

      " ขอคืนด้วยขอรับ "

 

        ไกรพูดอย่างห้วนๆ แต่ท่านผู้เฒ่าก็รู้ความหมายของสิ่งที่ไกรต้องการจะสื่อดี และล้วงสิ่งที่เป็นของไกรและเขาถือวิสาสะหยิบยืมระหว่างที่ไกรกำลังไม่ได้สติออกมา

 

     ...ธำมรงค์พระราชทาน...

 

      " แปลว่าจะเข้าเขตพระราชฐานชั้นในสินะ "

 

      " ขอรับ...และถ้าหากท่านกังวล ข้าไม่ได้ไปพบ...หมายถึงเฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรหรอกขอรับ ข้าจะไปหายัยลูกสาวตัวดีของท่านนั่นแหละ...จะได้ถามให้รู้เช่นเห็นชาติเสียทีว่าตกลงเล่นงานข้าเสียแทบปางตายแบบนี้เพื่ออะไร! "

 

 

 

.........................................

 

 

 

     ...ไม่กี่นาทีต่อมา...ณ เขตพระราชฐานชั้นใน...

 

        ไกรเก็บพระธำมรงค์ที่เวลานี้กลับมาห้อยอยู่ที่คอของเขาให้เข้าที่เข้าทางเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไปที่บรรยากาศโดยรอบช้าๆ...ถึงแม้ว่าเขาจะเข้ามาที่ที่เป็นดั่งหัวใจแห่งราชอาณาจักรอโยธยา อย่างเขตพระราชฐานชั้นในแห่งนี้หลายครั้งแล้ว ไม่ว่าในฐานะของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ หรือในฐานะของพระเจ้าเอกทัศน์ตัวปลอม แต่เขาก็ยังคงอดชื่นชมในสถาปัตยกรรมอันวิจิตร อ่อนช้อย และงดงามราวกับสวนสวรรค์ที่อยู่บนโลกมนุษย์แห่งนี้ไม่ได้...แต่ถึงอย่างนั้น จุดที่เป็นจุดเด่นที่สุดก็กลายเป็นจุดด้อยที่สุดที่ออกจะขัดตาไกรอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

 

      ' เพราะบรรยากาศและสถานที่ที่ดูแล้วปลอดภัยและสุขสบายเช่นนี้ ทำให้คนเราที่ทั้งชีวิตอยู่แต่ในที่แห่งนี้ถูกความสุขสบายและความปลอดภัยกัดกร่อน จนกระทั่งไม่รู้สึกรู้สาแม้กระทั่งศึกใหญ่ที่กำลังเคาะประตูบ้านตัวเองอยู่แล้ว...เฮ้อ...เฉื่อยชาจนน่าหนักใจเลยแฮะ '  ไกรเหลือบไปมองเหล่านางกำนัลและสนมนางห้ามหลายต่อหลายท่านที่เวลานี้ต่างนั่งๆนอนๆชมนางรำหรือฟังดนตรีอย่างไม่รู้สึกรู้สากับสถานการณ์ใดๆทั้งสิ้น...อันที่จริงไกรเองก็ไม่ค่อยแน่ใจด้วยซ้ำว่าพวกท่านๆนางสนมกำนัลทั้งหลายเหล่านี้รู้รึเปล่าว่าอโยธยากำลังมีศึกติดพันอยู่ในเวลานี้

 

      " เฮ้อ...ความสุขสบาย "  ไกรถึงกับต้องหลับตาลงพร้อมกับครางออกมาเบาๆ ...ถึงเขาจะไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ แต่เขาก็ยังมีพันธะในการเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ให้เข้ารูปเข้ารอยอย่างที่ควรเป็น ...และในสงครามพระเจ้าอลองพญาได้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในทุกๆพงศาวดาร...ว่าอโยธยาเป็นฝ่ายชนะ...แต่จากที่เขาเห็น เขายังเดาไม่ออกเลยว่าจะหยุดยั้งกองทัพอันเกรียงไกรของพระเจ้าอลองพญาอย่างไรดี...ยิ่งพอมาเห็นสภาพทองไม่รู้ร้อนของพวกนางในเหล่านี้ยิ่งทำให้เขายิ่งหงุดหงิดใจเข้าไปใหญ่...

 

      ' ไม่สิ จะว่าชนะก็พูดได้ไม่เต็มปากนักด้วย...หากไม่ใช่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญของสงคราม แม้แต่นักประวัติศาสตร์หลายๆคนก็ยังไม่อาจจะเดาได้เลยว่าสงครามมันจะจบในรูปแบบไหน '  ไกรคิดไปเรื่อยๆอย่างปลอดอคติพร้อมกับทำหน้าหนักใจ เพราะนี่เป็นสงครามใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของเขา และเป็นสิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเขายังสามารถประคองประวัติศาสตร์ให้เดินไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือไม่...เพราะขืนเขาเดินหมากพลาดเพียงนิดเดียว มันอาจจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ Butterfly effect ที่รุนแรงจนเขาไม่อาจจะแก้ไขได้เลยก็ได้

 

      " เฮ้อ...ช่างเถอะ เรื่องนั้น เอาเป็นว่าเอาเรื่องเฉพาะหน้าอย่ายัยบ้าเลือดนาสตี้ก่อนดีกว่า "  ไกรถอนหายใจเฮือกอีกครั้งพลางลูบหน้าอกตัวเองที่ยัยบ้าเลือดที่เขาว่าฝากรอยแผลไว้ช้าๆ ก่อนจะขมวดคิ้วอีกครั้ง เพราะเขาไล่ถามทั้งเหล่าจ่าโขลนและนางในหลายๆคนแล้ว แต่ทุกคนกลับไม่สามารถบอกได้เลยม่า คุณท้าวจ่าโขลนพิเศษอนาสตาเซีย ตอนนี้ไปอยู่ไหนเสีย ถึงแม้ว่าพวกเธอจะยืนยันตรงกันว่าเห็นอนาสตาเซียเข้ามาในเขตพระราชฐานชั้นในนี่แล้วก็ตามที...แล้วเขตพระราชฐานชั้นในนี่ก็มีเนื้อที่ไม่ใช่น้อยๆ ต่อให้ไม่นับเขตราชอุทยานสวนองุ่นที่ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นไกรก็ไม่อยากจะเข้าไปแล้ว เขตราชฐานก็ยังเต็มไปด้วยพระที่นั่ง พระคลังมหาสมบัติ โรงเก็บราชยานอีกนับสิบๆโรง รวมไปถึงพระตำหนักของเหล่าสนมนางในอีกไม่นับ ทำให้เการไล่ทั้งหมดเพื่อค้นหาคนๆเดียวเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยก็ว่าได้ 

 

      " ไม่ใช่ว่ากำลังหลบหน้าเราอยู่หรอกนะ...แต่เอาเถอะ ช้าเร็วก็คงต้องเจอกันอยู่ดี "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างเริ่มยอมแพ้ ก่อนที่สายตาคมกริบของเขาจะเหลือบไปพบกับกระบวนเสด็จที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ และเมื่อไกรที่อยู่บนถนนไม่เห็นหนทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ เขาจึงหลบลงมาข้างถนนพร้อมกับคุกเข่าเพื่อให้กระบวนเสด็จเสเด็จผ่านไป

 

      ' หืม? กระบวนเสด็จนี้? ไม่คุ้นเลยแฮะ '  ถึงไกรจะไม่ได้ถึงกับรู้จักกระบวนเสด็จของทุกพระองค์ที่อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในแห่งนี้ แต่เขาก็ยังพอจะจำหน้าของพวกนางกำนัลประจำพระตำหนักต่างๆได้อย่างคร่าวๆแล้ว แต่กระบวนเสด็จที่กำลังเข้ามานี้ไม่มีนางกำนัลตามเสด็จคนใดที่เขาคุ้นตาเลย ทำให้ไกรอดเลิกคิ้วอย่างสนอกสนใจไม่ได้ จนกระทั่งนางจ่าโขลนคนหนึ่งที่ยืนรักษาความปลอดภัยประจำถนนอิฐสายนี้อยู่ก้มลงมากระซิบบอกไกรเบาๆว่า

 

      "ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯเจ้าคะ ท่านไม่จำเป็นต้องหมอบกราบเช่นนี้ก็ได้เจ้าคะ กระบวนเสด็จนี้ไม่ใช่กระบวนเสด็จของพระบรมวงศานุวงศ์ท่านใด แต่เป็นกระบวนของพระสนมเอกน่ะเจ้าค่ะ "

 

      " พระสนมเอก? "  ไกรค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆพร้อมกับทวนคำอย่างสงสัยใครรู้ เพราะว่าต่อให้เป็นเจ้าจอมซึ่งเป็นพระสนมเอกแต่ก็ยังคงมีศักดิ์เป็นสามัญชนธรรมดา ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์แต่อย่างใด

 

      " เจ้าค่ะ เจ้าจอมพระสนมเอกพระองค์ใหม่ที่ท่านออกญาสุรสีห์แห่งพิษณุโลกนำ่มาถวายตัวแก่พ่ออยู่หัว...ตัวอิฉันเองก็ยังไม่ได้เห็นอย่างตรงๆหรอกนะเจ้าคะ แต่ข่าวว่าพระสนมท่านนี้มีรูปโฉมงดงามและมีจริตกริยาไร้ที่ติจนพ่ออยู่หัวทรงโปรดปรานและอวยยศขึ้นในที่พระสนมเอกเลยทีเดียวล่ะ "  นางจ่าโขลนสาวเอียงตัวมากระซิบกระซาบกับไกรอีกครั้ง ในขณะที่เมื่อได้ยินไกรก็หัวเราะออกมาอย่างเหนื่อยๆทันที

 

      " ฮ่ะๆ แปลว่าแผนของท่านผู้เฒ่าเริ่มแล้วสินะเนี่ย "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ เพราะท่านผู้เฒ่านัดแนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว ก่อนจะก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงแสดงความเคารพขณะที่กระบวนสิวิกาอันงดงามเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ

 

     ...ถึงแม้จะรู้จากท่านผู้เฒ่ามาก่อนแล้วว่าพวกท่านใช้พระสนมที่พึ่งถวายตัวเข้ามาใหม่นางนี้เป็นข้ออ้างในเรื่องของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ แต่ถึงอย่างนั้นท่านผู้เฒ่าก็ไม่ได้บอกว่านางสนมเอกผู้นี้เป็นใคร เพียงแค่รู้ว่าเป็นบุตรีบุญธรรมของเจ้าพระยาสุรสีห์แห่งพิษณุโลกเท่านั้น ทำให้ไกรอดเหลือบมองไปที่ม่านสิวิกาบางๆระหว่างที่สิวิกากำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆไม่ได้...ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียว แต่สายตาของไกรก็ยังคมพอจะได้เห็นร่างเงาของสตรีสาวผู้มีรูปร่างไร้ที่ติ ที่นั่งเชิดตัวตรงอยู่ภายในสิวิกาคันงามนี้...แต่ชั่วเสี้ยววินาทีที่สิวิกาเคลื่อนผ่านไปนั้นเอง ฆานประสาทของไกรก็กระสากลิ่นหอมประหลาดที่ลอยเอ่ยๆมาแตะกับจมูกของเขา...

 

     ...กลิ่นหอมอันหวานละมุนและเจอจางที่เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นกลิ่นของน้ำปรุงหรือน้ำหอมประเภทใด หรือสะกัดจากดอกไม้หอมประเภทใด...เพียงแต่ที่เขาแน่ใจถึงขั้นมั่นใจเต็มสิบส่วนได้อย่างหนึ่ง...

 

     ...กลิ่นหอมนี้คือกลิ่นหอมประจำกายของดาราแห่งบรรลัยกัลป์ ที่เธอใช้ในทุกๆครั้งที่เธอปรากฏตัวมาหาไกรนั่นเอง...

 

      " ดารา! "

 

 

 

 

 ..........................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา