ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  110.03K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

125)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

===============================================

 

 

     ...เพชรบุรี...

 

      " อ...อือ "  ออกญาเพชรบุรีเรืองค่อยๆกลับฟื้นคืนสติมาอย่างช้าๆ...ความรู้สึกแรกที่เข้าสู่สมองคืออาการชาดิกทั่วร่างกาย ก่อนที่ความรู้สึกต่อมาคืออาการระบมและปวดหัวจนแทบระเบิด แต่พอเขาจะยกมือขึ้นากุมหัวเพื่อบรรเทาอาการปวด ที่ข้อมือของเขาก็เกิดเสียงดังประหลาดๆขึ้นบางอย่างทันที

 

       แกร๊ก!

 

       เพราะเรืองไม่ใช่ลูกคุณหนูใสซื่อหรือเด็กหนุ่มที่พึ่งเคยเห็นโลก...เพียงแค่ได้ยินเสียงและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นและหนักอึ้งที่ข้อมือ เขาก็พอจะอนุมานสิ่งที่สวมอยู่ที่ข้อมือของเขาได้ทันที

 

    ...ตรวนกุญแจมือ...

 

      ' โอม... '

 

      " ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ท่านออกญาเพชรบุรี แต่ถ้าเจ้าคิดจะโอมอ่านคาถาเพื่อสะเดาะกุญแจล่ะก็ ข้าว่าล้มเลิกความตั้งใจเสียเถอะ...เพราะพวกเรารู้กิตติศัพท์ของเจ้าดีอยู่แล้ว ทั้งตรวนมือตนวนขาล้วนแล้วแต่ลงอาคมกำกับไว้หมดแล้วล่ะ "  เสียงที่เหมือนกับรู้ทันการกระทำของเขาล่วงหน้าและเอ่ยดักคออย่างอารมณ์ดีทำให้เรืองชะงักกึก ก่อนจะลืมตาที่หนังตาเริ่มเบาลงแล้วขึ้นไปมองที่ต้นเสียงช้าๆ

 

      " เจ้า "

 

      " ที่จริงเราเคยเจอกันแล้วครานึง เจ้าจำข้าได้ไหม? ท่านออกญา "  

 

      " อะแซหวุ่นกี้ "  เรืองไม่ต้องคาดเดาเลยและไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายบอกด้วยซ้ำ เพราะต่อให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเขาก็ไม่มีวันลืมชายตรงหน้านี้แน่...ชายชาวพม่าที่อยู่ในวัยล่วงเลยวัยกลางคนมาแล้ว แต่ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังและความกระตือรือร้นไม่ต่างจากวัยหนุ่ม ดวงตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยพลังที่สุดหยั่งและแววซ่อนเร้นจนอ่านไม่ออก คิ้วดกหนาและริมฝีปากที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา...

 

     ...รอยยิ้ม...ที่เต็มไปด้วยกระแสแห่งความกดดัน...จนผู้ถูกจ้องมองรู้สึกไม่สบายใจ...ราวกับรอยยิ้มของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์หรือไม่ก็อสรพิษผู้ปลิ้นปล้อนและเต็มไปด้วยกลอุบายไม่มีผิด...

 

     ...ชาย...ผู้เกือบจะเอาชีวิตเขาได้ในการพบกันในครั้งแรก แต่ไมทำ...ผู้สั่งยิงปืนใหญ่ก่อนเวลาจนกองทัพของเขารอดตายทั้งหมด...

 

      " แหม ยังจำได้จริงๆด้วย ข้าปลื้มใจนะเนี่ย "  อะแซหวุ่นกี้ที่อยู่ในชุดผ้าแพรเบาสบายธรรมดาๆโดยไม่ได้ใส่ชุดเกราะอย่างนายทัพพม่าทั่วไป และนั่งอยู่ชิดลูกกรงไม้ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นที่คุมขังอย่างหยาบๆของเรืองยิ้มยิงฟันอีกครั้ง...รอยยิ้มและดวงตาที่อ่านไม่ออกทำให้เรืองที่เวลานี้ถูกใส่เครื่องจองจำทั้ง ๕ อย่างครบครันยังต้องขยับถอยห่างเล็กน้อยอย่างหวาดระแวง ก่อนจะพูดเรียบๆว่า

 

      " นับตั้งแต่คราแรกที่เราพบกัน ข้าไม่เห็นเจ้าในการศึกตลอดเกือบ ๑ ขวบเดือนเลย...ข้านึกว่าพระเจ้าอลองพญาส่งเจ้ากลับไปเป็นพลาธิการคอยส่งเสบียงแล้วเสียอีก "

 

        คำพูดของออกญาผู้ถูกคร่ากุมในฐานะเชลยทำให้ขุนทหารเชื้อสายพม่าเลิกคิ้วดกหนาเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออก่มาเบาๆทันที

 

      " ฮ่าๆๆ ก็เกือบๆไปเหมือนกันล่ะ ดีที่เจ้าชายมังระทูลขอพระราชทานอภัยโทษไว้เสียเยอะ แต่ก็ยังโดนสั่งห้ามไม่ให้ร่วมสงครามเมืองเพชรบุรีเลย...น่าเสียดายจริงๆของสนุกๆเช่นนี้มาห้ามกันได้ ...แหม รู้อย่างนี้น่าจะสั่งยิงให้มันตรงๆ...ไม่สิ รู้อย่างนี้น่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วไม่ไปตั้งปืนใหญ่ดักรอแล้วปล่อยทัพเจ้าชายมังเวงตามเวรตามกรรมเลยเสียก็ดี ฮ่าๆๆๆ "

 

      ' เฮ่ยๆ นี่ควรจะเป็นคำพูดของขุนนางผู้ภักดีอย่างนั้นเหรอ? '  ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เวลาแต่เรืองก็ยังอดคิดอย่างสงสัยไม่ได้ ก่อนที่เขาจะไล่ความคิดนี้ออกไปจากหัวพร้อมกับถอนหายใจเฮือกอย่างปลงตก และถามขึ้นอย่างเชื่องช้าและราบเรียบที่สุดว่า

 

      " ข้าจะถูกประหารเมื่อไหร่? "  อาจเป็นคำถามที่ฟังดูน่าขนลุก แต่สำหรับเรืองแล้ว เขา แก่ชรา และเจนสงครามมากพอจะเห็นอนาคตของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องให้ใครบอกเลย...กลับเป็นอะแซหวุ่นกี้เสียเองที่เบิกตากว้างใส่พร้อมกับมีท่าทีตกใจทันที

 

      " อ้าว ทำไมพูดจาอัปมงคลต่อตัวเองเช่นนั้นล่ะ ออกญาเพชรบุรี "

 

      " ไม่ต้องมาทำน้ำเย็นปลาตายเลย ข้ารู้สถานะของข้าดี...ข้าคือนายทัพผู้ถ่วงให้พวกเจ้าเดินทัพล่าช้าไปถึงเกือบ ๑ เดือน ข้ารู้โทษทัณฑ์ของข้าดี และไม่เสียใจหรอก "  ออกญาเพชรบุรีพูดอย่างตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด และใจเด็ดจนไม่คิดจะร้องขอชีวิตใดๆ เพราะเรื่องที่เขาควรจะทำ เขาได้ทำไปหมดแล้ว เพียงแต่อะแซหวุ่นกี้กลับหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดขึ้นเป็นเชิงเปรยว่า

 

      " น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ เพราะพระราชอาญาทำให้ข้าไม่อาจจะเล่นศึกกับเจ้าได้ จนพ่ออยู่หัวได้สนุกอยู่เพียงพระองค์เดียว น่าเสียดายจริงๆ...แต่เอาเถอะ ทำให้พ่ออยู่หัวทรงสำราญได้ถึงขนาดนั้น พระองค์คงจะเสียดายคนดีมีฝีมือและไม่ประหารเจ้าทิ้งง่ายๆหรอก...ตอนนี้คิดเสียว่ามาพักค้างอ้างแรมกับพวกเราก่อนล่ะกันนะ "

 

      " เจ้า...ว่าอะไรนะ? "

 

      " กุมาร...ไม่สิ กุมารีผู้แหกกฎที่แกร่งกล้าสามารถที่สุดของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ ท่านออกญา? "

 

        คำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของอะแซหวุ่นกี้ทำให้เรืองเลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึง จนเขาเริ่มงงในกระบวนความคิดของของอีกฝ่ายเสียแล้ว...แต่พออะแซหวุ่นกี้ถามย้ำมาอีกครั้ง เรืองก็เลือกที่จะตอบในส่วนที่เขาตอบได้

 

      " ข้าส่งลูกแก้วลูกขวัญ...กุมารีทั้งสองของข้าไปให้ผู้ที่คู่ควรที่จะเป็น พ่อ คนต่อไปของพวกนางแล้ว "

 

      " นี่เจ้ายอมยกอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าให้คนอื่นง่ายๆเชียวหรือนี่? "

 

      " พวกนางไม่ใช่อาวุธ! "  เรืองขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นภายในเพราะอีกฝ่ายพูดเหมือนกับดูถูกทั้งเขาและลูกแก้วลูกขวัญ จนอะแซหวุ่นกี้ยกมือยอมแพ้อย่างผิดวิสัยพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ

 

      " เอาเถอะๆ แต่ก็นะ...ข้าขอถามตรงๆซักอย่างสิ ท่านออกญาเพชรบุรี "

 

      ' อะไรของไอ้นี่วะเนี่ย? คาดเดาความคิดอะไรไม่ได้เลยจริงๆ '  เรืองคิดพลางขยับถอยห่างไปอีกเล็กน้อยเพราะเขารู้สึกเหมือนเขากำลังคุยกับคนบ้าไม่มีผิด ก่อนที่ด้วยฐานะในเวลานี้ เขาจึงได้แต่ยอมตามน้ำไปด้วยการพยักหน้าเบาๆ จนอะแซหวุ่นกี้ยิ้มกว้างอีกครั้ง

 

 

      " หนทางอันยาวไกล จากนี้ไปถึงอโยธยา...ยังมีคนที่แข็งแกร่งจนน่าสนุกเช่นเจ้าอีกหรือไม่? "  อะแซหวุ่นกี้พูดด้วยแววตาที่ราวกับเด็กตัวน้อยๆที่ทำท่าอยากได้ของเล่นอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีผิด จนเรืองได้แต่กระพริบตาปริบๆ

 

      " เอ่อ... "

 

      " ว่าอย่างไร ตกลงมีไหมๆๆๆ "

 

        ทีแรกเรืองก็ไม่คิดจะตอบอะไรเพราะเขาไม่อยากจะยุ่งกับคนบ้า แต่แล้วคำถามของอีกฝ่ายก็ทำให้เขานึกย้อนไปถึงคนสองคน...ชายหนุ่มสองคนที่อาจจะเป็นเพียงสองคนที่เขาสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็น สหายรัก ได้ทั้งๆที่ได้พบกันเพียงไม่นานแท้ๆ นั่นทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาบางๆ ซึ่งก็ไม่อาจจะเล็ดรอดสายตาของขุนศึกประหลาดๆผู้จับตาดูอยู่ไปได้...อะแซหวุ่นกี้แทบจะกระโจนเข้ามาเกาะลูกกรงไม้พร้อมกับยิ้มกว้างอย่างดีใจทันที

 

      " มีสินะๆๆๆๆ "

 

      " ฮ่ะๆ อืม ถ้าถามว่ามีก็มีจริงๆนั่นแหละ...นอกจากข้าแล้วอโยธยาล้วนยังไม่สิ้นคนดี...ขุนทหารผู้มีความสามารถหลายสิบหลายร้อยท่านที่แฝงตัวเร้นกายอยู่ล้วนแล้วแต่เก่งกล้าสามารถ...แต่...มีไม่กี่คนหรอกที่ข้ายอมรับว่ามีจิตใจและกระบวนพิชัยสงครามที่แข็งแกร่งกว่าข้า...คนที่จะเติมเต็มความปรารถนาอันน่าขนลุกขนพองของเจ้าได้อย่างเต็มที่...คนที่จะทำให้กองทัพของเจ้าปั่นป่วนและชะงักงันได้เสียยิ่งกว่าข้าเสียอีก "

 

      " เอ่ยนามมา! "

 

      " หนึ่งคือหลวงยกกระบัตรเมืองตาก...ชายผู้รอบคอบจริงจังดุจภูษาฟ้าอันไร้ตะเข็บจนไม่มีแผนการเล่ห์กลใดหลุดรอดสายตาไปได้...อีกหนึ่ง...ชายผู้อยู่เหนือความคาดการณ์ของข้าไปแล้ว...เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีแห่งหน่วยคเณศร์เสียงา! "

 

 

 

 

 

............................................

 

 

 

 

 

     ...เกือบ ๒ ชั่วยาม (ประมาณ ๖ ชั่วโมง) ต่อมา...อันเป็นเวลาพลบค่ำ...ณ จวนประจำตำแหน่งเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์...บ้านของท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต...

 

     ...ชายหนุ่มผมขาวโพลนผู้อยู่ในฐานะของท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านมือสังหารเวลานี้ยืนอยู่ที่ส่วนกลางเรือนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นส่วนเปิดโล่งพร้อมกับใช้มือซ้ายขยับถุงมือหนังเนื้อหยาบสีเข้มในมือขวาเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยแววของความหนักอึ้งจะเขม้นมองไปยังท้องฟ้าในยามพลบค่ำนี้ราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างด้วยใจที่จดจ่อ...ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปอีกซักพัก การรอคอยของเขาก็ประสบผล...

 

     ...นกเหยี่ยวพื้นเมืองสีน้ำตาลเข้มตัวมหึมา ที่บินอย่างรวดเร็วตัดเส้นขอบฟ้าขึ้นมา...

 

      " มาแล้ว "  ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆ ทำให้ทุกคนที่รออยู่ไม่ห่างออกไปนักลุกขึ้นทันที

 

        เพียงชั่วครู่เดียวเหยี่ยวสีน้ำตาลเข้มตัวสำคัญก็ร่อนลงมาสู่แขนที่สวมถุงมือหนังของทานผู้เฒ่า ในขณะที่อนาสตาเซียเดินเข้ามาพร้อมกับปลดจดหมายออกจากกระบอกหนังที่ผูกอยู่กับขาของมันโดยแทบไม่สนอาการเหนื่อยล้าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนจากท่าทางและแววตาของเหยี่ยวใหญ่ตัวนี้เลย

 

      " ศกุนตลา บอกให้นกไปพักได้ ขอบใจมาก "  ท่านผู้เฒ่าออกคำสั่งเรียบๆ ในขณะที่ศกุนตลาที่อยู่อีกฟากหนึ่งพยักหน้าเบาๆให้กับเหยี่ยวหนึ่งครั้ง ส่วนเหยี่ยวตัวนี้ก็ค้อมหัวให้เล็กน้อย ก่อนจะบินจากไปในทันที

 

      " ว่าอย่างไรบ้าง...อนาสตาเซีย "  ท่านผู้เฒ่าถอดถุงมือหนังออกพลางหันไปถามอนาสตาเซียที่ส่องกระดาษจดหมายนั้นกับแสงตะเกียง...ถึงแม้จะยังเรียบเฉยแต่เธอก็มีสีหน้าหนักอึ้งไม่แพ้กัน ก่อนที่เธอจะละสายตาจากจดหมายและหันกลับมาพยักหน้าให้กับผู้เป็นพ่อบุญธรรมช้าๆ โดยไม่กล่าวอะไรต่อ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

 

      " หึ...ข่าวของเจ้าถูกต้องทุกประการ ดารา...เพชรบุรีแตกแล้ว และออกญาเพชรบุรีก็ถูกจับไว้เป็นเชลยจริงๆ พร้อมกับขุนทหารอีกจำนวนนึง...สายข่าวของเรายืนยันมาแล้ว "

 

      " เห็นไหมล่ะเจ้าคะ ข้าบอกแล้วว่าการข่าวของข้าไม่มีวันผิดพลาด "  คำพูดของท่านผู้เฒ่าเป็นช่องให้หญิงสาวปริศนานามว่าดาราแหงบรรลัยกัลป์ยิ้มพร้อมพูดสำทับมา ทำให้ท่านผู้เฒ่าหันไปเหลือบสายตามองเล็กน้อยอย่างขวางๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและรับคำอย่างเสียไม่ได้

 

      " เออ! "

 

        ในขณะที่ทั้งไกรและสิงห์ที่ระหว่างนั้นยังคงนังเงียบอยู่ถึงกับหันไปมองหน้ากัน เพราะนี่เท่ากับยืนยันได้อย่างแน่นอนแล้วว่าการข่าวของยุคันตวาตพ่ายแพ้ต่อการข่าวของบรรลัยกัลป์โดยสิ้นเชิง แต่ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะเวลานี้สิงห์กำลังอธิบายไกรเกี่ยวกับการเลี้ยงและการบูชากุมารีชั้นสูงทั้งสองที่จับพลัดจับผลูได้มาจนไม่ว่างมาคุยด้วย...ในขณะที่คนที่ไม่ควรจะนั่งอยู่ตรงนี้เลย แต่ดันตกกระไดพลอยโจนจนต้องถูกพามาอยู่ตรงนี้ด้วยอย่างหลวงยกกระบัตรแห่งเมืองตากถึงกับอ้าปากน้อยๆอย่างตกตะลึงในการข่าวที่รวดเร็วที่สุดเช่นนี้ทันที

 

      " พ...พวกท่าน "

 

      " ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านสิน...พวกที่รอดตายจากเพชรบุรีเวลานี้น่าจะหนีไปรวมตัวกันที่ราชบุรีที่เป็นเมืองท่าด่านในเวลานี้แล้ว  ส่วนม้าเร็วของทางการน่าจะมาถึงอโยธยาเพื่อแจ้งข่าวในอีกประมาณ ๒ ชั่วยามหรือตอนวันรุ่งพรุ่งนี้เป็นอย่างเร็ว "  ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆเหมือนจะพยายามให้ชายหนุ่มเบาใจลง แต่สินยังคงกระพริบตาปริบๆอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

 

      " ให้ตายสิ! พวกท่าน! ถ้านี่ไม่ใช่ข่าวลวง การข่าวนี้เป็นการข่าวที่เร็วยิ่งกว่าทางการเสียอีก พวกท่านเป็นใครกันแน่เนี่ย! "

 

      " เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง ท่านสิน ...อย่าถามเรื่องที่เราเป็นใครดีกว่า "  ศกุนตลาที่เวลานี้อยู่ด้านหลังสินเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้พูดออกมาเรียบๆพร้อมกับปล่อยกระแสจิตคุกคามข่มขู่เพื่อให้อีกฝ่ายเลิกถามอะไรละลาบละล้วงไปมากกว่านี้ จนสินหันขวับไปมอง จนไกรต้องรีบผละจากสิงห์และเดินมาไกล่เกลี่ยทันที เปิดโอกาสให้ท่านผู้เฒ่าเดินเข้าไปถามสองกุมารีที่เวลานี้มาอยู่ภายใต้การดูแลของไกรแล้วอย่างลูกแก้วและลูกขวัญที่เวลานี้ได้รับการดูแลจนมีร่างที่เริ่มเสถียรขึ้นจากเดิมอย่างมากแล้วเบาๆว่า

 

      " แล้วพ่อของเจ้า...ท่านเรือง...ข้าเคยพบกับเขามาก่อน คนอย่างท่านเรืองมีทั้งความคงกระพันชาตรีและพระเวทย์คาถาที่อยู่ในระดับเอกอุ...ลำพังเขาน่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก...แล้วเหตุใด...เขาถึงยังถูกคร่ากุมได้ล่ะ "

 

      " ท่านพ่อเรืองไม่ยอมหนี...หลังจากพวกทหารพม่าตีประตูเมืองแตกและเข้าเมืองมาได้ ท่านและพรรคพวกอีกไม่กี่นายเป็นคนต้านทานทหารพม่าเพื่อให้พวกที่ยังเหลืออยู่ในเมืองอพยพหนีไปรอด...หากท่านไม่ทำเช่นนั้น ปริมาณผู้ที่ตายก็คงจะมากกว่านี้จนไม่อาจจะประเมืนได้เป็นแน่เจ้าค่ะ "  กุมารีทั้งสองตนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบาที่สุด

 

      " โธ่ ไอ้เรืองเอ้ย "  สินครางออกมาเบาๆอย่างไม่อาจจะจับกระแสเสียงออก ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิดที่สุดทันที

 

      " เกือบ ๑ เดือน...ราชบุรีสามารถสกัดการเดินทัพได้เกือบ ๑ เดือน...เกินกว่าที่ทุกคนจะคาดการณ์ได้แล้วจริงๆ "

 

      " ถ้าอย่างนั้นข้าไปนะขอรับ "  ไกรลุกขึ้นพร้อมกับหยิบดาบสดายุที่อยู่ในฝักมาผูกไว้ข้างเอว ก่อนจะพูดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่ยังคงทำหน้าครุ่นคิดอยู่พยักหน้าเบาๆ

 

      " อืม ไปดีมาดีนะ "

 

      " ขอรับ "

 

      " เอ่อ ว่าแต่เจ้าจะไปไหนเหรอ? "  เหมือนท่านผู้เฒ่าจะนึกขึ้นได้เลยหันมาเลิกคิ้วถามอย่างงงๆ ในขณะที่ไกรที่เดินไปเกิอบถึงบันไดชายบ้านหันมาตอบกลับเบาๆว่า

 

      " ไปช่วยเรืองที่เพชรบุรีไงล่ะขอรับ "

 

      " อ่อ...นึกว่าเรื่องอะไร เฮ้ย! พวกเรา จับมันไว้!! "  ท่านผู้เฒ่าตะโกนสั่งการลั่น ในขณะที่เมื่อได้ยิน ทั้งสิงห์และศกุนตลาก็รีบพุ่งเข้ามาตะครุบไกรที่พยายามวิ่งลงไปทันที

 

      " ฮ เฮ้ย! ปล่อยตู! ตูจะไปช่วยท่านเรือง ตูปล่อยท่านเรืองตายไม่ได้นะเฟ้ย! "  ไกรร้องลั่นในขณะที่ทุกคนถึงกับกุมขมับทันที

 

      " นี่ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่นนะไอ้บ้าไกร เรากำลังพูดถึงกองทัพนับหมื่นนับแสนของทหารพม่า เจ้าเข้าไปก็มีแต่ตายเท่านั้นแหละ "

 

      " แต่ข้าไม่อาจจะปล่อยให้เขาตายได้ ท่านผู้เฒ่า "  ไกรหันไปสบตาท่านผู้เฒ่าด้วยแววตาที่ทำให้ท่านผู้เฒ่าชะงักกึก...เพราะเขาเข้าใจความหมายของสิ่งที่ไกรต้องการจะสื่อและเขาเป็นคนเดียว (ยกเว้นอนาสตาเซียที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน) ที่รู้ว่าไกรเป็นผู้ที่มาจากโลกในช่วงเวลาที่นับจากนี้ไปหลายร้อยปี...ถ้าพูดง่ายๆคือเขารู้อนาคต...และสายตาของไกรในเวลานี้ก็แปลว่า อนาคตที่ไกรรู้จักไม่ใช่อนาคตเช่นนี้แน่ๆ

 

     ...แปลง่ายๆก็คือในอนาคตที่ไกรรู้จัก...ออกญาเพชรบรี เรืองผู้นี้ไม่ได้ถูกจับเป็นเชลยและต้องไม่ตายอย่างอนาถท่ามกลางทัพพม่าแน่นอน...

 

      ' แย่ชะมัด...ถ้าเป็นเรื่องนี้มันไม่ยอมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย...ทั้งเราเองสมัยยังเป็น ศรีปราชญ์ ก็กระทำการอย่างมุทะลุไม่ต่างจากมันเลยแม้แต่น้อย...ขืนพูดอะไรมากอาจจะถูกมันถอนหงอกเอาเสียง่ายๆอีก '  ท่านผู้เฒ่าคิดในใจอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกพลางหาหนทางแก้เฉพาะหน้าไปก่อนด้วยการพูดเบาๆว่า

 

      " เราต้องคิดอ่านให้รอบคอบกว่านี้ ไกร...ประเดี๋ยวเจ้าตามข้าเข้าเขตราชฐาน นำเรื่องถวายเพื่อขอพระราชทานคำปรึกษา "

 

      " หา ประเดี๋ยวสิ! พวกท่านจะเข้าเขตราชฐานในเวลาราตรีไม่ได้นะขอรับ! " 

 

      " เอาน่าๆ ท่านสิน ไม่ต้องห่วงๆ พวกเรา ในที่นี้หมายถึงข้ากับไกรเข้าออกกันจนชินแล้ว ทั้งแบบได้รับอนุญาตทั้งเข้าไปโดยพลการนั่นแหละนะ "  ท่านผู้เฒ่าอธิบายเบาๆ จนสินต้องหันกลับไปมองไกรเพื่อขอคำตอบอีกรอบจนไกรได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นและพยักหน้าให้กับท่านผู้เฒ่าช้าๆ...แปลว่าเขาเองก็เริ่มได้สติและเห็นดีเห็นงามด้วย ก่อนชายหนุ่มจะหันมาหาสินอีกครั้ง

 

      " ท่านสิน เอาเป็นว่าข้าจะเข้าวังซักครู่ เจ้าไปพักที่เรือนของข้าได้เลยนะ ข้าให้คนรับใช้จัดเตรียมห้องไว้ให้แล้ว ทำตัวตามสบายเหมือนบ้านตัวเองได้เลยนะ "

 

      " ถ้าอย่างนั้น จะให้ข้าตามไปด้วยไหมขอรับ? "

 

      " อย่าดีกว่า ท่านในเวลานี้ไม่ได้อยู่ในหน่วยคเณศร์เสียงาแล้วและก็ไม่ได้มีธุระอะไร ระดับหลวงอย่างท่านน่ะขืนเข้าไปก็คงจะถูกโบยเสียเปล่าๆ รออยู่ที่เรือนของไกรนั่นแหละดีแล้ว "  ท่านผู้เฒ่าพูดเรียบๆพลางลุกขึ้นเพราะเขาเห็นว่าเริ่มเสียเวลาไปโดยใช่เหตุแล้วพลางพยักหน้าให้คนอื่นๆล่วงหน้าไปก่อน จนสินถึงกับหน้าเจือนลง ในขณะที่ไกรเองก็ไม่กล้าจะพูดอะไร จึงได้แต่ยิ้มพลางขอโทษเบาๆและรีบเดิมตามท่านผู้เฒ่าลงไปทันที

 

      " ท่านพูดแรงไปนะ ท่านผู้เฒ่า "  ไกรที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามลงมาอดบ่นเบาๆกับท่านผู้เฒ่าไม่ได้ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าพ่นลมหายใจออกทางจมูกพร้อมกับครางออกมาเรียบๆว่า

 

      " ข้าไม่ได้ใจดีเรื่อยเปื่อยอย่างเจ้า ไกร...เอาม้ากับพระธำมรงค์มาด้วยใช่ไหม? "

 

      " ขอรับ "

 

      " อืม เราเสียเวลาไม่ได้แล้ว ไปกันเลย "

 

        ท่านผู้เฒ่าพูดพลางขึ้นม้า โดยปล่อยให้ดารากลับไปคืนสู่ฐานะเดิมของเธอ ในขณะที่อนาสตาเซีย และศกุนตลาก็ขึ้นม้าล่วงหน้าไปก่อน ก่อนจะรอให้ไกรที่ยังกะย่องกะแย่งขึ้นม้าสีหมอกได้จนสำเร็จ ก่อนจะเริ่มเดินออกไปพร้อมๆกัน

 

      " ตามประวัติศาสตร์ที่เจ้ารู้จัก...มันไม่ตายสินะ? "  อยู่ๆท่านผู้เฒ่าก็เปรยถามขึ้นอย่างเรียบๆ ในขณะที่ไกรที่รู้อยู่ล่วงหน้าแล้วว่าจะเจอคำถามแบบนี้ก็พยักหน้ารับเบาๆ

 

      " ไม่ใช่แค่ไม่ตายขอรับ แต่ไม่ควรจะถูกจับเป็นเชลยด้วยซ้ำ พูดอย่างไม่ปิดบังเขาคือหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ "  ไกรครางออกมาเบาๆ ก่อนจะนกสงสัยว่าเหตุใดเรื่องราวมันถึงได้กลับตาลปัตรไปได้มากมายเช่นนี้ ในขณะที่เมือได้ยินท่านผู้เฒ่าก็ถอนหายใจเฮือก

  

      " แปลว่าปล่อยให้ตายไม่ได้สินะ "

 

      " ก็อย่างที่บอกนั่นแหละขอรับ...แล้ว ท่านพอมีวืธีไหมขอรับ? "

 

      " อืม มันก็มีอยู่บ้างในรุ่นก่อนๆที่พวกมือสังหารถูกจับได้และขังคุกไว้รอวันตัดสิน พวกข้าก็มีการรวมพลเพื่อบุกชิงนักโทษอยู่หรอก...แต่นี่มันต่างกรรมต่างวาระกัน...เราไม่ได้พูดถึงกรมการเมืองที่เฝ้าหน้าคุกไม่กี่สิบคน แต่กำลังพูดถึงกองทัพนับหมื่นนับแสน...ต่อให้เจ้าแปลงเป็นตัวตุ่นมุดดินไปพวกมันยังรู้เลย "

 

      " แล้ว...ถ้าเราใช้เส้นสายของดาราล่ะ? "  ไกรพยายามเสนอทางออก แต่ท่านผู้เฒ่าส่ายหน้าช้าๆ

 

      " หากไม่นับว่าข้ายังไม่ไว้ใจนาง ตัวดาราเองก็คงไม่มีทางเสี่ยงให้เส้นสายของตัวเองแสดงพิรุธใดๆแน่ๆ เพราะถ้าข้าเดาไม่ผิด ถ้ารู้มากขนาดนั้นในเวลารวดเร็วขนาดนั้น เส้นสายของนางย่อมต้องเป็นบุคคลผู้มีฐานะระดับสูงในทัพพม่าหรือไม่ก็ทัพอโยธยา...หรือดีไม่ดีอาจจะทั้งสองฝ่ายเลยด้วยซ้ำ...อยู่ในระดับขนาดนั้นมันไม่กล้าเสี่ยงเปิดเผยหางตัวเองหรอก "  ท่านผู้เฒ่าวิเคราะห์ได้อย่างหมดจดอย่างผู้มีประสบการณ์และสายตาที่แหลมคมจนไกรคอตกลง แต่ท่านผู้เฒ่าก็ทราบจากการสบตาเพียงเล็กน้อยว่าไกรไม่มีทางยกเลิกความตั้งใจแน่ๆ

 

      " พูดอย่างกลางๆนะ ไกร...ออกญาเพชรบุรีคือผู้ที่ขัดตาทัพพม่าได้ถึงเกือบ ๑ เดือน เรื่องนี้อาจทำให้พระเจ้าอลองพญาทรงชื่นชมก็จริง แต่เจ้าคิดว่าพระองค์จะทำอย่างไรเมื่อจับไอ้คนพรรค์นี้ได้...พูดตรงๆข้าว่าถ้าหากพระองค์ไม่มีราชโองการสั่งให้ตัดหัวแล้วเอาเลือดมาล้างพระบาทให้สมแรงชื่นชม ข้าจะถือว่าแปลกสุดๆเลยล่ะ "

 

      " อย่าพูดอย่างนั้นสิขอรับ! "  ไกรร้องออกมาทันที เพราะเขาเองก็กลัวเรื่องนี้อยู่เหมือนกันเพราะถ้าหากเป็นไปตามที่ท่านผู้เฒ่าพูด งานนี้ได้โบกมือลาประวัติศาสตร์ที่เขารู้จักอย่างถาวรได้เลย ...แต่อยู่ๆท่านผู้เฒ่าก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างกะทันหันด้วยการหันมาถามไกรเบาๆว่า

 

      " แล้วเจ้าเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน? "

 

      " เอ๋? "

 

      " ถ้าให้ข้าถามตรงๆ ก็คือ เจ้าได้เฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน? "

 

        คำถามอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุกระแทกเข้าใส่หน้าของไกรอย่างกะทันหันจนไกรถึงกับอึกอั่กไปไม่เป็น จนกระทั่งท่านผู้เฒ่าที่สายตาแหลมคมถอนหายใจเฮือก

 

      " เฮ้อ... "

 

      " ม...ไม่ใช่นะขอรับ เพราะข้ามัวแต่ฝึกสีหมอกตามที่ท่านสั่งนั่นแหละ เลยไม่ได้มีเวลาเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในเลย ประเดี๋ยวสิ! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของท่านเรืองล่ะเนี่ย? "  ไกรโวยลั่น แต่ท่านผู้เฒ่ากลับถอนหายใจเฮือก

      

      " ไกร ข้าไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรไอ้เรื่องส่วนตัวของเจ้าหรอกนะ แต่ว่าต้องไม่ลืมว่าพระนางคือ บุตรีแห่งสุรีย์แสง นะ การกระทำใดที่อาจจะทำให้พระหทัยของพระองค์กระทบกระเทือนอาจทำให้ท่านอัญเชิญอะไรต่อมิอะไรออกมาวิ่งเล่นได้อีก...แบบนั้น...ฝันร้ายชัดๆ "  ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆพร้อมกับหน้าซีดวูบเมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่่เลวร้ายที่สุด ในขณะที่ไกรเองก็หน้าร้อนวูบวาบ ก่อนจะเถียงดังลั่น

 

      " เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยซักนิด "

 

      " เออๆ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพูดอีกเรื่อง ก็คือเรื่องของอำนาจในเขตพระราชฐานชั้นใน...เวลานี้สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรทรงมีอำนาจในหมู่ราชวงศ์มากขึ้นไปทุกทีๆแล้วนะ "  ท่านผู้เฒ่าพูดเบาๆ แต่ทำให้ไกรหันมามองอย่างงงๆทันที

 

      " เอ๋? เดี๋ยวสิ ได้ไงอ่ะ? "

 

      " ก็อย่างว่าแหละน้าาา เป็นถึงราชองครักษ์พิเศษแต่กลับไม่ค่อยอยากจะเข้าวังเสียเลย เลยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย...พูดกันตรงๆก็เกี่ยวเนื่องจากเหตุกบฏเจ้าจอมเพ็งเจ้าจอมแมนเมื่อคราวนั้นนั่นแหละ "

 

      " เอ๋? "

 

      " การถอดสองพระราชโอรสของพ่ออยู่หัวที่ประสูติแด่เจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมนออกจากทุกๆฐานันดรศักดิ์ ทำให้อำนาจในฐานของพระมหาอุปราชว่างลง...และทำให้ทุกๆคนในเขตราชฐานชั้นในต่างก็คาดการณ์ถึงผู้ที่สมควรจะได้ตำแหน่งอันทรงอำนาจที่สุดนี้...แล้วเจ้าคิดว่าผู้ใดจะมีศักดิ์และสิทธิ์นี้กันล่ะ? "

 

      " ท่านหญิง---เจ้าหญิงสิริจันทร? "

 

      " เออ...แล้วพอเข้าไปหาทีก็ดันกลายเป็นเรื่องที่พวกท่านคงไม่อยากได้ยินเสียอีก อยากรู้จริงๆว่าสมเด็จทานจะว่าอย่างไร "

 

      " ... "  ไกรนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก และตัดสินใจถามขึ้นอย่างลังเลว่า

 

      " แล้วข้าจะต้องทำเช่นไรดีขอรับ? "

 

        ท่านผู้เฒ่ากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก ถึงจะบอกว่าไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวแต่เขาก็เห็นชายหนุ่มข้างๆไม่ต่างอะไรจากลูกชายคนนึง ไอ้เรื่องแบบนี้จะไม่ช่วยเลยก็คงไม่ได้ เลยได้แต่คิดหาวิธีช่วยอย่างเสียไม่ได้

 

      " เฮ้อ...เอาเถอะๆ ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้ ข้าจะเป็นผู้รับมือกับพ่ออยู่หัวทั้งสองรวมไปถึงสมเด็จพระพี่นางพินทวดีเอง...เรื่องนี้เจ้าสบายใจได้... "

 

      " ขอรับ "

 

      " ส่วนเจ้าน่ะ ไปเฝ้าและบอกสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรเรื่องนี้ด้วยตัวเองและใช้วาทศิลป์ที่เข้าถนัดจัดการปัญหาให้เรียบร้อยเสีย อย่าให้เกิดเรื่องราวบานปลายได้ล่ะ "  ท่านผู้เฒ่าพูดจนไกรขมวดคิ้ววูบ แต่เขาก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับรับคำเบาๆ

 

      " เข้าใจแล้วขอรับ...ไว้พรุ่งนี้เช้าข้าจะเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในและทูลเรื่องนี้กับเจ้าหญิงเอง "

 

      " หือ? ใครบอกว่าให้เจ้ากราบทูลพระนางวันรุ่งพรุ่งนี้กัน? เจ้าคิดว่าพวกเรามีเวลามากถึงขนาดนั้นเชียวหรือ? "  ท่านผู้เฒ่าหันกลับมาพูดเรียบๆด้วยสีหน้าอ่านไม่ออกจนไกรได้แต่เลิกคิ้วเอียงคออย่างงงๆ

 

      " เอ๋? "

 

      " เจ้าเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน และลอบเข้าไปในพระตำหนักของเจ้าหญิงและเฝ้าพระองค์เสียคืนนี้แหละ จะได้ไม่เสียเวลา "

 

      " อืม...เข้าใจแล้วขอรับ...จะบ้าเหรอ!! "

 

        ให้เขาลอบขึ้นพระตำหนักของสมเด็จเจ้าฟ้าผู้เป้นราชธิดาแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ในยามวิกาลเนี่ยนะ?! ...แบบนี้ถ้าหัวยังติดอยู่กับบ่าได้อีกก็แปลกแล้วเฟ้ย!!

 

      

 

 

 

 

..............................................

 

 

 

 

 

 

 

     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา