ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  109.80K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

133)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

===============================================

 

 

 

      ...เพราะว่ากองเสบียงที่ยัยพวกสามสาวเสือสมิงออกเดินทางล่วงหน้ามาตั้งแต่เมือคืน และไกรก็ติดงานที่สิงห์เรียกว่า การออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ อีกทำให้กำหนดการที่ถูกกำหนดไว้ในตอนแรกถูกเลื่อนไป กว่าที่กองทัพภูติพรายของไกรจะไล่ตามกองเสบียงทันก็ปาเข้าไปช่วงค่ำๆแล้ว ซึ่งถ้าหากพวกสามสาวมายา ชีวา และราตรีไม่เอะใจและหยุดรอที่ตรงชายแดนระหว่างกาญจนบุรีและราชบุรีพอดี พวกเขาก็คงจะกินข้าวลิงกันในป่าแล้ว

 

       " นี่...จุดไฟกันราวกับเล่นรอบกองไฟแบบนี้ มันจะดีเหรอ? "  ไกรเหลือบไปถามสินที่นั่งวิเคราะห์แผนที่เบาๆ เพราะนอกจากกองไฟเล็กๆของพวกเขาแล้ว ทหารร้อยกว่าคนที่นั่งอยู่รอบนอกก็ก่อกองไฟกันราวกับลูกเสือเล่นรอบกองไฟจริงๆจนแบบนี้อย่างเรียกว่าเด่นเลย...นี่มันเป้าล่อปืนชั้นดีชัดๆ...แต่สินที่ยังคงใช้สายตาจับจ้องอยู่กับแผนที่โบกมือช้าๆพร้อมกับตอบกลับมาเบาๆว่า

 

       " ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ถึงเราจะพึ่งเล่นงานกองลาดตระเวนทัพพม่าจนหายสาปสูญไปหนึ่งกองใหญ่ แต่กองทัพก็มีระเบียบการของมันอยู่ พวกมันจะไม่ส่งทหารออกตามหาจนกว่าจะครบ ๔ ชั่วยาม แปลว่าคืนนี้เราจะยังคงเป็นผี ยังคงปลอดภัยอยู่ขอรับ "

 

       " อย่างที่ว่านั่นแหละ "  อุษาที่เข้าๆออกๆและล้วงตับกองทัพพม่าเป็นว่าเล่นพยักหน้ายืนยันเบาๆ จนไกรต้องเอามือนวดขมับ ก่อนที่สิงห์จะเข้ามาพร้อมกับกลิ่นเหล้าหึ่งพร้อมกับพูดกลางวงจนทุกคนต้องหันหน้าหนีทันที

 

       " นี่ พวกแกจะทำหน้าเคร่งอย่างกับคนปวดขี้ไปอีกนานแค่ไหนฟะ ไปผ่อนคลายกับลูกน้องพวกนั้นบ้างเซ่ พวกเราควรจะมีจุดสนุกสนานกันบ้างนะ "

 

       " ที่ข้าต้องถามคือแกไปเอาเหล้ามาจากไหนต่างหากล่ะเฟ้ย! "  ไกรโวยออกมาดังๆอย่างประสงค์จะด่ามากกว่าถามจริงๆ แต่สิงห์กลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดอีกครั้ง

 

       " ยัยชีวาดมเจอระหว่างทางผ่านหมู่บ้าน สงสัยพวกชาวบ้านคงต้องรีบหนีเลยลืมเอาไปด้วย อดเสียดายไม่ได้เลยเซิ้งมาเสียเรียบวุธ แหม มีแต่เหล้าป่าดีรสแรงทั้งนั้นเลย "

 

       " นี่อย่าบอกว่าแจกพวกทหารด้วยน่ะ? "

 

       " แหม เหล้าจะอร่อยมันต้องมีสหายร่วมดื่มสิ ปัดโธ่ "

 

       " ม ไม่เป็นอะไรเหรอ? สิน "  ไกรหันไปหาสินที่ยังคงเอาแต่จ้องแผนที่อยู่พร้อมกับอ้าปากถามพะงาบๆ แต่สินก็ครางออกมาเบาๆเช่นเคย

 

       " อ่า ไม่เป็นอะไรขอรับ อย่างไรวันนี้ทุกคนก็เหนื่อยกันมาพอสมควรแล้ว สมควรจะผ่อนคลายบ้าง แค่กำชับว่าอย่าให้เมาไปถึงวันรุ่งพรุ่งนี้ก็พอ "

 

       " ง ง่ายๆเงี้ย "

 

       " คือ ถ้าไม่ว่าอะไรก็ช่วยบอกให้ส่งมาทางนี้ซักไหก็ได้นะขอรับ เพราะถ้าเสร็จจากตรงนี้ข้าก็กะจะไปร่วมดื่มด้วย เพราะคงจะหลับง่ายขึ้นเป็นกอง "  สินครางออกมาเบาๆจนไกรแทบทรุด ซึ่งอุษาก็หัวเราะเบาๆก่อนจะพูดกับไกรช้าๆว่า

 

       " ที่ทัพพม่าก็ประมาณนี้แหละ ทหารจากบ้านจากเมืองมา ทั้งจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ขวัญกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าหากเคร่งเครียดกันตลอดมีหวังได้บ้ากันหมดแน่ "

 

       " นั่นก็จริง แต่เหล้าป่าที่ขนาดทำให้ไอ้คอทองแดงอยางสิงห์เมาแอ๋แบบนี้ได้ข้าคงขอผ่านดีกว่า "  ไกรได้แต่ครางออกมาเบาๆ

 

      ...หลังจากนั้นที่ไล่ให้สิงห์ไปเมาหมาที่อื่นแล้ว ไกรและสิน รวมถึงอุษาที่มาช่วยเสริมทัพก็นั่งปรึกาาหารือเรื่องแผนการศึกกันต่อ โดยที่ไกรเป็นฝ่ายเสนอแผนการที่เป็นไปได้ ในขณะที่สินเป็นฝ่ายวิเคราะห์แผนการนั้นและตำหนิหรือติงทันทีที่แผนการที่ออกมาจากปากของไกรมีจุดบกพร่อง ในขณะที่อุษาเป็นฝ่ายที่ให้ข้อมูลทุกอย่างของทัพพม่าแบบหมดเปลือก ชนิดที่ถ้าหากพระเจ้าอลองพญามาได้ยินเข้ามีหวังได้สั่งประหารเวรยามทุกคนเหี้ยนแน่ๆ เพราะเธอแทบจะกางรายชื่อแม่ทัพนายกองพม่าทุกคนมาถวายพานส่งให้ไกรกับสินเลยทีเดียว

 

       " เอ๋? เทวี ผู้พยากรณ์เหรอ? "  ทั้งไกรและสินทวนคำเสียงสูงทันทีที่อุษายกหัวข้อสนทนานี้มาพูด ซึ่งอุษาก็พยักหน้าเบาๆทันที

 

       " อืม "

 

       " แล้วสิ่งที่ยัยเทวีนี่ทำนายถูกตลอดเลยหรือขอรับ? "  สินถามเบาๆอย่างสงสัย ซึ่งอุษาก็พยักหน้าอีกครั้ง พร้อมกับตอบกลับมาเรียบๆ

 

       " ใช่ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุการตายของแม่ทัพบางคน การพลาดท่าเสียทีของเจ้าชายมังเวง รวมถึงการหยุดยั้งไม่ยอมใช้กำลังทั้งหมดบุกเข้าตีเพชรบุรีเพราะฤกษ์ยามก็ล้วนแล้วแต่มาจากปากของสตรีที่ถูกเรียกว่า เทวีผู้พยากรณ์ ทั้งสิ้น...เอาเป็นว่าถึงจะไม่ค่อยชอบพระทัยเท่าไหร่ แต่พระเจ้าอลองพญาก็แทบจะเชื่อทุกอย่างที่ยัยนั่นพูดไปแล้ว "

 

       " ท่านไกรรู้เรื่องนี้รึเปล่าขอรับ? "  สินหันมาถามไกรเบาๆ และไกรก็ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธทันที

 

       ' ไม่ใช่แค่เราไม่รู้...แต่ประวัติศาสตร์ในพงศาวดารจากทุกๆแหล่งก็ไม่มีบันทึกไว้ด้วยซ้ำ...เฮ่ยๆ ชักกลิ่นตุๆแล้วแฮะ '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาอุษาแล้วถามต่อเบาๆอย่างติดใจสงสัยว่า

 

       " แล้วเธอรู้ข้อมูลอย่างอื่นของยัยเทวีอะไรนี่ไหม? "

 

         อุษาทำหน้านึกเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดเธอจะส่ายหน้าช้าๆ

 

       " กระโจมที่พักของเทวีนี่มีการรักษาความปลอดภัยมากเสียยิ่งกว่ากระโจมศึกของพระเจ้าอลองพญาเองเสียอีก ข้าทำได้ดีสุดแค่เลียบๆเคียงๆไปข้างๆกระโจม กับฟังจากพวกทหารที่พูดกัน แต่ก็เป็นแค่คำพูดโคมลอย เชื่อถืออะไรมากไม่ได้...แต่ก็นะ รู้แน่ๆ ๒ อย่าง อย่างแรกคือปากพระร่วงราวกับมีวาจาสิทธิ์... "

 

       " แล้วอย่างที่ ๒ ล่ะ? "

 

       " สตรีผู้นี้งามหยดย้อยเชียวล่ะ "  อุษาพูดพลางเหลือบมองมาที่ไกรอย่างรู้ทันด้วยสายตาเสียดแทงและดูถูกเหยียดหยามสุดๆจนไกรเอียงราวกับถูกยิงด้วยปืน ในขณะที่สินที่เท่าทันคำประชดประชันของหญิงสาวเพราะรู้จักไกรมาระยะหนึ่งแล้วก็หัวเราะเบาๆทันที

 

       " เฮ้อ ก็ไม่ได้อยากจะขัดหรอกนะ ทั้งสินทั้งอุษานั่นแหละ แต่ข้าอยากจะเตือนว่าภารกิจตัดเสบียงหรือสร้างความปั่นป่วนกับกองทัพพระเจ้าอลองพญาน่ะเป็นภารกิจรอง...แต่ภารกิจหลักของเราคือช่วยท่านออกญาเพชรบุรีเรืองนะ "  ไกรพยายามทำความเข้าใจกับทุกคนเรียบๆ ซึ่งอุษาที่ได้รับรายงานมาแต่แรกแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่สินยิ้มพลางตอบกลับมาอย่างรู้ใจไกรวา

 

       " เพราะเช่นนี้อย่างไรล่ะ เราถึงต้องทำให้ทัพพม่าปั่นป่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาให้ระดับอยากถลกหนังหัวเราเลยยิ่งดีเลย "

 

       " โห่ร้องตะวันออก โจมตีตะวันตก "  ไกรพยักหน้าช้าๆ ซึ่งสินก็ดีดนิ้วพร้อมกับหัวเราะเบาๆทันที

 

       " ป่วนให้พวกมันคิดว่าเรามีจุดประสงค์อย่างหนึ่ง ก่อนจะลอบโจมตีด้วยเป้าหมายที่แท้จริง ถูกต้องขอรับ "

 

       " เฮ้อ แผนการลล้ำลึก ข้าคิดไม่ออกเลยนะถ้าท่านไม่ได้พูดนำมาเช่นนี้ "  ไกรหลับตาลงพร้อมกับพยักหน้าเบาๆอย่างยอมแพ้ ซึ่งอุษาเหลือบมองทั้งสินและไกรแบบซ้ายทีขวาที ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

 

       " ขอเลียนแบบคำพูดเจ้าก็แล้วกันนะไกร...ก็ไม่อยากจะขัดหรอกนะ แต่ว่า เจ้าก็ยังเป็นคนของหมู่บ้านเรา ไกร...การกระทำใดอันเป็นการที่จะทำให้ตัวตนของเจ้าถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ล้วนแล้วแต่ต้องห้ามนะ...ไม่ว่าจะถูกบันทึกในฐานะของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ หรือในฐานะของไกรก็ตามที "

 

       " ก ก็ไม่ได้คิดจะให้ตัวเองถูกบันทึกไว้ในฐานะใดๆอยู่แล้วล่ะน่า "  ไกรหันกลับไปพูดห้วนๆ...เขาเป็นคนที่มาจากโลกในอนาคต ขืนคนจากโลกอนาคตอย่างเขามีชื่อระบุอยู่ในอดีตเป็นหลายร้อยปีเช่นนี้มีหวังยุ่งยากตายชักแน่นอน

 

       " ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะทำเรื่องที่ย้อนแย้งกันที่สุดอย่าง การทำเรื่องให้มันสนั่นลั่นโลกจนอีกฝ่ายหัวหมุนโดยที่ไม่มีชื่อของทุกๆคนถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารใดๆเลยได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ ไอ้คนเก่ง "

 

       " เอ่อ หยอกเอินกันสนิทชิดเชื้อขนาดนี้...ตกลงไม่ได้เป็นอะไรที่เกินกว่าสหายกันแน่นะขอรับ? "  สินที่นั่งฟังอยู่เงียบๆอดพูดถามขึ้นเบาๆอีกครั้งอย่างสงสัยไม่ได้ จนหญิงสาวผู้มากปริศนาตรงหน้าสะดุ้งเฮือกพร้อมกับชกเปรี้ยงเข้าเต็มกระโดงคางของไกรจนไกรแทบทรุดฮวบลงไปนอนให้กรรมการนับเลยทีเดียว

 

       " ม...ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น! แม้แต่สหายยังไม่ได้เป็นเลย! ใครอยากจะเป็นอะไรกับไอ้บ้านี่กัน! "

 

       " น นั่นมันคำพูดของทางนี้ต่างหากล่ะเฟ้ย! "

 

       " เฮ้อ เอาเถอะๆ ข้าขอโทษที่ถามอะไรแปลกๆ เอาเป็นว่าอย่างที่ท่านอุษาพูดก็น่าคิดนะขอรับ ท่านไกร เพราะถ้าหากเราไม่ถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ การรับศึกของอโยธยาก็จะไม่มัวหมองเพราะเราเล่นวิชามารเช่นนี้แน่...ท่านมีแผนการอะไรไหมล่ะขอรับ? "  สินพูดช้าๆอย่างครุ่นคิด ในขณะที่ไกรมองแผนที่เล็กน้อย ก่อนจะเสไปมองเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาที่เวลานี้เริ่มร้องเพลงรอบกองไฟเพราะเมากันได้ที่แล้ว...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะพูดช้าๆว่า

 

       " พูดตามตรงตอนนี้ข้ายังคิดอะไรไม่ออกหรอก...แต่ว่า...ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ "

 

       " ขอรับ?/หืม? "

 

          ไกรหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกและฝืนยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

 

       " ...ต่อให้ต้องแลกด้วยทุกอย่าง...ข้าก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้าทุกคนเป็นอันตรายแน่นอน! "

 

 

 

 

 

.............................................

 

 

 

 

      ...หลังจากนั้นพียงไม่ถึงชั่วโมง งานเลี้ยงก็ถึงจุดที่ต้องเลิกราในที่สุด อาจจะเป็นเพราะทุกคนเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน หรือไมก็เพราะฤทธิ์เหล้าป่าที่โคตรจะแรงชนิดจุดไฟเป็นลุกพรึ่บ ทำให้ทุกคนนอนระเกะระกะพร้อมกับกอดไหเหล้าหลับกันไปเป็นแถบๆ...ซึ่งทีแรกไกรก็เป็นห่วงเรื่องคนที่จะนั่งเวรยาม แต่ศกุนตลากับสิงห์บอกว่าไม่ต้องห่วง เพราะพวกเขาวาง เวรยามที่ไม่ใช่คน ไว้โดยรอบแล้ว แม้แต่หนูซักตัวก็ไม่มีทางที่จะผ่านอาณาเขตมาได้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวแน่ แต่สินส่ายหน้าและบอกว่าจำเป็นต้องมีคนยืนยาม เพราะมันเป็นหน้าที่ปฏิบัติของคนในทัพและเขาก็เข้มงวดในเรื่องระเบียบนี้มากในฐานะของรองนายทัพ จึงเลือกนายทหาร ๓ นายที่ดูเมาน้อยที่สุดมายินยามในรอบใน โดยปล่อยให้ เวรยามที่ไม่ใช่คน ของสิงห์และศกุนตลาเฝ้าในวงนอกไปซึ่งเป็นการรอมชอมและเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของกองทัพนั่นเอง จากนั้นทุกคนยกเว้นเวรยามก็เริ่มเข้าสู่นิทรารมณ์ในคืนแรกในที่สุด...

 

 

      ...แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา...

 

         แซ่ก! 

 

         เสียงของใบไม้แห้งที่ถูกย่ำด้วยเท้าโดยเจตนาทำให้เกิดเสียงดังทำให้เวรยามทั้ง ๓ คนที่กำลังเริ่มนั่งสัปหงกกันถึงกับสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นอย่างตกใจ พร้อมๆกับที่สามคนจะใช้มือแตะด้ามดาบที่วางอยู่ใกล้ๆด้วยสัญชาตญาณระวังภัย...แต่พอทุกคนเห็นเงาตะคุ่มๆที่เดินผ่านกองไฟที่กำลังจะมอดดับทั้ง ๓ ก่อนผ่อนคลายลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอกทันที

 

       " ท่านอเทตยา "

 

       " หืม? อ้ะ ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าทำให้พวกท่านตื่นเช่นนั้นหรือ? "  ผู้ที่ส่งเสียงจนปลุกพวกเขาตื่นจากการสัปหงกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นมือฉมังธนูสาวชาวมอญผู้พิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนประจักษ์คาตาแล้วอย่างอเทตยานั่นเอง ซึ่งเมื่อเห็นว่าเวรยามทั้ง ๓ คนตื่นขึ้นมาเธอก็หันไปทักเบาๆ ซึ่งทั้ง ๓ คนก็แทบจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกันทันที

 

       " ถ้าไม่ใช่ว่าเสียงเหยียบใบไม้ พวกข้าก็คงไม่ตื่นเลยแน่ๆ ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของท่านเลย หะแรกนึกว่าถูกผีสางนางไม้หลอกเอาเสียแล้วซะอีก "

 

       " คิกๆ ขออภัยอีกครั้งนะเจ้าคะ พอดีมันติดนิสัยเก็บงำกลิ่นอายจนเคยตัวไปแล้วน่ะเจ้าค่ะ "  หญิงสาวค้อมคำนับอย่างสุภาพและด้วยกริยามารยาทที่สมบูรณ์แบบจนทำให้ทั้ง ๓ คนรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาทันที

 

       " นี่ถ้าพวกเราไม่เห็นเวลาที่ท่านอเทตยาน้าวสายธนูยิงพม่าจนล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วงล่ะก็ พวกข้าคงจะนึกว่าท่านเป็นลูกสาวขุนน้ำขุนนางชั้นสูงแน่ๆเลยนะขอรับเนี่ย "

 

       " แหม เล่นพูดตรงๆเช่นนี้ข้าก็แย่พอดีสิเจ้าคะ "  อเทตยาตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่เอียงอาย จนทุกคนรู้สึกกระชุมกระชวยขึ้นไปอีกจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆอย่างครึกครื้น ก่อนที่อเทตยาจะเอียงคอเล็กน้อยอย่างน่ารักพร้อมกับก้มหัวให้กับพวกเขาช้าๆและรีบตัดบททันที

 

       " ข้าไม่อยู่รั้งรบกวนพวกท่านดีกว่า ขอตัวนะเจ้าคะ "

 

       " อ้า ประเดี๋ยวขอรับ ทางนั้นเป็นส่วนของท่านแม่ทัพไกรนะขอรับท่านอเทตยา "  ชายหนึ่งในสามคนที่นั่งยามอยูนั้นร้องออกมาเบาๆ เพราะหญิงสาวเดินไปทางส่วนที่เป็นที่นอนของไกรซึ่งเป็นส่วนที่ค่อนข้างแห้งสบาย และเป็นสัดส่วนกว่าส่วนอื่น พวกเขาจึงนึกว่าหญิงสาวเดินไปผิดทาง แต่อเทตยาหันมาเอียงคอเล็กน้อยอย่างน่ารักก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากลว่าให้อีกฝ่ายเงียบไว้ ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปในส่วนของไกรจนลับหายไปในเงามืดในที่สุดโดยปล่อยให้ทุกคนนั่งเงียบมองตามไปอย่างอึ้งๆจนไม่อาจจะกล่าวอะไรออกมาได้เลยแม้แต่น้อย

 

       " ไปหาท่านไกร ในยามวิกาลเช่นนี้? "

 

       " เออ เข้าใจไม่ผิดหรอก แบบนี้ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นแล้วล่ะ "

 

       " เฮ้อ กะแล้วเชียว ผู้หญิงของท่านไกรจริงๆด้วย "  จนในที่สุดเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มคนแรกที่กำลังดุนฟืนเพื่อให้กองไฟลุกโชติขึ้นมาอีกครั้งอดครางออกมาเบาๆอย่างสุดแสนเสียดายไม่ได้ ในขณะที่เมื่อได้ยิน อีกสองคนที่เหลือก็พยักหน้าหงึกๆอย่างเห็นพ้องต้องกันทันที

 

       " เสียดายชะมัด อเทตยาน่ะลักษณะต้องใจข้าทุกอย่างเชียวล่ะ...แต่ก็ไม่น่าแปลกนี่...งามเสียขนาดนั้นท่านไกรคงไม่ปล่อยไว้ให้เสียของหรอก "

 

       " แต่ก็ยังเหลือสตรีในทัพให้ชุ่มชื่นหัวใจอีกตั้ง ๒ คนนี่นา "  อีกคนนึงพูดออกมาเบาๆอย่างเสนอทางเลือก แต่ทั้งสองคนที่เหลือทำหน้านึกเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าทันที

 

       " ไม่ไหวว่ะ ท่านศกุนตลาน่ะสวยงามหยาดเยิ้มกว่าทุกสตรีที่ข้าเคยพบเจอมาก็จริง แต่ทั้งลักษณะการแต่งกาย ทั้งหน้ากากที่ปิดครึ่งหน้า ทั้งกลิ่นอายที่น่าเสียวสันหลังนั่นมันหลอนเกินกว่าจะเกี้ยวพาลงว่ะ เผลอๆขืนพูดเกี้ยวไปแม่มีหวังเอาลูกปืนยัดกบาลเอาง่ายๆ...ดูจากที่วันนี้อเทตยายิงฝังกระโหลกพวกพม่าไปเสียตั้ง ๑๒ ศพ ทำเอาข้ากลัวนางมากกว่ากลัวพม่าทั้งกองทัพอีกว่ะ "

 

       " ส่วนท่านอุษาก็งามอยู่หรอก ดูมีทั้งจริตจะก้าน มีทั้งเรือน ๓ น้ำ ๔ ...น่าจะเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีได้อยู่หรอก แต่ฟังจากวีรกรรมที่ท่านแฝงตัวเสี่ยงอันตรายเข้าออกทัพหลวงพม่าเป็นว่าเล่นแล้วรู้เลยว่าไม่มีผู้ชายคนไหนคุมแม่นางได้แน่ๆ แถมท่านสิงห์ยังเตือนว่าฝีมือมีดสั้นของเธออยู่ในระดับเอกอุอีกต่างหาก...ผู้หญิงแบบนี้ใครหักลงและเอาให้อยู่ในโอวาทได้ก็คงเป็นยอดคนแล้ว "

 

       " ส่วนสตรีทั้ง ๓ ที่เฝ้ากองสัมภาระนั่นก็ดันเป็นเสือสมิงเสียอีก เห็นสวยๆอย่างนั้นเป็นมนต์มายาทั้งสิ้น แถมมีแต่ท่านสิงห์เท่านั้นที่สามารถบังคับได้ ขืนไปเกี้ยวนอกจากจะเป็นการเกี้ยวสัตว์เดรัจฉานแล้ว เผลอๆมีหวังถูกขบหัวแถมเคี้ยวจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแน่ "

 

       " เฮ้อ อุตส่าห์หวังว่าท่านอเทตยาจะเป็นดอกไม้งามให้ชุ่มชื่นหัวใจเสียหน่อย โดนท่านไกรเอาไปกินเสียแล้ว ...เหี่ยวแห้งกันต่อไปว่ะ "  คนสุดท้ายสรุปช้าๆ ก่อนที่ทุกคนจะร่วมกันปิดปากหัวเราะจนน้ำตาเล็กอย่างกลั้นไม่อยู่ทันที

 

       " ฮ่าๆๆๆ เฮ้ย! ว่าแต่เจ้าน่ะ เห็นขาสั่นมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เป็นอะไรวะ สันนิบาตลูกนกรึอย่างไร? "  นายทหารผู้นั่งยามคนแรกติงสหายที่นั่งสุมฟืนอยู่ข้างๆเบาๆเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายแข้งขาสั่นไม่หยุดตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว แต่อีกฝ่ายหันกลับมาเถียงดังลั่น

 

       " ไม่ได้สั่นเฟ้ย ว่าแต่เจ้าเถอะ หน้าซีดมือสั่นมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว อยากเหล้าก็กินไอ้ที่เหลือๆก้นๆไหเอาสิเฟ้ย! "

 

       " ฮ่ะๆ พวกเจ้านี่ประหลาดชะมัด "  ชายคนที่ ๓ หัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีของสหายทั้งสองคน ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาเวลานี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อจนมือเย็นเฉียบ แถมยังสั่นเป็นเจ้าเข้าอย่างควบคุมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

       " อ อะไรวะเนี่ย?! "

 

         ถึงจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเกิดอาการแปลกๆเช่นนี้ แต่พวกเขาทั้ง ๓ คนต่างก็รู้ตัวดีว่านี่ไม่ใช่อาการอย่างอื่นใด ...นอกจาก ความกลัว อย่างแน่นอน...เพียงแต่ พวกเขาไม่รู้ และไม่มีวันรู้เลย...ว่าพวกเขากำลังหวาดกลัวสิ่งใด...หรือใครกันแน่!...

 

 

      ...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ไกรเองถึงแม้ว่าจะขอตัวมานอนตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้นอน หรือแม้แต่หลับตาลงเลยแม้แต่น้อย...ชายหนุมเพียงแค่นอนเอกเขนกกับหมอนพร้อมกับลืมตามองเพดานมุ้งของตัวเองด้วยอารมณ์ที่ประสมปนเปกันไป ทั้งยังมีเรื่องให้คิดในหัวจนเขาไม่อาจจะหลับตาลงเลยแม้แต่น้อย...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผนการศึก เรื่องการเตรียมใจในการสังหารคนๆหนึ่ง และเรื่องต่างๆอีกมากมายนัก...

 

         วูบ! 

 

         แต่แล้วเงาตะคุ่มๆที่มุดเข้ามาจนกระทั่งในที่สุดก็มานอนอยู่ข้างๆไกรทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก เพราะถึงเขาจะเหม่อลอยไปบ้าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ลดการป้องกันตัวลงเลย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อาจจะจับสัมผัสใดๆได้จนทีแรกชายหนุ่มนึกว่าเขาเจอผีอำด้วยซ้ำ...ถ้าหากไม่ใช่ว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเงาตะคุ่มนั้นจะส่งเสียงขึ้นมาเสียก่อน

 

       " ท่านไกร "

 

       " อ อเทตยาหรอกเหรอ? "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างโล่งอก แต่เหตุการณ์กลับไม่ได้ชวนโล่งใจอ่างที่คิดไว้ตอนแรก เพราะหลังสิ้นสุดเสียงของอเทตยา ตัวอเทตยาก็ขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวของไกรด้วยท่าทางที่น่าหวาดเสียที่สุดเสียแล้ว

 

       " เจ้าค่ะ อเทตยาเอง "

 

       " อ เอ่อ...ไม่ทราบว่าคุณหนูอเทตยาจะทำอะไรกระผมหรือขอรับ "  ไกรอ้าปากพะงาบๆ ในขณะที่อเทตยาหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบกลับมาเบาๆว่า

 

       " วันนี้ท่านไกรเหนื่อยมามาก ข้าอยากจะช่วยให้ท่านผ่อนคลายลงอย่างไรล่ะเจ้าคะ "

 

       ' แต่แบบนี้นอกจากจะไม่ผ่อนคลายแล้ว ยังจะอันตรายมากกว่าเดิม ในหลายๆทางอีกด้วยน่ะสิเฟ้ย! ' 

 

       " อ อเทตยา...เอ่อ ข้าว่าแบบนี้มันดูไม่ดีนะ "  ไกรพยายามพูดอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนคำพูดของเขาจะกระตุ้นให้หญิงสาวผู้ใช้ใบหน้าเดียวกับน้องสาวแท้ๆของเขาทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีกทันที เพราะหญิงสาวโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนเขาสามารถสังเกตเห็นขนตายาวและดวงตาวาววับของเธอได้จากแสงอันเฉื่อยชาของตะเกียงที่จะดับไม่ดับแหล่บนหัวนอนเขาของเลยทีเดียว

 

       " หืม? ที่ว่าดูไม่ดีนี่ มันมีส่วนไหนที่ไม่ดีหรือเจ้าคะ? "  หญิงสาวพูดลางยิ้มอย่างมีเลศนัยจนไกรฝืนยิ้มแห้งๆตอบกลับทันที

 

       ' ม ไม่ดีทุกส่วนเลยน่ะสิครับ ถามมาได้ '  ไกรได้แต่ตอบกลับไปในใจโดยที่ไม่กล้าพูดอะไรต่อ ทำให้อเทตยาเป็นฝ่ายพูดต่อช้าๆโดยที่ไม่ยอมถอนใบหน้าที่เวลานี้จมูกของเธอแทบจะคลอเคลียกับจมูกของไกรอยู่แล้วออกเลยแม้แต่น้อย

 

       " ขออภัยที่ข้าอาจจะทำให้ท่านลำบากใจเล็กน้อยนะเจ้าคะ แต่ข้ามีเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องขอคำตอบจากท่านให้ได้อยู่นะเจ้าคะ " 

 

       " คำตอบ? จากข้า? "  ไกรที่เวลานี้ถูกส่วนที่แนบชิดของหญิงสาวทำให้เลือดในกายร้อนฉ่าขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ร้องถามออกมาเบาๆโดยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นจนอีกฝ่ายรู้ตัว ในขณะที่หญิงสาวชาวมอญตรงหน้ายิ้มพรายพลางพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า

 

       " ท่านไกร ข้าขอถามอย่างตรงๆเลยนะเจ้าคะ...ท่านเป็นอะไร...หมายถึงมีความสัมพันธ์อันใดกับสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรกันแน่หรือเจ้าคะ? "

 

         คำถามแบบตรงๆชนิดไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อยของหญิงสาวทำให้ไกรถึงกับชะงักกึก ก่อนที่เขาจะเสหัวเราะและตอบกลับไปเบาๆว่า

 

       " ถ...ถามอะไรแปลกๆ สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรทรงเป็นราชธิดาในพระเจ้าเอกทัศน์นะ ข้ากับพระนางไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันมากกว่าที่ควรเป็นเลยแม้แต่น้อย "

 

       " เลิกมุสาหลอกลวงโดยเห็นว่าอเทตยาคนนี้เป็นคนโง่เขลาเสียทีเถอะเจ้าค่ะ! "  ไกรยังแก้ตัวไม่ทันจบดี หญิงสาวที่คร่อมอยู่บนร่างของเขาก็ตะคอกออกมาจนไกรสะดุ้งเฮือก ทั้งเล็บนิ้วมือเรียวบางทั้ง ๑๐ นิ้วของเธอก็ขยุ้มและแทบจะจิกลึกกินลงไปในเนื้อบริเวณต้นแขนของเขาจนเขาต้องร้องออกมาเบาๆอย่างเจ็บปวดทันที

 

       " อ โอ๊ย "

 

       " ข้าเห็นนะเจ้าคะ! ...กริยาของท่านไกรและองค์หญิงผู้นั้น ในราตรีที่ท่านไปแจ้งข่าวแก่พระองค์...ข้าเห็น เห็นทุกๆอย่าง!! "

 

       ' ห เห็นทุกๆอย่างเลยงั้นเหรอ '  ไกรได้แต่ทวนคำเบาๆในใจ เพราะเขารู้ดีว่าขืนพูดทวนคำออกมาให้หญิงสาวตรงหน้าได้ยินมีหวังได้ไปเร่งระเบิดเวลาให้ระเบิดเร็วขึ้นไปอีก...

 

      ...อีกทั้งเขาก็รู้ดี...รู้อยู่เต็มอกเลยว่า ถึงเขาจะวางอเทตยาไว้อยู่ในฐานะของน้องสาวของเขา...แต่หญิงสาวตรงหน้าก็ยังเป็นคนละคนกับเพียงออผู้เป็นน้องสาวร่วมสายโลหิตของเขาจริงๆ...เป็นคนละคน โดยสิ้นเชิง!...

 

      ...เขาไม่ใช่พระเอกผู้โง่เขลาในละครน้ำเน่าที่ฉายหลังข่าว...ที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวคิดอย่างไรกับเขา...เพียงแต่เขาเลี่ยงการให้คำตอบมาได้โดยตลอด...จนกระทั่่งถึงเวลานี้...

 

       " นี่ อเทตยา ถ้าหากข้ายังยืนยันคำเดิม ว่าข้ากับสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรไม่มีสิ่งใดเกินเลยกัน ...เจ้าจะเชื่อคำพูดของข้าได้ไหม? "  ไกรพูดโดยพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น เพราะมันจะหมายความว่าสถานะของเขาจะตกเป็นรองทันทีถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขากลัวเธอ แต่หญิงสาวกลับยังคงจ้องหน้าเขาด้วยแววตาที่วาววับโดยไม่ยอมให้ไกรหนีเลยแม้แต่น้อย

 

       " ข้าก็อยากจะเชื่อมั่นในตัวท่านนะเจ้าคะ ท่านไกร...อยากจะเชื่อคำพูดของท่านจริงๆ...แต่ว่า...เหตุการณ์ที่ผ่านมามันทำให้ข้าไม่อาจจะวางใจได้อีกต่อไป...ข้าจำเป็นต้องสร้างหลักประกันความวางใจให้กับตัวเองนะเจ้าคะ "  หญิงสาวพูดลางโน้มตัวเข้ามาใกล้เข้าไปอีก จนกระทั่งผมยาวสลวยตกลงมาคลอเคลียอยู่ที่หน้าไกร ในขณะที่ปากน้อยสวยได้รูปเป็นมุมกระจับของเธอแทบจะคลอเคลียและเล็มติ่งหูของไกรอยู่รอมร่อแล้ว

 

       " อ...เอ่อ หลักประกัน? "

 

       " เจ้าค่ะ...หลักประกัน "  หญิงสาวกระซิบข้างๆหูของไกรด้วยลมหายใจที่เริ่มเร่งร้อนขึ้นจนไกรขนลุกซู่ ในขณะที่สัดส่วนอันหอมหวลของหญิงสาวที่แนบชิดร่างกายของไกรเริมจะทำให้สัญชาตญาณพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตในตัวไกรเข้าครอบงำจิตสำนึกฝ่ายสูงเรื่อยๆแล้ว จนไกรได้แต่ครางออกมาช้าๆว่า

 

       " ที่...ที่เจ้าทำอยู่นี่มันไม่ได้ทำให้เรื่องดีขึ้นเลยนะ รู้ไหม อเทตยา "

 

      ...ถึงจะบอกตัวเองว่ามีจริยธรรมสูงพอจะเรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชายคนนึงได้ แต่ไกรก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ทุกๆส่วนในร่างกายของเขายังทำงานได้อย่างเป็นปรกติ แถมบางส่วนก็หงุดเงี้ยวเพราะอัดอั้นไม่ได้ระบายมานานแล้ว เพราะเขามีเรื่องใหญ่ๆต่างๆให้คิดคำนึงมากกว่าจนไม่มีเวลามาเอาใจใส่ในเรื่องพื้นฐานเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ ทำให้การกระตุ้นเพียงแค่เล็กๆน้อยๆก็อาจจะทำให้ศีลธรรมอันสูงส่งที่เขายึดเหนี่ยวไว้ขาดผึงเอาง่ายๆ ทำให้ไกรต้องรีบหนีจากสถานการณ์ที่น่าจะเกินกว่า การกระตุ้นเล็กๆน้อยๆ นี้ให้ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลย...

 

       " เอ๋? แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ? "  

 

         แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมเปิดช่องถอยให้ไกร เพราะเธอกระซิบกระซาบอย่างเต็มไปด้วยจริตจะก้านและความเย้ายวนพร้อมกับค่อยๆปลดผ้าคลุมไหล่ของเธอออกช้าๆ เผยให้เห็นไหล่มนและบ่าอันขาวบางและเรียบเนียนน่าสัมผัสเต็มๆตาจนแทบจะเห็นไปถึงรูขุมขน ทำให้ไกรที่กำลังข่มสติสตังค์อยู่ถึงกับหน้าแดงเถือกพร้อมกับกัดฟันจนกรามแทบแตกอย่างอย่างพยายามอดกลั้นสัญชาตญาณที่สั่งให้ตะครุบและติดกับเธออย่างเต็มที่ ก่อนที่เขาจะพยายามพูดอีกครั้งว่า

 

       " บ แบบนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลย "

 

       " คิกๆ เช่นนั้นหรือ...แล้วทำไม เราไม่ทำให้แย่ลงจนไปถึงจดที่ต่ำที่สุดกันเลยล่ะเจ้าคะ! "  หญิงสาวกระซิบตอบกลับมาข้างๆหูของไกรอีกครั้งพร้อมกับทำท่าจะปลดผ้าในชิ้นอืนๆที่อันตรายกว่าผ้าคลุมไหล่ชนิดเทียบกันไม่ติด ทำให้ไกรแทบจะตาเหลือกทันที  

 

       ' ม ไม่ไหว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป...มีหวัง--- '  ไกรคิดในใจพร้อมๆกับสติที่เริ่มเลือนลางและยอมจำนน...ถึงรอบๆตัวของอเทตยาเวลานี้จะแผ่ซ่านไปด้วยจิตคุกคามอันไร้รูปลักษณ์ที่เสียดแทงผิวหนังของเขาราวกับเข็มนับพันๆเล่มจนทำให้ร่างกายเกิดความหวาดกลัวโดยอัตโนมัติแท้ๆ แต่ส่วนลึกในจิตใจกลับรู้สึกวาบหวามและต้องการจะกระโจนเข้าใส่ความหวาดกลัวนั้นอย่างย้อนแย้งที่สุด จนกระทั่งศีลธรรมที่เขายึดเหนี่ยวไว้เป็นสรณะจะต้านทานไม่ไหวและคิดจะถีบหัวส่งเขาเสียแล้ว

 

       " น น นี่...อเทตยา...จ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำให้ข้ากลัวอยู่นะ "  ไกรพยายามขัดขืนเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมๆกับที่เสิอนอนตัวบางๆของเขาเริ่มหลุดลุ่ยไม่เป็นทรง ในขณะที่เมื่อได้ยินการขัดขืนเล็กๆนี้ อเทตยาที่ผ้าหลายๆส่วนเริ่มหลุดลุ่ยไม่แพ้กันก็หัวเราะคิกออกมาทันที

 

       " ท่านไกรในเวลานี้...สมชายชาตรี เกินกว่าจะเรียกว่ากลัวแน่...ข้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่า ความกลัว ดีนะเจ้าคะ...ความกลัวไม่มีวันเข้าใจได้และไม่มีวันหาเหตุผลได้...แต่บุรุษที่อยู่ต่อหน้าอเทตยาคนนี้...ยิงใหญ่ และ แข็งแกร่ง เกินกว่าจะเรียกว่า หวาดกลัว ได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ "

 

       " ความ...หวาดกลัว...อย่างนั้นเหรอ "

 

       " คิกๆ หืม? "

 

       " ความหวาดกลัว...ไม่มีวันหาเหตุผลได้... "

 

       " อ เอ่? "

 

         ก่อนที่จะถูกสัญชาตญาณแห่งการดำรงเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตครอบงำความนึกคิดของไกรไปทั้งหมด ประกายเล็กๆอย่างความหมายของคำว่า ความหวาดกลัว กลับถูกจุดขึ้นในความนึกคิดของชายหนุ่ม ก่อนที่ประกายเล็กๆนั้นจะลุกพรึ่บและลามไปทัวทั้งสมองราวกับไฟลามทุ่งจนไกรดีดร่างที่เกือบจะชาดิกอยู่รอมร่อขึ้นมากระทั่งหญิงสาวที่ทับอยู่บนร่างกายของเขาแทบตกลงไป แต่เขากลับใช้อ้อมแขนที่กลับคืนความแข็งแรงอย่างพร้อมมูลคว้าร่างบางๆของเธอไว้ พร้อมกับจ้องมองหญิงสาวด้วยประกายตาที่แจ่มใสที่สุดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนสร้างความงุนงงให้แก่อเทตยาที่เวลานี้ยกมือเริ่มถูกความกระดากอายเข้าโจมตีบ้างจนต้องยกมือปิดส่วนสำคัญที่แทบจะล้นทะลักออกมา ก่อนที่เธอจะร้องออกมาเบาๆทันที

 

       " อ้ะ! ท ท่านไกร! ท ท่าน! "

 

       " ความหวาดกลัว! นี่แหละสุดยอดแผนการเลย! ข้าคิดออกแล้ว! คิดออกแบบเห็นภาพชัดเจนเลย! ขอบใจเจ้ามากนะ อเทตยา เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้แท้ๆ! "

 

       " ห หา? เจ้าคะ? "

 

         ระหว่างที่อเทตยายังคงงุนงงอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น ไกรที่เวลานี้ดูเหมือนอยู่ในอาการลิงโลดอย่างยิ่งจนทำให้ลืมนึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของยุคสมัยเก่าเช่นนี้ก็คว้าร่างบางของหญิงสาวมากอดแน่นพร้อมกับหอมเข้าที่แก้มแดงเปล่งปลั่งของเธอเต็มรักฟอดใหญ่ด้วยท่าทีดีอกดีใจสุดขีด...กริยาเช่นนี้อาจจะไม่แปลกถ้าหากเป็นผู้ที่รู้ตัวอย่างกะทันหันว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ เข้าทำกับญาติพี่น้องในยุคสมัยปัจจุบัน...แต่ในยุคสมัยอยุธยา ที่แม้แต่การจับมือถือแขนก็เป็นเรื่องของการล่วงเกินแล้ว การหอมแก้มถือเป็นยิ่งกว่าการแสดงความรักใดๆทั้งสิ้น จนกริยาของไกรทำให้หญิงสาวที่เกือบจะ จัดการ กับไกรอยู่รอมร่อเวลานี้กลับหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกจนน่ากลัวว่าเธอจะเป็นลมให้ได้ แถมยังถึงกับปั้นหน้าไม่ถูกและพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

 

       " อ อ เอ่อ...ท่านไกร เจ้าคะ "

 

       " ฮ่าๆ ดีจริงๆ เอางี้นะ ไว้พรุ่่งนี้...ไม่สิ วันนี้ คืนนี้ โอ้ย! ตอนนี้เลย! อเทตยา รีบไปปลุกศกุนตลากับอุษามา ส่วนข้าจะไปเตะก้นปลุกไอ้สิงห์ ท่านสิน กับหลวงพรหมเสนาเอง แล้วไปรวมกันที่กองไฟกองใหญ่...บอกพวกสองสาวนั่นว่าข้ามีแผนการเด็ดที่พึ่งคิดได้สดๆร้อนๆมานำเสนอ ฮ่าๆๆๆ "  ไกรหัวเราะร่วนราวกับคนบ้าพร้อมกับกอดหญิงสาวที่ยังคงอยู่บนตักของเขาอีกครั้งแน่นอีกครั้งราวกับเป็นการขอบคุณสำหรับประกายความคิดนี้ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและเลิกมุ้งรีบแจ้นไปหาส่วนที่เป็นส่วนที่หลับที่นอนของหลวงยกกระบัตรเมืองตาก หลวงพรหมเสนา และไอ้สิงห์ทันที...ปล่อยให้หญิงสาวที่เวลานี้หัวยังกระเซิงหน่อยๆแถมยังหน้าแดงก่ำไม่หาย นั่งงุนงงอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บนที่นอนที่ยับยู่ยี่ของไกรอยู่เช่นเดิม

 

      ...หญิงสาวชาวมอญนิ่งไปอย่างพยายามเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ช้าๆ ก่อนที่ในที่สุดเธอจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

       " คิกๆ เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่าท่านไกรไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เราเจอกันเลย...รูปการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีแล้วก็ได้ล่ะกระมัง "

 

         หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆจัดเสื้อผ้าและผมเผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทางอย่างที่มันควรจะเป็นและตัดสินใจผ่อนสายเบ็ดและยอมให้ปลาตัวเบิ้มหลุดว่ายหนีไปแต่โดยดี...เพราะถึงจะไม่ถึงขั้นบรรลุวัตถุประสงค์ แต่อย่างน้อยหญิงสาวก็พอใจในสถานการณ์ในระดับหนึ่งเล้ว...

 

      ...ภายภาคหน้ายังมีทั้งเวลาและโอกาสอีกมาก...ด้วยความที่ต้องมารอนแรมในป่าในเขา และปราศจากตัวกวนใจที่คอยทำตัวเป็นก้างขวางคออย่างอนาสตาเซีย องค์หญิงสิริจันทร รวมไปถึงเหล่านางรับใช้บนเรือนของไกรที่คอยกันเธอแจอยู่แล้ว...เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนใดๆทั้งสิ้น...

 

      ...เพราะเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...ปลาตัวใหญ่ก็จะว่ายเข้ามากินเบ็ดที่เธอวางล่อไว้แล้วอีกครั้งด้วยใจสมัครอย่างไม่อาจจะต้านทานความเย้ายวนได้แน่นอน!...

 

       " คิกๆ วันนี้ข้าจะยอมถอยก่อนก็ได้ โดยเห็นแก่ท่านนะเจ้าคะ ท่านไกร... "

 

         ในขณะเดียวกัน ไกรที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินจนกระทั่งเชื่อแน่ว่าพ้นจากสายตาของอเทตยาแน่แล้ว เขาก็ทรุดลงกับพื้นพลางถอนหายใจออกมายาวเหยียด ในขณะที่มือหนึ่งกุมหัวใจที่เต้นรัวราวกับย่ำกลองของตัวเองไว้พลางพยายามทำใจ และส่วนอื่นๆของร่างกายให้สงบลงก่อนที่เขาจะเดินไปปลุกพวกหนุ่มๆที่นอนอยู่เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะพ่นลมหายใจออกทั้งทางปากและทางจมูกยาวเหยียดพร้อมกับครางออกมาอย่างแผ่วเบาทันที

 

        " ก เกือบไปแล้วไหมล่ะ ตู! "

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

      ...หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ทุกๆคนที่ไกรสั่งให้ปลุกขึ้นมาซึ่งก็เป็นระดับชั้นบัญชาการกองทัพทุกคนก็งัวเงียเมาขี้ตาตื่นขึ้นมาและมารวมตัวกันที่กองไฟใหญ่ซึ่งเป็นกองไฟที่ผู้อยู่เวรยามทั้ง ๓ คนในตอนแรกช่วยกันสุมขึ้นใหม่ และได้รับเกียรติให้ร่วมฟังแผนการที่ไกรคิดขึ้นมาได้อย่างสดๆร้อนๆ ...ซึ่งเมื่อได้ฟังอย่างคร่าวๆ...นอกจากสิงห์ที่ยังคงเมาแอ๋เพราะซดเหล้าอย่างไม่บันยะบันยังจนไกรไม่รู้ว่ามันฟังเขารู้เรื่องหรือเปล่า...ทุกคนก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปอย่างพูดไม่ออกทันที...

 

       " ผี...เนี่ยนะขอรับ? "  สินที่นั่งอยู่ข้างๆไกรโดยเวลานี้ปราศจากความงัวเงียจากการพึ่งถูกปลุกขึ้นมาแล้วทวนคำเบาๆ ซึ่งไกรก็พยักหน้ารับทันที

 

       " ก็ใช่ไง...ถ้าหากเราพูดเรื่องความกลัวในสิ่งที่ไม่อาจจะอธิบายได้ จะมีอะไรที่น่ากลัวมากกว่าสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างผีล่ะ "

 

       " เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนี้ก็ตัดเรื่องการมีตัวตนอยู่หรือถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของฝ่ายอโยธยาได้เลย เพราะอโยธยาคงไม่มีวันยอมให้ผู้คนรุ่นหลังจดจำว่ามี ผี มาช่วยรับศึกพม่าแน่ๆ "  อุษาที่เชี่ยวชาญในด้านการปิดบังตัวตนกว่าใครพยักหน้าเบาๆอย่างเริ่มเข้าใจแผนการของไกรลางๆ เพราะถ้าหากอโยธยากล้วบันทึกว่ามี ผี มาช่วยป่วนกองทัพพม่า ก็แปลว่าอโยธยาโยนศักดิ์ศรีในฐานะเมืองใหญ่ทิ้งและเตรียมตัวถูกประเทศข้างเคียงหัวเราะเยาะได้เลย...แต่เธอก็ยังมองเห็นช่องว่างของแผนของไกรจยตองติงออกมาเบาๆว่า

 

       " แต่เจ้าต้องไม่ลืมนะไกร ว่าการเปลี่ยนคนๆหนึ่งให้กลายเป็นตัวตนของภูติผีได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งกองทัพทั้งกองทัพยิ่งแล้วใหญ่...แล้วหน้าตาของทหารพวกเจ้าแต่ละคนถึงจะไม่ได้ดีเด่มากมายแต่ก็ไม่ได้เละเทะถึงขนาดจะทำให้ทหารพม่าที่รบมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำและขวัญกำลังใจแรงกล้าเชื่อว่าเป็นผีได้ตั้งแต่แรกหรอกนะ เจ้ามีแผนการรับมือในเรื่องนี้อย่างไรกัน? "  คำถามของจารสตรีสาวทำให้ท่านสิน หลวงพรหมเสนา และทหารยามที่มานั่งฟังอีก ๓ คนถึงกับต้องเอามือลูบหน้าตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ไกรหัวเราะเบาๆพร้อมกับชี้ไปที่ศกุนตลาที่นั่งฟังอยู่เงียบๆทันที

 

       " ก็ศกุนตลานี่ไง วิธีรับมือ "

 

       " เอ๋? "  ศกุนตลาเลิกคิ้วพร้อมกับทวนคำเบาๆอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่สินที่คิดตามอยู่ร้อง อ๋อ! ออกมาอย่างเข้าใจทันที

 

       " หน้ากากสินะขอรับ "

 

       " ฮ่าๆ ใช่...เท่าที่ข้าจำได้ เราผ่านหมู่บ้านใหญ่ที่กลายเป็นหมู่บ้านร้างไปหลายที่ และที่หลังๆซึ่งใกล้กับกำแพงเมืองกาญจนบุรีมีโรงนาฏศิลป์ขนาดใหญ่หลายแห่งที่ถูกทิ้งร้างอยู่ และพวกที่ขึ้นไปสำรวจก็รายงานแล้วนี่ว่าพวกนักเรียนหรืออาจารย์ของโรงนาฏศิลป์นั้นเมื่อได้ยินคำสั่งเทครัวอพยพไปอโยธยาก็รีบออกเดินทางทันทีโดยไม่เก็บข้าวของหรืออุปกรณ์การแสดงไปเลย...ที่นั่นมีทุกอย่างที่เราต้องการ ทั้งเสื้อผ้าสำหรับปลอมแปลง สีสำหรับอำพราง รวมไปถึงหน้ากาก ทั้งหน้ากากหัวโขน ทั้งหน้ากากละครต่างๆที่พวกนี้ใช้ในการแสดงล้วนแล้วแต่ถูกทิ้งอยู่บนโรงนาฏศิลป์เหล่านั้น หากเราเอามาทาสีแต่งเติมให้ดูน่าหวาดกลัวซักหน่อย บวกกับใช้ผ้าคลุมกายให้ผิดแปลกไปจากกองทัพทั่วไปและออกปฏิบัติงานในเวลากลางคืนเสีย ต่อให้เป็นยักษ์มารพอเจออะไรแบบนั้นเข้าเต็มๆก็ต้องมีขวัญหนีดีฝ่อกันบ้างล่ะ "

 

       " เจ้านี่ความจำดีชะมัดเลยแฮะ "  อุษาถึงกับอดบ่นเบาๆไม่ได้ ในขณะที่อเทตยายิ้มพรายทันที

 

       " ก็จริงนะ...ไม่สิ มีโอกาสที่จะสำเร็จสูงเลยล่ะเจ้าค่ะ เพราะขนาดข้ารู้จักกับศกุนตลามาตั้งนานแล้ว แต่พอเจอศกุนตลาอย่างกะทันหันในที่มืดๆยังสะดุ้งตกใจแทบตายอยู่บ่อยๆเลยเจ้าค่ะ "  อเทตยาที่เวลานี้แต่งกายอย่างเรียบร้อยและมีกริยาที่ไหลลื่นจนไม่มีใครจับสังเกตอะไรได้เสริมขึ้นเบาๆ จนเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนได้ ในขณะที่ศกุนตลาปรายสายตามามองอย่างเคืองๆทันที ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองที่ไกรนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ

 

       " ข้ายอมรับว่าแผนการของเจ้าเข้าท่า ไกร... แต่เจ้าต้องไม่ลืมว่าผู้ที่บันทึกประวัติศาสตร์ได้ไม่ใช่มีแค่ฝ่ายอโยธยา แต่ฝ่ายพม่าของพระเจ้าอลองพญาก็เป็นฝ่ายที่บันทึกประวัติศาสตร์ด้วย ทั้งไม่บอกก็ควรจะรู้ว่าเป็นฝ่ายพม่าเสียอีกที่จะบันทึกเรื่องราวโดยละเอียดกว่าอโยธยา เพราะเป็นฝ่ายที่มารุกรานอโยธยา จึงต้องมีปูมกองทัพที่ละเอียดที่สุด...ถึงเจ้าจะผ่านเงื่อนไขที่ทำให้อโยธยาไม่กล้าบันทึกตัวตนของ ภูติพราย ของพวกเราแล้ว แต่พม่าจะต้องบันทึกว่าอโยธยาเล่นไม่ซื่อและใช้ไสยเวทย์มนต์ดำอันต่ำช้าเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้แก่ทัพพม่าแน่ๆ ...เจ้านึกถึงปัญหาข้อนี้หรือยัง? "  ศกุนตลาชี้จุดอ่อนของแผนการของไกรอีกครั้งจนทุกคนหน้าเคร่งลง...เกือบทุกคน ยกเว้นไกรที่ยังคงยิ้มกว้างอย่างมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้เลยทีเดียว

 

       " ฮิๆๆ "

 

       " หัวเราะได้อย่างกวนโมโหเช่นนี้ก็แปลว่ามีแผนการรองรับแล้วจริงๆสินะ "  ศกุนตลาหลับตาและถอนหายใจเฮือกพลางพูดดักคอ ซึ่งไกรก็พยักหน้ารับจนเรียกความสนใจให้กับทุกคนที่ยังคิดหาหนทางแก้ปัญหาไม่ตกทันที

 

       " อย่างไรหรือขอรับ? "  คราวนี้หลวงพรหมเสนาชาวจีนเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้างอย่างอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ซึ่งไกรก็ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกวาดสายตามองและถามทุกๆคนที่ล้อมอยู่เบาๆว่า

 

       " พวกเจ้าทั้งหมด มีใครที่มีฝีมือในการวาดภาพลวดลายแบบเก่าๆ หรือไม่ก็รู้จักคนที่มีฝีมือวาดภาพสัญลักษณ์แบบเก่าๆบ้างไหม? "

 

       " แล้วเจ้าจะหาไอ้คนที่วาดรูปได้ไปทำไมกัน? "  อุษาถามแทนทุกคนเบาๆอย่างงุนงง ซึ่งไกรก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนสงสัยนาน เพราะเขาเฉลยออกมาด้วยใบหน้าฉีกยิ้มว่า

 

       " เพราะการเคลียร์เงื่อนไขข้อนั้น ข้าจำเป็นต้องสร้างธงชัย ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์สำหรับกองทัพภูติพรายของเราขึ้นมาน่ะสิ "

 

       " ธงชัย? แล้วธงชัยผืนเดียวมันจะทำให้พม่าถึงกับไม่กล้าบันึกการมีตัวตนอยู่ของพวกเราอย่างไรล่ะขอรับ? "  สินถามอย่างยังไม่หายสงสัย

 

       " ต้องได้สิ...เพราะธงชัยที่ว่านั้นจะต้องเป็นธงที่ใช้ผ้าพื้นเหลือง และวาดตราสัญลักษณ์ของมยุรา หรือนกยูงที่อ่อนช้อนและงดงามที่สุดอย่างไรล่ะ! "

 

       " ตรานกยูงบนธงพื้นเหลือง? "  ในขณะที่คนอื่นๆทวนคำอย่างยังไม่หายข้องใจ...ท่านสินที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และกลศึกมากกว่าใครๆ กับศกุนตลาที่พื้นเพเคยเป็นสาวชาวพม่าแท้ๆมาก่อนถึงกับขนลุกซู่พร้อมกับเบิกตากว้างใส่ไกรจนตาแทบถลน

 

       " นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นใช่ไหมขอรับ? ท่านไกร "

 

       " โฮ้ย จริงจังสุดๆเลยล่ะ ท่านสิน "

 

       " อ่า...ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี...ว่าเจ้ามัน บ้า โดยสมบูรณ์แบบแล้วล่ะ ไกร! "  ศกุนตลาพูดต่อคำพูดของสินและไกรเรียบๆพร้อมกับต้องบังคับมือของเธอไม่ให้สั่นเทาอยางคุมไม่อยู่เลยทีเดียว จนทุกคนต้องหันกลับไปมองทั้งสองที่เหมือนจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้วด้วยสายตาขอคำตอบทันที

 

       " สิน ศกุนตลา? "

 

       " ธงและตราสัญญลักษณ์นั่น...พวกเจ้าไม่รู้จริงๆหรือว่าเคยเป็น...และยังคงเป็นธงชัยประจำกายของบุคคลใด... "

 

       " เอ๋? "

 

       " ธงมยุราพื้นเหลือง...ธิวธวัชอันเป็นตราสัญลักษณ์ประจำพระวรกาย...ของสมเด็จพระเจ้าตะละพะเนียเธอเจาะ (ชนะสิบทิศ)...บุเรงนองกะยอดินนรธา...ในสมัยที่ยังดำรงตำแหน่งเป็น จะเด็ด ขุนศึกคนสำคัญใน สมเด็จพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ลิ้นดำ อย่างไรล่ะ! " 

 

 

 

 

 ......................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา