ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  107.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

146)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

==============================================

 

 

 

     ...ทั้งๆที่ไกรในเวลานี้ควบขี่ม้าสีหมอกด้วยความเร็วระดับสูงสุดจนหูทั้งสองข้างของเขาอื้ออึงไปด้วยสายลมที่พัดผ่านหูไปราวกับวิ่งฝ่าพายุ แต่ในชั่วขณะหนึ่ง ไกรกลับได้ยินเสียงหัวเราะอย่างยาวนานที่สุดของชายผู้ที่เขาพึ่งจะประมือด้วยแทรกผ่านสายลมเข้ามาในสมองส่วนการรับรู้ของเขา และเสียงนั่นทำให้เขาถึงกับต้องขนลุกซู่ เพราะนอกจากจะแฝงแววเย้ยหยันและท้าทายแล้ว ยังคงแฝงแววของความถูกอกถูกใจในการประมือและในตัวของไกรอย่างที่สุด!

 

        ความถูกอกถูกใจที่ไม่ต่างจากเด็กเล็กๆคนหนึ่งพึ่งเจอของเล่นชั้นดีชิ้นใหม่ไม่มีผิดเพี้ยน!

 

      ' อ อะไรกันฟะ? ...ถึงจะบอกว่าจี่(ง้าวกรีดนภา)ของเราไม่ได้ตีขึ้นจากโลหะมีอันดับแบบดาบสดายุ-สัมพาทีก็เถอะ แต่ยังไงๆก็ถูกตีด้วยมือของยูกิโอะเชียวนะ...มันไม่น่าจะถึงกับบิ่นเพราะตีกับแค่ด้ามธงสิ ไอ้หมอนั่นเป็นใครกัน?! '

 

        เขาคิดระหว่างขี่สีหมอกด้วยความเร็วชนิดก้นแทบไม่ติดโกลน ก่อนที่เขาจะล้วงไปในอกเสื้อเพื่อหยิบกระบอกโลหะเรียวยาวประมาณคืบออกมาและกระแทกด้ามของกระบอกโลหะกับเกราะต้นขาของตัวเองทันที

 

        ปุ้งงงง!

 

        กระบอกโลหะนี่ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นพลุที่ใช้กันในหมู่มือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ซึ่งในงานนี้เขาใช้เพื่อให้ตำแหน่งของพลุระบุตำแหน่งของตนเองให้แก่หน่วยปืนใหญ่อัตตาจรสนับสนุนของทัพของเขา

 

     ...ปืนใหญ่อัตตาจรอันแม่นยำ จากเรือเวนไตย...

 

        ปุ้ง!

 

        เมื่อสัญญาณพลุสีเหลืองส้มระเบิดขึ้นจนเห็นได้แต่ไกลแม้ในเวลากลางวัน ซึ่งเมื่อเห็นได้อย่างชัดเจนจนสามารถระบุตำแหน่งได้ พระเชียงเงิน...ขุนนางลูกหม้อของหลวงยกกระบัตรสินที่เวลานี้มีหน้าที่คุมปืนใหญ่น้อยเรือเวนไตยซึ่งจอดซุ่มอยู่ในลำคลองอันคดเคี้ยวและประกอบด้วยป่าหนามอันหนาทึบทั้ง ๒ ฝั่งคลองจนไม่อาจจะมองเห็นหรือเข้าถึงได้ง่ายๆนี้ก็ชี้ไปที่พลุพร้อมกับตะโกนออกมาเบาๆ 

 

      " นั่น อยู่ตรงนั้น...สีนั่น ของท่านไกร! " 

 

        เมื่อปราศจาก ตา ของศกุนตลา พระเชียงเงินและเรือเวนไตยจึงต้องอาศัยตาจากทางอื่น ในที่นี้ก็คือการระบุตำแหน่งอย่างคร่าวๆจากสัญญาณพลุของทุกๆคน โดยแต่ละคนจะมีสีของพลุประจำตัวทำให้แยกระหว่างตำแหน่งของแต่ละคนได้ แม้ว่าดูเผินๆแล้วสีของพลุจะแทบไม่ต่างกันเลยก็ตามที    

 

      " จากตำแหน่งนั้น...บวกความเร็วของสีหมอก...ปืนใหญ่น้อยทั้ง ๔ กระบอกหันซ้าย ๒ ส่วน มุมเงย ๑ ส่วนแล้วยิงทันที "  แม้ว่่าจะไม่ได้ชัดเจนแบบชี้จุดได้อย่างตายตัวแบบศกุนตลา แต่ก็ไม่เกินความสามารถของพระเชียงเงินที่จะระบุตำแหน่งปลอดภัยได้ และด้วยประสบการณ์ทำให้เขาสามารถอนุมานตำแหน่งของทัพพม่าที่ตามจี้ตูดท่านไกรมาได้ ...เมื่อกะตำแหน่งที่แน่นอนได้ เขาจึงสั่งยิงปืนเพื่อสกัดให้ไกรทันที

 

        ตูมมม!

 

        กระสุนปืนใหญ่ชนิดที่ทันสมัยที่สุดอย่างกระสุนปืนแตกจากปืนใหญ่น้อยบนเรือเวนไตย พุ่งอย่างแม่นยำไประเบิดจนกลายเป็นม่านสะเก็ดระเบิดอันหนาแน่นที่่ด้านหลังของไกรประมาณเกือบ ๑ เส้น (๔๐ เมตร) ...ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้แม่นยำถึงขนาดลงกลางกลุ่มก้อนกองม้าประมาณครึ่งร้อยที่พุ่งตามหลังไกรมา แต่การระเบิดดักหน้าเช่นนี้ก็ทำให้ทัพม้าย่อยๆเหล่านั้นถึงกับต้องแตกฮือและต้องรีบพุ่งหลบห่าสะเก็ดระเบิดกันจ้าละหวั่น อีกทั้งกระสุนปืนใหญ่ก็สร้างม่านควันคนฟุ้งตลบ...การยิงเพียงระลอกเดียวทำให้ไกรสามารถหลบหนีได้อย่างสะดวกโยธินขึ้นยิ่งกกว่าเดิมเป็นกองจนไกรที่เหลือบหันหลังกลับไปมองถึงกับต้องผิวปากหวือ

 

      " หูย ขนาดไม่มียัยศกุนตลาอยู่ยังยิงได้แม่นขนาดนี้ ไอ้พระเชียงเงินนี่ของจริงเลยวุ้ย โชคดีจริงๆที่ได้มาร่วมด้วย งานนี้ง่ายขึ้นเยอะเลย "

 

        ไกรครางออกมาเบาๆก่อนจะลูบแผงคอของสีหมอกเพื่อให้ม้าประจำกายของเขาผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้หักโหมเกินไป ซึ่งแทบไม่มีความจำเป็นเลย เพราะตัวสีหมอกเองแทบไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เล่นวิ่งห้อเต็มเหยียดมาตั้งแต่ออกจากกำแพงเมืองราชบุรีมาแล้ว...

 

     ...มันพิสูจน์ให้เห็นว่าสีหมอกของเขาคือราชาแห่งม้าศึกของแท้!...

 

      " ท่านไกร! "  

 

        ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของสายลมที่พัดผ่าน หูของไกรก็ได้ยินเสียงตะโกนของท่านหลวงยกกระบัตรสิน เมื่อไกรเหลือบไปมองทางต้นเสียงเขาก็เห็นท่านสินที่ชักม้าวนรอท่าอยู่ที่แนวชายป่าโปร่งที่เขานัดหมายไว้ ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้นไกรก็ชักม้าสีหมอกเลี้ยวให้พุ่งตรงไปที่ทิศทางที่ท่านสินรอท่าอยู่แล้วทันที โดยไม่ลืมที่จะกระแทกกระบอกพลุจุดเพื่อให้สัญญาณอีกครั้ง

 

        ปุ้งงง!

 

        พลุสัญญาณประจำกายของไกรที่เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันไปยังแนวป่าโปร่งทำให้พระเชียงเงินหนุ่มที่กำลังสั่งการยิงปืนใหญ่อยู่บนเรือเวนไตยยกมือขวาขึ้นและกำหมดแน่น เป็นสัญญาณสากลให้พลปืนใหญ่ทุกคนหยุดมือทันที

 

      " ท่านเชียงเงิน? "  เมื่อพลรักษาปืนใหญ่น้อยหันมาถามอย่างสงสัย พระเชิงเงินก็หรี่ตาลงก่อนจะให้คำตอบเรียบๆว่า

 

      " ท่านไกรพุ่งไปที่แนวป่าจัดนัดพบนั่น ก็แปลว่าท่านพบกับท่านสินและกำลังดำเนินแผนขั้นถัดไปแล้ว เราหมดหน้าที่ของเราแล้ว ...ท่านเกียน "  พระเชียงเงินพูดพลางหันกลับพูดกับต้นหนเรือชาวมอญในประโยคสุดท้ายเพื่อให้อีกฝ่ายเริ่มแผนขั้นต่อไป แต่เสียงตอบกลับมาทำให้เขาถึงกับเลิกคิ้ววูบ

 

      " คร่อกกกก "

 

      " ห หา? ว่าอะไรนะ? ท่านเกียน "

 

      " คร่อกกก ฟี้ "

 

      " ส เสียงนี้...เฮ้ย! ปืนใหญ่ยิงหูดับตับไหม้ขนาดนี้ใจคอยังหลับลงอีกเหรอฟะ?! "  พระเชียงเงินร้องเสียงหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองชนิดแทบจะพุ่งเข้ากระชากคอไอ้ผู้คุมพังงาเรือเวนไตยชาวมอญที่เวลานี้เอกเขนกเอาตีนพาดพังงาพร้อมกับกรนคร่อกๆเสียงดังสนั่นหวั่นไหว...จนกระทั่งเจ้าเมืองเชียงเงินหนุ่มตะโกนชนิดแทบรดหัวอีกครั้ง ผู้คุมพังงาเรือนามว่าเกียนก็งัวเงียเมาขี้ตาตื่นขึ้นมาช้าๆ

 

      " อ อือ เช้าแล้วเหรอ? "

 

      " อ ไอ้บ้านี่! ถ้ายังไม่ตื่นก็รีบตื่นให้เต็มตาซะทีสิโว้ย! ท่านเกียน!! "

 

      " โว๊ะ...เรียกเกียนๆๆๆ อยู่นั่นแหละ ชื่อแสลงหูจริงวุ้ย ถ้าจะเรียกก็เรียกนามอย่างไทยของข้าสิ ท่านเชียงเงินนี่ล่ะก็ "  เกียนพูดพลางหาวหวอดๆ ซึ่งถึงขนาดพระเชียงเงินโมโหจนแทบพุ่งไปเค้นคออีกฝ่าย แต่เขาก็ยังใจเย็นพอจะถามกลับเรียบๆว่า

 

      " แล้วจะให้ข้าเรียกอะไรให้ถูกใจพระเดชพระคุณล่ะขอรับ?! "

 

      " อะแฮ่มๆ...อันตัวข้าพเจ้ามีนามกรอันไพเราะว่า ทองสุก ขอรับ บัดนั้นเชิด...เตร้งเตรง เตร่ง เตร้งงงง "  เกียนแนะนำตัวเองใหม่พร้อมกับทำท่าทางราวกับลิเกแนะนำตัวด้วยท่าทีราวกับพระเอกลิเกมาเองจริงๆ ซึ่งถ้าหากไม่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนคงจะหลุดขำไปแล้ว...แต่ในสถานการณ์ที่ทุกวินาทีตัดสินความเป็นความตายเชนนี้ ทำให้ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งฝีพายของเรือาวมอญด้วยกันเองยังถึงกับแทบปรี๊ดแตก...ในขณะที่พระเชียงเงินพยายามข่มสตินับ ๑ ถึง ๑๐๐ ไปมา ก่อนจะกัดฟันพูดกร้าวๆว่า

 

      " ถ้าอย่างนั้น ท่านทองสุกขอรับ กรุณาย้ายก้นมาดำเนินแผนขั้นต่อไปตามที่ท่านไกรได้นัดแนะกันไว้แล้วขอรับกระผม! " 

 

      " ได้เสียเลยขอรับ! "  ถึงตรงนี้เกียนหรือนายทองสุกรับคำอย่างแข็งขันก่อนจะลุกขึ้นจับพังงามั่น...ก่อนที่อยู่ๆเขาจะหันสายตาคล้ำกลับมาหาพระเชียงเงินก่อนจะเอียงคออย่างน่ารักและถามเบาๆว่า

 

      " ว่าแต่อีตอนนั้นไอ้ท่านไกรนั่นบอกแผนว่าอย่างไรหว่า? บังเอิญข้าเมาหลับไปเลยไม่ได้ฟังพอดี 'โหสิเนาะ? "

 

 

      " หนีสุดชีวิตโว้ยยยย! "  

 

 

        คราวนี้ไม่ใช่แค่่พระเชียงเงิน แต่เป็นเหล่าฝีพายและคนคุมปืนใหญ่บนเรือทุกคน ที่ตะโกนออกมาลั่นพร้อมกัน ชนิดที่ถ้าเรือลำนี้ไม่ได้มีคนที่ขับได้คนเดียว นายทองสุกชาวมอญคนนี้มีหวังได้เปลี่ยนเป็นเมาหมัดเมาเท้าที่พร้อมจะสหประชาทัณฑ์ไปแล้วเป็นแน่

 

 

 

     ...ในเวลาเดียวกัน ย้อนกลับมาที่ไกรที่มาสมทบกับสินที่วนม้ารอท่าอยู่ เมื่อมาถึงในระยะพอที่จะพูดคุยกันได้ ไกรก็ชักบังเหียนเพื่อผ่อนฝีเท้าสีหมอกลงอีกพร้อมกับตะโกนถามห้วนๆว่า

 

      " เรียบร้อยไหม? ท่านสิน "

 

        แม้จะเป็นคำถามที่ห้วนสั้นไม่มีที่มาที่ไป แต่สินเหมือนจะเข้าใจความหมายที่ไกรจะสื่อดี เพราะเขาพยักหน้ารับพร้อมกับชักม้าของตนเพื่อนำทางไกรและสีหมอกเข้าไปในป่าโปร่งนั้นทันที

 

      " กรุณาตามข้ามาทุกฝีก้าวนะขอรับ อย่าหลุดเส้นทางเชียว! "

 

      " อืม! "  ไกรพยักหน้ารับพร้อมกับลูบแผงคอสีหมอกเหมือนกับจะบอกว่าฝากด้วย ในขณะที่สีหมอกก็ร้อง ฮี้! เบาๆอย่างรู้ใจก่อนจะ ขยับตามหลังม้าของท่านสินไปอย่างติดๆ

 

        ระหว่างที่ตามเข้าไป ไกรก็ตะโกนฝ่าสายลมถามท่านสินที่นำหน้าอยู่ไม่ไกลอีกครั้งว่า

 

      " ระหว่างเตรียมการเรียบร้อยดีใช่ไหม? ท่านสิน "

 

      " ขอรับ...ทุกคนระวังกันจนหน้าซีด แต่ก็สำเร็จไปด้วยดี เวลานี้ทุกคนคงออกจากอาณาเขตป่าไปจนปลอดภัยแล้ว...เหลือแต่พวกเรานี่แหละขอรับ "  คำตอบของสินที่ตะโกนสวนกลับมาทำให้ไกรหัวเราะกับตัวเองเบาๆอย่างผ่อนคลายมากขึ้น ก่อนที่เขาจะเห็นสินกระชากบังเหียนม้าเพื่อเลี้ยวโค้งหักศอกทั้งๆที่ด้านหน้าก็ยังเป็นทางด่านกว้างอยู่จนกระทั่งเขาต้องรีบยึดบังเหียนของสีหมอกที่หักเลี้ยวตามแบบทุกฝีก้าวไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกสะบัดตกจากหลังม้า ก่อนที่เขาจะจุ๊ปากเบาๆ

 

      " นี่เล่นกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ? "

 

      " อ้าว? ก็ท่านสั่งเองนี่ขอรับ "  สินที่เวลานี้หักเลี้ยวโค้หักศอกอีกครั้งเหลือบสายตากลับมามองพร้อมกับถามกลับมาจนไกรจุ๊ปากลั่นอีกครั้ง

 

      " ก็ไม่ได้ให้เล่นถึงขนาดนี้ เถรตรงจริงวุ้ย แล้วนี่จำทางได้แน่นะ? "

 

      " ท่านไกร! อย่าหมิ่นข้านักสิขอรับ! "

 

      " ก ก็แค่ถามล้อเล่น...เถรตรงจริงๆวุ้ย "  ไกรได้แต่ครางเบาๆ ก่อนจะแยกเขี้ยวเพื่อรับแรง G ในการเลี้ยวโค้งแบบหักศอกจนฝุ่นตลบอีกครั้ง จนสภาพของไกรในเวลานี้ไม่ต่างจากกำลังขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาแบบไม่มีเข็มขัดนิรภัยไม่มีผิดเลย

 

        ระหว่างนั้นเอง กองทัพม้าพม่าที่เวลานี้รวมตัวกันติดจนมีจำนวนประมาณ ๗๐ นายพร้อมอาวุธครบมือก็พุ่งมาถึงแนวชาวป่าโปร่งที่ไกรพบกับสินเมื่อครู่ ถึงแม้ว่าจะเรียกว่าตามมาติดๆ แต่เวลานี้พวกเขาไม่เห็นหลังของไอ้จอมทัพบ้าเลือดที่ถือธงมยุราพื้นเหลืองบุกฝ่ากองทัพที่หนีมาแล้ว ทำให้พวกเขาเกิดการลังเลจนได้แต่วนม้าอยู่ที่แนวชายป่าเพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะตามไปดีหรือไม่ 

 

        อีกอย่าง พวกเขาเองก็ยังไม่ลืมว่าหน้าที่จริงๆของพวกเขาคือการตีเมืองราชบุรี ไม่ใช่การไล่ล่าคนๆเดียว...แต่ถึงอย่างนั้น ลึกๆแล้วพวกเขาทุกตัวคนก็รู้ดีว่า ไอ้คนๆเดียวที่ว่านี่คือผู้ที่บุกเดี่ยวมาฆ่าฟันทหารพม่าทัพหน้าล้มตายจนทัพหน้าอันเกรียงไกรของแม่ทัพมังฆ้องนรธาถึงกับรวนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...

 

     ...จากวีรกรรมของแม่ทัพปริศนาู้นั้น ทำให้ทุกคนรู้ดีว่า ถ้าหากใครก็ตามสามารถตัดหัวมันผู้นั้นได้ แก้วแหวนเงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์ และชื่อเสียงอันไม่อาจประเมินได้จะเป็นของผู้ลงมือในบันดลแน่นอน!...

 

        ปุ้งงง!

 

        ระหว่างที่ทุกคนกำลังลังเลอยู่ที่แนวชายป่าอยู่นั้น พลุสัญญาญแปลกๆสีเหลืองส้มก็ถูกจุดขึ้นเป็นสาย ณ ใจกลางป่าโปร่งซึ่งจากตำแหน่งแล้วไม่ได้ไกลจากจุดที่พวกเขาวนม้าอยู่เลย ชนิดที่ถ้าไล่ตามก็คงจะไล่ตามได้ทันง่ายๆแน่...พวกเขาเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าพลุสัญญาณนั่นเป็นพลุระบุตำแหน่งของแม่ทัพปริศนาคนนั้นแน่ๆ...และด้วยชื่อเสียงลาภยศที่รออยู่ ทำให้พวกเขากระแทกโกลนเพื่อกระตุ้นม้าให้พุ่งเข้าไป ณ จุดตำแหน่งพลุสัญญาณอย่างเต็มฝีเท้าทันที!

 

      " ฆ่ามัน! ฆ่ามันให้ได้! ...ผู้ใดสามาถตัดหัวมันได้ข้าจะปูนบำเหน็จให้ถึงขนาดดดด!! "  

 

        แต่แล้วเสียงตวาดของนายทัพม้าก็ถูกกลบลงด้วยเสียงกัมปนาถระเบิดที่กึกก้องปานฟ้าถล่มดินทลาย...ทหารม้า ๒-๓ นายพร้อมกับม้าศึกฉกรรจ์ที่พุ่งนำนายทัพม้าผู้นั้นไปประมาณ ๓ ช่วงตัวถูกอำนาจระเบิดแรงสูงส่งให้กระเด็นไปบนฟ้าพร้อมกับเลือดที่สาดกระจายแทบจะย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงสดทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด!

 

      " บ้าน่า! ไม่ได้ยินเสียงปืนใหญ่เลยนี่หว่า! แล้วมันโดนอะไรกันวะ?! "

 

      " ฮ เฮ้ย! อย่าอยู่เฉยสิ! วิ่งต่อไป! อยากเป็นเป้าปืนใหญ่รึอย่างไร?! "

 

 

        ตูมมม!

 

     

      " อ อ๊ากกกก! "

 

 

        เสียงระเบิดกัมปนาถที่ดังก้องขึ้นอีกครั้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ทุกคนถึงกับต้องร้องออกมาอย่างตกใจอีกครั้ง

 

      " อ อะไรกันวะ?!! "

 

        ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอย่างทำอะไรไม่ถูก นายกองทัพม้าหนุ่มก็นึกเอะใจอะไรบางอย่าง เขายกหอกประจำกายขึ้นสูงพร้อมกับตวาดดังลั่น

 

      " ทุกคนอย่างพึ่งขยับ! หยุดอยู่กับที่ประเดี๋ยวนี้!! "

 

      " ห หา? แต่เราจะเป็นเป้านิ่งนะขอรับ ท่านนายกอง! "

 

      " นี่ไม่ใช่ปืนใหญ่... "  นายกองหนุ่มทำหน้าเครียดพร้อมกับกระซิบลอดไรฟันออกมาเบาๆ จนกระทั่งทุกคนต้องร้องถามอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง

 

      " ว่าอะไรนะขอรับ? "

 

      " เราไม่ได้ถูกปืนใหญ่ยิง! ไม่ได้ยินกระสุนปืนแหวกอากาศเลยไม่ใช่รึอย่างไร?! ทักคนอย่าขยับ แล้วลองมองไปรอบๆ...หาสิ่งผิดปรกติแล้วรายงานข้าประเดี๋ยวนี้! " 

 

      " ห หา? "

 

        ถึงจะยังงงงวยในคำสั่งแปลกๆของนายทัพของพวกเขา แต่เหล่าทหารม้าสัญชาติพม่าทุกนายก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดด้วยการหยุดม้าก่อนจะใช้สายตาไล่มอง สิ่งผิดปรกติ ตามคำสั่งของหัวหน้าของพวกเขา ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าจะต้องหาอะไรก็ตามที...จนกระทั่งหนึ่งในนายทหารม้าที่เหลือรอดจากการระเบิดปริศนาอยู่ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง...อะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นสิ่งผิดปรกติได้รึเปล่าด้วยซ้ำ...

 

      " หม้อดิน...อย่างนั้นเหรอ? "  เขาขมวดคิ้วใส่หม้อดินเผาสีน้ำตาลแก่ๆขนาดเขื่องๆที่วางซุ่มอยู่ในพงหญ้าใต้ร่มไม้ใหญ่โดยมีเศษใบไม้แห้งคอยอำพรางอยู่อย่างผิดที่ผิดทาง...ด้วยความผิดสังเกตเขาจึงชักม้าเข้าไปเพื่อจะดูหม้อดินเผาที่ซ่อนพรางอยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อนายกองหนุ่มเหลือบมามองพอดี นายกองผู้นั้นก็ถึงกับรีบร้องออกมาเสียงหลง

 

      " เฮ้ย! มึงคนนั้น! อย่าเข้าไป!! "

 

      " ห หา? "

 

 

        กริ๊ก!    แชะ! 

 

        ตูมมมมมม!!        

 

 

        ระเบิดปริศนาไม่เป็นปริศนาอีกต่อไป เพราะคราวนี้พวกเขาเห็นกันเต็มสองตาหลายสิบคู่ ว่าเมื่อนายทหารชะตาขาดผู้นั้นเดินเข้าใกล้หม้อดินเผา หม้อดินเผาที่น่าจะบรรจุไว้ด้วยดินดำอัดแน่นไว้เต็มที่ก็ระเบิดขึ้นด้วยกลไกการขุดระเบิดที่อยู่เหนือจินตนาการของพวกเขา อำนาจของสะเก็ดและแรงระเบิดฉีกทั้งร่างของม้าและทหารชะตาขาดผู้นั้นจะกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่่างน่าอเน็จอนาถสายตาของทุกคนที่สุด!

 

      " ท ทุกคนอย่าขยับนะโว้ยยย! ถ้าหากใครเห็นหม้อดินเช่นนั้นอีกรีบบอกข้าทันที! "

 

        ครู่ต่อมา พวกเขาก็พบกับหม้อดินเผาปริศนานั้นอีกครั้งที่อีกด้านหนึ่ง และคราวนี้ทุกคนไม่มีใครกล้าผลีผลามเลยแม้แต่น้อย

 

      " ท ท่านนายกอง! ทางนี้ขอรับ! " 

 

        เมื่อได้ยิน นายกองหนุ่มเองก็ไม่กล้าผลีผลาม เขาลงจากหลังม้าและค่อยๆย่องโดยระวังทุกฝีก้าวทีละก้าวๆ จนกระทั่งถึงจุดที่หม้อดินเผาปริศนาถูกวางซุ่มอยู่ในที่สุด

 

        ด้วยมือที่พยายามเบาที่สุดและสายตาที่ละเอียดถี่ถ้วนที่สุด ในที่สุดเขาก็ไขปริศนาของมันออกจนได้

 

        มันคือหม้อดินเผาที่บรรจุดินระเบิดหรือดินดำไว้จริงๆ แต่ลำพังแค่ดินดำอย่างเดียวไม่สมควรจะระเบิดด้วยตัวเองได้ จนกระทั่่งในที่สุดเขาจะพบไกของปืนสับนกขนาดเล็กที่ไม่มีลำกล้องโดยมีแต่เพียงส่วนสับนกที่เป็นชุดหินเหล็กไฟสำหนับตีเพื่อจุดประกายไฟและไกปืนที่ถูกปรับแต่งให้อ่อนถึงที่สุด โดยที่ไกปืนนั้นถูกผูกกับเส้นด้ายหรือเส้นเอ็นใสที่แทบมองไม่เห็นถ้าไม่สังเกตชนิดจับผิดจริงๆ และเส้นเอ็นดังกล่าวก็ผูกขึงไว้จนตึงเปรี๊ยะชนิดที่ถ้าหากคนหรือขาม้าเตะผ่าน เส้นเอ็นดังกล่าวก็จะกระตุกไกปืนที่ถูกขึ้นไว้และทำให้กลไกของหินเหล็กไฟทำงานทันที

 

        และไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าถ้าหากมีประกายไฟแม้แต่เพียงนิดเดียวท่ามกลางดินดำคุณภาพสูงเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในรัศมีของแรงระเบิดและสะเก็ดระเบิดมีหวังร่างแหลกเหลว หรือไม่ก็พรุนเป็นรังผึ้งอย่างแน่นอนที่สุด!

 

      " อ อาวุธอะไรกัน?! น นี่ นี่ไม่ใช่อาวุธของมนุษย์แล้ว!! "  เมื่อไขปริศนาของอาวุธที่คร่าชีวิตลูกน้องของเขาไปกว่า ๑๐ คน เขาถึงกับต้องร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เพราะหม้อดินดำติดชนวนนี่ไม่อยู่และไม่เคยอยู่ในสารบบหรือตำราพิชัยสงครามตุ้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแน่นอน!

 

        อย่างที่เขาพูด...อาวุธร้ายแรงที่ไร้เกียรติด้วยการเล่นทีเผลออย่างไม่ยอมเผชิญหน้าตรงๆนี่ไม่สมควรจะเป็นอาวุธที่มนุษย์ปุถุชนทำขึ้นเลย!

 

      " ท ท่านนายกอง! "

 

      " ส เสี่ยงเกินไปแล้ว! พวกเราตามมันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว! "  นายกองผู้นั้นครางออกมาเบาๆ อย่างหมดหวังสร้างชื่อให้กับตัวเองในคราวนี้แน่ แต่พอเขาคิดจะออกคำสั่งให้ถอยกลับ หนึ่งในทหารม้าใต้อาณัติที่อยู่ด้านหลังก็ตะโกนออกมาเสียงหลงว่า

 

      " ท ท่านนายกอง! ไฟป่าขอรับ!! อยู่ๆก็เกิดไฟป่าไหม้ลามในด้านที่พวกเราเข้ามา! ไฟต้องลมหนาวโหมแรงมาก พวกเราถอยกลับทางเก่าไม่ได้แล้วขอรับ! "

 

      " อะไรนะ?! "  

 

      " ท ท่านนายกอง! ทั้งป่าแห้งทั้งลมแรงเช่นนี้ไฟคงลามเร็วมาก ถ้าขืนช้ากว่านี้ไม่ยอมทำอะไร พวกเราคงถูกไฟคลอกฉิบหายกันทั้งหมดแน่! โปรดออกคำสั่งด้วยขอรับ! "

 

      " พ พวกเจ้า! "

 

      " ต แต่ถ้าหากไปข้างหน้าพวกเราคงจะเจอไอ้หม้อดินระเบิดนี่อีกเป็นแน่! ป โปรดตัดสินใจให้ถี่ถ้วนด้วยเถอะขอรับ! "

 

        ระหว่างที่นายกองทัพม้าหนุ่มกำลังคิดตัดสินใจโดยแข่งกับกระแสความร้อนของไฟป่าที่เริ่มลามโหมเข้ามาเรื่อยๆ ที่หางตาของเขาก็เหลือบไปบนเนินสูงและพบกับนายทหารมาปริศนาผู้ถือธงมยุราพื้นเหลืองที่พวกเขาหมายใจจะไล่ตามมา...นายทหารเกราะดำปริศนาบนหลังของม้าสีขาวหม่นที่สวมเกราะดำไม่ต่างกัน...เขายืนนิ่งอยู่บนหลังม้านิ่งโดยใช้ดวงตาที่ลอดออกมาจากหน้ากากสีดำสนิทมองลงมาที่พวกเขา...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะใช้มือขวาที่ไม่ได้ถือง้าวเปิดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาที่สงบนิ่งที่สุด พร้อมกับริมฝีปากของชายปริศนาผู้นี้จะขยับช้าๆ เป็นคำพูดที่นายกองพม่าอ่านจากริมฝีปากได้อย่างชัดเจน...

 

      '  อ-โห-สิ-กรรม-ให้-ข้า-ด้วย '

 

         วินาทีนั้นนายทัพทหารม้าพม่าก็เข้าใจทันทีว่าเขาได้กระทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุดเสียแล้ว...มันผู้นั้นรู้ว่าพวกเขาตามสัญญาณพลุ มันจึงล่อเขาและทหารม้าทั้งหมดด้วยสัญญาณพลุเพื่อให้พวกเขาถลำลึกเข้ามา...ถลำลึกเข้ามาถึง ณ จุดกึ่งกลางของ ทุ่งสังหาร แห่งนี้...และเมื่อเขารู้ตัวและพยายามจะถอยกลับ ไฟป่าที่ไม่ได้เกิดจากเหตุธรรมชาติก็กระพือโหมปิดทางไม่ให้เขาหนีกลับในทางเดิมได้...เขาติดอยู่ในสภาพที่ทำไม่ได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง...

 

 

     ...เดินหน้าก็ตาย!...ถอยหลังก็ตาย!...

 

 

      " ปัดโธ่โว้ยยยยย!! "

 

        ณ วินาทีนั้น นายกองหนุ่มไม่อาจจะทำสิ่งใดได้อีก นอกจากร้องออกมา...ร้องออกมาอย่างโหยหวนและเจ็บใจที่สุด...นี่คือสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้แล้ว...

 

 

     ...พวกเขาถูกรุกฆาต โดยไร้หนทางแก้ไขแล้ว!!...

 

 

     ... ณ เนินสูงที่ไกรยืนนิ่งอยู่ด้วยดวงตาที่หม่นแสงลง ถึงแม้ว่านี่คือชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้งนึงของไกร แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจเลย...

 

     ...ไม่เลยแม้แต่น้อย...

 

      " ท่านไกร "  เมื่อผ่านไปซักพัก สินที่ยืนม้าอยู่เบื้องหลังของเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่นัก แต่เขาจำต้องปลุกไกรให้ตื่นขึ้นจากภวังค์จึงต้องพูดออกมา ซึ่งเมื่อได้ยิน ไกรก็สะดุ้งน้อยๆ ก่อนที่เขาจะผ่อนลมหายใจพร้อมกับหันมาฝืนยิ้มให้กับท่านสินและพยักหน้าเบาๆ

 

      " งานจบแล้ว ไปกันเถอะ ท่านสิน "

 

        สินมองหน้าสหายของเขาอย่างไกรอีกเล็กน้อยอย่างกึ่งสงสารกึ่งเห็นใจ...ใจจริงเขาอยากจะพูดชื่นชมว่า กับระเบิดสังหาร ที่ไกรออกแบบและให้โคลบี้กับออลลี่สร้างขึ้นนั้นเป็น อาวุธ ที่อยู่ในระดับสุดยอดชนิดที่อาจจะพลิกหน้าประวัติศาสตร์การสงครามได้เลย...แต่ใบหน้าของไกรในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าที่สินจะสามารถแสดงความยินดีออกมาเป็นคำพูดได้อย่างแน่แท้

 

      " ไม่เป็นไรแน่นะขอรับ? "  เมื่อไม่อาจแสดงความยินดีได้ เขาจึงทำได้แค่เอ่ยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเมื่อได้ยินไกรก็เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆและทำตัวเป็นปรกติอย่างรวดเร็วจนแทบจะดูไม่ออกก่อนจะโคลงหัวช้าๆ

 

      " ข้าเคยบอกท่านไปแล้วว่าข้าจะไม่แสดงด้านอ่อนแอให้ท่านหรือคนอื่นๆเห็นอีกเป็นครั้งที่ ๒ และข้ารักษาสัตย์ของข้า...อย่าห่วงเลยน่า "

 

        ไกรพูดพลางขยับม้าเพื่อนำท่านสินออกไปจากตรงนี้ ส่วนหนึ่งคือแผนของเขาสำเร็จแล้ว...อีกส่วนหนึ่งคือเขาไม่อยากจะเห็นภาพการสังหารหมู่อีกต่อไป ซึ่งสินเองก็รู้ข้อนี้ดีแต่เขาก็คิดว่าไกรทำเรื่องที่สมควรทำมามากเกินพอแล้ว จึงได้แต่ตามไปอย่างเงียบๆ

 

      " แล้วจะเอาอย่างไรต่อ? ท่านไกร "

 

      " หืม? อ้าว ก็กลับไปรวมกับพวกอุษาที่จุดนัดพบที่ ๓ สิ...ท่านก็อยู่ฟังตอนข้าวางแผนแถมยังช่วยปิดจุดอ่อนของแผนข้าอีก ไม่น่าลืมง่ายๆเลยนะ "  ไกรพาซื่อหันมาตอบเบาๆ แต่สินส่ายหน้าช้าๆ

 

      " ไม่ใช่ขอรับ หมายถึงเรื่องทัพพระเจ้าอลองพญาที่ยกมาเสริมน่ะขอรับ...จะให้จัดการอย่างไรดี? "

 

      " โห จัดการ...ถ้าอีกฝ่ายมีซัก ๑๐๐ คนน่ะข้าจัดไปแล้ว...แต่นี่เล่นมากันเป็นหมื่นๆแถมมุกก็หมดแล้วด้วย ไงๆราชบุรีก็คงจะไม่รอดถึงวันพรุ่งนี้แน่ๆ พวกเราทำได้แค่ถ่วงเวลาให้พวกราชบุรีอพยพหนีไปที่สุพรรณให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นแหละ "

 

      " เฮ้อ...ถ้าท่านไม่ใช่ผู้นำกองโจรอย่างเราที่มีเพียงร้อยกว่า แต่เป็นแม่ทัพผู้ถือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ของราชบุรี...พวกเราคงจะสามารถต้านทัพพวกมันได้มากกว่านี้เป็นแน่...นี่ ท่านไกร ท่านไม่คิดจะออกจากเงาและออกหน้าเป็นแม่ทัพของสุพรรณบุรีที่กำลังจะต้องรับศึกหน่อยหรือขอรับ? "  สินเสนอออกมาอย่างคาดหวังโดยเห็นแก่สถานการณ์บ้านเมืองเป็นสำคัญ แต่คำพูดของชายหนุ่มทำเอาไกรถึงกับใจหายวาบและขนลุกซู่

 

      " ม ไม่อาเฟ้ยยย! "

 

        ระหว่างที่ไกรและสินกำลังคุยอยู่นั้น ไกรก็ยังไม่ลืมที่จะยิงพลุขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการระบุตัวตนต่อไปเรื่อยๆและเป็นสัญญาณว่าเขาและท่านสินปลอดภัยและภารกิจลุล่วงแล้ว...

 

     ...แต่พลุสัญญาณที่ทอแสงสีเหลืองส้มบนท้องฟ้าเวลานี้ถูกจับจ้องด้วยสายตาที่แม้จะคล้ำและลึกโหลแต่ก็ยังทอประกายคมกล้าราวกับเหยี่ยวที่กำลังจ้องมองเหยื่อ...แม้ว่ามือทั้งสองจะคุมพังงาเพื่อเลี้ยวลดลัดเลาะคลองอันคดเคี้ยวราวกับงูเลื้อยนี้ แต่ดวงตาสีเข้มของเกียนหรือนายทองสุกผู้นี้กำลังจับจ้องอยู่ที่พลุที่กำลังหรี่แสงลงช้าๆ...

 

     ...เขากำลังระลึก...ระลึกถึงช่วงเวลาที่เขาได้เห็นชายหนุ่มนามว่าไกรที่มีท่าทีสนิทสนมกับ ท่านหญิงตองชะเว หรืออเทตยาของเขาเป็นพิเศษ...

 

        มันอาจจะเป็นเรื่องดีที่เขาได้เห็นท่านหญิงตองชะเวของพวกเขามีความเป็น มนุษย์ มากขึ้นจากเดิม มีกลิ่นอายของความเป็นปุถุชนที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนเมื่อครั้งอยู่ที่หงสาวดี...แต่เขาก็คิดได้...ว่าชายหนุ่มนามว่าไกรผู้นี้กลับเป็นเหตุที่ทำให้ท่านหญิงของเขาแปรเปลี่ยนไป สูญเสียวิถีทางและเจตนารมณ์ที่หมายจะฟื้นฟูหงสาวดีอันเป็นเมืองหลวงของชนชาติมอญไป...

 

     ...ไกรคือผู้ทำให้ท่านหญิงตองชะเวสูญเสียวิญญาณอันหยิ่งทรนงของชนชาติมอญไป...

 

     ...ซึ่งเขา...และชาวมอญทุกคนไม่อาจจะยอมรับได้...

 

      ' พลปืนใหญ่น้อยทั้งหมด...พวกเจ้ายังเป็นคนของข้าอยู่หรือไม่? '  ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพูดขึ้นเป็นภาษามอญเบาๆระหว่างที่พระเชียงเงินกำลังง่วนอยู่กับการกำหนดแผนที่จนไม่ทันสังเกต ซึ่งเมื่อพลปืนใหญ่น้อยซึ่งเป็นพลมอญอาสาทั้งหมดได้ยินที่นายทองสุกพูด พวกเขาก็เลิกคิ้วอย่างงงๆ

 

      ' น แน่นอนสิขอรับ ท่านเกียน ไม่สิ ท่านสมิงทอสุ...พวกเรารับคำสั่งท่านเสมอ '

 

      ' ดี...ถ้าอย่างนั้นเล็งปืนใหญ่ไปที่ตำแหน่งพลุนั่น...แล้วยิงเสีย! '

 

      ' ท ท่านสมิงทอสุ! ต แต่ว่า นั่นคือตำแหน่งของท่านไกรและท่านสินนะขอรับ! '

 

      ' ข้าออกคำสั่งไปแล้วและจะรับผิดชอบเอง! ยิงเดี๋ยวนี้!! '

 

       ในเสี้ยววินาทีนั้นก่อนที่จะมีผู้ใดมาห้ามปรามทัน ปืนใหญ่น้อยทุกกระบอกที่ตั้งจังก้าอยู่บนกระดูกงูเรือเวนไตยก็ดังกัมปนาทลั่นโดยพร้อมเพรียงกัน ภายใต้ประกาศิตคำสั่งที่เลือดเย็นและน่าขนลุกที่สุด!

 

 

        คำสั่งกำจัดเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีนอกราชการ...กำจัดไกร!

 

 

        ตูมมมม!!

 

 

     ...เสี้ยววินาทีต่อมา...ระหว่างที่ไกรกำลังชักม้าทอดน่องเดินคุยอยู่กับสินอย่างผ่อนคลายเพราะเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว อยู่ๆสัญชาตญาณระวังภัยของไกรก็กระตุ้นเตือนอย่างรุนแรงจนทำให้เขาถึงกับขนลุกซู่เกือบทั้งร่าง ...พร้อมกับที่ทั้งลูกแก้วและลูกขวัญจะร้องตวาดข้างๆหูเขาดังลั่น!

 

      " ท่านพ่อ! ระวัง!! "

 

      " อะไรนะ?! "

 

 

        หวืออออ!   ตูมมมมม!!

 

    

 

 

 

 

 .......................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา