ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  110.09K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) ...ตอนที่ ๖...จอมกษัตริย์ใต้ร่มกาสาวพัสตร์...(๓)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

 

       ...ย้อนกลับมาที่เกวียนของไกรและท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าสูงสุดแห่งหมู่บ้านมือสังหาร...

 

        " หืม?...กลับมาแล้วอย่างนั้นรึ? ไกร... "  ท่านผู้เฒ่าที่ได้นอนพักเอาแรงไปแล้วอย่างเต็มอิ่ม ซึ่งบัดนี้อยู่ในชุดเครื่องทรงชุดใหม่ที่ดู สุภาพ และ รัดกุม มากขึ้น หันกลับมามองที่ไกรที่เดินขึ้นมานั่งบนเกวียน  ในขณะที่ไกรเองก็หันไปมองท่านผู้เฒ่าพร้อมกับก้มหัวเคารพเล็กน้อยและรับคำเบาๆ

 

        " ครับ... "

 

        " ...ไอ้ท่าทีเช่นนั้นมันอะไรกัน?...ทำไม? เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ข้าหลับไป และเจ้าไปเดินชมตลาดอย่างนั้นรึ? "  ท่านผู้เฒ่าที่เห็นท่าทีที่ดูแปลกๆไปของคู่สนทนาอดที่จะถามขึ้นอย่างสงสัยใครรู้ไม่ได้...ในขณะที่ไกรเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ก่อนจะยิ้มและตอบกลับมาเบาๆอีกครั้ง

 

        " จะว่ามีก็มีนะครับ...คุณจะด่าผมเลยก็ได้นะ เพราะผมขอสารภาพเลยว่าผมทำเงินหายไป ๒ บาทแหน่ะ "

 

          ท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วกับคำตอบแปลกๆของไกร ก่อนที่เขาจะอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

 

        " รู้ไหม?...ในสำหรับผู้ที่ทำอัฐหล่นหายถึง ๒ บาท...เจ้าดูมีความสุขเหลือเกินนะ "

 

          ไกรได้แต่หัวเราะแห้งๆกับคำหยอกล้อของท่านผู้เฒ่า ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าผ้าตรงชายพก และหยิบเศษไม้เล็กๆ อันเป็นเครื่องรางของขลังของสิงห์ที่เขาเอาติดตัวไปด้วยขึ้นมา พร้อมกับยกขึ้นเพ่งมองอย่างสนอกสนใจ

 

        " หืม?...นั่นมัน? "  ท่านผู้เฒ่าที่เหมือนกับพึ่งล้างหน้าล้างตาเสร็จ มองมาที่เศษกิ่งไม้เล็กๆในทือของเขาพร้อมกับเลิกคิ้วครางออกมาเบาๆ  ทำให้ไกรที่มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถามขึ้นทันที

 

        " รู้จักไอ้เครื่องรางนี้อย่างงั้นเหรอครับ? "

 

        " ก็แน่ล่ะสิ...หือ? ประเดี๋ยวนะ...นี่เจ้าพกสิ่งนี้ไปโดยไม่รู้ว่ามันมีอิทธิฤทธิ์ด้านใดเลยอย่างนั้นรึ? "

 

        " อ้าว? ก็คุณบอกผมเองนี่ว่าจะพกอะไรก็สุ่มๆพกไปเหอะ เพราะเอาไว้ป้องกันได้เหมือนกันยังไงล่ะ "

 

          ท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเกาหัวแกรกๆ และพูดอ่อยๆว่า

 

        " ข้าเคยพูดเช่นนั้นด้วยหรือ? ไม่เห็นจำได้เลยสักนิดเดียวแฮะ...สงสัยเป็นเพราะเวลานั้นข้าคงจะง่วงนอนมากเกินไป เลยพูดอะไรส่งๆแบบนั้นไปเสียล่ะกระมั้ง "

 

        " ว่าไงนะ?!! "  ไกรถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินคำสารภาพของท่านผู้เฒ่า ก่อนจะรีบถามต่อทันที

 

        " ถ้างั้นไอ้เศษไม้นี่มันมีอิทธิฤทธิ์อะไรล่ะเนี่ย?! "

 

        " ...ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด...เศษไม้ที่เจ้าถืออยู่นั่นเรียกว่า ไม้ไก่กุก (๑)...ถ้าให้ข้าอธิบายกรรมวิธีการปลุกเสกจะเป็นเรื่องยาวเสียเปล่าๆ...เอาเป็นว่าเครื่องรางชิ้นนี้ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ด้านคงกระพันชาตรี หรือแคล้วคลาดปลอดภัยอะไรเลยแม้แต่น้อย... "

 

        " แล้ว? "

 

        " ไม้ไก่กุกนี่มีอิทธิฤทธิ์ด้านเมตตามหานิยมแบบสุดๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีมนต์คาถาใดๆเป่ากำกับเลยด้วยซ้ำน่ะสิ...โดยเฉพาะกับอิสตรีจะแสดงผลมากเป็นพิเศษ...ถึงกับว่ากันว่าชายใดพกไม้ไก่กุกนี่ติดตัว คำพูดคำจาของเขาจะทำให้หญิงคู่สนทนาโอนอ่อนราวกับเทียนต้องไฟเลยทีเดียวล่ะ "

 

        ' เฮ่ยๆ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะไอ้ไม้ไก่กุ๊กๆนี่--- '  ไกรคิดในใจพร้อมกับทำหน้าไม่ถูก ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็ช่างสังเกตพอจะจับพิรุธจากสีหน้าเขาได้ แต่เขาก็มองโลกในแง่ดีมากพอ อีกทั้งเวลานี้ก็ใกล้จะเป็นเวลาที่เหล่าพระภิกษุจะฉันเพลเสร็จแล้วด้วย จึงไม่ได้คิดซักถามอะไร 

 

        " เอ้า...ถ้าเลิกคิดอะไรไร้สาระได้แล้วพวกเราก็ไปกันเถอะ...อีกประเดี๋ยวท่านดอกเดื่อก็น่าจะว่างแล้ว...เตรียมตัวไว้ให้พร้อมนะไกร ถึงจะพูดได้ว่าข้ารู้จักมุกคุ้นกับพระดอกเดื่อมากพอก็เถอะ แต่เรื่องที่เจ้าและข้ากำลังจะบอก ถ้าหากข้าไม่ได้รู้ว่าเจ้าเป็นผู้ที่มาจากอนาคต ข้าเองก็คงจะไม่มีวันเชื่อเช่นกัน...เตรียมคำพูดไว้ให้ดีๆก็แล้วกันนะ "

 

          ไกรพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วขึ้น และอดถามออกมาเบาๆไม่ได้

 

        " คือ...ก่อนที่พวกเราจะไป ผมขอถามอะไรบางอย่างสิครับ "

 

        " หืม? ว่ามาสิ "

 

          ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างตัดสินใจ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกและเริ่มต้นพูดช้าๆ

 

        " ด้วยความเคารพนะครับ ท่านผู้เฒ่า...แต่ถ้าว่ากันตามพงศาวดารที่ผมได้อ่านผ่านตามา พูดก็พูดเถอะ ผมไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่เลย ที่คุณพูดว่าพระเจ้าเอกทัศน์จะเชื่อคำพูดของพระ...เอ่อ...พระดอกเดื่อน่ะครับ "

 

        " พง...ศาวดาร? ...ประเดี๋ยวนะ ในหน้าประวัติศาสตร์ของเจ้ามันเขียนว่าอย่างไรอย่างนั้นรึ? "  ท่านผู้เฒ่าอดถามขึ้นมาเบาๆไม่ได้ คำถามนั้นทำเอาไกรถึงกับนิ่งอึ้งไป

 

        " อ...เอ่อ...ทั้งสองพระองค์...มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีต่อกันนัก "

 

          ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเอง เมื่อเห็นท่าทีของไกรก็หัวเราะออกมาเบาๆอีกครั้งอย่างไม่ได้ติดใจคาดคั้นเอาความอะไร ก่อนจะพูดต่อว่า

 

        " เอาเถอะๆ ถ้าเจ้าลำบากใจที่จะพูดออกมาข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก...แต่ว่านะไกร "

 

        " ครับ? "

 

        " เจ้าอาจจะลืมเลือนไปแล้วว่า ถึงช่วงเวลา ณ ที่แห่งนี้จะเป็น อดีต สำหรับเจ้า ...แต่สำหรับข้า และผู้คนทั้งหมดที่เจ้ารู้จักที่นี่...มันเป็น อนาคต ที่ยังไม่มาถึง...และข้าก็ยังคงเชื่อมั่นนะ ว่าอนาคตของยุคของข้า พวกข้าเองที่จะเป็นคนกำหนด...หาใช่พงศาวดารหรือหนังสือประวัติศาสตร์ของเจ้าไม่ "  รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง 

 

        " เฮ้อ...เข้าใจแล้วครับ... "

 

        " ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์กับพระอนุชาของพระองค์อย่างพระดอกเดื่อ...อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มีโอกาสถามกับพระท่านเองเลยไม่ใช่รึ...เอาเป็นว่าถึงเวลานั้นเจ้าลองไต่ถามท่านดูกับตัวเองเลยเป็นไร "

 

       ' แล้วจะให้ถามพระท่านว่า ...โอ้ว! หลวงพี่ครับ ตกลงพระเจ้าเอกทัศน์พี่ชายของหลวงพี่แย่งราชสมบัติของหลวงพี่จนหลวงพี่ต้องหนีมาบวชจริงรึเปล่าครับ?  เนี่ยนะ? ...แบบนั้นนอกจากนรกจะกินกบาลแล้ว งานนี้มีหวังได้แถมรายการขี้กลากขึ้นหัวไปอีกหนึ่งรายการน่ะสิฟะ!!! '  ไกรเหลือบมองอีกฝ่ายพร้อมกับคิดในใจอย่างเคืองๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง

 

         โดยไม่ต้องรอถามอะไรต่อ ท่านผู้เฒ่ากระโดดลงจากเกวียนก่อนจะพยักหน้าเบาๆให้กับไกรเหมือนกับเป็นสัญญาณว่าไปกันได้แล้ว ซึ่งไกรเองก็พยักหน้ารับเบาๆอย่างว่าง่าย  พวกเขาทั้งคู่เดินลัดเลาะหมู่บ้านและตลาดที่บัดนี้กำลังเริ่มวายแล้ว โดยที่ก่อนออกเดินกัน ท่านผู้เฒ่าได้ล้วงย่ามที่สิงห์ให้มาพร้อมกับหยิบของที่มีลักษณะคล้ายหอยเบี้ยที่ถูกอุดปากไว้ด้วยดินชันโรงที่ท่านผู้เฒ่าบอกว่ามันคือ เบี้ยแก้ (๒)  ออกมาให้ไกรเก็บไว้หนึ่งชิ้น ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็เลือกมาพกเองอีกหนึ่งชิ้นท่ามกลางความสงสัยของไกรจนเขาอดถามขึ้นไม่ได้

 

        " เบี้ยแก้งั้นหรือครับ? "

 

        " อันที่จริงข้าเองก็ไม่คิดว่าเราจะโดนใครต่อใครเล่นของใส่ยามกลางวันแสกๆเช่นนี้หรอกนะ...แต่ก็อย่างที่เขาว่า กันไว้ก่อนดีกว่าแก้ ...อย่างไรเสียสิงห์ก็อุตส่าห์ให้ของดีพวกนี้มาแล้วด้วย...พูดก็พูดเถอะนะ ไกร...เจ้าอาจจะไม่ทันสังเกต แต่สิงห์น่ะค่อนข้างจะถูกชะตา่เจ้าเป็นพิเศษทีเดียวนะ...ปกติแล้วไอ้เครื่องรางของขลังพวกนี้ เจ้าพวกมือสังหารหนุ่มๆคนอื่นเพียรพยายามอ้อนวอนปะเหลาะขอสิงห์มาตั้งหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่สิงห์ก็หวงวิชาไม่ยอมให้ใครเลยซักที มีกับเจ้านี่แหละที่มันประเคนให้แบบที่เจ้าไม่ต้องขอเลยแบบนี้...น่าประหลาดดีจริงๆ "

 

        " มันแค่คิดจะแกล้งผมสิไม่ว่า! มีอย่างเหรอ? เอาอะไรก็ไม่รู้มัดรวมๆกันมา ใช้ยังไงก็ไม่บอก ดีแค่ไหนแล้วที่ตอนผมพกไอ้ไม้ไก่กุ๊กๆนั่นไปเดินตลาด มันไม่เกิดแผลงฤทธิ์อะไรเข้า...อ๊ะ! "  ไกรอุทานออกมาเบาๆ แต่ท่านผู้เฒ่าก็ตาไวพอจะสังเกตเห็นท่าทีของไกรได้ เขาหันกลับมาและถามขึ้นทันที

 

        " อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไปล่วงเกินสาวชาวบ้านคนไหนเข้าให้แล้ว? " 

 

        " ไม่ได้ล่วงได้เกินใครเฟ้ย!! ...ให้ตายสิ! คุณเห็นผมเป็นคนยังไงฟะ! "  ชายหนุ่มหันไปเถียงเสียงดังลั่น ก่อนจะยักไหล่เล็กน้อยพลางปลอบใจตัวเองว่าเรื่องของหญิงสาวนามว่าสิริจันทรคงจะไม่เกี่ยวอะไรกับอิทธิฤทธิ์ของไม้ไก่กุกนั่น  อีกอย่าง...อย่างไรเสียพอแจ้งข่าวให้กับพระดอกเดื่อเสร็จพวกเขาก็ตกลงกันแล้วว่าจะกลับทันที เขาคงจะไม่ได้เจอกับหญิงสาวคนนั้นอีกแน่...เมื่อคิดเช่นนี้ก็ทำให้เขาเบาใจลงได้เล็กน้อย  ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ

 

        ' อืม...แปลก... '  ชายหนุ่มผู้มีฉายานามว่า ท่านผู้เฒ่า  ใช้สายตาที่คมกล้าประดุจเหยี่ยวของเขามองไปที่บรรยากาศรอบๆ ก่อนจะอดคิดในใจอย่างผิดสังเกตไม่ได้   ' ถึงจะบอกว่าทุกคนดำเนินชีวิตกันเป็นปกติก็เถอะ...แต่ทำไมมันดูเหมือนชาวบ้านร้านตลาดพวกนี้มีความสุขกันเป็นพิเศษ...อีกทั้งตลาดก็ยังสะอาดสะอ้านกว่าปกติ...อืม...คง...ไม่ใช่หรอกกระมั้ง...  '

 

          ถึงจะบอกว่าบรรยากาศมันผิดไปจากที่ควรจะเป็น แต่เพราะแตกต่างจากเดิมเพียงเล็กน้อยจนท่านผู้เฒ่าเดาว่าเขาคงคิดไปเอง บวกกับความเร่งรีบเพื่อที่จะไปแจ้งข่าวสำคัญให้กับพระดอกเดื่อ ทำให้ท่านผู้เฒ่าไม่ได้พูดอะไรออกมา...มันมาผิดสังเกตเอาจริงๆก็เมื่อพวกเขาเดินกันมาถึงหน้าวัดประดู่ทรงธรรม อันเป็นวัดเล็กๆที่มีพระอุโบสถขนาดไม่ใหญ่มากตั้งเด่นอยู่ เพราะดูเหมือนชาวบ้านชาวช่องทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนแก่คนเฒ่าไปจนถึงลูกเล็กเด็กแดง จากทั้งหมู่บ้านนี้และละแวกใกล้เคียงจะมารวมตัวกันอยู่เต็มสองข้างทางเข้าวัดไปหมด...มันทำให้ท่านผู้เฒ่าขมวดคิวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาโพลงอย่างนึกอะไรบางอย่างได้ ชายหนุ่มหันกลับมาพูดกับไกรทันที

 

        " ไกร! ระหว่างที่ข้าหลับไป...ระหว่างที่เจ้าไปเดินเที่ยวเล่นในตลาด เจ้าเห็นอะไรผิดปกติบ้างรึเปล่า?! "

 

        " หืม? เป็นอะไร...ทำไมอยู่ๆก็ทำหน้าซีเรียสขึ้นมาซะอย่างงั้นล่ะครับ "  ไกรที่เห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทีไปอย่างกะทันหันก็อดถามกลับมาอย่างเสียไม่ได้ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่ารีบพูดสวนมาทันที

 

        " แค่...บอกมาเถอะน่า "

 

          ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อย ชั่วเสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็ดีดนิ้วเป๊าะ! พร้อมกับร้อง อ๋อ! เบาๆ

 

        " จะว่าไปก็มีนะครับ ระหว่างเดินเที่ยว ผมไปช่วยผู้หญิงที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวกนางกำนัลคนหนึ่งที่กำลังหลบหนีพวกโขลนที่มีคุณท้าวศรีสัจจาเป็นตัวนำไว้เข้าน่ะครับ "

 

        " คุณท้าวศรีสัจจากับพวกจ่าโขลน !!! "  ท่านผู้เฒ่าอุทานออกมาดังลั่นจนผู้คนรอบๆพวกเขาหันมามอง แต่เขาแทบจะไม่สนใจด้วยซ้ำ ชายหนุ่มขยุ้มไหล่ไกรไว้พร้อมกับพูดต่อ

 

        " จ...เจ้าเสียสติไปแล้วรึอย่างไร?! เรื่องที่สำคัญที่สุดเช่นนี้ทำไมไม่รีบบอกต่อข้า! ...ไม่รู้รึอย่างไรว่าพวกจ่าโขลนน่ะปกติแล้วจะไม่ออกมาจากเขตวังชั้นในด้วยซ้ำ! ยิ่งคุณท้าวศรีสัจจาที่เป็นผู้บัญชาหัวหน้าจ่าโขลนพวกนั้นยิ่งแล้วใหญ่...การที่คนระดับนางมาเดินอยู่ในตลาดเข่นนี้ได้ก็มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น! คือมีพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงระดับเจ้าฟ้าขึ้นไปเสด็จมาแถวนี้เท่านั้น!! "

 

        " ระ...ระดับเจ้าฟ้า?! ...ง...งั้น ท่านไหนกันล่ะ?! "  ไกรที่พึ่งรับรู้ถึงระดับความตึงเครียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระซิบถามออกมาเบาๆ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเอานิ้วขยี้สันจมูกและทำสีหน้าคิดหนักเต็มที่ ก่อนที่เขาจะพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจว่า

 

        " คาดเดาได้ไม่ยากหรอก...ผู้ที่ระดับท้าวศรีสัจจาให้การอารักขามาถึงชานเมืองเช่นนี้...อย่างโชคดีที่สุดก็คงจะเป็นพระราชโอรสธิดาของพ่ออยู่หัวที่เกิดนึกอยากจะมากราบพระที่นี่เท้านั้น...แต่ถ้าพูดอย่างโชคร้ายที่สุด---- "

 

          ท่านผู้เฒ่ายังพูดได้ไม่จบ คำตอบของพวกเขาก็มาถึงเสียแล้ว

 

 

        " พ่ออยู่หัว เสด็จแล้ว!! "

 

 

          ทั้งไกรและท่านผู้เฒ่าหันขวับไปมองที่ต้นเสียงทันที และเพราะยังคงยืนนิ่งค้างอย่างตกตะลึง ทำให้พวกเขาเป็นเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ยืนเด่นอยู่ท่ามกลางการหมอบกราบของชาวบ้านนับร้อยคน...กว่าจะรู้ตัวอีกที เสียงๆหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้ากระบวนเสด็จก็ตะโกนมาที่พวกเขาดังลั่น!!

 

 

        " พวกเจ้าสองคนตรงนั้น ! หยุดประเดี๋ยวนี้ !! "

 

 

          ท่านผู้เฒ่าหลับตาลงพร้อมกับครางออกมาเบาๆ เขาหันมาหาไกรที่กำลังทำสีหน้าปั้นยากอยู่ พร้อมกับพูดขึ้นเบาๆว่า           

 

        " พูดก็พูดเถอะนะ ไกร...เพราะเหตุใดไม่รู้นะ แต่ข้ากำลังเริ่มคิดแล้วว่าเรื่องซวยๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่ มีเจ้าเป็นต้นเหตุน่ะ "

 

 

 

 

 

................................................

 

 

 

 

 

      ...หลังจากนั้นเพียงไม่ถึงนาที พวกเขาสองคนก็ถูกรวบด้วยกองทหารล้อมวังและเหล่าจ่าโขลนที่ทำหน้าถมึงทึงนับได้เกือบ ๓๐ คนล้อมไว้ในท่าทางเตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธที่อยู่ในมือเต็มที่ รอเพียงสัญญาณให้ลงมือเท่านั้น...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากบอกให้ไกรเฉยไว้ เพราะต่อให้เป็นระดับสุดยอดมือสังหาร แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าฝูงทหารล้อมวังแบบประชิดตัวแบบนี้ก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน...

 

        ' ท...ท่านผู้เฒ่า '

 

        ' อย่า! อย่าทำอะไรโง่ๆเป็นอันขาดเชียวนะ '  ท่านผู้เฒ่ากระซิบบอกไกรเบาๆทันทีเมื่อเห็นท่าทีของไกร   ' ตราบใดที่พวกเราไม่คิดขัดขืนหรือหลบหนี คนพวกนี้ก็จะยังไม่ทำอะไรเจ้า......คนพวกนี้ไม่ได้เป็นหน่วยอารักขาพ่ออยู่หัวเพียงเพราะหน้าที่ แต่พวกเขาเคารพบูชา...ถ้าเจ้าทำการใดที่ทำให้คนพวกนี้เข้าใจว่าเป็นความประสงค์ร้ายต่อพ่ออยู่หัวหรือพระบรมฯทั้งหลายล่ะก็ พวกเขาไม่เอาเราไว้แน่! '

 

        ' แล้วเราจะต้องติดอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกันล่ะ?! '

 

        ' ก็จนกว่าข้าจะได้พบกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซักคนน่ะสิ ...ถ้าโชคดีพวกนั้นเจอข้า พวกเราก็รอดแล้วล่ะ '  ท่านผู้เฒ่ากระซิบเบาๆอีกครั้ง ก่อนจะขยายความต่อเมื่อเห็นเครื่องหมายอัศเจรีย์ (เครื่องหมายคำถาม) เต็มใบหน้าของไกร

 

        ' ...เฮ้อ เจ้าอาจจะไม่รู้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไหรอกนะ ไกร...ข้าเคยรับราชการมาก่อน ทั้งยังมีคนนับหน้าถือตาอยู่พอสมควร และข้าเชื่อว่าคนพวกนั้นยังคงจำหน้าข้าได้แน่น่ะ '

 

        ' โอ้...เด็กเส้นนี่เอง '

 

        " กระซิบกระซาบอะไรของพวกเจ้า ?!! "  ชายหนุ่มในชุดทหารราชองครักษ์สีแดงชาดตวาดดังๆเมื่อเห็นท่าทีมีลับลมคมในของพวกเขา ก่อนที่ชายหนุ่มคนนี้จะหันกลับไปมองที่ถนนที่บัดนี้เริ่มเห็นขบวนเสด็จมาไกลๆแล้วด้วยสีหน้ากระวนกระวาย เพราะหน้าที่หลักของเขาคืออารักขากระบวนเสด็จ...ไม่ใช่มาเฝ้าหนุ่มชาวบ้านที่ไม่ค่อยรู้จักกาลเทศะสองคนแบบนี้

 

        " หืม? มีเรื่องอะไรกันอย่างนั้นหรือ "  อยู่ๆเสียงอันทรงอำนาจเสียงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของทหารหนุ่มผู้นั้น เมื่อเขาหันกลับไป ทหารคนนั้นก็รีบก้มหัวโค้งคำนับทหารเฒ่าบนหลังม้าเจ้าของเสียงนั้นทันที

 

        " ท่านพระเพชรพิไชย?  (ชื่อตำแหน่งและราชทินนามของจางวางหัวหน้ากรมทหารล้อมวัง) ...ม...ไม่มีอะไรหรอกขอรับ แค่พวกคนไม่รู้จักกาลเทศะเท่านั้นแหละ "  

 

        " คนไม่รู้จักกาลเทศะ? "  ทหารเฒ่าบนหลังม้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะชักม้าขยับเข้ามาดูใกล้ๆ แต่พอเขาได้เห็นหน้าของ คนไม่รู้จักกาลเทศะ ชัดๆ ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางของเขาก็เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับที่เขารีบกระโดดลงจากหลังม้าทันที

 

 

        " ท่านเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ !! "

 

 

 

 

 

...................................................

 

 

 

 

 

        " จ...เจ้าพระยาจักรี...ศรีองครักษ์...ส...สมุหนายกเนี่ยนะ?! "  ไกรทำหน้าราวกับกำลังโดนผีหลอกแบบจะๆ มาเกือบนาทีแล้วหลังจากที่ได้รู้บรรดาศักดิ์ที่แท้จริงของท่านผู้เฒ่าจากปากคำของหัวหน้าทหารล้อมวังชราคนนั้น พร้อมๆกันกับที่ท่านผู้เฒ่าก็ถอนหายใจเฮือก ทำหน้าเหนื่อยหน่ายและตอบกลับมาเบาๆว่า

 

        " ก็ข้าบอกไปแล้วไงว่ามันเป็นอดีตที่นมนานมาแล้ว...ตอนนี้ข้าก็อยู่นอกราชการแล้วด้วย เพราะฉะนั้นช่วยลืมๆมันไปซะเถอะนะ "

 

        " ให้ลืมเนี่ยนะ?! ...ให้ลืมว่าคุณ---ให้ลืมว่าท่านเคยเป็นถึงหนึ่งในสองอัครมหาเสนาบดีผู้ทรงอำนาจมากที่สุดในอโยธยา...หัวหน้าขุนนางฝ่ายพลเรือน แถมยังเป็นผู้รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าแผ่นดินอีก...แบบนี้ให้ลืมเนี่ยนะ?!! "

 

        " เฮ้อ...ใช่...ลืมไปซะมันจะดีกับตัวเจ้ามากกว่า...จะได้ไม่หนักหัวเจ้า "

 

        " ไม่ทันแล้วเฟ้ย!! "

 

          ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง เพราะทีแรกเขาเองก็หวังเพียงแค่ว่าจะให้คนที่พอรู้จักเขามายืนยันว่าพวกเขาไม่ได้คิดอะไรไม่ดีหรือลบหลู่กระบวนเสด็จเท่านั้น แต่งานนี้มันซวยตรงที่คนที่มาเจอเขาดันเคยเป็นคนที่รับใช้ใกล้ชิดเขาที่สุดนี่สิ...แล้วว่าก็ว่าเถอะนะ...เรื่องกระบวนเสด็จของพ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์นี่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขาแบบสุดกู่จริงๆ

 

        " ว่าแต่คุณพระพรพิไชย ...เหตุใดพ่ออยู่หัวถึงได้เสด็จมาถึงวัดประดู่ฯได้ล่ะ "  ท่านผู้เฒ่าหันกลับไปถามทหารเฒ่าผู้เป็นถึงหัวหน้าทหารล้อมวังอย่างสงสัยโดยแทบไม่ได้เคารพความอาวุโสของอีกฝ่ายเลย ในขณะที่พระพรพิไชยเองก็กลับมีท่าทีนอบน้อมกับท่านผู้เฒ่าเป็นพิเศษ...ทั้งๆที่ถ้าคะเนจากริ้วรอยหน้าตาแล้วน่าจะมีอายุห่างกันเกือบสองรอบแท้ๆ

 

        " ท่านก็ทราบดีอยู่แล้วนี่ว่าเพลานี้อโยธยากำลังจะมีศึกติดพันกับเหล่าพม่ารามัญอีกครั้ง ...หลังจากที่ครั้งสุดท้ายย้อนไปนับแต่รัชสมัยสมเด็จพระนเรศซึ่งก็ปาเข้าไปสองร้อยกว่าขวบปีแล้ว......มันจะแปลกตรงไหนที่ท่านจะเสด็จมาปรึกษากับสมเด็จพระอนุชาที่ท่านไว้พระทัยมากที่สุดในสุวรรณภูมิเช่นนี้ " 

 

          ท่านผู้เฒ่าพยักหน้าหงึกๆกับคำตอบของพระพรพิไชย ในขณะที่ไกรกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเริ่มทำการย่อยข้อมูลที่เขาพึ่งได้รับมาด้วยการทวนประโยคซ้ำอย่างช้าๆถึงสองรอบจนเขาแน่ใจแล้วว่าความผิดปกติของประโยคๆนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเองจริงๆ

 

 

        " ว่าไงนะ?!!!!!!!!!!!! "

 

 

          คำอุทานเสียงดังลั่นของไกรทำให้ทำให้ท่านผู้เฒ่าและหัวหน้าทหารล้อมวังหันกลับมามอง ก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะยักไหล่และพูดเบาๆกับไกรว่า

 

        " ก็ข้าบอกแล้ว...ทุกอย่างไม่ใช่จะเป็นอย่างที่เจ้าคิดเสมอไป "

 

 

        ' ...ถ...ถึงจะบอกว่ามันออกจากปากของคนๆเดียว ...แต่ ...จ ...จะบอกว่าประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่เราเรียนรู้กันมาตั้งแต่เด็กๆมันผิดไปหมดเลยอย่างงั้นเหรอ?! บ ...บ้าแล้ว !! '  ไกรที่พึ่งรู้สึกตัวว่าเขากำลังเป็นจุดเด่นอยู่รีบเก็บอาการพร้อมกับคิดในใจอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็หันกลับไปคุยเรื่องสัพเพเหระกับพระพรวิไชยต่อเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะรีบบอกลาทันที

 

        " ...ขอบใจเจ้าที่ช่วยข้าไว้นะ...เอาเป็นว่าข้าขอลาเลยก็แล้ว "

 

        " อ้าว? ท่านไม่รอเข้าเฝ้าพ่ออยู่หัวก่อนอย่างนั้นหรือ... "  

 

          คำถามของอีกฝ่ายทำให้ท่านผู้เฒ่าเอามือลูบคางเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจส่ายหน้าช้าๆ

 

        " ข้าว่าให้พ่ออยู่หัวไม่ทรงทราบว่าพวกเจ้าพบกับข้าน่าจะเป็นผลดีมากกว่า...สำหรับพ่ออยู่หัวแล้ว ปล่อยให้ข้าเป็นบุคคลที่สาปสูญไปแล้วน่ะ ดีแล้วล่ะ...เอาล่ะ ข้าว่าเจ้ากลับไปทำหน้าที่ของเจ้าดีกว่านะ...พวกข้าเองก็จะรีบลี้กันแล้ว ประเดี๋ยวจะมีพิรุธกันเสียเปล่าๆ...เพราะอย่างนั้นคงจะลากันตรงนี้แหละนะ "  ท่านผู้เฒ่าตัดบทพร้อมกับพยักหน้ามาที่ไกร เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาชิ่งแล้ว ซึ่งไกรเองก็พยักหน้าตอบกลับมาเบาๆ เพราะตอนนี้เขาเองก็คงจะต้องหาเวลาและสถานที่เงียบๆเพื่อย่อยข้อมูลและมีเรื่องหลายอย่างที่ต้องถามเอาจากท่านผู้เฒ่าเหมือนกัน...แถมแผนการที่จะไปพบพระดอกเดื่อหรือพระเจ้าอุทุมพรอย่างลับๆ ของพวกเขาก็เป็นอันเสียฤกษ์ไปเพราะกระบวนเสด็จของพระเจ้าเอกทัศน์เสียแล้ว...ทั้งท่านผู้เฒ่าและไกรเองจึงเห็นพ้องต้องกันโดยมิได้นัดหมายว่าควรจะชิ่งตั้งแต่ยังทำได้อย่างตอนนี้ดีกว่า...

 

      ...แต่จังหวะที่พวกเขาเตรียมจะแยกทางออกไป  ...ดาบประจำกายที่ยังคงอยู่ในฝักของพระพรพิไชยและทหารล้อมวังที่ยืนรายรอบไกรและท่านผู้เฒ่าอยู่ก็ถูกยกขึ้นและชี้มาที่ท่านผู้เฒ่าและไกรทันที  พร้อมๆกับที่ทหารเฒ่าเจนสนามอย่างออกพระพรพิไชยจะยิ้มบางๆและพูดขึ้นเรียบๆกับท่านผู้เฒ่าว่า

 

        " ข้าต้องขออภัยท่านอย่างยิ่งนะขอรับ...ท่านเจ้าพระยาจักรีนอกราชการ...แต่มีตราคำสั่งเกณฑ์ข้าราชการทั้งในและนอกราชการกลับมาประจำการอีกครั้ง เพื่อรับมือศึกใหญ่กับพม่าครานี้...โดยเฉพาะกับท่าน ที่พ่ออยู่หัวถึงขั้นออกพระโอษฐ์เองเลยว่าถ้าหากพบเจอตัวที่ไหน ให้ตามมาเข้าเฝ้าทันที...ไม่ว่าจะต้องใช้กลวิธีใดก็ตาม... "

 

          ท่านผู้เฒ่าหันไปมองดาบที่ยังคงอยู่ในฝักอยู่ของทหารล้อมวังทุกคนที่ชี้มาที่เขาและไกร ที่ถึงแม้ว่ายังคงไม่ได้มีท่าทีประสงค์ร้าย แต่ก็อยู่ในระดับที่พร้อมจะชักออกมาได้ทุกเมื่อ ก่อนที่จะเลือกที่จะทำเป็นใจดีสู้เสือด้วยการยิ้มบางๆ ตอบรับรอยยิ้มของอีกฝ่าย และพูดกลับไปเรียบๆ

 

        " ถ้าหากเจ้ายังเฒ่าชแร แก่ชราจนเลอะเลือนไปแล้ว...เจ้าจะยังพอระลึกได้ไหม? สมัยสิ้นสมเด็จพ่ออยู่หัวท้ายสระ คาบเกี่ยวกับเหตุประหารขุนนางทั้งหมดทิ้งแบบล้างบางในช่วงก่อนที่พ่ออยู่หัวบรมโกศขึ้นครองราชย์...ข้าได้ช่วยเจ้าไว้จากอาญาฟันคอริบเรือนนะ "

 

        ' เฮ้ย! อีกแล้วเหรอ?!! '  ไกรที่ได้ยินคำพูดของท่านผู้เฒ่าถึงกับต้องหันขวับกลับไปมองอีกฝ่ายพร้อมนึกในใจทันที ถึงบรรยากาศตอนนี้มันไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยเท่าไหร่ก็เถอะ   ' ตาท่านผู้เฒ่านี้ช่วยคนจากโทษประหารไปกี่สิบคนกันแล้วฟะเนี่ย?!! '

 

          ในขณะที่ท่านออกพระพรพิไชยเองก็แก่พรรษาพอจะตอบรับคำต่อนขอดที่เจ็บแสบเหมือนกับการด่าว่า ไม่รู้จักบุญคุณคน  ของท่านผู้เฒ่าด้วยการค้อมหัวให้และยิ้มบางๆอีกครั้ง

 

        " ข้าทราบดีว่าบุญคุณของท่าน ต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติก็คงจะชดใช้ได้ไม่หมด...แต่ท่านก็คงจะเห็นอยู่แล้วนี่...ข้าเป็นทหารนะขอรับ...เป็นข้าในราชการผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา สาบานต่อคมหอกคมดาบว่าจะจงรักภักดีต่อพ่ออยู่หัวและแผ่นดินอโยธยาแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต...ถ้าให้ข้าเทียบกัน...คงไม่ต้องให้ข้าเฉลยให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจใช่ไหมขอรับว่าข้าจะเลือกฝั่งไหน...ได้โปรดเถอะขอรับ...นี่ถือเป็นคำขอร้องจากข้า...อย่าบีบบังคับให้ข้าต้องใช้กำลังกับท่านและคนของท่านเลย ขอร้องล่ะ "

 

          ท่านผู้เฒ่านิ่งเงียบอย่าอึ้งไปเล็กน้อยกับคำตอบที่ชัดเจนและเด็ดขาดของอีกฝ่าย ก่อนที่อยู่ๆเขาจะเอามือตบหน้าผากตัวเองพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นฟ้าและกู่หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

 

        " ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ...รู้อะไรไหม? ออกพระพรพิไชย...ถ้าหากเหล่าเสนาอำมาตย์ซักครึ่งหนึ่งของทั้งหมดมีความคิดเฉกเช่นเดียวกับเจ้า...เจ้าจะไม่จำเป็นต้องหันหน้ามาหาคนที่ปลดเกษียนไปนมนานแล้วอย่างข้าเลยด้วยซ้ำ...เอาเถอะ... "

 

        " เอาเถอะ? "

 

        " ...ก็ได้...ครานี้เจ้าชนะ...ออกพระพรพิไชย...ข้าจะเข้าเฝ้าพ่ออยู่หัวและเจรจากับพระองค์เอง! "

 

 

 

 

 

 

...................................................

 

 

 

 

 

 

          ปัจฉิมลิขิต.

 

          เดี๋ยวพอตื่นนอนจะมาเขียนอธิบายเชิงอรรถ (ไอ้ตัวเลขที่วงเล็บไว้) และปรับขนาดตัวอักษร รวมถึงแก้คำผิดอีกที...ตอนนี้ขอสลบก่อนล่ะกันนะครับ Zzz

 

 

                                                                              LanzaDeLuz

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา