ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  107.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

63)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...ชานเมือง...นอกกำแพงกรุงศรีอยุธยา ...ที่ต้นโพธิ์ใหญ่ ภายในวัดที่เริ่มเงียบสงบและไร้ซึ่งผู้คนหลังจากที่เวลาภัตตาหารเช้าผ่านไปไม่นานนัก...

 

        สิงห์ที่เวลานี้พรางกายอยู่ในชุดยาจกเข็ญใจที่ซอมซ่อที่สุดขยับเศษผ้าอันสกปรกที่คลุมปิดบังใบหน้าของตนพร้อมกับย่นจมูกเล็กน้อยกับกลิ่นของผ้าที่ออกจะเหมือนกับขโมยมาจากขอทานสกปรกจริงๆ ก่อนจะโยนกะลาขอทานในมือลงโคนต้นโพธิ์ใหญ่นั้น  เขาขยับร่างกายอันกำยำเล็กน้อยอย่างเมื่อยขบ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นเบาๆว่า

 

      " เป็นอย่างไรบ้าง ศกุนตลา "

 

        แซ่ก! 

 

        เกิดเสียงกิ่งไม้ลั่นเบาๆที่เยื้องเหนือหัวของชายหนุ่มเล็กน้อย พร้อมกับที่มือสังหารสาวนามว่าศกุนตลาจะกระแอมไอเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตำแหน่งของเธอ ในขณะที่สิงห์โยกหัวออกห่างจากตำแหน่งนั้นพร้อมกับบ่นใส่ทันที

 

      " ว้า! โธ่เอ้ย! เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องพรรค์นี้วะ...ก็รู้อยู่ว่าข้าให้สตรีอยู่เหนือหัวข้าไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเจ้าก็เถอะ "

 

      " อ้ะ...ข้าขออภัย "  ศกุนตลาครางออกมาเรียบๆโดยที่แทบไม่รู้สึกผิดอะไรนัก ก่อนที่เธอจะกระโดดลงมาจากกิ่งโพธิ์ที่แผ่กิ่งก้านสาขาลงมายืนข้างๆชายหนุ่มผู้ที่อยู่ใกล้เคียงฐานะของ สหาย ของเธอที่สุด ก่อนจะพูดเรียบๆต่ออีกครั้ง

 

      " อุษาติดตามมือฉมังธนูเป้าหมายออกมานอกเมืองแล้ว "

 

      " อืม แสดงว่าข้ากะเวลาได้พอดี "  สิงห์ครางเบาๆพร้อมกับขยับทำท่าจะเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย แต่ศกุนตลากลับยกมือห้ามไว้พร้อมกับถอยหนีทันที

 

      " อย่าเข้ามาใกล้นัก สิงห์...เจ้าปลอมแปลงกายลอกเลียนได้เหมือนกับยาจกเข็ญใจจริงๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องกลิ่นอันสกปรกจากเศษผ้าห่อศพทีพันหัวเจ้าอยู่นี่ "

 

      " ผ้าห่อศพกะผีเจ้าน่ะสิ! "  สิงห์แยกเขี้ยววับทันที พร้อมกับพูดใส่อีกฝ่ายอีกครั้งว่า  

 

       " ...พูดก็พูดเหอะนะ ศกุนตลา...หน้าที่นี้มันควรจะเป็นของเจ้าด้วยซ้ำ...เจ้าก็รู้อยู่ว่าข้าเป็นคนมีค่าหัว การออกไปสืบข่าวจำต้องปลอมตัว ทั้งถ้าหากถูกจับได้ขึ้นมาคราวนี้ล่ะเรื่องใหญ่แน่...เฮ้อ...ทั้งๆที่เจ้าเป็นคนที่ไม่ถูกทางกรมการเมืองอโยธยาตั้งค่าหัวแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมออกไปสืบเอง...ใจดำสิ้นดีเลย ผับผ่าเอ้ย! "

 

      " ที่เจ้าพูดนี่พูดจริงหรือแกล้งพูด? เพราะถ้าพูดจริงเจ้าก็เข้าขั้นโง่เง่าแล้วล่ะ...เจ้าก็เห็นใบหน้าเบื้องหลังหน้ากากของข้าแล้วนี่...ให้ข้าออกไปหาข่าวนั่นแหละจะทำให้ไก่ตื่นเสัยเปล่าๆ "  มือสังหารสาวพูดเรียบๆอย่างไม่ยินดียินร้ายอ่ะไร ก่อนที่เธอจะก้มลงไปขุดดินร่วนๆตรงโคนรากโพธิ์ช้า และดึงเอาห่อผ้าไหมชั้นดีที่ห่ออะไรบางอย่างที่ยาวท่วมหัวขึ้นมาและเอาสะพายบ่าพร้อมกับพูดขึ้นเรียบๆอีกครั้ง

 

      " ...เอาเถอะ นี่ไม่ใช่เวลามาต่อความยาว อุษาที่ตามเป้าหมายอยู่ทิ้งห่างเรามาพอสมควรแล้ว...ข้าว่าคงถึงเวลาที่เราจะเริ่มตามสาวรอยที่ถูกทิ้งไว้ได้แล้วล่ะ "

 

        แต่สิงห์กลับส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับทรุดนั่งลงและตอบกลับมาเบาๆว่า

 

      " ยังก่อน...คอยท่าอีกสักพัก "   

 

      " หืม? ...แต่ว่ายิ่งคอยท่านาน ร่องรอยที่อุษาทิ้งไว้ก็ยิ่งเลือนรางลง จนยากที่จะสาวรอยได้ แม้แต่โดยข้ากับเจ้าก็เถอะ "

 

      " ก็เพราะทั้งข้าและเจ้าเป็นผู้สาวรอยนี่แหละ ที่ทำให้เราต้องหน่วงเวลาอีกสักพักน่ะ...เจ้าก็รู้เช่นเห็นชาติดีนี่ว่าจิตคุกคามของพวกเรามันเกินกว่าคนธรรมดา...ยิ่งสำหรับมือฉมังธนูนั่น...ถ้าหากสิ่งที่นาสตี้ส่งข่าวมาบอกพวกเราเป็นจริง...ยัยนั่นก็อาจจะกระสาถึงตัวตนของพวกเราได้ในระยะไกลลิบด้วยซ้ำ "

 

        ศกุนตลาเหลือบสายตาที่ดำสนิทราวกับขนนกกาน้ำของเธอมองมาที่ชายหนุ่มเล็กน้อยอย่างประเมินค่าคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนที่ในที่สุด เธอจะถอนหายใจเฮือกและอดพูดขึ้นเบาๆไม่ได้

 

      " เจ้าโตขึ้นนะ สิงห์ "

 

      " หึๆ ข้ารู้ว่านั่นไม่ใช่คำชม เพราะฉะนั้นต่อให้คนพูดเป็นเจ้าข้าก็ไม่ดีใจหรอก "

 

      " ...ก็ไม่ได้ชมเสียหน่อย "  หญิงสาวถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเปลี่ยนเอาห่อผ้าไหมที่ห่ออะไรบางอย่างที่ยาวท่วมหัวมาวางไว้บนตัก ก่อนจะพูดเรียบๆอย่างเป็นการเป็นงานอีกครั้งว่า

 

      " เจ้ารู้ใช่ไหม? สิงห์...ว่าหลังจากภารกิจล้มเหลว โดยปรกติของมือสังหาร...มือฉมังธนูนั่นจะต้องกลับไปรวมกับต้นสังกัดเพื่อรับคำสั่งต่อไป นี่เป็นโอกาสเดียวที่เราจะสืบสาวรอยเพื่อหาที่มาของมือสังหารเถื่อนที่ใช้ตราสัญลักษณ์เฉกเช่นเดียวกับเราได้ "

 

      " หืม? ข้าหูฝาดไปรึเปล่าเนี่ย? คนอย่างเจ้าใช้คำว่า เรา ได้อย่างสนิทปากตั้งแต่เมื่อใดกัน? "

 

      " เฮ้อ...ที่ข้าพูดว่าเจ้าโตขึ้นน่ะ เจ้าลืมมันไปเสียนะ...ทั้งๆที่ข้ากำลังพูดเรื่องสำคัญแท้ๆ "  

 

      " ฮ่าๆๆ เอาน่าๆ เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ กังวลไม่เข้าท่า ภารกิจนี้ก็เป็นเหมือนภารกิจที่ผ่านๆมานั่นแหละ "

 

        สิงห์หัวเราะเบาๆพร้อมกับทำท่าจะเอนตัวลงนอนเอกเขนกเอาหลังพิงโคนโพธิ์ใหญ่ด้านหลัง แต่เขาก็ชะงักกึกพร้อมกับนิ่วหน้ากัดฟันวูบ แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเขาก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปรกติอย่างรวดเร็ว...แต่ความเร็วชั่วเสี้ยววินาทีนั้นก็ไม่อาจจะรอดพ้นสายตาของหญิงสาวผู้มีดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวนี้ไป...ศกุนตลาเหลือบมามองชายหนุ่มพร้อมกับพูดเบาๆทันที  

 

      " แผลซี่โครงหักของเจ้าเวลานี้เป็นอย่างไรบ้าง? "

 

      " ห...หืม? โอ้โหเฮะ ผีเข้ารึเปล่าเนี่ย? เจ้าถามอาการบาดเจ็บของข้าด้วยความห่วงใยอย่างนั้นหรือนี่? "

 

      " ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ ก็ต้องถือว่าเจ้าโง่เต็มทนแล้วล่ะ...ข้าเพียงแค่ไม่อยากจะทำให้ภารกิจที่ท่านผู้เฒ่ากำชับมาโดยตรงต้องมาพินาศยับเยินเพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีโง่ๆ...ความขี้โอ่ไม่ประมาณตนของเจ้าเท่านั้น "

 

      " อื้อหือ...รู้สึกเจ้าจะพูดเก่งขึ้น...และแสบขึ้นกว่าสมัยที่เราเจอกันเป็นครั้งแรกชนิดเทียบกันไม่ติดเลยนะ "

 

        สิงห์อดเอ่ยหยอกล้อหญิงสาวที่มีสีหน้าเรียบสนิทปานหินปักหลุมศพที่ทรุดลงนั่งอยู่ข้างๆเขาไม่ได้ ก่อนที่เขาจะหันสายตาไปเหม่อมองดวงอาทิตย์ที่เริ่มทอแสงแรงกล้าขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่ในที่สุด เขาจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆอีกครั้ง

 

      " อย่าห่วงเลย...ศกุนตลา...ข้าจะไม่ตายหรอก ข้าให้สัตย์สัญญาเลย "

 

      " หืม? "

 

      " เพราะข้าเกลียดน้ำตาอย่างไรล่ะ...ถ้าหากข้าตายขึ้นมาจริงๆ ข้าก็คงจะทนเห็นเจ้าเสียน้ำตาให้กับการตายของข้าไม่ได้แน่ "

 

        ศกุนตลาเลิกคิ้วข้างที่ไม่ถูกปิดบังด้วยหน้ากากยักษ์เล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาอันดำสนิทใต้คิ้วบางนั้นจะอ่อนแสงลงเล็กน้อยพร้อมกับที่ริมฝีปากบางเฉียบนั้นจะขยับขึ้นเป็นเหมือนกับรอยยิ้มเพียงชั่วเสี้ยววินาที...หญิงสาวโคลงหัวช้าๆพร้อมกับพูดเรียบๆว่า

 

      " อย่าห่วงไปเลย...ถ้าหากเจ้าอ่อนแอจนต้องตายเพราะภารกิจนี้ ข้าคงจะเสียน้ำตาให้กับเจ้าไม่มากนักหรอก "

 

       ' แต่ก็ยังคงเสียน้ำตาให้...ทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะพูดว่า *คงไม่เสียน้ำตาให้หรอก* หรือไม่ก็เมินไปเลยด้วยซ้ำแท้ๆ '  สิงห์คิดในใจพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้พร้อมกับตอบเบาๆ

 

      " ฮ่าๆๆๆ เออ ข้าขอมแพ้เจ้าแล้ว ศกุนตลา "

 

 

        เมื่อเห็นพ้องต้องกัน สุดยอดมือสังหารทั้งสองคนก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไรกันแม้แต่น้อย เพราะไม่มีความจำเป็นใดๆทั้งสิ้น...ทั้งสิงห์และศกุนตลาต่างรู้ดีว่าภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด...ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นภารกิจสังหารอย่างที่แล้วๆมา แต่ความเสี่ยงของภารกิจนี้ก็ไม่ได้น้อยลงเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าผู้ที่รอมือรับฉมังธนูนี่อยู่จะมีความเก่งกาจ หรือมีจำนวนมากมายเพียงใด...และที่สำคัญที่สุด...นี่อาจจะเป็นครั้งแรก...ที่พวกเขาจะต้องปะทะกับผู้ที่เป็น มือสังหาร เฉกเช่นเดียวกับพวกเขาก็เป็นได้

 

      " เอาล่ะ ข้าว่าเราหน่วงเวลาอย่างที่เจ้าบอกมาพอสมควรแล้วนะ ท่านหัวหน้าสิงห์ "  ในที่สุด ศกุนตลาก็เอ่ยขึ้นเรียบๆพร้อมกับลุกขึ้นและปัดเศษฝุ่นออกจากชุดอันรัดกุมของเธออย่างช้าๆ ในขณะที่สิงห์เหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยและหัวเราะเบาๆให้กับคำพูดกระทบกระเทียบอันหาได้ยากจากปากของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเบาๆพร้อมกับกระโดดลุกขึ้นยืนและพยักหน้ารับทันที

 

      " ถูกของเจ้า...ศกุนตลา...ถึงเวลาของเราแล้ว "

 

      " ดี...อย่างนั้นก็ไปกันเลย...เราไปลงนรกด้วยกัน! "

 

 

 

 

.....................................................

 

 

 

 

     ...การสาวรอยตามร่องรอยที่มือสังหารนามว่าอุษาทิ้งไว้นั้นออกจะค่อนข้างง่าย ต่อให้สิงห์และศกุนตลาทิ้งช่วงเวลามาเกือบ ๕ นาทีเช่นนี้ก็ตาม เพราะอุษาที่ทำหน้าที่เป็นคนนำทางใช้รองเท้าที่พื้นฉลุลายเป็นสัญลักษณ์พิเศษเอาไว้ ที่จะทิ้งร่องรอยบางๆเอาไว้กับพื้นดินที่เธอเหยียบผ่านทุกครั้ง ทั้งหญิงสาวก็ฉลาดพอจะเลือกสะกดรอยอีกฝ่ายไปพร้อมกับเหยียบทิ้งสัญลักษณ์ไว้บนพื้นที่อ่อนนุ่มทว่าออกเหนียวเล็กน้อยอย่างพื้นดินชื้นๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะทิ้งช่วงไปหลายนาทีก็ยังพอจะสามารถแกะรอยได้ด้วยตาเปล่า อย่าว่าแต่ผู้ใช้สัตว์สมิงที่มีประสาทสัมผัสเฉียบคมราวกับสัตว์เดรัจฉานอย่างสิงห์หรือศกุนตลาเลย...เพราะจากเท่าที่พวกเขาเห็น...แบบนี้มันเหมือนกับมีป้ายขนาดใหญ่เชิญให้ติดตามไปอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว...

 

       สิงห์เหลือบสายตาสีเข้มของเขากวาดมองไปที่ทางด่านรอบๆ ที่เวลานี้เริ่มขรุขระทุรกันดารขึ้นและผู้คนที่บางตาน้อยลง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับตัดสินใจถอดเศษผ้าที่ขมุกขมอมและกลิ่นเหม็นราวกับผ้าห่อศพ(อย่างที่ยัยศกุนตลาว่า) ที่พันปิดบังหน้าตาของเขาไว้ออกเพราะคิดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังตัวตนอีกแล้ว ในขณะที่ศกุนตลาแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าที่ฉายแดดแรงกล้าราวกับมองดูอะไรบางอย่างที่คนธรรมดาไม่อาจจะมองเห็น โดยปล่อยให้หน้าที่หมาล่าเนื้อสาวรอยเป็นของชายหนุ่มไป ก่อนที่ในที่สุด หญิงสาวจะพูดขึ้นเบาๆว่า

 

      " เร็วหน่อยก็ดีนะ สิงห์ ข้าว่ากลิ่นมันชักจะไม่ค่อยดีแล้ว "

 

      " หืม? "

 

      " อุษาหยุดสาวรอยแล้ว...ที่ใดที่หนึ่งข้างหน้าเราไม่เกิน ๓-๔ นาทีนี้แหละ "

 

      " เจ้ารู้ได้อย่างไร?...เอ่อ...เรื่องรู้ได้อย่างไรน่ะช่างเถอะ เอาเป็นว่าขอเปลี่ยนคำถามว่าเจ้าแน่ใจแล้วหรือ? "  สิงห์ที่ยังคงก้มหน้าก้มตามองพื้นเพื่อสาวรอยตามรอยเท้าของอุษาถามกลับเบาๆ โดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง ในขณะที่ศกุนตลาหรี่ตาลงและพยักหน้าน้อยๆ โดยไม่พูดอะไร จึงทำให้มือสังหารหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที

 

      " ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลก...ถึงข้าจะไม่ได้มีความคิดอ่านที่ละเอียดลอออย่างท่านผู้เฒ่าก็เถอะ แต่ถ้าหากเป็นเช่นที่เจ้าว่าจริงมันก็ออกจะน่าแปลกเกินไปแล้ว ที่มือสังหารที่หนีคดีอุกฉกรรจ์มาเพื่อพบเจอกับพวกเดียวกัน จะมามีจุดนัดพบที่ใกล้กำแพงเมืองพระนครเช่นนี้...นี่อย่าว่าแต่พวกกรมการเมืองหรือกรมพระตำรวจจะหาไม่เจอเลย...แบบนี้แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาๆก็อาจจะมาเจอได้ด้วยซ้ำ "

 

      " ...พูดอะไรของเจ้า...เราเองก็เคยหลบหนีการตามล่าของทางกรมพระตำรวจในภารกิจครานั้นด้วยการหลบซ่อนกบดานอยู่ในพระอุโบสถวัดร้างที่อยู่ใกล้ๆกับกำแพงเมืองอินทร์เลยนี่ จะว่าไปนั่นก็แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ใต้จมูกพวกกรมพระตำรวจเลยด้วยซ้ำ "  หญิงสาวพูดเรียบด้วยสีหน้าตายด้านเช่นเดิม ในขณะที่เมื่อได้ยิน ชายหนุ่มถึงกับหันควับกลับมาพร้อมกับแยกเขี้ยววับทันที

 

      " ปัดโธ่ ที่พูดออกมานี่ประชดหรือว่าจริงจังเนี่ย...เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเรากำลังพูดถึงอโยธยา...ราชธานีอโยธยา ศรีรามเทพนคร...ไม่ใช่หัวเมืองชั้นตรีอย่างเมืองอินทร์นั่น ...ทำเช่นนี้มัน--- "  สิงห์ยังพูดได้ไม่ทันจบดี ทั้งเขาและศกุนตลาก็ได้ยินเสียงคำราม โฮก ! ของเสือสมิงอาถรรพ์ตัวใดตัวหนึ่งใต้อาณัติของสิงห์ คำรามดังสนั่นจนเขาถึงกับต้องสะดุ้งโหยง ในขณะที่ศกุนตลาเงยหน้าขึ้นไปบนอากาศราวกับกำลังสูดกลิ่นอายพร้อมกับตวาดลั่นทันที

 

      " ...ที่แนวชายป่าด้านหน้า! มายาของเจ้าปะทะกับกลุ่มมือสังหารพรรคพวกของมือฉมังธนูหลบหนีนั่นแล้ว!! "

 

 

 

..............................................

 

 

 

 

     ...ย้อนกลับมาที่จวนของออกพระเพชรพิไชย ห้องรับรองของเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...

 

     ...หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าออกไปจากห้องเพราะมีราชการลับอะไรบางอย่างต้องไปเข้าเฝ้าพ่ออยู่หัวทั้งสอง ...ชายหนุ่มก็นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระต่างๆอยู่กับมือสังหารสาวอันดับหนึ่งผู้เป็นลูกสาวบุญธรรมของท่านผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้าน แต่แล้วทั้งเขาและอนาสตาเซียก็ต้องชะงักกึกพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะหูของพวกเขาเหมือนกับได้ยินเสียงเอะอะผิดปรกติที่ใต้ถุนเรือนด้านล่าง ราวกับพวกคนรับใช้ประจำจวนกำลังวิ่งออกไปต้อนรับใครบางคนที่อยู่ๆก็มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่เสียงเหล่านั้นจะเงียบไปพร้อมๆกับที่เสียงไม้บนเรือนลั่นเบาๆเหมือนกับมีใครบางคนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูของห้องของเขา นั่นทำให้ไกรหันกลับมามองหน้าอนาสตาเซียเล็กน้อยเหมือนกับจะเตือนให้หญิงสาวหลบไป แต่หญิงสาวยักไหล่เบาๆแทนคำตอบเป็นเชิงว่าเธอไม่จำเป็นต้องหลบอะไร นั่นทำให้ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างงงๆ  แต่เวลานั้นเขาไม่มีเวลาให้คิดมาก เขาจึงได้แต่ร้องออกไปให้คนที่ยืนรออยู่ภายนอกได้ยินเบาๆว่า

 

      " ผู้ที่รออยู่ด้านนอกน่ะ เข้ามาภายในนี้เถอะ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันหรอก... "

 

        ปัง! 

 

        ทันทีที่ไกรพูดจบ...หรือจะให้พูดให้ถูกคือเขายังพูดประโยคคำสุดท้ายไม่จบดีด้วยซ้ำ บานประตูไม้ใหญ่ด้านหน้าก็ถูกเปิด หรืออีกนัยหนึ่งคือกระแทกออกอย่างแรงพร้อมๆกับที่ชายหนุ่มทั้งสองที่ไกรรู้จักดีเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบราวกับเกิดเรื่องอะไรขึ้นทันทีชนิดที่แทบไม่มีความเกรงอกเกรงใจอย่างที่ไกรเอ่ยปากออกไปจริงๆ นั่นทำให้ไกรถึงกับถอนหายใจเฮือก พร้อมกับหันกลับไปพูดกับหญิงสาวที่นั่งหัวเราะคิกๆ อยู่ตรงอีกฟากของหน้าต่างทันที

 

      " เฮ้อ...นี่ขนาดอยู่จวนท่านออกพระฯ ไม่ใช่จวนของข้าแท้ๆ...นี่ถ้าเกิดจวนของข้าจริงๆสร้างเสร็จขึ้นมา พวกนี้ไม่มีหวังถีบประตูไปหาข้าเลยรึไงเนี่ย? "

 

      " ยังจะมีอารมณ์พูดเล่นพูดหัวอีกนะขอรับ...ท่านไกร! "  หลวงยกกระบัตรเมืองตาก หรือสิน หนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาของเขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดเป็นเชิงว่ากล่าวดังๆทันที โดยที่แทบไม่ได้สนใจหญิงสาวชาวตะวันตกอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่อย่างผิดที่ผิดทางในห้องนี้เลยด้วยซ้ำ  ทำเอาไกรถึงกับขมวดคิ้ว เพราะสินที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ จึงไม่ควรจะรู้เรื่องอะไรด้วยเลยแท้ๆ แต่เขาก็ต้องบางอ้อทันทีเมื่ออดีตพระยาเพชรบุรีหรือเรือง ...หนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาอีกคนที่เดินตามเข้ามาติดๆ...เรืองเหลือบไปมองหญิงสาวแปลกหน้าที่นั่งห้อยขาอยู่ที่หน้าต่างเล็กน้อย ก่อนจะหักลับมาและเอ่ยพูดไขข้องสงสัยในสีหน้าของไกรเบาๆว่า

 

      " ข้าเป็นคนบอกเล่าเรื่องราวเมื่อคืนให้กับมันฟังเองนั่นแหละขอรับ "

 

      " เล่าว่า? "

 

      " อ้าว? ก็เล่าความจริงน่ะสิ...ความจริงที่ว่าเมื่อคืน ท่านได้ปะทะกับมือฉมังธนูที่เราทั้งสามคมเคยต้องหลบหัวซุกหัวซุนที่โรงเตี๊ยมนั่น และเกือบจะพลาดท่าเสียทีจนข้าต้องส่งกุมารีทั้งสองของข้าไปช่วยเหลืออย่างไรล่ะขอรับ "  เรืองตอบกลับมาด้วยสีหน้าตายด้านไร้ความรู้สึก แต่ก็ลอบขยิบตาเป็นสัญญาณให้กับไกรเล็กน้อย นั่นทำให้ไกรถึงกับต้องขมวดคิ้วและหันกลับไปสบตาสีฟ้าจรัสของอาสตาเซียที่มองมาอยู่ก่อนแล้วทันที

 

       ' ...ท่านพระยาเพชรบุรีช่วยปิดบังให้เรา...ไม่สิ ปิดบังให้องค์หญิงต่างหาก...เพราะท่านเรืองเองที่เป็นระดับเอกอุในสายจอมขมังเวทย์ก็น่าจะรับรู้เกี่ยวกับกระแสพลังอาถรรพ์ของเหล่าอสูรที่ถูกอัญเชิญมาอยู่แล้ว เลยให้ลูกแก้ว-ลูกขวัญมาช่วยเรา...แต่ว่า...ทำไมล่ะ? '  ชายหนุ่มคิดในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะแกล้งทำเป็นถอนหายใจเฮือกและรับมุกต่อจากที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างแนบเนียนจนสินไม่อาจจะจับพิรุธใดๆได้ และพูดต่อทันที

 

      " เฮ้อ...ท่านนี่มัน ปากสว่าง---ไม่สิ...คงต้องใช้คำว่า ฆ้องปากแตก แท้ๆเลยนะ ท่านเรือง "  ชายหนุ่มอดหันไปขมวดคิ้วพร้อมกับบ่นเบาๆใส่อีกฝ่ายไม่ได้ ในขณะที่อีกฝ่ายยักไหล่เล็กน้อยพร้อมกับตอบกลับมาเบาๆเช่นกันว่า

 

      " ก็ข้าบอกท่านแล้วว่าคนอย่างข้าต้องถือสัจจะเป็นสำคัญ...เมื่อยกกระบัตรเมืองตากเข้ามาถาม ตัวข้าก็ไม่อาจจะตอบหลบเลี่ยงหรือปฏิเสธใดๆได้ "

 

      " ก็เลยเล่าความจริงไปหมดทั้งดุ้นเลย ว่างั้นเถอะนะ?! "

 

      " ...ใช่แล้วล่ะ...หืม? ฟังจากน้ำเสียงท่านนี่มันเหมือนกับประชดชอบกลเลยนะขอรับ "

 

      " ก็ประชดน่ะสิเฟ้ย! "  ไกรขู่ฟ่อพร้อมกับแยกเขี้ยววับ ก่อนจะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือก...ในที่สุดเขาก็ใช้นิ้วนวดสันจมูกเบาๆพร้อมกับเริ่มพูดขึ้นอีกครั้งว่า

 

      " เฮ้อ...ต่อให้ข้าไม่พูด ท่านทั้งสองก็คงจะทราบแน่แก่ใจนะ ว่าเรื่องนี้ต่อให้ตายก็ต้องปิดไว้เป็นความลับ...ห้ามแพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้โดยเด็ดขาดน่ะ "

 

        คำพูดของชายหนุ่มทำให้สินและเรืองหันไปมองหน้ากันเองเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะพยักหน้ารับเบาๆทันทีโดยที่แทบไม่ต้องคิดอะไรมากมายเลย

 

      " ข้าไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว ท่านก็รู้...ยิ่งโดยเฉพาะกับเรื่องที่เป็นเหมือนกับเรื่องโกหกอย่างมีผู้ร้ายบุกเข้าไปได้ถึงเขตราชฐานชั้นในนี่ยิ่งแล้วใหญ่...ต่อให้พูดไปก็คงจะไม่มีใครเชื่อและหาว่าข้ากลายเป็นบ้าใบ้ไปเสียเปล่าๆ ...ส่วนท่านมันก็กระทำการได้อย่างบ้าบิ่นเกินไป...เคราะห์ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านรอดมาได้โดยมีบาดแผลเพียงแค่ที่ไหล่แค่นี้ "

 

      " ส่วนข้าถึงจะถือสัจจะเกี่ยวกับศีลมุสาเป็นสำคัญก็จริง...แต่นอกจากสินนี่แล้วก็คงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาถามเรื่องที่เสี่ยงติดคุกติดตารางนี้อย่างตรงๆเช่นนี้แน่ เพราะฉะนั้นโปรดอย่าห่วงไปเลย "

 

      " ...สนิทกันเร็วดีจริงๆนะ ทั้งสองคนนี่ "

 

      " เฮ้อ...ก็รู้อยู่หรอกนะว่าท่านพูดหยอกข้าเล่น ท่านไกร...แต่ขอล่ะ...ใครมันจะอยากไปสนิทกับไอ้กบฏที่พยายามจะลอบปลงพระชนม์พ่ออยู่หัวกัน "  สินพูดเรียบๆ โดยไม่หันไปมองอีกฝ่าย ในขณะที่อดีตพระยาเพชรบุรีชักสีหน้าเล็กน้อยทันที แต่เขาก็เลือกที่จะเสไปมองอีกทางนึงโดยไม่คิดจะไปต่อความยาวสาวความยืดอะไรแทนด้วยความที่เป็นผู้ที่อาวุโสกว่าทั้งทางวัยวุฒิและความคิดอ่าน นั่นทำให้ไกรได้แต่หัวเราะออกมาแห้งๆ  ก่อนที่ในที่สุดชายหนุ่มจะลุกขึ้น และก้มหัวให้กับเรืองเล็กน้อยพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

      " เอาเถอะ...ถึงอย่างไรเสียข้าก็ต้องขอบคุณท่านและ ลูกแก้ว-ลูกขวัญ กุมารีใต้อาณัติของทานจากใจจริง...ถึงแม้ว่าจะมาช่วยเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็เถอะ แต่ถ้าหากไม่ได้เด็กทั้งสองคน ข้าเองก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะยื้อได้ถึงขนาดนั้น และบาดเจ็บเพียงแค่เฉียดๆแค่นี้รึเปล่า...ขอบคุณจริงๆ "  

 

        คำขอบคุณที่ออกมาจากใจจริงของไกรถึงกับทำให้เรืองและสินต้องหันกลับไปมองหน้ากันเองอย่างงุนงงทันที เพราะตั้งแต่เกิดมาจนถึงเวลานี้ พวกเขายังไม่เคยเห็นผู้บังคับบัญชาคนใดเอ่ยขอบคุณผู้ใต้บังคับบัญชาจากใจจริงและสำนึกนอบน้อมเช่นนี้มาก่อน อย่างมากสุดก็เป็นเพียงการของอกขอบใจกันตามมารยาทเท่านั้น  ต่อให้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเพียงใดก็ตาม...นั่นทำให้เสือยิ้มยากอย่างเรืองอดยิ้มเพื่อรับคำขอบคุณนั้นออกมาไม่ได้  

 

      " ท่านไกร...ท่านไม่ควรจะขอบอกขอบใจผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านถึงขนาดนี้...ท่านจะทำให้ใครบางคนเหลิงเอาซะเปล่าๆ...ทั้งคนประเภทนี้มันหางคดเป็นสุนัขจิ้งจอก...ต่อให้ท่านปรนเปรอมันด้วยยาหอมแค่ไหนก็ไม่ทำให้หางมันตรงขึ้นมาหรอก "   แต่คำพูดประโยคถัดมาที่ออกมาจากปากของหลวงยกกระบัตรเมืองตากก็เบรกเรืองจนหัวทิ่ม...ทำให้ชายหนุ่มหุบยิ้มลงกลายเป็นหน้าบึ้งตึงทันทีเช่นกัน

 

      " เจ้าน่าจะหัดเรียนรู้และจดจำความสุภาพของท่านไกรเป็นแบบอย่างบ้างนะ...ถึงข้าจะไม่คิดว่าเจ้าจะก้าวหน้าในงานราชการจนกลายเป็นเจ้าคนนายคนอย่างท่านไกรก็เถอะ "

 

      " จ...เจ้า! ข้าไม่จำเป็นต้องให้คนอย่างเจ้ามาสั่งมาสอนหรอก! ข้ารู้ดีว่าอะไรเป็นกงจักร อะไรเป็นดอกบัวน่า!! "

 

      " เฮ้อ...สนิทกันเร็วดีจริงๆเลยนะ "

 

      " ไม่สนิทกันเฟ้ย! / ขอรับ!! "

 

        หลังจากรับบทเป็นกรรมการบนเวที สั่งแยกรายการฟาดปากเล็กๆน้อยๆระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง (ที่จะกลายเป็นตำนานที่ถูกจารึกชื่อไว้ในพงศาวดารทั้งคู่)  เสร็จสิ้น  ไกรก็อ้าปากหาวออกมาเล็กน้อยอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมทั้งเอ่ยถามทั้งสองขึ้นเบาๆว่า

 

      " เอาเถอะ...หวังว่าเจ้าคงจะไม่แหกขี้ตาตื่นมาหาข้าเพียงเพราะเรื่องไอ้มือฉมังธนูนั่นแค่นี้หรอกใช่ไหม? ท่านเรือง...สิน...เพราะข้าเองถ้าไม่นับความเหนื่อยอ่อนจากบาดแผลที่ไหล่นี่...ข้าเองก็ไม่ได้นอนมาเกือบจะหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆพอดิบพอดีแล้ว...เพราะฉะนั้น...ก่อนที่ความเหนื่อยล้าจะทำให้ข้าฟังอะไรไม่รู้เรื่องไป...มีเรื่องอะไรอีกก็เข้าเรื่องมาเลย... "

 

        คำพูดกึ่งๆคำสั่งกึ่งๆขอร้อง แถมยังเจอไปด้วยกระแสของความหยอกเย้าเล่นของไกรทำให้ทั้งสองหันไปมองหน้ากันเองอีกครั้ง ก่อนที่จะหัวเราะให้กับมุกของเจ้าพระยาหนุ่มเบาๆ ในขณะเรืองพยักหน้าเป็นเชิงให้สินเป็นคนพูดแทน ซึ่งสินเองก็ไม่ปฏิเสธ...หลวงยกกระบัตรหันมาหาไกรพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆว่า

 

      " ก็ไม่เชิงว่ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรอกนะ...ท่านไกร ข้าเพียงแค่จะมาชักชวนท่านไปชมกระบวนทัพ ที่พ่ออยู่หัวทรงบัญชาให้ไปขัดตาทัพพระเจ้าอลองพญาที่ทิศใต้ ตรงด่านสิงขร...เพื่อยื้อเวลาให้กองทัพทั้งสองที่ถูกหลอกให้ไปขัดตาทัพที่ด่านเจดีย์สามองค์กับกาญจนบุรีลงมาที่เมืองหลวงได้ทันน่ะขอรับ "

 

        คำพูดแบบเรื่อยๆ ไม่ได้จริงจังอะไรนักของหลวงยกกระบัตรเมืองตากกลับทำให้ไกรที่กำลังมีอาการง่วงงุนถึงกับตาสว่าง เบิกโพลงขึ้นจนแทบจะถลนทันที...ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นไปรินกาแฟดำที่เวลานี้เหลือความร้อนเพียงอุ่นๆขึ้นมาจนแทบล้นแก้วและดื่มพรวดลงคอเพื่อถ่างให้ตาสว่างขึ้นทันที...ชายหนุ่มพ่นลมหายใจเพื่อไล่ไอร้อนออกจากปากและหันกลับมาหาสินพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นเรียบๆทันที

 

      " สิน...ขอโทษทีนะที่ต้องถามอะไรแปลกๆ...แต่ข้าขอถามเสียหน่อยเถอะ...ไอ้กระบวนทัพฉุกละหุกที่เจ้าว่านี่ มีการจัดกระบวนทัพเช่นใด...และมีผู้ใดร่วมทัพไปบ้าง? "

 

        คำถามที่ออกจะแปลกจริงๆของไกรทำให้สินเลิกคิ้วเล็กน้อยทันที ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาตามที่เขารู้ว่า

 

      " ...ทัพฉุกเฉิน-ฉุกละหุกนี้สามารถเรียกรวมกำลังพลได้ประมาณ ๕ พัน...แบ่งออกเป็นสองทัพ...ทัพแรกให้เจ้าพระยายมราช จตุสดมภ์กรมเวียง ว่าที่สมุหนายกเป็นแม่ทัพ พระยาเพชรบุรีคนใหม่ที่มาแทนที่ไอ้คนที่ติดคุกข้อหากบฏนี่ไปเป็นทัพหน้า พระยาราชบุรีเป็นยกกระบัตร(๑)  พระยาสมุทรสงครามเป็นเกียกกาย พระธนบุรีและพระนนทบุรีเป็นกองหลัง...ส่วนอีกทัพที่เป็นทัพหนุนให้พระยารัตนาธิเบศร์...ว่าที่จตุสดมภ์กรมวัง เป็นแม่ทัพตามไปหนุนอีกทีขอรับ "

 

        รายชื่อของขุนนาง ข้าราชการที่ค่อนข้างจะเยอะเหลือเกินสำหรับทัพเล็กๆระดับทหารเพียง ๕ พันนายเช่นนี้ทำให้ไกรหน้าเคร่งลงพร้อมกับกัดฟันกรอดทันที...ไม่ใช่เพราะความตกใจในกองทัพที่มีขนาดเล็กเพียงแค่ ๕ พัน ที่จะต้องไปต่อกรกับพยุหยาตราทัพราว ๔ หมื่นเศษ (ไม่รวมทหารม้าอีกราวกว่า ๔ พันนาย) ของพระเจ้าอลองพญา...แต่ที่เขาตกใจและเครียดมากกว่า ก็เป็นเพราะรายชื่อขุนนางคนสุดท้ายที่จะไปเป็นแม่ทัพของทัพหนุนนี่แหละ...

 

     ...แม่ทัพที่มีนามว่าพระยารัตนาธิเบศร์...นักรบ ผู้ขึ้นชื่อว่ารบด้วยจิต รบด้วยใจ...แต่ดันรบทีไรไม่เคยได้ชัยชนะเลยซักครั้งเดียว!...

 

      " ไปกันเถอะ...สิน ท่านเรือง...พวกเราไปดูกระบวนทัพที่เจ้าว่ากัน! "  ชายหนุ่มตัดสินใจได้ในทันทีพร้อมกับสวมเสื้อแพรมหาดเล็กสีดำที่กลายเป็นเสื้อประจำหน่วยคเณศร์เสียงา (ที่เวลานี้มีเพียงแค่ ๓ คน) และพับผ้านุ่งกลายเป็นโจงกระเบน...ในขณะที่มือสังหารสาวเมื่อได้ยินว่าไกรจะออกไปข้างนอกกำแพงพระราชวังก็เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับโบกมือและพูดขึ้นอย่างยินดีทันที

 

      " ออกไปเที่ยวเล่นกันอย่างนั้นหรือ ไกร...ถ้าอย่างนั้นพาข้าไปด้วยสิ...ข้าอยากเห็นเมืองอโยธยาตอนกลางวันมานานแล้ว...ปกติมาทีไรก็มาทำภารกิจในยามวิกาลทุกทีไปเลย "

 

      " โห...นี่เจ้าคิดว่าข้าจะยอมอดตาหลับขับตานอนจนตาคล้ำเป็นหมีแพน---เออ ช่างเถอะ...ที่จะบอกคือข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่นนะเฟ้ย! ที่ข้าไปนี่ไปด้วยเรื่องงานล้วนๆ "  ไกรหันไปแยกเขี้ยวใส่ทันที ในขณะที่สินที่เหมือนกับพึ่งจะสังเกตเห็นถึงการมีตัวตนอยู่ของอนาสตาเซียก็เลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับมองมาที่ไกรและหญิงสาวชาวตะวันตกผู้นั้สลับไปมาๆ ๒-๓ ครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าของเขาทันที

 

      " ภรรยาของท่านไกรหรือขอรับ? "

 

        พรวด! 

 

        กาแฟดำที่เย็นชืดไปแล้วในปากของไกรดูเหมือนจะร้อนขึ้นอย่างกะทันหัน และลวกปากของชายหนุ่มจนเขาถึงกับพ่นพรวดออกมาทันที 

 

      " ม...ไม่ใช่เฟ้ย!! "

 

      " อ...อ้าว? ถ้าอย่างนั้นนางก็เป็นผีพรายที่ท่านเลี้ยงไว้นะสิ แปลกดีแฮะที่ท่านเลี้ยงผีพรายเป็นฝรั่งแขนลายเช่นนี้ได้เนี่ย "

 

      " นี่เจ้าถามเอาตลกใช่ไหมเนี่ย? ไมใช่อีกนั่นแหละเฟ้ย! "  ไกรตอบกลับอย่างเหนื่อยๆ ก่อนที่เขาเกาหัวเล็กน้อยและทำท่าจะแนะนำอนาสตาเซีย แต่ในเวลาปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้ทำให้เขาไม่สามารถคิดสร้างเรื่องเกี่ยวกับสถานะและตัวตนใหม่เกี่ยวกับหญิงสาวได้ จึงทำให้เขานิ่งไปเล็กน้อย...ประจวบเหมาะกับที่หญิงสาวกระโดดลงมาจากหน้าต่างและเข้ามาร่วมวงสนทนาพร้อมกับแนะนำตัวเองเบาๆทันที

 

      " ...ข้าชื่ออนาสตาเซีย...อนาสตาเซีย ซี.ฟอลคอน...หน่วยคเณศร์เสียงาคนใหม่ จ่าโขลนพิเศษเพียงคนเดียวที่ได้รับโองการแต่งตั้งขึ้นจากโอษฐ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดีโดยตรง...ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะเจ้าคะ "

 

      " หา?!! "

 

     

 

 

 

 ...........................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา