ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  109.97K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

65)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...ย้อนกลับมาที่ฝ่ายของสิงห์ที่เวลานี้เผ่นพรวดเข้ามาด้วยความเร็วราวกับลมพัด เพียงชั่วอึดใจเดียวเขาก็พุ่งมาหยุดยืนที่ลานหญ้าเล็กๆ ที่ลึกเข้ามาจากชายป่าที่เขาเคยยืนอยู่เล็กน้อยทันที...

 

     ...ลานหญ้า...ที่เวลานี้เต็มไปด้วยบุคคลที่น่าประหลาดที่สุดหลายต่อหลายคน...ไม่ว่าจะเป็นมือฉมังธนูสาวซึ่งเป็นเหมือนเป้าหมายที่พวกเขาปล่อยให้มาเป็นเหยื่อล่อ ที่เวลานี้ล้มลงก้นจ้ำเบ้าตัวสั่นเทาอย่างทำอะไรไม่ถูก...มือฉมังธนูสาว...ที่เวลานี้ถูกอารักขาอยางดีภายใต้คมมีดสั้นรูปร่างแปลกๆในมือของอุษา และคมเขี้ยวกับกรงเล็บเงาวับของเสือสมิงใต้อาณัติของสิงห์เองทั้ง ๓ ตัว...ในขณะที่ผู้ที่กำลังเผชิญหน้ากับอุษาและเสือสมิงตัวเท่าลูกม้าทั้ง ๓ ตัวนี้ เป็นกลุ่มคน ๔-๕ คนในชุดรัดกุมสีดำสนิทและโพกผ้าปิดบังหน้าตาไว้อย่างมิดชิดจนสามารถทำได้เพียงจำแนกอีกฝ่ายจากรูปร่างเท่านั้นว่าเป็นบุรุษ ๒ และสตรีอีก ๓  ที่เวลานี้ ๔ คนด้านหน้ายืนตั้งท่าเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับจิตคุกคามของมือสังหารและเสือสมิงทั้ง ๓ ตัวได้อย่างไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจเลยแม้แต่น้อย...ในขณะที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังออกไปกลับยังคงยืนกอดอกนิ่งโดยไม่ได้ตั้งท่าเตรียมพร้อมเพื่อรับแรงกดดันจิตคุกคามของอุษาและเสือสมิงทั้ง ๓ ของเขาเลยด้วยซ้ำ!...ซึ่งเป็นท่าทางที่ทำให้สิงห์ถึงกับต้องเลิกคิ้วดกหนาของเขาขึ้นสูงอย่างประหลาดใจทันที...

 

        ป...เป็นไปได้เหรอวะเนี่ย?!...ขนาดเขา หรือแม้แต่ศกุนตลาเองก็ใช่ว่าจะสามารถยืนนิ่งเป็นเสาหิน ต้านทานจิตคุกคามของมายา ชีวา และราตรี ที่แผ่พุ่งออกมาพร้อมๆกันจนเข้มข้นชนิดแทบเห็นเป็นสายนี้ได้เลยด้วยซ้ำนะ!...แต่ว่า...ไอ้พวกนี้มัน!...

 

      " ช้าจริง! สิงห์...ไปมัวเถลไถลที่ไหนมาล่ะเนี่ย!! พวกข้าเกือบจะแย่แล้วรู้หรือไม่! "  อุษาที่เวลานี้กำมีดสั้นไว้ในมือและย่อตัวลงในท่าเตรียมพร้อมตั้งรับเต็มที่เหลือบสายตาคมมาที่ไกรพร้อมกับตวาดเบาๆเป็นเชิงตำหนิ จนสิงห์ถึงกับแยกเขี้ยววับตอบกลับไปทันที

 

      " ใครจะไปนึกล่ะว่ามันจะหักแบบถึงเลือดถึงเนื้อถึงชีวิตกันเร็วถึงขนาดนี้...ว่าแต่ มัเกิดบ้าอะไรขึ้นล่ะเนี่ย!! "

 

        หญิงสาวยักไหล่เล็กน้อยโดยที่ดวงตาของเธอยังคงจ้องเขม็งไปที่กลุ่มชายหญิงชุดดำตรงหน้าเขม็งไม่วางตา ในขณะที่ปากก็ตอบกลับมาห้วนๆว่า

 

      " พวกมันซุบซิบคุยอะไรกันอยู่ครู่นึง ก่อนพยายามจะสังหารยัยมือฉมังธนูนี่ "

 

      " หา? เพราะเหตุใดล่ะ? "

 

      " เจ้าจะเร่งเอาคำตอบจากปากข้าให้ได้ในเวลานี้...หรือจะช่วยปกป้องนังนี่ก่อนตามคำสั่งของท่านผู้เฒ่าดีล่ะ!! "

 

        ไม่ทันขาดคำของอุษา จิตสังหารของบุรุษในชุดดำที่ยืนล้ำอยู่เบื้องหน้าสุดก็พุ่งสูงวูบอย่างกะทันหันจนสิงห์ต้องหันขวับกลับไปมอง แต่เขาก็เจนสนามมากพอดำรงท่าทีปกติอยู่ได้ ถึงแม้ว่าสัญชาติญาณดิบที่นอนก้นอยู่ภายในกายของเขาจะกระตุ้นให้เขากระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งก็ตามที...ชายหนุ่มก้าวล้ำออกมาข้างหน้าพร้อมกับปล่อยจิตคุกคามที่เหนือกว่าออกมาเพื่อข่มอีกฝ่ายทันที

 

      " ไม่ต้องเป็นห่วงไป อุษา...ข้ามาแล้ว...ไอ้พวกนี้ ไม่คณามือข้าหรอก! "

 

         โฮก!

 

         ไม่ทันขาดคำพูดของสิงห์ ชายหนุ่มในชุดรัดกุมสีดำนั้นก็คำรามลั่นด้วยเสียงราวกับสัตว์เดรัจฉานขนาดยักษ์พร้อมกับพุ่งเข้าใส่สิงห์ที่ยังคงยืนอยู่ในท่าสบายๆชนิดที่แทบไม่ได้ตั้งท่าป้องกันใดๆเลยด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ!

 

         แต่เสี้ยววินาทีนั้นเอง หญิงชุดดำที่ยืนอยู่หลังสุด และดูราศีหัวโจกจับที่สุดกลับยื่นมือเรียวยาวมาข้างหน้า ก่อนจะกำหมับราวกับคว้าอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นกลางอากาศ พร้อมกับกระชากดึงถอยหลังออกมาทันที!

 

        ปุ้ง! พรึ่บ!

 

        ร่างสูงใหญ่ของชายชุดดำที่กระโดดตัวลอยเข้ามาใส่สิงห์พร้อมกับกรงเล็บเงาวับทั้งสองข้างกลับถูกพลังบางอย่างที่เป็นเหมือนมือขนาดยักษ์ที่มองไม่เห็นคว้าจับไว้และกระชากลอยละลิ่วกลับไปทันที แทบจะพร้อมๆกับเสียงปังเบาๆที่ดังกังวานขึ้นจากเบื้องหลังสิงห์และอุษาไกลออกไป...การถูกกระชากกลับไปอย่างปัจจุบันทันด่วนและไม่น่าจะเป็นไปได้ของมันทำให้กระสุนปืนที่ถูกยิงจากมือของมือสุดยอดสังหารสาวนามว่าศกุนตลาที่ว่ากันว่าไม่เคยพลาดเป้าเลยกลับพลาดไปอย่างเหลือเชื่อจนสิงห์ที่ยืนอยู่ถึงกับสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที

 

     ...ไกลออกไป ที่เหนือยอดไม้ใหญ่ที่สูงที่สุดในละแวกอาณาเขตของชายป่าแห่งนี้...

 

      ' หืม...จริงหรือนี่? '

 

        มือสังหารผู้เป็นนักแม่นปืนสาวนามว่าศกุนตลาที่นั่งชันเข่าพิงคาคบไม้ใหญ่ถึงกับเลิกคิ้วบางๆของเธอเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ก่อนที่เธอจะโยนปืนคาบศิลาที่วางพาดเข่าและยังมีควันกรุ่นลอยออกมาจากปากกระบอกปืนที่ถูกสวมไว้ด้วย กล้องเก็บเสียงรุ่น ๒.๐ โดยท่านโคลัมบัส ท่านออเลนลาน่า และไกร (ชื่อชั่วคราว)  ทิ้งอย่างไม่ใยดี พร้อมๆกับที่มืออีกข้างหันกลับไปคว้าปืนคาบศิลาหนึ่งในหลายๆกระบอก ที่เธอสะพายใส่ถุงผ้าไหมขนาดใหญ่มาและวางพิงลำต้นไม้อยู่เป็นตับขึ้นมาวางบนเข่าประทับขึ้นบ่าอย่างรวดเร็วทันทีโดยที่แทบจะไม่ยอมเสียเวลาให้กับความคิดตัวเองด้วยซ้ำ

 

      ' เอาเถอะ...ถึงจะไม่เคยเจอมาก่อนแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้...อีกทั้งเราเองก็ไม่ได้ใช้ ศรพลายวาต และไม่ได้อยู่ในระยะที่ไกลที่สุดจนต้องใช้ ดวงตา ฟากที่สวมหน้ากากอยู่อึกด้วย...แต่ว่า...ถ้าเป็นการยิงเน้นความต่อเนื่องมากกว่าความแม่นยำและการสังหาร...แบบนี้แหละ ดีที่สุดแล้ว '

 

 

      " ม...มือฉมังปืน! "  ชายฉกรรจ์ในชุดดำที่หากไม่ได้พลังอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นกระชากกลับมาคงจะล่องจุ๊นไปโลกหน้าแล้วถึงกับตวาดลั่นอย่างตกใจ ในขณะที่คนอื่นที่เหลืออีก ๓ คนยกอาวุธรูปร่างแปลกๆในมือขึ้นตั้งรับพร้อมกับสอดส่ายสายตาไปรอบๆเพื่อค้นหานักแม่นปืนที่ซ่อนซุ่มอยู่ทันที...แต่สายตาของสิงห์กลับแทบจะไม่มองพวกมันเลย...ดวงตาสีเหล็กของเขาจับจ้องเขม็งไปที่สตรีชุดดำที่ยืนอยู่เบื้องหลังสุดไม่วางตา ก่อนที่ปากจะแสยะเป็นรอยยิ้มเครียดๆพร้อมกับพูดขึ้นเรียบๆว่า

 

      " หึ...ทำตนราวกับเป็นแมงมุมอันน่าขยะแขยงที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเงามืด...บ้านเจ้าคงจะเปิดกิจการโรงละครหุ่นกระบอกเป็นแน่แท้เลยใช่หรือไม่? "

 

      " มึง! "  

 

        คำพูดเชิงเยอะเย้ยถากถางของสิงห์ทำเอาผู้ที่ยืนล้ำหน้าอยู่ ๔ คนถึงกับตาลุกวาวพร้อมกับตวาดออกมาทันที...มีเพียงหญิงสาวในชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด และน่าจะเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตชายผู้จะเข้ามาจู่โจมสิงห์เท่านั้น ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่...นิ่ง...ยิ่งกว่าหินผาที่ไม่อาจจะผลักให้เคลื่อนได้...เธอเพียงยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับจ้องเขม็งไปยังทิศทางของวิถีกระสุนปืนที่ถูกยิงมาเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและเอ่ยขึ้นเรียบๆว่า

 

      " ก็คิดไว้แล้วว่านังนี่สามารถหนีออกมาได้อย่างง่ายดายจนน่าแปลก...แต่ไม่นึกเลย...ว่านี่เป็นเหยื่อล่อของหมู่บ้านยุคันตวาต...นึกไม่ถึงจริงๆ "

 

      " รู้จักหมู่บ้านยุคันตวาต...รู้จักหมู่บ้านของพวกเราได้อย่างไรกัน? "  อุษาที่เวลานี้ยืนคุมเชิงอยู่เบื้องหลังสิงห์เอ่ยขึ้นเบาๆอย่างงงงวย ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆออกมาให้กับคำถามนี้ทันที

 

      " พวกเรารู้มากกว่าที่เจ้าคิดไว้ก็แล้วกัน... "

 

      " จ...เจ้า! "

 

      " ท่านหญิง "  หนึ่งในสตรีชุดดำที่ยืนล้ำอยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้นเบาๆเหมือนกับรอให้หญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนกลุ่มนี้เอ่ยคำสั่งออกมา...เพียงคำเดียวเท่านั้น...พวกเธอก็พร้อมจะเข้าตะลุมบอนแลกชีวิตทันที...โดยไม่สนด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเก่งกล้าสามารถเพียงใด! 

 

        เพียงแต่หญิงสาวผู้เป็นหัวหน้ากลับหลับตาลงและส่ายหน้าช้าๆ

 

      " พวกเราถอยกลับกันเถอะ "

 

      " ท่านหญิง!! "

 

      " ...ลำพังพวกเจ้า ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะสามารถต่อกรกับเสือสมิงอาถรรพ์ทั้ง ๓ พร้อมกับไอ้ปิศาจที่เป็นนายของมันอย่างเจ้านั่นได้หรอก...ยังไม่นับนักแม่นปืนที่ข้ายังแทบจะจับจิตคุกคามและตัวตนไม่ได้อีก ...อย่างไรเสียภารกิจหลักของเราก็บรรลุแล้ว...เรารู้แล้วว่าตำนานของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง  เป็นเรื่องจริง...ไม่ใช่เรื่องที่มดเท็จหรือเป็นตำนานเพ้อฝัน...แค่นั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว...นังนั่นจะดับดิ้นหรือจะมีชีวิตอยู่รอดนับเป็นเรื่องรองที่ไม่สลักสำคัญอีกต่อไป "  หญิงสาวยังคงกอดอกพูดเรียบๆ ก่อนที่เธอจะหันหลังกลับและทำท่าจะเดินจากไปทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนสิงห์ถึงกับแทบจะอ้าปากค้างทันที

 

      " ประเดี๋ยวสิโว้ย!! "

 

      " ช้าไว้! สิงห์ "  อุษาที่ยืนอยู่ด้านหลังร้องห้ามทันที ก่อนจะกระซิบบอกเบาๆต่อว่า

 

      ' ...สิงห์...เรื่องนี้มันนอกเหนือการคาดการณ์และคำสั่งของท่านผู้เฒ่าไปแล้วนะ...แรกเริ่มเดิมทีเราคิดกันไว้ว่ายัยมือฉมังธนูนี่เป็นพรรคพวกเดียวกับมัน แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ และพวกมันพยายามจะสังหารยัยนี่เพื่อปิดปากด้วยซ้ำ...ข้าจำต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าด้วยการใช้หวีดที่เจ้ามอบไว้ให้เพื่อสั่งให้มายา ชีวา และราตรีมาปกป้องมันแทน...เจ้าจำได้หรือไม่ว่าท่านผู้เฒ่าสั่งทิ้งท้ายว่าอย่างไร...ถ้าหากเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดขึ้นให้พวกเราจับยัยนี่กลับไปเท่านั้น อย่าพยายามปะทะเด็ดขาด...เราสืบสวนจากยัยนี่ก็ได้ '

 

      " ก...กรอด! "  

 

        ใช่แล้ว...สิงห์รู้ดีถึงคำสั่งโดยตรง ที่เป็นเหมือนประกาศิตเด็ดขาดของท่านผู้เฒ่า...หากเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น ให้ควบคุมและพาตัวมือฉมังธนูนี้กลับไปและห้ามปะทะโดยตรงเด็ดขาด เพราะพวกเขายังไม่อาจรู้ถึงระดับของขุมพลังที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามแน่ชัด จึงไม่ควรจะเสี่ยงเอาตัวเข้าแลก...แต่ว่าสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ไหลเวียนอยู่ภายในโลหิตของเขากลับบอกเขาอีกแบบนึงแทน...

 

     ...สัญชาตญาณดิบ...ที่บอกเขาว่า...หากปล่อยให้สตรีนางนี้ถอยกลับไปได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับปล่อยพยัคฆ์ให้เข้าสู่ป่า ที่ดีไม่ดีอาจจะพาลกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและส่งผลเสียที่สุดต่อหมู่บ้านยุคันตวาตที่สุดด้วยซ้ำไป!...

 

     ...หากในเวลานี้พวกเขาสามารถกำจัด...หรือสังหารสตรีที่เป็นเหมือนหัวหน้าของกลุ่มชุดดำกลุ่มนี้ได้...ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของเขา ต่อให้ต้องตายตกไปตามกัน...ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว!...

 

      " สิงห์! "  อุษาร้องด้วยเสียงที่ดังขึ้นโดยหวังว่าจะให้เสียงของเธอปลุกสติและความยั้งคิดของสิงห์ แต่จากจิตสังหารอันแหลมคมและอาถรรพ์อวิชชาที่แผ่ออกมาจากตัวของชายหนุ่ม ทำให้เธอรู้ได้แทบจะในทันทีว่าสิ่งที่เธอทำได้ผลน้อยนิดเหลือเกิน

 

        ชั่วขณะจิตนั้นเอง สิงห์ก็สะบัดมือวูบ กริชเล่มงามที่ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าแหลมคมและแข็งแกร่งกว่ากริชประจำกายเดิมของเขาที่หักไปเมื่อครั้งภารกิจสังหารมังจากะเลพุ่งเข้าสู่มือพร้อมๆกับที่เขาจะย่อตัวลงต่ำและใช้นิ้วเท้าจิกพื้นดินแน่น เตรียมจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายที่กำลังหันหลังให้และทำท่าจะจากไปอย่างง่ายๆทันที!

 

        เฉี๊ยะ!  เคร้ง!!

 

        เพียงเสี้ยวของเสี้ยววินาทีก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะพุ่งทะยานเข้าไปหมายจะสังหารสตรีในชุดดำผู้นั้นให้ดับดิ้นไป กระสุนปืนโลหะที่ถูกยิงออกมาจากปืนคาบศิลาในมือของสหายสนิทของเขาอย่างศกุนตลาก็ถูกยิงเปรี้ยง พุ่งมากระทบกับใบกริชของสิงห์อย่างแม่นยำราวกับจับวาง...ถึงแม้ว่าอำนาจของกระสุนปืนที่เป็นโลหะตะกั่วธรรมดาๆจะทำได้เพียงสร้างรอยขีดข่วนเล็กๆบนใบกริชที่ถูกตีขึ้นจากมือของสุดยอดช่างตีศาสตราอย่างยูกิโอะ  และไม่อาจทำให้กริชเล่มนั้นหลุดจากมือที่กำแน่นเป็นคีมเหล็กของสิงห์ได้ก็ตาม...แต่อำนาจของแรงปะทะที่กริชในมือก็ทำให้สิงห์เซแถ่ดๆ จนทำให้เสียจังหวะการจู่โจมอย่างที่เขาตั้งใจไว้ ทำให้สิงห์เบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะหันขวับกลับไปเขม็งมองหาศกุนตลาอย่างโกรธเคืองที่เลนอะไรบ้าๆและน่าหวาดเสียวจนกระทั่งจังหวะของเขาถูกทำลายทันที

 

      " น...นัง---! "

 

        แต่เขายังไม่อาจสบถคำหยาบคายออกมาอย่าโมโหได้ครบดี จิตสังหารของสตรีชุดดำที่หันหลังให้อยู่ในก็ระเบิดวูบอย่างรุนแรง พร้อมๆกับที่อยู่ๆเศษใบไม้ใบหญ้าที่หล่นกระจัดกระจายอยู่เต็มตามพื้นจะแปรสภาพจนแข็งแกร่งและคมกริบราวกับเข็มหรือมีดโกนนับร้อยเล่ม พุ่งพรึ่บเฉียดตัดหน้าเขาด้วยความเร็วสูงจนแทบมองไม่ทัน ...พริบตาต่อมา พอรู้แน่ว่าการโจมตีของเข็มเศษใบไม้ใบหญ้าอันแหลมคมนั้นพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย เศษใบไม้ใบหญ้าอันแหลมคมนั่นก็แปรสภาพกลับกลายเป็นเศษใบไม้ใบหญ้าธรรมดาตามเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พร้อมๆกับที่สตรีชุดดำที่หันหลังให้ผู้นั้นจะเอียงคอเหลือบกลับมามองพร้อมกับอุทานออกมาเบาๆอย่างประหลาดใจทันที

 

      " โฮ่? หน่วงเวลาได้ทันในจังหวะสุดท้ายอย่างนั้นรึ? สงสัยข้าต้องประเมินเจ้าใหม่เสียแล้วสิ... "

 

        สิงห์เบิกตากว้างจนแทบถลนพร้อมกับขนบนกายลุกวูบ แทบจะอ้าปากค้างทันที...เพราะถ้าเมื่อครู่นี้ไม่ได้กระสุนปืนของศกุนตลาที่ยิงใส่กริชเพื่อทำลายจังหวะของเขาช่วยไว้ล่ะก็...ต่อให้ชายหนุ่มมีวิชาสายคงกระพันชาตรีในระดับที่สูงกว่านี้ ก็คงจะไม่แคล้วถูกพายุใบไม้ใบหญ้าอันแหลมคมราวกับมีดโกนนั้นเชือดเฉือนและเสียบพรุ่นเป็นรังผึ้งไปเรียบร้อยแล้วแน่ๆ!

 

     ...อ...อะไรวะ?!...วิชานี้มัน...สายอวิชชาไสยเวทย์แบบเดียวกับเรา อาจจะในระดับสูงสูสีกับเราด้วยซ้ำ แต่กลับไม่อาจจะจับกระแสของการบริกรรมคาถาได้เลยแม้แต่น้อย!...ไม่สิ...เราพึ่งรับรู้เอาในเวลานี้ด้วยซ้ำว่าจะมีสตรีที่สามารถครอบครองอวิชชาไสยเวทย์สูงถึงระดับนี้ได้ด้วย!!

 

        โฮก! 

 

        เมื่อเห็นผู้เป็นนายเกือบจะพลาดท่าเสียที มายา ชีวา และราตรี...เสือสมิงใต้อาณัติของสิงห์ทั้ง ๓ ตนก็พุ่งขึ้นมาปกป้องชายหนุ่มพร้อมกับแยกเขี้ยวขาววาววับและพองขนขึ้นทั้งร่างจนทำให้ดูเหมือนตัวใหญ่ขึ้นทันที...กริยาที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเธอพร้อมจะเข้าปกป้องนายของเธอด้วยระดับชนิดพร้อมจะตายตกไปตามศัตรูที่มุ่งร้ายนายของพวกเธอแล้ว!

 

      " อย่า! มายา ชีวา ราตรี! "

 

        แต่เสียงสั่งห้ามของสิงห์กลับทำให้พวกเธอถึงกับชะงักกึกพร้อมกับหันมามองอย่างงงงวยทันที...เพราะโดยปรกติแล้วพวเธอรู้พื้นนิสัยของสิงห์เจ้านายของเธอดี...สิงห์เป็นนักสู้ที่พึ่งสัญชาตญาณดิบที่เป็นเหมือนสัญชาตญาณสัตว์ป่าสูงและเป็นพวกที่ยิ่งสู้ยิ่งบ้าเลือด ยิ่งเพลี่ยงพล้ำหรือเสียเปรียบก็ยิ่งพุ่งเข้าใส่ อีกทั้งยังไม่เคยถูกคู่ต่อสู้หรือเป้าหมายกดดันมาก่อน...

 

     ...เขาเป็นเหมือนนักล่า...เป็นสัตว์กินเนื้อผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ที่ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติใดๆกล้ามาต่อกรเลย!

 

        แต่ในเวลานี้ ชายหนุ่มพึ่งจะได้เรียนรู้ถึงสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของสัตว์กินพืช...สัญชาตญาณที่มีไว้เพื่อเอาตัวรอดจากผู้ล่าที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิง...

 

     ...ความกลัว!...

 

      " สิงห์? "

 

      " ปล่อย...ปล่อยพวกมันไป "

 

        คำพูดเรียบๆอย่างเก็บอารมณ์ของสิงห์สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งสตรีชุดดำที่คราวนี้ต้องหันกลับมามองตรงๆอย่างงงงวยวูบ เพราะเธอเองก็คิดเช่นกันว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ปล่อยพวกเธอที่เวลานี้ต้องยอมรับว่าติดกับดักของฝ่ายหมู่บ้านยุคันตวาตของไอ้ชายหนุ่มผู้ครอบครองสุดยอดดาบในตำนานอันน่าขนลุกที่เธอพบในคืนที่พระเจ้าเอกทัศน์เสด็จกลับพระนครแบบเต็มๆ พากันหลบหนีกลับไปอย่างง่ายๆแน่ ...ก่อนที่ชั่วครู่หนึ่งเธอหลับตาลงและหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างรักษาท่าทีทันที

 

      " ขอบน้ำใจเจ้ามาก สำหรับความมีน้ำใจเช่นนี้ แต่ข้าคงไม่อาจถือว่าเป็นบุญคุณกันได้หรอกนะ "

 

      " ไม่ต้องนับเป็นบุญคุณหรอก...เพราะความอัปยศในคราครั้งนี้ ข้าจะเอาส่งคืนเจ้าในเร็ววันนี้แน่!...ล้างคอรอได้เลย "

 

      " คิกๆ...ถ้าอย่างนั้น...เหล่ามือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตทั้งหลาย...พวกข้าขอลา "

 

        พรึ่บ!

 

        หลังจากที่เหล่าชายหญิงในชุดดำเหล่านั้นหลบหายเข้าไปในแนวป่าที่อยู่ลึกเข้าไป นานจนกระทั่งทั้งสิงห์และอุษาไม่อาจจะหยั่งจับสัมผัสของอีกฝ่ายได้อีกต่อไป...อุษาผ่อนลมหายใจเฮือกอย่างโล่งอกเล็กน้อย เธอเก็บมีดสั้นเล็กๆที่ฉลุลายอย่างงดงามอันเป็นอาวุธประจำกายของเธอกลับเข้าสู่ฝักก่อนจะแตะบ่าอันกว้างแกร่งของสิงห์พร้อมกับพูดเบาๆ

 

      " ดีแล้วล่ะ สิงห์...นี่ไม่ใช่ภารกิจสังหาร เราไม่จำเป็นต้องเข้าปะทะอย่างแตกหักก็สามารถสำเร็จภารกิจได้...คราวนี้เจ้าอดทนได้ดีมาก ข้าขอชมจากใจเลย--- "  หญิงสาวยังเอ่ยชมอีกฝ่ายไม่ทันจบดี เธอก็สังเกตเห็นว่าสิงห์ยังคงยืนนิ่งพร้อมกับที่มือข้างที่ถือกริชนั้นกำแน่นจนเห็นข้อนิ้วซีดขาวและเส้นเลือดปูดโปนขึ้น กรามและโหนกแก้มของเขาขบแน่นจนนูนเป็นสันอย่างชัดเจนในขณะที่ดวงตาหรุบต่ำลงด้วยความรู้สึกหลายชนิดที่ปนเปกันไป

 

      " หึ!...แลกชีวิต...ตายตกไปตามกันอย่างนั้นรึ?...หึๆ ไอ้เวรเอ้ย...คิดอะไรตื้นๆ!! "

 

 

 

 

...........................................

 

 

 

 

     ...ย้อนกลับมาที่ไกร ที่เวลานี้ฤทธิ์ของคาเฟอีนในกาแฟดำเริ่มถูกแทนที่ด้วยฤทธิ์ของความง่วงงุน ที่เล่นงานจนกระทั่งเส้นเลือดที่ข้างขมับชักปวดตุบๆและดวงตาเริ่มพร่าเลือนจะเกือบจะเห็นพื้นหมุนได้อยู่รอมร่อ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้แล้วว่าถ้าขืนเดินต่อไปงานนี้มีหวังได้ล้มคว่ำต่อหน้าชาวบ้านชาวช่องแน่...ชายหนุ่มจึงรีบยกมือขึ้นบอกผู้ที่ติดตามมาด้วยทั้ง ๓ คนทันที

 

      " ประเดี๋ยวก่อน "

 

      " หืม? มีอะไรหรือ ท่านไกร? "

 

      " พวกเจ้า...ไปชมกระบวนศึกแทนข้าทีล่ะกันนะ...ข้าว่าข้าคงต้องขอพักอยู่แถวๆนี้สักชั่วครู่นึงแล้วล่ะ "

 

      " เป็นอะไรรึเปล่า? ไกร---ท่านไกร? "

 

      " เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก "  ชายหนุ่มพูดเบาๆกับมือสังหารสาวที่เวลานี้กลายมาเป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาของเขาที่ถามมาด้วยกระแสเสียงเป็นห่วง ก่อนจะใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งนวดสันจมูกอยางเหนื่อยล้าและพูดต่อว่า

 

      " ...สงสัยข้าคงจะแค่นอนไม่พอเท่านั้น เลยรู้สึกมึนๆหัวน่ะ...เอาเป็นว่าข้าขอพักแถวๆนี้ก่อนล่ะกัน แล้วประเดี๋ยวพอดีขึ้นข้าจะตามไปสมทบเอง "

 

      " ให้ข้าอยู่ด้วยดีหรือไม่? ...หมายถึงอยู่คอยอารักขาน่ะ "  อนาสตาเซียพูดเบาๆด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะขยายความเล็กน้อยเมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามในแววตาของทั้งสินและเรือง ในขณะที่ไกรยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

 

      " ไม่จำเป็นหรอก...ข้าขอแค่พักตาสักครู่เท่านั้น...คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วไอ้พวกลูกใครหว่านั่นก็คงจะไม่ดอดมาตีข้าเอาตอนหลับแน่...อย่างน้อยๆก็จนกว่ามันจะกลับไปฟ้องพ่อมันเสร็จล่ะนะ "

 

      " หึๆ ดูเหมือนจะอารมณ์ดีจริงนะขอรับ ท่านไกร "  เรืองที่สังเกตอยู่ห่างๆอดจะเอ่ยหยอกล้อชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าของเขาไม่ได้ ในขณะที่ไกรฝืนยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้ตอบโต้อะไร ในขณะที่อนาสตาเซียพยักหน้าเบาๆอย่างว่าง่ายและเคารพในการตัดสินใจของชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะพูดเบาๆว่า

 

      " อืม ตามใจเจ้าก็แล้วกัน "

 

        หลังจากแยกย้ายกันโดยที่อนาสตาเซียบอกว่าเธอจะไปหาท่านผู้เฒ่าผู้เป็นพ่อบุญธรรมของเธอที่น่าจะรับเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์อยู่อีกฝั่งนึง ในขณะที่สินและเรืองตกลงกันว่าจะไปดูกระบวนทัพใกล้ๆ ...ชายหนุ่มก็หลับตาลงพร้อมกับใช้ฝ่ามือตบท้ายทอยเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นประสาท ก่อนที่เขาจะเลือกร้านที่มีลักษณะคล้ายกับร้านขายอาหารเล็กๆ ที่มีคนบางตาและไม่ไกลจากสนามหน้าจักรวรรดิหรือทุ่งพระเมรุมากนัก เผื่อที่เขาจะได้เห็นการเคลื่อนไหวต่างๆที่อยู่ภายนอกได้ไม่มากก็น้อย...

 

      " อาหารอย่างนั้นหรือ?...อืม...เอาเป็นว่าทางพ่อครัวรู้จักอาหารอะไรที่ทำให้คนที่ไม่ได้นอนมาทั้งวันตื่นเต็มตาบ้างไหมล่ะ...ถ้ามีก็ยกมาเลย "  

 

        คำสั่งรายการอาหารที่แปลกประหลาดที่สุดของไกรทำให้เด็กรับใช้หน้าตาจิ้มลิ้มที่น่าจะเป็นจุดขายของทางร้านเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างงงงวยปนประหลาดใจ แต่เธอก็รักษามารยาทด้วยการยิ้มตอบและพยักหน้ารับบางๆ  ในขณะที่หลังจากสั่งเสร็จ ไกรก็อ้าปากหาวหวอดๆก่อนจะฟุบหน้าลงไปกองกับท่อนแขนตัวเองเหมือนเป็นการใช้เวลาว่างอันน้อยนิดให้เป็นประโยชน์ด้วยการงีบเล็กๆ แต่ก็ยังบังคับประสาทให้ตื่นเพื่อรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวตลอดเวลา ซึ่งเขาฝึกที่จะทำอย่างนี้มาตั้งแต่ที่เขารู้ตัวว่าตนเองอยู่ในโลกของอดีตที่ถูกเขียนไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ และทำให้เขาอยู่รอดแบบไม่เจ็บตัวปางตายมาจนถึงบัดนี้...

 

      " โอย...เวรกรรมแท้ๆ ไม่น่าโชว์พาวบ้าพลังฝืนสังขารออกมาเล้ย...ตูหนอตู "  ไกรถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะอดคิดในใจอย่างงุนงงไม่ได้ เพราะตั้งแต่โตเป็นผู้เป็นคนมานี่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยนอนดึก หรืออดตาหลับขับตานอนชนิดยันสว่างเลย...ไม่สิ...ช่วงที่เขาอ่านหนังสือหนักๆหรือไม่ก็ตอนไปเที่ยวหนักๆ นี่บางครั้งวันนึงได้นอนเพียงชั่วโมงสองชั่วโมงต่อวันเกือบ ๓-๔ วันด้วยซ้ำ...แถมเขาก็ยังไม่ทันได้แก่จนสังขารไม่ให้เลยนะเนี่ย

 

      ' ร...รึว่า?...ที่เราเป็นหนักขนาดนี้ไม่ใช่เพราะแค่นอนไม่พออย่างเดียว...แต่เป็น... '  ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบกลับมามองดาบสีเงินวาวอันมีนามถูกตั้งว่าแต่ต้นแล้วว่า ดาบสดายุ และดาบลับอีกเล่มที่ซ่อนอยู่ภายในดาบเล่มนี้...ดาบสัมพาที 

 

      ' เฮ่ยๆ...อย่าบอกนะว่า '  ชายหนุ่มหยิบดาบสีเงินวาวประจำกายของเขาขึ้นมาพร้อมกับชักออกจากฝักซองหนังสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาดูอย่างใกล้ชิด...จะอุปทานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ดูเหมือนว่าดาบสดายุเล่มนี้จะส่องปนระกายวาววับทักทายเขาอีกด้วย

 

      " เหอะๆ คงจะไม่ใช่หรอกมั้ง "  ไกส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงปลอบใจตัวเองว่าเขาคงแค่คิดมากไป ก่อนที่เขาจะชะงักไปเล็กน้อยกับเสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดังขึ้นข้างๆเขาจนเขาต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยทันที

 

      " ท่านรู้หรือไม่?...ว่าคนปรกติน่ะเขาไม่ชักดาบขึ้นมาชมกลางร้านหรอกนะขอรับ...ต่อให้เป็นดาบที่สวยงามราวกับเอาไว้ใช้ประดับบารมีเพียงใดก็ตามที "

 

      " หืม? ...อ้ะ! "

 

        ไกรครางออกมาเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายนัก แต่เขาก็ต้องร้องอ๋อ! เบาๆออกมาอย่างรู้สึกตัวทันที เพราะผู้คนที่นั่งอยู่ในร้าน ๒-๓ โต๊ะ และเด็กรับใช้สาวน้อยคนเมื่อครู่เริ่มมองมาที่เขาด้วยความตกใจปนกลัวเกรงในท่าทีที่ออกจะประหลาดๆและน่ากลัวของไกรที่กำลังชักดาบประจำกายออกมาได้ครึ่งนึง...นั่นทำให้เขารีบเก็บดาบกลับเข่าฝักพร้อมกับทำหน้ากะเรี่ยกะราดอย่างสำนึกผิดทันที

 

      " ข...ข้าขออภัยด้วยขอรับ ทุกท่าน ข้าเผลอเรอไปเล็กน้อยเพราะนึกว่าอยู่ที่บ้านเท่านั้น "  ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษทุกคนที่หันมามองอย่างสำนึกผิด ในขณะที่เด็กสาวผู้รับคำสั่งอาหารของเขาและเวลานี้กำลังยกถ้วยแกงควันกรุ่นๆมาให้ไกรผ่อนลมหายใจเฮือกอย่างโล่งอก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจสำหรับผู้ให้บริการร้านอาหารพร้อมกับยกถวยแกงนั้นมาให้  ในขณะที่ทุกคนที่หันมามองต่างก็หันกลับไปจัดการกับข้าวปลาอาหารตรงหน้าตัวเองต่อเพราะทราบแน่แล้วว่านี่เป็นเพียงแค่การเข้าใจผิดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น...ซึ่งชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ และเอ่ยขอบคุณเด็กสาวเบาๆ ก่อนจะหันกลับมามองคนที่เอ่ยเตือนเขาอย่างปราณีตอีกครั้ง

 

     ...ชายวัยกลางคนผู้นั่งดื่มชาจีนอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเป็นชายวัยกลางคนเพียงแค่อายุเท่านั้น...ร่างสีแทนที่สูงใหญ่ของชายผู้นั่นอุดมไปด้วยมัดกล้ามชนิดที่แม้แต่คนหนุ่มอย่างเขายังต้องอาย...ดวงตาสีเข้มส่องประกายรับกับผมทรงมหาดไทยที่เริ่มจะมีผมหงอกขึ้นประปราย และหนวดที่ถูกขลิบแต่งไว้อย่างงาม...ร่างที่อยู่ภายใต้ชุดของข้าราชการชั้นผู้น้อยนั้นเต็มไปด้วยรอยสักอักขระขอมและเลขยันต์ต่างๆจนแทบจะเต็มพื้นที่ผิวหนัง ไม่เว้นแม้กระทั่งส่่วนกลางกระหม่อมและลูกกระเดือกที่วากันว่าสร้างความเจ็บปวดระหว่างสักชนิดแทบดิ้นตายก็ตาม...เมื่อรวมกับพระเครื่องโบราณและตระกรุดที่แขวนห้อยอยู่เต็มคอและเต็มเชือกที่ผูกเอวไว้ มันทำให้ไกรเดาได้ไม่ยากเลยว่าเขาเป็นนักรบและเป็นจอมขมังเวทย์ที่เก่งกาจอีกคนนึงที่เขาได้พบแน่ๆ...

 

      " ขอบพระคุณมากนะขอรับ ที่ช่วยตักเตือนกระผม "

 

      " ไม่เป็นไรหรอกขอรับ...อ้อ! กระผมชื่อชูนะขอรับ "

 

      " ไกรขอรับ "

 

      " อ่า...ว่าแล้วเชียว "  ชายวัยกลางคนนามว่า ชู ผู้นั้นหัวเราะออกมาเบาๆราวกับรู้จักไกรดีอยู่แล้ว จนไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างงงงวย ในขณะที่ชูถือวิสาสะยกถ้วยและกาชาจีนที่โต๊ะของตัวเองมานั่งร่วมโต๊ะเดียวกับเขาพร้อมกับพูดต่อว่า

 

      " ก็เอะใจตั้งแต่เห็นชุดที่เป็นเครืองแบบของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แต่กลับกลายเป็นสีดำสนิทอยู่แล้วล่ะ...แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าข้าจะได้มีวาสนามาพบกับหัวหน้าหน่วยคเณศร์เสียงา...จอมดาบหนุ่มผู้มีชื่อเสียงขจรขจายไปไกลเช่นท่าน...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี ท่านไกร...ขอข้าดื่มชาจอกนี้คารวะท่านนะขอรับ "

 

      ' อื้อหือ...พูดจาอย่างกับจอมยุทธในหนังกำลังภายในยุคชอว์บราเดอร์...แต่ก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอก ก็เวลานี้อยุธยาค้าขายกับจีนเป็นส่วนใหญ่นี่เนอะ...เลยน่าจะรับเอาวัฒนธรรมพวกนี้มา '  ไกรคิดในใจพร้อมกับพยักหน้าและยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะใช้ช้อนโลหะแบนๆที่วางมาพร้อมกับแกงอะไรซักอย่างที่ส่งกลิ่นหอมฉุยตักน้ำแกงควันฉุยๆขึ้นมาซดเพื่อกระตุ้นให้ตัวเองหายจากความง่วงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามอีกฝ่ายขึ้นเบาๆอย่างเป็นมิตรว่า

 

      " ท่านชู...กระผมขอบคุณท่านอีกครั้งนะขอรับ "

 

      " ดาบของท่านช่างสวยงามและรูปร่างแปลกตาดีนะขอรับ ขอกระผมชมดูสักหน่อยได้หรือไม่? "

 

      " ท่านเป็นนักดาบอย่างนั้นหรือ? "  ไกรเลิกคิ้วก่อนจะย้อนถามไปเบาๆ ในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบกลับอย่างถ่อมตัวว่า

 

      " ก็พอจะมีฝีมืออยู่บ้างนิดหน่อยน่ะขอรับ "

 

      " ถ้าอย่างนั้นท่านก็น่าจะรู้ดีว่าสำหรับนักดาบแล้ว...ดาบคือชีวิต และเขาไม่หยิบยืมกันโดยไม่จำเป็นถึงขีดสุดชนิดชีวิตด้วย...อย่ามาลองภูมิกระผมจะดีกว่านะขอรับ "

 

      " ฮ่ะๆ คราวนี้ข้าคงต้องเป็นฝ่ายขออภัยที่ลองภูมิท่านแล้ว...ท่านเป็นนักดาบที่เก่งกาจและรู้จักมารยาทของนักดาบดีเสียจริง ...สมแล้วที่เป็นหัวหน้าราชองครักษ์ที่พ่ออยู่หัวไว้วางพระราชหฤทัย...ข้าช่างมีวาสนาจริงๆที่ได้รู้จักกับท่าน ก่อนที่จะออกไปรบกับพวกพม่ารามัญเช่นนี้ "

 

      " หืม?...อ้าว นี่ท่านก็เป็นหนึ่งในทหารที่จะเดินทางไปยันทัพพระเจ้าอลองพญาที่ภาคใต้หรอกเหรอเนี่ย? "

 

      " ก็...จะว่าเช่นนั้นก็ไม่สนิทปากนักหรอกนะขอรับ...กระผมไม่ได้ถูกสังกัดเข้าอยู่ในกองทัพ...แค่สามารถรวบรวมสมัครพรรคพวกได้พอสมควร และพากันมาขอสมัครติดสอยห้อยตาม คล้ายๆกับกองทหารอาสาน่ะขอรับ "

 

        ไกรที่เวลานี้ได้ฤทธิ์น้ำแกงร้อนๆมาช่วยถ่างตาให้กว้างหันสายตาไปสบสายตากับนักดาบและจอมขมังเวทย์วัยกลางคนผู้นี้ตรงๆชั่วขณะหนึ่งราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่ในที่สดเขาจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

      " ท่านชู...ข้าขอเตือนท่านไว้ด้วยความหวังดีนะ...ทางที่ดีท่านล้มเลิกความตั้งใจเสียดีกว่านะขอรับ...ลำพังทหารเพียงแค่ ๕ พัน ทั้งยังถูกเกณฑ์มาอย่างฉุกละหุกเช่นนี้คงไม่อาจจะต่อกรกับแสนยานุภาพของกองทัพพระเจ้าอลองพญากว่า ๔ หมื่นนาย...ไม่รวมทหารม้าอีกกว่า ๓ พันได้หรอก...เสียเวลาเสียเปล่าๆ "

 

      " อ้าว? ไฉนถึงปากไม่เป็นมงคลได้ขนาดนี้ล่ะขอรับ ท่านเจ้าพระยา "  ชูร้องออกมาเบาๆอย่างไม่จริงใจอะไรนัก เขารินชาจากกาเติมจอกใหม่ ก่อนจะยกขึ้นซดเบาๆและพูดต่อเรียบๆว่า

 

      " เอาเถอะ ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ...กระผมว่าท่านเข้าใจผิดไปเล็กน้อยเกี่ยวกับทัพขนาดกระจ้อยร่อยที่ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างฉุกละหุกนี่นะขอรับ "

 

      " ขอรับ? "

 

      " ทัพ ๕ พันนายที่ท่านเห็นนี่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อต่อกรกับแสนยานุภาพทัพพระเจ้าอลองพญาหรอกนะขอรับ...แต่เป็นการถ่วงเวลาต่างหากล่ะ "

 

      " หืม? ...ถ่วงเวลา? "

 

      " ใช่แล้วล่ะขอรับ "

 

        ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างครุ่นคิดในคำพูดที่น่าประหลาดของอีกฝ่าย...แต่อยู่ๆคำพูดที่น่าประหลาดนั้นก็เป็นเหมือนกับกุญแจที่ปลดล็อคประตูบางอย่างในหัวของเขาให้เปิดออกจนทำให้เขาถึงกับต้องลืมตาเบิกโพลงจนแทบถลนทันที

 

      " อย่าบอกนะว่า...ทัพนั่นมีไว้เพื่อถ่วงเวลาให้กองทัพจริงๆหลายหมื่นที่ถูกหลอกให้ไปตั้งท่าคอยรับศึกอยู่ที่ด่านแม่ละเมาและด่านเจดีย์สามองค์ถอยกลับลงมารักษาพระนคร...จากการบุกแบบสายฟ้าแลบของทัพพม่าได้ทันน่ะ! "

 

      " ฮ่ะๆๆ ท่านช่างฉลาดหลักแหลมสมกับที่เขาเล่าลือกันจริงๆนะขอรับ ท่านเจ้าพระยา...ใช่แล้วล่ะขอรับ...นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทัพระดับแค่ ๕ พันนายถึงได้มีขุนนางระดับพระยาเป็นนายกองร่วมไปด้วยถึง ๕ ท่าน...ไม่รวมขุนนางระดับรองลงมาอีกนับสิบท่าน...เพราะการจัดทัพเพื่อถ่วงเวลาจำเป็นต้องมีการสั่งการที่รัดกุมที่สุด เพื่อรักษาสภาพกองทัพไว้และไม่ให้เสียไพร่พลไปโดยไม่จำเป็นนั่นเอง "

 

        คำพูดอย่างทรงภูมิของอีกฝ่ายทำให้ไกรถึงกับสีหน้าเคร่งลงและดวงตาหรุบต่ำอย่างครุ่นคิดทันที

 

      ' เดี๋ยวสิ...เฮ้ย! นี่...นี่ก็เท่ากับว่า...เท่ากับว่าทัพของพระยารัตนาธิเบศร์นี่เป็นผลพวงมาจากการที่เรานำข่าวเกี่ยวกับการเดินทัพของพระเจ้าอลองพญาที่ยกซุ่มโป่งมาทางด่านสิงขรน่ะสิ!...เป็นไปไม่ได้! นั่นก็เท่ากับว่าถ้าหากไม่มีเราซักคน อโยธยาก็ไม่มีทางรู้ และไม่มีทางจัดทัพนี้ลงไปเพื่อยันทัพของพระเจ้าอลองพญา...แปลว่า...ตัวเราเป็นผู้ที่ทำให้ประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้เกิดขึ้นน่ะสิ!! '

 

        ระหว่างที่ไกรกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาพึ่งจะตระหนักได้อยู่นั้น ในที่สุดชูก็ลุกขึ้นช้าๆพร้อมกับกล่าวอำลาชายหนุ่มเบาๆว่า

 

      " เห็นทีว่าคงจะได้เวลาอันเหมาะสมที่ข้าต้องขอตัวไปแล้วล่ะขอรับ...ท่านเจ้าพระยา...พรรคพวกของข้ากำลังรอคอยท่าข้าอยู่ เพื่อไปสมทบกับกองทัพอันทรงเกียรตินี้...ส่วนเรื่องเบี้ยหวัดข้าแกงที่ท่านกินอยู่นี่ ขอเป็นเกียรติให้ข้าได้ถือวิสาสะจ่ายแทนท่านเองก็แล้วนะขอรับ...เผื่อจะได้เอาไปโอ้อวดพวกนั้นได้ ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตข้าได้มีโอกาสจ่ายเบี้ยเลี้ยงข้าวเลี้ยงปลาคนที่โด่งดังระดับทานเช่นนี้ "  

 

        ไกรที่ยังคงครุ่นคิดอะไรๆในหัวอยู่เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายพร้อมกับพยักหน้าและยิ้มให้เล็กน้อยและกล่าวขอบคุณเบาๆอย่างไม่อยากจะขัดศรัทธาของจอมดาบและจอมขมังเวทย์ผู้อาวุโสกว่า ก่อนที่อยู่ๆเขาจะเบิกตากว้างขึ้นอีกครั้งราวกับนึกอะไรบางอย่างได้...ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นอย่างกะทันหันจนอีกฝ่ายหันมามองอย่างงงงวยทันที

 

      " ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ? "

 

      " ท่านชู...ข้าขอถามอะไรอย่างละลาบละล้วงสักหน่อยเถอะนะ...ท่าน...ท่านเป็นคนพื้นเพที่ใด...และทำงานทำการประกอบสัมมาอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือขอรับ? "

 

        ชูเลิกคิ้วอันดกหนาเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะเบาๆโดยเข้าใจว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ถามด้วยความอยากรู้เท่านั้น เขาจึงตอบกลับมาเบาๆว่า

 

      " ...เดิมทีแล้วกระผมเป็นครูดาบที่เปิดสำนักอยู่ที่แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ แต่ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ กระผมได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดเมือง ...ซึ่งเป็นตำแหน่งของกรมการเมืองแห่งเมืองวิเศษไชยชาญญที่ข้าพำนัก ...ทำให้ชาวบ้านมักจะเรียกกระผมอย่างติดปากว่า ขุนรองปลัดชู  น่ะขอรับ! "

 

      " !!! " 

      

      

 

 .............................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา