ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  110.06K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

70)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

      " ...ก...ไกร? "

 

      " ... "

 

      " ไกร...นี่ข้าเองๆ ได้ยินไหม? "

 

      " ... "

 

      " ไกร...นี่ ได้ยินข้ารึเปล่า?...ถ้าได้ยินก็คืนสติซะทีสิ...เจ้าคิดจะอยู่ในท่าทีนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน?  "

 

      " ห...หืม? นาสตี้? "  ชั่วอึดใจต่อมาหลังจากได้ยินเสียงของอนาสตาเซียที่เหมือนดังจากที่ไกลๆอยู่ ๒-๓ ครั้ง ไกรก็กระพริบตาปริบๆเล็กน้อยอย่างพยายามเรียกสติสัมปชัญญะของตนเองกลับมา ก่อนที่เขาพึ่งจะรู้ตัวว่าเขากำลังวางท่อนแขนคล้องคอของอีกฝ่ายอยู่เหมือนเป็นที่พักแขน ในขณะที่ลำตัวแนบชิดติดกันจนได้กลิ่นหอมจางๆจากกายของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะเป็นการกลั่นแกล้งของอรัญญิกาเทวี หรือเพราะอะไรก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่เขาก็รีบเด้งออกราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นเหล็กร้อนแดงๆทันที

 

      " อ...ข...ขอโทษที "

 

      " อ...อืม "  

 

        ไกรหันซ้ายหันขวา ๒-๓ ครั้งราวกับไม่แน่ใจว่าเขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือกและใช้มือนวดขมับตัวเองอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อย...ค่ำคืนนี้มันค่อนข้างจะหนักเหลือเกิน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนอย่างเขา...ในขณะที่อนาสตาเซียที่เวลานี้ได้รับสิทธิ์ของร่างกายของตนเองคืนมาแล้วนั่งลงที่ข้างหน้าต่างอันเป็นที่ที่กลายเป็นที่ประจำของเธอ พร้อมกับใช้ดวงตาสีฟ้าจรัสมองมาที่เขาไม่วางตา จนไกรที่เหลือบหันมาสบตาพอดีถึงกับชะงักก่อนจะยิ้มเล็กน้อยทันที

 

      " ...ท่านอรัญญิกาเทวี ไปแล้วสินะ? "

 

      " อ...อืม...ใช่แล้วล่ะ...แต่ท่านฝากข้ามาบอกเจ้าว่าท่านได้ทิ้งของขวัญอีกชิ้นหนึ่งไว้ให้เจ้าแล้วล่ะ "

 

      " ของขวัญ? "  ไกรทวนคำเบาๆ ก่อนที่ต้นแขนบริเวณหัวไหล่ด้านขวาของเขาอันเป็นจุดรอยบาดแผลจะเย็นวูบจนรู้สึกได้ พร้อมๆกับความปวดและตึงบริเวณบาดเผลจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง...ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเปิดผ้าที่พันบาดแผลนั้นออก เผยให้เห็นหัวไหล่ของเขาที่เวลานี้ไร้ซึ่งรอยบาดแผลใดๆทั้งสิ้น และเส้นด้ายที่ใช้เย็บบาดแผลนั้นก็หลุดออกมาจากผ้าพันแผลของเขาทันที

 

      " หืม...สะดวกดีแท้ๆเลยนะ พลังของเทพเนี่ย...อย่างนั้นก็ฝากเธอขอบคุณท่านอรัญญิกาให้หน่อยก็แล้วกันนะสำหรับของขวัญชิ้นนี้ "  ชายหนุ่มพูดเบาๆพร้อมกับใช้ผ้าพัหัวไหล่เอาไว้อย่างเดิมเพื่อไม่ให้ผู้อื่นผิดสังเกตว่าทำไมแผลของเขาหายเร็วนัก ก่อนที่เขาจะหันกลับมามองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าจรัสของมือสังหารสาวตรงหน้าอีกครั้ง พร้อมกับพูดต่อเบาๆว่า

 

      " นี่...ก็แปลว่า...เธอรู้อยู่แล้วสินะ ว่าข้าไม่ได้มาจากประเทศเล็กๆทางยุโรป...หมายถึงตะวันตกอะไรนั่น...แต่เป็นผู้ที่มาจากอนาคต มาจากที่นี่ในช่วงเวลาอีก ๒๐๐ กว่าปีข้างหน้า...ว่าแต่ รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย? "

 

      " ...ก็...ข้าได้พบกับท่านอรัญญิกาตั้งแต่คืนที่สิงห์ใช้ให้มายาแปลงเป็นข้าไปแกล้งเจ้าที่ห้องนั่นแหละ...และหลังจากนั้นก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ถึงจะไม่ค่อยอยากจะเชื่อดีก็เถอะ...พึ่งจะมาแน่แท้แก่ใจก็หลังจากที่เจ้ากับท่านอรัญญิกาสนทนากันเมื่อครู่นี่แหละ " 

 

        ไกรสบตาหญิงสาวเล็กน้อยเป็นเชิงค้นหาความจริง แต่ก็ไม่พบอะไรภายในดวงตานั้น เขาจึงเป่าลมออกจากปากเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มให้บางๆและพูดต่อว่า

 

      " ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณนะ ที่ไม่กระโตกกระตากหรือเปิดเผยอะไรออกมาก่อนหน้านี้ "

 

        หญิงสาวพยักหน้ารับคำขอบคุณของเขาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วและเลื่อนตัวมาสบสายตาของไกรอย่างติดใจสงสัยอะไรบางอย่างและจริงจังจนน่าผิดสังเกต...ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจพูดขึ้นเบาๆว่า

 

      " นี่...ขอข้าถามอะไรบางอย่างได้ไหม? ไกร "

 

      " อ...เอ่อ "  ชายหนุ่มอึกอักและมีท่าทีไม่แน่ใจเล็กน้อย เพราะเขารู้ดีว่าหญิงสาวคงจะถามเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตแน่นอน ซึ่งไกรไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถบอกได้หรือไม่ตามปริทรรศน์ของเวลา และประดี๋ยวก็จะไปเข้าหลักเกณฑ์ของ Butterfly Effect ซึ่งจะนำพาความยุ่งยากมาสู่เขาอีก แต่หญิงสาวส่งสายตามามองเหมือนจะตื้อไม่เลิกพร้อมกับส่งเสียงอ้อนใส่ไอ้คนใจไม่แข็งพออย่างไกรทันที

 

      " น้าาา... "

 

      " อ...เฮ้อ...ขอฟังคำถามก่อนก็แล้วกัน...ถ้าข้าตอบได้ข้าก็จะตอบให้นะ "  ชายหนุ่มหลับตาลงพร้อมถอนหายใจให้กับความใจอ่อนแบบไม่เข้าท่าของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงและรินชาที่เย็นไปแล้วขึ้นมาดื่ม ในขณะที่อนาสตาเซียดวงตาเป็นประกายพร้อมกับถามขึ้นทันที

 

      " นี่ๆ ไกร...สมัยที่เจ้าอยู่น่ะ ยังมีทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมหม้อแกงอยู่รึเปล่าล่ะ? "

 

      " ... "

 

      " ม...ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนี่! แบบนั้นมันหยาบคายที่สุดเลยไม่ใช่รึอย่างไร?! "

 

      " อ่ะ โทษทีๆ ก็มันช่วยไม่ได้นี่...อยู่ๆถามอะไรแปลกๆแบบนี้เป็นใครๆก็งงเป็นธรรมดาล่ะน่า "  ชายหนุ่มพูดเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพูดต่อเหมือนเป็นการตอบคำถามหญิงสาวเบาๆว่า

 

      " ...ก็...ถึงจะหากินได้ยากขึ้นแต่ขนมเหล่านั้นก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ได้ทั่วไป...รวมถึงลูกชุบ ขนมไข่เต่าและขนมผิงด้วย...เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงไป...ขนมที่ย่าของเธอคิดค้นขึ้นมายังไม่หายสาปสูญไปไหนหรอก "

 

      " ยายน่ะ...ไม่ใช่ย่า แล้วก็ไม่ใช่ยายแท้ๆด้วย...แต่เอาเถอะ ที่ข้าถามเพราะข้าชอบกินขนมเหล่านี้ตางหากล่ะ ไม่เกี่ยวกับยายเสียหน่อย "  หญิงสาวยักไหล่และพูดแก้คำพูดของไกรเบาๆ ก่อนที่เธอจะก้มลงถอดแหวนทองคำขาวประดับมรกตของไกรที่เธอสวมอยู่ที่นิ้วโป้งออก และยื่นกลับมาให้ผู้เป็นเจ้าของมันช้าๆ แต่ไกรมองแหวนและเธอสลับกันเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ จนหญิงสาวขมวดคิ้วใส่ทันที

 

      " เธอเก็บไว้เถอะ "

 

      " แต่ว่า... "

 

      " ตัวข้าน่ะคงไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ข้าอยากให้ท่านอรัญญิกาคอยดูแลไม่ให้เกิดอันตรายอะไรขึ้นกับเธอมากกว่า...เพราะฉะนั้น ช่วยเก็บรักษามัน---แหวนวงนี้ไว้แทนข้าทีเถอะนะ "

 

      " แต่ตัวข้าไม่ใช่ดรุณีน้อย ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาคอยดูแล... "  เสียงของหญิงสาวเริ่มจะแข็งนิดๆเหมือนกับว่าเธอรู้สึกว่าโดนดูถูก แต่ไกรกลับหัวเราะเบาๆ และพูดพร้อมกับรินชาขึ้นดื่มอีกครั้งว่า

 

      " ...ข้าไม่ได้บอกว่าเธอเป็นดรุณีน้อย...และถึงจะบอกว่าอยากให้ท่านอรัญญิกาปกป้องเธอ แต่ข้าก็ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรถึงขนาดนั้นด้วย "  คำพูดของไกรทำให้หญิงสาวคิ้วกระตุกเล็กน้อยทันที แต่ก่อนที่เธอจะได้ทันพูดอะไรออกมา ชายหนุ่มก็ชิงพูดออกมาต่อเรียบๆว่า

 

      " ...ข้าเชื่อใจเธอต่างหากล่ะ...เชื่อว่าถ้าหากแหวนวงนี้อยู่ในมือของเธอ อยู่ในการครอบครองของเธอ มันจะไม่สูญสลายหรือหายไปไหนอย่างแน่นอนอย่างไรล่ะ "

 

      " ช...เชื่อใจ? "

 

      " ...ใช่แล้วล่ะ ในฐานะของสหายผู้ที่ข้าเชื่อใจมากที่สุดในโลกแห่งนี้อย่างไรล่ะ "

 

        คำพูดเรียบๆโดยไมยินดียินร้ายของไกรทำให้มือสังหารสาวถึงกับอึ้งไปในทันทีเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาเช่นนี้ ก่อนที่ในที่สุดเธอจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยและสวมแหวนวงนั้นกลับเข้าที่นิ้วโป้งของเธอตามเดิมทันที

 

      " เข้าใจล่ะ "

 

      " หืม? "

 

      " ...ข้าบอกว่าข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการจะพูดแล้ว ถึงจะตะหงิดๆใจนิดหน่อยก็เถอะ แต่ในฐานะสหายสนิทเช่นนี้ ข้าก็มีสิ่งที่ข้าสามารถเอื้อมคว้าได้อยู่เหมือนกันนะ "

 

      " หา? พูดว่าอะไรนะ? "

  

      " คิกๆ เปล่าหรอก...เอาเป็นว่าข้าตกลรับฝากแหวนวงนี้ไว้ ตามคำขอร้องของเจ้าก็แล้วกัน "

 

      " คำขอร้อง? "  ไกรทวนคำพร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่เสียงเปิดประตูที่มาจากห้องของท่านผู้เฒ่าที่อยู่ข้างๆกับห้องของเขาทำให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมาและลุกขึ้บิดขี้เกียจพร้อมกับพูดต่อเบาๆทันที

 

      " ข้าจะไปหาท่านผู้เฒ่าเพื่อคุยธุระอะไรบางอย่างเสียหน่อย เจ้าจะไปด้วยกันไหม? "

 

      " อืม...ไม่ล่ะ ข้าไม่ได้มีธุระอะไรกับท่านพ่อ คงจะกลับไปบ้านซึ่งเป็นที่กบดานของพวกเราเลย ถ้าอย่างนั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ ท่านไกร "  มือสังหารสาวชาวตะวันตกเผยอยิ้มจนเห็นไรฟันก่อนที่จะกระโดดผลุงออกทางหน้าต่างห้องเขาไปอย่างรวดเร็ว...ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมจางๆที่ยังคงอยู่ในห้องของไกรเท่านั้น...ในขณะที่ไกรหลับตาลงและถอนหายใจเฮือก ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับออกจากห้องและเดินไปเคาะที่หน้าประตูห้องท่านผู้เฒ่าที่อยู่ข้างๆห้องของเขาทันที

 

      " ท่านผู้เฒ่าขอรับ "

 

      " เข้ามา... "

 

        หลังจากได้ยินคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง ไกรก็แง้มประตูไม้ด้านหน้าเข้าไปทันที ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะห้องทั้งห้องอยู่ในความมืดสนิทโดยที่มีเพียงแสงสว่างของแสงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ข้างๆเตียงอยู่รำไร ทำให้เห็นห้องทั้งห้องเห็นเป็นเพียงแค่เงาๆเท่านั้น ก่อนที่เขาจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาของคนนั่งหลบอยู่ตรงหลืบมุมห้องอีกด้านหนึ่งเพราะนึกว่าผีหลอก แต่ก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเสียงกระแอมไอเบาๆของเงาคนนั้นเป็นเสียงท่านผู้เฒ่า ทำให้เขาลอบถอนหายใจเฮือกก่อนจะบ่นเบาๆพร้อมกับเดินไปจุดไฟที่โคมที่ตั้งอยู่เกือบๆกลางห้องทันที

 

      " นี่...ท่านผู้เฒ่า ผมรู้ว่าท่านเป็นหัวหน้าหมู่บ้านยุคันตวาตแต่ท่านไม่ใช่แบทแม--- หมายถึงขผมขอร้องล่ะ ท่านไม่ต้องทำตัวลับๆล่อๆเช่นนี้ก็ได้...อยู่มืดๆเช่นนี้ประเดี๋ยวก็เจอผี---ผี!!! "  หลังจากที่เขาจุดโคมจนแสงส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง ใบหน้าที่ปรากฎขึ้นของท่านผู้เฒ่าทำให้ชายหนุ่มถึงกับต้องร้องออกมาโดยทันที เพราะใบหน้าของท่านผู้เฒ่าที่เป็นชายหนุ่มผู้มีท่าทีสุขุมนุ่มลึกในเวลานี้เต็มไปด้วยรอยฝ่ามือที่ขึ้นแดงเป็นจ้ำๆทั้งแก้มซ้ายแก้มขวา พร้อมกับดวงตาข้างหนึ่งที่ช้ำและปิดลงราวกับโดนใครบางคนชกเข้าเต็มๆ ตบท้ายด้วยรอยเล็บข่วนทแยงเป็นทางยาว เป็นใบหน้าชนิดที่ถ้าเป็นแตงโมก็คงจะช้ำและไส้ล้มจนกินไม่ได้ไปแล้วเป็นแน่แท้

 

      " ท...ท่านผู้เฒ่า? "

 

      " เออ...ตูเอง "  ท่านผู้เฒ่าครางด้วยน้ำเสียงมะนาวหน้าแล้ง ก่อนจะลุกขึ้นช้าๆพร้อมกับที่ในมือถือไว้ด้วยดาบฟ้าฟื้นที่อยู่ในสภาพเตรียมชักออกจากฝักได้ตลอดเวลา พร้อมกับที่เขาปล่อยจิตคุกคามออกมาเต็มที่และถามต่อเรียบๆว่า

 

      " ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นตัวต้นเรื่อง หรือคนที่ปูดเรื่องนี้ออกมาหรอกนะ ไกร...แต่ก็ถามเพื่อความแน่ใจซะหน่อยเถอะ...เจ้าเป็นคนบอกสมเด็จพระพี่นางพินทวดีเรื่องของอนาสตาเซีย ทั้งยังบอกแบบไม่ชัดเจนว่านางเป็นลูกของข้ารึเปล่า? "  

 

        คำถามของชายหนุ่มผู้ครอบครองพลังความเป็นอมตะที่ไร้แววล้อเล่นโดยสิ้นเชิงทำให้ไกรต้องรีบส่ายหัวจนคอแทบหักเพื่อปฏิเสธสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกล่าวหาอยู่ทันที ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าใช้ดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวที่ยังคงเปิดอยู่จ้องลึกราวกับค้นหาและจับผิดแต่ก็ไม่ได้อะไรเพราะไกรเองก็ไม่ได้โกหกอะไรอยู่แล้ว เขาจึงถอนหายใจเฮือกและนั่งลงเอาดาบประจำกายพาดตัก ในขณะที่ไกรนั่งเลี่ยงไปอีกฝั่งนึงพร้อมกับตัดสินใจเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆว่า

 

      " ย...อย่าบอกนะว่า รอยแผลพวกนี้ เกิดจากฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระพี่นางพินทวดีน่ะครับ? "

 

      " เออ! "  ท่านผู้เฒ่ากระแทกเสียงหนักๆราวกับระบายอารมณ์และพูดต่อว่า  " ...ก็ตอนเช้าที่ข้าบอกว่าข้ามีกิจต้องไปเข้าเฝ้าสมเด็จท่านนั่นแหละ พอไปถึงตำหนักเท่านั้นแหละพระองค์ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเลย สรรพวิทยาทุกอย่างที่ข้าเคยสั่งเคยสอนไว้ก็ถูกงัดมาใช้กับตัวข้าเองแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยที่ข้าไม่ทันได้โต้ตอบหรือแม้แต่พูดแก้ต่างอะไรเลยด้วยซ้ำ...กว่าที่ข้าจะได้อธิบายให้พระองค์ฟังว่าอนาสตาเซียเป็นลูกบุญธรรม เป็นลูกเป็นหลานของผู้เป็นสหาย ไม่ใช่ลูกจริงๆของข้า ก็เล่นเอาข้าเกือบไปสวรรค์แล้ว...พูดก็พูดเถอะนะ...ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้ารู้สึกว่าข้าเกือบตายไปแล้วจริงๆ...ที่เห็นนี่บาดแผลหลายๆแห่งสมานหายเองไปแล้วด้วยฤทธิ์๋ความไม่แก่ไม่ตายของข้านะ ไม่อย่างนั้นมีหวังเจ้าได้หามข้าไปโรงหมอตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว! "  

 

        ไกรส่งเสียงครืดคราดในลำคอราวกับกำลังกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะท่านผู้เฒ่าอาวุโสกว่าเขา ถึงจะมีหน้าตาที่ไล่เลี่ยกันเลยก็เถอะ เพราะฉะนั้นขืนขำออกมาจะเสียมารยาทอย่างรุนแรง อีกส่วนก็เป็นเพราะเขาเกรงใจดาบฟ้าฟื้ที่ยังอยู่ในมือของอีกฝ่ายนั่นแหละ...ก่อนที่เขาจะกระแอมไอพร้อมกับเริ่มพูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า

 

      " ท่านผู้เฒ่าครับ...ผมมีเรื่องอะไรบางอย่างจะถามท่านซักเรื่อง "

 

      " หืม...เชื่อข้าเถอะ ไกร เจ้าอย่าคิดสอนกระบวนดาบให้กับองค์หญิงสิริจันทรเป็นอันขาดเลย ถ้าหากไม่อยากจะเสี่ยงดับอนาถเช่นข้านี่ "  คำตอบที่แสนจะจริงจัง ไร้ซึ่งแววล้อเล่นชวนหัวโดยสิ้นเชิงของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรถึงกับต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆทันที ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าและพูดแก้ช้าๆว่า 

 

      " เปล่าหรอกครับ...ผมแค่อยากจะถามท่านว่า ท่านมีเกณฑ์ในการรับมือสังหารคนใหม่ยังไง? หมายถึงต้องมีความสามารถขนาดไหนเหรอครับถึงจะสามารถกลายเป็นมือสังหาร...หรืออย่างน้่อยๆก็ได้รับการช่วยเหลือให้กลายเป็นคนของหมู่บ้านยุคันตวาตได้น่ะ? "

 

      " หืม? "  คำถามของไกรทำให้ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆอย่างสนอกสนใจ พร้อมกับที่ผู้ที่อาวุโสกว่าเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิด...ถึงแม้ว่าใบหน้าของท่านในเวลานี้จะไม่ชวนให้น่าเคารพนับถือเลยก็ตามที ก่อนที่เขาจะผ่อนลมหายใจเล็กน้อยและพูดขึ้นเรียบๆว่า

 

      " ...ไอ้เกณฑ์จริงๆน่ะไม่มีหรอก หมู่บ้านยุคันตวาตจะช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากสงคราม หรือสูญเสียบางสิ่งบางอย่างจากสงคราม และกำลังจะตาย หรือถูกเข้าใจว่าตายไปแล้ว ตัดขาดจากโลกด้านสว่างไปแล้ว...มากที่สุดเท่าที่มือของพวกเราจะสามารถเอื้อมถึง...ส่วนเรื่องที่ว่าการเป็นมือสังหารนั้นไม่ต้องถามเลย อย่างน้อยๆก็ต้องไม่พลาดพลั้งตายเอาง่ายๆระหว่างภารกิจที่อยู่ในระดับปาฎิหาริย์ของพวกเรานั่นแหละ "

 

      " ถ้าอย่างนั้นก็เหมาะเลยครับ เพราะผมมีแนะนำอยู่คนนึง...คนที่มีความสามารถมากพอ หรืออย่างน้อยๆก็มีอดีตอันเจ็บปวดจากสงคราม...ไม่สิ...ผมต้องพูดว่าเขากำลังจะมีอดีตอันเจ็บปวดจากสงคราม...ความเจ็บปวด...ที่หนักหนาสาหัสน่าดูชมเลยล่ะครับ "

 

      " กำลังจะ...มีอดีตอันเจ็บปวดอย่างนั้นหรือ? เป็นคำพูดที่แปลกประหลาดสิ้นดี พูดราวกับว่าเจ้าเห็นอนาคตได้อย่างนั้นแหละ "

 

      " โธ่...ท่านผู้เฒ่า...ท่านกำลังพูดอยู่กับชายผู้มาจากอนาคตอยู่นะครับ "

 

      " เออ จริงของเจ้า...ข้าลืมไปเลย ...เอ้า! ถ้าอย่างนั้นไอ้คนที่เจ้าว่านั่นมันเป็นใคร อยู่ที่ไหนกันล่ะ? "

 

        ไกรยิ้มเล็กน้อยอย่างมีเลศนัยก่อนจะตอบคำถามของท่านผู้เฒ่าเรียบๆว่า

 

      " คนๆนั้นอยู่ในที่ๆ มือ...ของหมู่บ้านอาจจะต้องเอื้อมไปไกลซักหน่อย เพราะเขากำลังเดินทางลงไปทางใต้...กับกองทัพ ๕ พันนายที่กำลังลงไปรับศึกใหญ่ กองทัพพระเจ้าอลองพญานั่นแหละ "

 

      " หืม? เจ้าจะบอกว่าคนๆนั้นเป็นคนของกองทัพอย่างนั้นรึ? "

 

      " ก็ไม่เชิงน่ะครับ...เขาเป็นกองอาสา...ผู้เป็นหัวหน้ากองอาสาอาทมาทที่ติดตามทัพพระยารัตนาธิเบศร์ไป...ชื่อของเขาคือ...ขุนรองปลัดชูน่ะครับ! "

 

     ...สำหรับเขา นี่คืออดีตที่จบไปแล้ว...สำหรับทุกคนในเวลานี้ นี่คืออนาคตที่ยังไม่มาถึง...

 

     ...ก็ได้...อนาคตของอดีต...สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารที่เขารู้จัก...เขาจะเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเอง!!...

 

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

     ...เช้าวันต่อมา...

 

      " ...อเทตยา...ยินดีที่ได้รู้จักพวกท่านทั้งสองเจ้าค่ะ ท่านเรือง ท่านสิน... "  อเทตยาที่เวลานี้อยู่ในชุดที่ทะมัดทะแมงและคล้ายกับชุดของอนาสตาเซียก้มหัวลงเคารพให้กับชายหนุ่มทั้งสองผู้อยู่ในหน่วยคเณศร์เสียงามาก่อนอย่างนอบน้อมและใช้น้ำเสียงใสซื่อราวกับเด็กสาวได้อย่างไร้ที่ติ ซึ่งมันเป็นการสร้างความประทับใจแรกได้อย่างดีจนน่าเหลือเชื่อ แม้กระทั่งสำหรับสินและเรืองที่น่าจะเข้ากับคนอื่นได้ยาก...ไม่สิ...คงต้องบอกว่าถ้าหากไกรและอนาสตาเซียไม่ได้รู้มาก่อนว่าเธอคือมือสังหารรับจ้างคนนั้น เขาเองก็คงจะประทับใจกับกริยามารยาทของอีกฝ่ายไม่น้อยแน่ๆ

 

      ' นั่นสินะ...ความประทับใจในการพบกันครั้งแรกถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายตัดสินว่าจะเป็นสหายหรือตั้งป้อมเป็นศัตรูกับเราได้...แบบเดียวกับที่เราเองที่ความประทับใจแรกก็ล่อซะน่าหมั่นไส้จนเล่นเอาเฉียดตายไปหลายรอบเลย...แต่ว่า...ไอ้ท่าทีใสซื่อและเป็นมิตรนี่มัน... '

 

      " ไกร "  เสียงเรียกของอนาสตาเซียที่ยืนอยู่ข้างๆทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อยอย่างตื่นจากภวังค์ ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วใส่มือสังหารสาวผู้บัดนี้กลายมาเป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเห็นหญิงสาวยังคงมองไปที่อเทตยาเขาก็ร้อง อ้อ! เบาๆอย่างเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายหมายถึงทันที

 

      " ...อืม...น่าจะเป็นเพราะในอดีตเธอเคยเป็นอุปนิกขิตที่แฝงตัวมาอยู่ในอโยธยานี้ล่ะมั้ง เลยสามารถใส่หน้ากาก---หมายถึงแสดงออกมาได้อย่างไร้ที่ติและเป็นมิตรได้ถึงขนาดนี้...จะว่าไปถ้าหากเราไม่รู้มาก่อนก็คงเชื่อในสิ่งที่เธอแสดงออกมาแล้วล่ะ "  ไกรโคลงหัวพร้อมกับพูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปและแตะไหล่อเทตยาเล็กน้อยเป็นเชิงชื่นชมทันที

 

      " ท่านไกร? "

 

      " อืม รู้จักกันครบทุกคนแล้วสินะ ท่านเรือง สิน...อเทตยาน่ะเป็น...เอ่อ...สหายของข้ากับอนาสตาเซียน่ะ เห็นอย่างนี้แต่เธอก็เป็นมือฉมังธนูที่เก่งกาจหาตัวจับยากคนนึงเลยนะ "

 

      " มือฉมังธนูอย่างนั้นเหรอขอรับ? "  คำพูดของไกรผู้เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขาทำให้เรืองกับสินหันไปมองหน้ากันเอง ก่อนจะพร้อมใจกันทวนคำเสียงสูงขึ้นทันที

 

      " เออ...มือฉมังธนู...แถมทั้งฝีมือและความแม่น ดีไม่ดีอาจจะเก่งพอๆกับมือฉมังธนูที่เคยเล่นงานพวกเราที่โรงเตี๊ยมนั้นด้วยซ้ำไปเลยนะเอ้อ "  ไกรพูดด้วยท่าทีติดตลกเพื่อลดความน่ากังขาที่ฉายออกมาจากดวงตาของทั้งสอง แต่แววตานั้นก็เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว ก่อนที่มันจะหายไปพร้อมกับที่เรืองและสินยักไหล่เล็กน้อย เพราะลึกๆแล้วเขาก็รู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่อเทตยากับมือฉมังธนูที่โจมตีพวกเขาที่โรงเตี๊ยมนั่นจะเป็นคนๆเดียวกันมีน้อยมาก...โดยเฉพาะยิ่งเมื่อไกรเป็นคนพูดเองว่าเธอเป็นสหายของทั้งเขาและอนาสตาเซีย ไอ้โอกาสที่ว่านั่นยิ่งน้อยจนไม่น่านำกลับมาคิดให้รกสมองเลยทีเดียว

 

      " ก็นะ...ถ้าท่านรับประกันว่านางมีความสามารถระดับนั้น พวกข้าก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้อนรับนางเข้ามาอยู่ในหน่วยอยู่แล้ว...ถึงหน่วยเราจะกลายเป็นหน่วยที่ประหลาดที่สุดในอโยธยาแล้วก็ตามที "  สินพูดขึ้นอย่างง่ายๆและเหมือนกับยอมรับในตัวของอเทตยากลายๆ อาจจะเป็นเพราะเขาเองก็ไม่ได้มีอคติอะไรกับหญิงสาวที่สร้างความประทับใจแรกให้เขาถึงขนาดนี้อยู่แล้วด้วย...ในขณะที่เรืองมองหน้าไกรและอเทตยาสลับกันเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากเหมือนกับจะพูดอะไรออกมา แต่เขาก็ชะงักไปก่อนจะหุบปากและพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงยอมรับตามลักษณะนิสัยพูดน้อยของเขาเอง  ซึ่งนั่นเป็นเหมือนสัญญาณที่บอกว่างานของไกร เสร็จไปอีกหนึ่งอย่างแล้วทันที

 

      " เฮ้อ...ทีนี้หน่วยของเราก็มีทั้งนักดาบ จอมขมังเวทย์ และมือฉมังธนูระยะไกลครบเสียที...ว่าก็ว่าเถอะนะ...เท่าที่ข้าเห็นในเวลานี้...ต่อให้เป็นเขาดาบทะเลเพลิง หน่วยของเราก็ฝ่าไปได้อย่างไม่ยากเย็นเลยด้วยซ้ำ "  ชายหนุ่มพูดพลางลอบถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งใจเล็กน้อยที่เขาสามารถแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไปได้อย่างง่ายดายกว่าที่เขาคิด ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วและเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที เมื่อเห็นสิ่งผิดปรกติที่ผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา

 

      " นั่นมัน? "  

 

        เสียงครางของไกรทำให้ทุกคนที่ยืนคุยกันอยู่หันไปมองที่เดียวกับที่ไกรมองด้วยความสนใจ ก่อนที่ภาพที่เห็นจะทำให้ทุกคนขมวดคิ้วเช่นเดียวกับที่ไกรทำโดยทันที...เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นคือจอมทหารเฒ่าที่เขารู้จักดีอย่างเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ หรือท่านครุฑ ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีผู้มีำนาจสูงสุดแห่งฝ่ายพลเรือนและบิดาบุญธรรมของหลวงยกกระบัตรเมืองตาก สิน ที่เวลานี้อยู่ในชุดขุนนางฝ่ายพลเรือนเต็มยศที่น่าจะนั่งเสลี่ยงคานหามแทนที่จะควบม้าที่แต่งองค์เป็นม้าศึกเต็มยศเช่นนี้ พร้อมด้วยทหารติดตามวัยฉกรรจ์ในชุดขุนนางระดับพระอีก ๓ นายที่ควบตะบึงเข้ามาโดยมีจุดมุ่งหมายมาที่พวกเขาโดยตรง ซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็น่าแปลกจนพวกเขาทั้งหมดถึงกับต้องหยุดการสนทนาลง  จนกระทั่งทันทีที่เจ้าพระยาจักรีควบม้ามาถึงและชักม้าให้หยุดลง ไกรก็เดินก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับยิ้มและเอ่ยทักไปอย่างเป็นมิตรทันที

 

      " ท่านเจ้าพระยาจักรี...ไม่นึกเลยว่าจะได้มาพบท่านในเวลาเช้าเช่นนี้...ท่านมีกิจอันใดกับสินอย่างนั้นหรือขอรับ? "

 

        แต่คำทักทายที่พยายามบังคับเสียงให้เป็นมิตรที่สุดของไกรกลับไม่สามารถทำให้เจ้าพระยาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีเฒ่าแม้แต่จะขยับรอยยิ้ม...ใบหน้าหยาบกร้านที่เวลานี้มีเหงื่อซึมชื้นขึ้นมาเล็กน้อยเพราะควบม้ามาอย่างเต็มที่บวกกับดวงตาที่นิ่งลึกอ่านไม่ออกมองทอดมาที่ไกร ก่อนจะเหลือบมองไปที่สินผู้เป็นลูกบุญธรรมของเขาเพียงเสี้ยววินาที แล้วก็ทอดกลับมามองที่ไกรนิ่งอีกครั้ง...นาน ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกเล็กน้อย...เขาชักม้าเพื่อปรามไม่ให้ตื่นอีกครั้งก่อนจะพูดเรียบๆว่า

 

      " มิใช่หรอกขอรับ...กระผมไม่ได้มาหาสิน แต่คราวนี้มีกิจธุระกับท่านโดยตรงต่างหาก...ท่านไกร "

 

      " มาหากระผม? "  ไกรเลิกคิ้วขึ้นอย่างเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก ก่อนที่เขาจะยังคงเลือกที่จะทำใจดีสู้เสือด้วยการยิ้มและถามกลับไปอีกครั้งว่า  " ...ถ้าอย่างนั้น ท่านมีกิจธุระอันใดกับกระผมอย่างนั้นหรือขอรับ? "

 

        คำถามของไกรทำให้ขุนนางผู้เป็นถึงหัวหน้าขุนนางฝ่ายพลเรือนทั้งหมดอย่างเจ้าพระยาจักรีครุฑเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนที่ในที่สุด อัครมหาเสนาบดีเฒ่าจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุดว่า

 

      " ...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...มีราชโองการกุมตัวท่าน ให้ไปเฝ้าพ่ออยู่หัวเพื่อชำระคดีที่อาจจะมีโทษถึงฟันคอริบเรือนทันที...เพราะในเวลานี้ มีผู้ทอดบัตรสนเท่ห์...กล่าวหาว่าท่านมีความสัมพันธ์อันมิบังควร กับสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร...และบัตรสนเท่ห์นี้ก็ถูกทอดไปทั่วทั้งพระนครเรียบร้อยแล้ว! "

 

      " ว่าอย่างไรนะ?!! "

 

 

 

 

 

 ......................................................

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา