ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  110.09K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

78)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

       คำพูดของคุณพระผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของออกญาอนุชิตชาญไชย...นอกจากไกรที่ยังคงนั่งนิ่งอย่างรักษาท่าทีจนอ่านไม่ออกอยู่ ผู้ที่ได้สติก่อนคือหลวงยกกระบัตรเมืองตาก สิน ที่ทะลึ่งพรวดขึ้นด้วยจิตคุกคามที่แข็งกร้าวพร้อมกับคำรามออกมาทันที

 

     " ว่าอย่างไรนะ?! "  

 

     " ช้าไว้...สิน "

 

     " ท่านไกร? "

 

     " นี่น่ะหรือ? อามิสสินจ้างที่ทำให้ออกญาอนุชิตฯ ยอมมาอยู่ข้างหลังท่านได้...ท่านไกร "  เรืองที่นิ่งไปเล็กน้อยเอ่ยออกมาเบาๆ อย่างผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนและมองเรื่องราวต่างๆออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ไกรมีสีหน้าเคร่งลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากเป็นเชิงไล่ผู้ใต้บังคับบัญชา ๒ ท่านเรียบๆโดยที่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำถามของท่านเรืองใดๆทั้งสิ้น

 

     " พวกเจ้า ๒ คนกลับไปก่อนเถอะ "

 

     " ท่านไกร?! "

 

     " ถือว่าข้าขอร้องล่ะ "

 

       คำพูดที่เต็มไปด้วยกระแสวิงวอนขอร้องด้วยความจริงใจของไกรทำให้เรืองและสินที่แม้แต่ยังคงมีอารมณ์กรุ่นๆอยู่ถึงกับชะงักกึก เพราะถึงจะพูดด้วยความเป็นกันเองแบบปรกติอยู่แล้ว แต่น้อยครั้งไกรจะพูดกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้องเช่นนี้

 

     " แต่ว่า... "  สินพยายามจะพูดอะไรออกมา แต่เขาก็ชะงักไปอีกครั้งเพราะบ่ากว้างๆของเขาก็ถูกมือของเรืองกดไว้เสียก่อนกอนที่อดีตพระยาเพชรบุรีจะพูดเบาๆว่า

 

     " ท่านไกร...ถึงท่านจะลงเป็นหญ้าช้างแล้ว แต่ท่านก็ยังเป็นหัวหน้าหน่วยคเณศร์เสียงา เป็นนายแห่งพวกข้าเช่นเดิม...ข้าเชื่อว่าการตัดสินใจของท่านผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว "

 

     " ข้าขอบคุณที่ท่านไว้ใจข้านะ ท่านเรือง สิน "

 

     " ท่านไกร "  เรืองและสินก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงคำนับและบอกลา ก่อนที่เรืองจะพยักหน้าให้สินเป็นเชิงให้เดินออกไป โดยทิ้งไกรไว้กับเหล่ากรมพระตำรวจที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เหล่านั้นทันที

 

     " หึๆ...ข้ากำลังนึกอยู่นะ ว่าที่พวกเจ้าทำเช่นนี้ เป็นเพราะพวกเจ้าตั้งใจจะหักหน้าของข้า "  ในที่สุด ไกรก็เอ่ยขึ้นเรียบๆโดยแฝงจิตคุกคามลงไปในน้ำเสียงด้วยเพื่อแสดงถึงอำนาจที่เหนือกว่า และกดจนกระทั่งกรมพระตำรวจทุกคนถึงกับต้องก้มหน้าลงอย่างอึดอัด ในขณะที่คุณพระผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มคนที่นี่รีบพูดออกมาเบาๆทันที

 

     " หามิได้ขอรับ...พวกกระผมเองก็ถูกช่วงใช้มาอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นกัน หากกระผมไม่รีบมาก็คงจะต้องอาญาเฆี่ยนจนหลังลายกันหมด...กระผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านขุ่นเคืองใดๆเลยแม้แต่น้อย...ได้โปรด ให้อภัยด้วย "

 

     " เฮ้อ...เอาเถอะ...เรื่องนี้ข้าผูกไว้เอง ข้าก็คงต้องแก้เอง "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างไม่อยากจะเอาเรื่องเอาราวอะไรกับคนพวกนี้ ก่อนที่เขาจะค่อยๆใช้มือถอดสายเชือกร่มที่เขาใช้เพื่อแขวน พระธำมรงค์พระราชทาน ไว้กับคอออกมาและยกมือไหว้ราวกับเป็นเครื่องรางช้าๆ 

 

     " พระธำมรงค์อยู่ในมือของข้าแล้ว "

 

     " ขอรับ "

 

       อีกฝ่ายรับคำเบาๆ ก่อนจะยื่นมือมาเพื่อรับพระธำมรงค์คล้องเชือกร้มนั้น แต่ไกรหดมือกลับมาเสียก่อนพร้อมกับขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำและราบเรียบจนน่ากลัวว่า

 

     " ท่านรู้อยู่แก่ใจแล้วสินะ ว่าอำนาจของพระธำมรงค์มันยิ่งใหญ่มากมายมหาศาลเพียงใด...คุณพระ "

 

     " ... "

 

     " อำนาจของพระธำมรงค์มันมีมากเกินกว่าที่ใครซักคน เว้นแต่พ่ออยู่หัวจะสามารถครอบครองไว้ในคนๆเดียวได้...มันไม่ใช่แค่อำนาจในการเข้านอกออกในเขตพระราชฐานทุกๆชั้น...แต่เป็นอำนาจในการเข้าถึงในส่วนสำคัญทุกส่วน...ตั้งแต่โรงพระราชยาน พระคลังมหาสมบัติ...พระที่นั่งต่างๆ...พระตำหนักของพระสนมนางในทุกพระองค์...รวมไปถึง...พระตำหนัก...แห่งพ่ออยู่หัวทั้งสองพระองค์อีกด้วย...จะพูดให้ถูก พระธำมรงค์วงนี้มีอำนาจมากเกินกว่าที่ข้าจะสามารถครอบครองได้ด้วยซ้ำ... "

 

    ...คำพูดของไกรเป็นเหมือนกับน้ำที่พยายามจะสาดให้ดวงตาของอีกฝ่ายสว่างขึ้น ซึ่งเขาก็รู้ดีว่ามันก็ได้ผลไม่มากก็น้อย เพราะอีกฝ่ายถึงกับชะงักงันไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น คุณพระผู้นั้นก็จำใจต้องก้มหน้าลงเพราะเขาจำเป็นต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย พร้อมๆกับที่เขายื่นมือออกมาเล็กน้อยเป็นเชิงร้องขอพระธำมรงค์ในมือของไกรอีกครั้ง นั่นทำให้ไกรผ่อนลมหายใจเล็กน้อยอย่างไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ต่อ ...ชายหนุ่มแกะเชือกร่มที่ผูกพระธำมรงค์ไว้ออก ก่อนจะวางพระธำมรงค์ทองประดับทับทิมน้ำหนึ่งบนมือของอีกฝ่ายช้าๆ และพูดต่อเรียบๆว่า

 

     " รักษามันดีๆล่ะ...ถึงข้าจะบอกให้ท่านออกญาอนุชิตฯใช้ได้ แต่ก็เป็นการให้หยิบยืม ไม่ได้ให้เลย...เพราะฉะนั้น ข้าหวังจะได้คืนมาอย่างครบถ้วนไม่บุบสลายนะ "

 

     " กระผมจะรักษามันยิ่งชีพ และส่งให้ถึงมือท่านออกญาอนุชิตฯ...ก่อนจะนำพระธำมรงค์วงสำคัญนี้กลับคืนสู่ท่านแน่นอน นี่เป็นคำสัตย์ยิ่งชีวิตของกระผมขอรับ ท่านเจ้าพระยา "

 

       คำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงของชายผู้ถือสัตย์เหนือสิ่งอื่นใดทำให้ไกรยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายคารวะเขาและทำท่าจะเดินจากไปว่า

 

     " ประเดี๋ยวก่อน คุณพระ... "

 

     " ขอรับ? "  คุณพระแห่งกรมพระตำรวจผู้นั้นรับคำพร้อมกับหันกลับมาเลิกคิ้วดกหนาเล็กน้อยอย่างงงงวย ในขณะที่ไกรกระตุกยิ้มมุมปากบางๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกว่า

 

     " คุณพระ...เห็นแก่ที่ท่านเป็นชายชาติอาชาไนยผู้ถือสัจจะเป็นดั่งเกราะคลุมกาย เป็นชายผู้น่านับถือคนหนึ่ง...ข้าขอเตือนอะไรท่านสักอย่างเถอะนะ "

 

     " ข...ขอรับ? "

 

     " ...พายุใหญ่...กำลังจะพัดมาแล้ว พายุคลั่ง ที่พร้อมจะกวาดทุกอย่างที่ขวางเส้นทางอยู่ให้ราพนาสูร...ไม่มีสิ่งใดจะหยุดพายุนี้ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ผ่านไปเท่านั้น...ข้าภาวนาให้คนเช่นท่าน อยู่ห่างจากพายุใหญ่นั้น เมื่อมันพัดผ่านนะ ท่านออกพระ... " 

 

     " ท...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? "

 

     " เฮ้อ...ข้างเถอะ ข้าก็แค่พูดลอยๆเท่านั้นแหละ ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจก็ได้... เชิญท่านกลับไปเถอะ ขออภัยด้วยที่ข้าเสียมารยาทไม่ส่งนะ "

 

 

 

 

..................................................

 

 

 

 

    ...ณ จวนไม้ของออกพระเพชรพิไชย...ที่พำนักชั่วคราวของไกรในขณะนี้...

 

     " อ้ะ...ท่านไกร กลับมาจากงานตะพุ่นหญ้าช้างแล้วหรือเจ้าคะ "  เหล่าสาวใช้และนางทาสที่ทำงานบ้านอยู่ในเรือนของพระเพชรพิไชยเอ่ยทักทายชายหนุ่มผู้ต้องโทษทัณฑ์ทันทีอย่างคุ้นชิน แต่คราวนี้บรรยากาศที่อยู่รอบตัวไกรกลับต่างไปจากเดิม ทั้งชายหนุ่มยังตอบรับเพียงพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่เป็นปรกติคงจะยอ้มและทักทายพวกเธอเป็นอย่างดีแท้ๆ

 

     " ท....ท่านไกร? "

 

     " ...ขอโทษนะ...วันนี้ข้าเหนื่อยเสียเหลือเกิน "  ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่หันมามองด้วยซ้ำ นั่นทำให้ทุกคนยิ่งงงงวยเข้าไปใหญ่ เพราะดีไม่ดี ไอ้งานตะพุ่นหญ้าช้างที่ชายหนุ่มถูกทำโทษนั้นอาจจะเหนื่อยน้อยกว่างานที่พวกเธอทำครึ่งวันด้วยซ้ำไป และชายหนุ่มก็เป็นตะพุ่นหญ้าช้างมาอาทิตย์กว่าแล้ว จึงเป็นเรื่องแปลกมากที่พึ่งจะมาบ่นเอาวันนี้

 

     " เอ่อ...จะให้พวกข้ายกสำรับกับข้าวไปให้ที่ห้องรึเปล่าเจ้าคะ? "

 

     " ไม่ต้องหรอก... "

 

     " อ...ท่าน--- "

 

     " ข้าคงจะยังไม่หิวไปสักพักนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ...เวลานี้ข้าเพียงเหนื่อย และง่วงเหลือเกิน...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าคงต้องขอตัวล่ะนะ "

 

       คำพูดของชายหนุ่มยิ่งทำให้นางรับใช้ทุกคนยิ่งงงงวยเข้าไปใหญ่ เพราะเท่าที่พวกเธอรู้จักกับไกรมา ชายหนุ่มไม่เคยพลาดรายการอาหารเย็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้ในวันนั้นจะกลับมาถึงจวนล่าช้าเพียงใด หรือเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม (เพราะไกรอยากรู้อยากลองในอาหารตำหรับโบราณแทบทุกอย่าง)  แต่คราวนี้เขากลับไม่ยอมกินอะไร...อีกทั้งบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากรอบๆกายของชายหนุ่มก็ยังผิดแผกออกไป...จากที่เคยเต็มไปด้วยความเป็นกันเองและอบอุ่น กลับกลายเป็นความเยือกเย็น จนกระทั่งเกือบจะเข้าสู่ความเย็นชาจนนางรับใช้ทุกคนถึงกับต้องถอยห่างออกมาอย่างไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

 

     " อย่าไปรั้งเขาไว้เลย...พวกเจ้าน่ะ "  ในทีสุด พระเพชรพิไชย ออกพระผู้เป็นจางวางหัวหน้าทหารล้อมวังเฒ่าที่เวลานี้กำลังนั่งจิบชาจีนอยู่เงียบๆที่ศาลาไม้เล็กๆกลางจวนของเขาก็เอ่ยขึ้นเพื่อปรามเหล่านางรับใช้ของเขาเรียบๆ เพื่อไม่ให้ทั้งหมดไปกวนชายหนุ่มมากกว่านี้ ก่อนจะพูดต่อเบาๆว่า

 

     " ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำของเขาทั้งหมดทั้งสิ้น...ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือชั่่วเขาก็ล้วนแล้วแต่ต้องยอมรับมัน...แต่ข้าก็ต้องยอมรับที่เขายอมกัดฟันเผชิญหน้าชะตากรรมของตนโดยไม่ปริปากบ่น ไม่โทษโชคชะตาใดๆทั้งสิ้น...เขาเป็นคนจริงอีกหนึ่งคนที่หาได้ยากในยุคสมัยนี้จริงๆ "

 

     " ใต้เท้า...ท่านออกพระเจ้าคะ? "

 

     " เวที...กำลังจะเปิดม่านแล้ว "

 

       ระหว่างที่พวกหญิงรับใช้บนเรือนจะยังคงงงเป็นไก่ตาแตกอยู่นั้น ไกรก็ใช้โอกาสนี้เลี่ยงเดินออกไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งมาถึงห้องของเขาบนเรือนของออกพระเพชรพิไชย...ชายหนุ่มปิดประตูและลั่นดาลอย่างแน่นหนาที่สุดโดยเจตนาอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ผู้ใดรบกวน ก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรง ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียดทั้งเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ก่อนจะบ่นเชิงครางออกมาเบาแสนเบาว่า

 

     " เฮ้อ...ไหว้ล่ะนะ ขออย่าให้มีเรื่องบ้าๆอะไรเกิดขึ้นเล้ยยย! "

 

 

 

 

 

................................................

 

 

 

 

   ...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...ณ จวนอันใหญ่โตของพระยาอนุชิตชาญไชย...จางวางพระตำรวจฝ่ายขวา...

 

       ในที่สุด คุณพระผู้นำกำลังคนไปตามคำบัญชาของผู้เป็นนายจะกลับมาถึงจวนอันเป็นที่อยู่ของผู้เป็นนาย ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรง พวกเขาเดินทางกลับมาได้อย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน อาจเป็นเพราะเขากำลังต่อสู้กับความรู้สึกผิดในใจที่เขาจะต้องนำพระธำมรงค์พระราชทานอันมีน้ำหนักของอำนาจมากจนถ่วงเขาไว้มาให้เจ้านาย ทั้งๆที่เขารู้ดีว่านายของเขาคงจะไม่ได้เอาไปทำประโยชน์หรือสร้างความเจริญใดๆแน่ๆ

 

       หลังจากผูกม้าไว้เสร็จสิ้น คุณพระวัยกลางคนนิ่งไปเล็กน้อยราวกับกำลังชั่งใจ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะถอนหายใจเฮือกอย่างปลงตกพร้อมกับค่อยๆก้าวขึ้นบนเรือนไปเพื่อพบกับเจ้านายผู้กำลังรอคอยอยู่ทันที

 

     " ท่านออกญาอนุชิตชาญไชย...ข้ากลับมาแล้วขอรับ "

 

       คำทักทายของเขาทำให้ออกญารูปร่างสมบูรณ์ที่อยู่ในชุดกางเกงแพรโดยเปลือยท่อนบนไว้และกำลังพูดคุยกับใครซักคนอยู่อย่างออกรสหันกลับมามองพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีและพูดพลางกลั้วหัวเราะอยู่ว่า

 

     " อ้อ! มาแล้วรึ คุณพระ แล้วได้ ของนั่น มารึเปล่าล่ะ? "

 

       คำพูดของพระตำรวจยศพระยาผู้เป็นนายของกรมพระตำรวจทั้งมวลทำให้คุณพระชะงักไปเล็กน้อยราวกับว่าอึ้งไป ก่อนจะหยิบห่อผ้าไหมสีแดงที่เขาใช้เพื่อห่อพระธำมรงค์ออกมา พร้อมกับครางออกมาเบาๆว่า

 

     " พระธำมรงค์...ไม่ใช่ ของนั่น นะขอรับ... "

 

     " หือ...เมื่อครู้เจ้าว่าอะไรนะ? "

 

     " เปล่าขอรับ...กระผมไม่ได้พูดอะไร "

 

     " เออ...ช่างเถอะ แล้วของนั่นเล่า เจ้าเอามาได้หรือไม่? "

 

     " ...นี่ขอรับ "  คุณพระแห่งกรมพระตำรวจตัดใจส่งพระธำมรงค์ในห่อผ้าให้กับผู้เป็นนาย พร้อมกับที่ผู้เป็นนายอย่างออกญาอนุชิตจะคว้าไปส่องกับแสงไฟที่เริ่มถูกจดขึ้นเพือส่องสว่างในจวนพร้อมกับหัวเราะร่าทันที

 

     " ฮ่าๆๆๆ ของแท้ ทับทิมน้ำหนึ่ง ถอดมาจากพระหัตถ์ของพ่ออยู่หัว...พระธำมรงค์ที่ทรงอำนาจที่สุดในราชอาณาจักร...ข้าบอกท่านแล้วว่าเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีเป็นพรรคพวกกับข้าแล้ว...เป็นมิตรสหายทางธุรกิจที่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจกันได้จนกระทั่งเจ้าพระยาพิทักษ์ฯยอมแม้แต่มอบของที่สำคัญที่สุดนี้มาให้ข้าหยิบยืม ...พวกเจ้าฟังคำข้าไว้ให้ดีเถอะ พวกกรมวังกำลังจะสั่นคลอนไปด้วยอำนาจของข้าและเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...และสักวัน พวกมันก็จะต้องก้มหัวลงให้กับข้า! "

 

     " หืม...นี่จริงหรือนี่?! ท่านสามารถทำได้อย่างที่พูดเอาไว้จริงๆหรือนี่? ท่านออกญา "  พระธำมรงค์สำคัญที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มที่นั่งสนทนาอยู่ตั้งแต่แรกถึงกับครางออกมาอย่างงงงวยระคนทึ่งทันที นั่นทำให้ออกญาอนุชิตยิ่งลำพองใจจนตัวพองขึ้นราวกับอึ่งอ่าง ก่อนจะเชิดหน้าพร้อมกับพูดต่ออย่างขี้โอ่ทันที

 

     " ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯฉลาดพอจะรู้ว่าต้องเข้ากับฝ่ายไหนถึงจะทำให้ตำแหน่งหน้าที่ของตนมั่นคงต่อไป...ที่ข้าเชิญท่านมาเพราะข้าเชื่อว่าท่านเองก็น่าจะฉลาดมากพอจะทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว... " 

 

     " ท่าน...นี่ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?! "

 

       คำถามด้วยน้ำเสียงทึ่งๆของอีกฝ่ายยิ่งทำให้คนที่หลงมัวเมาในอำนาจอย่างออกญาอนุชิตยิ่งโอ่ลำพองตัวเข้าไปใหญ่ เขารินเหล้าองุ่นที่ได้มาจากพ่อค้าวาณิชย์ชาวตะวันตกใส่แก้พร้อมกับกระดกลงคอรวดเดียว ก่อนจะเป่าปากพร้อมกับพูดพลางกลั้วหัวเราะต่อว่า

 

     " ข้าน่ะหรือ? ข้าต้องการเพียงแค่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่มันล้าสมัยไปแล้วในระบบราชการ...โละของเก่าทิ้ง และแทนที่ด้วยของใหม่ กลุ่มอำนาจใหม่ สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นบนราชอาณาจักรนี้เท่านั้น "

 

     " ท...ท่าน...ท่านคิดการณ์ใหญ่เหลือเกิน คิดจะเปลี่ยนแปลงระบบราชการที่มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณอย่างนั้นหรือ? ท่านมันบ้าไปแล้ว "

 

     " ฮ่าๆๆๆ ท่านรู้ไหมว่าอะไรคือข้อแตกต่างระหว่าง คนบ้าใบ้ กับ วีรบุรุษ น่ะ...ความสำเร็จอย่างไรล่ะ....หากข้าทำสำเร็จ ข้านี่แหละ ที่จะกลายเป็นวีรบุรุษผู้ที่คนต้องจดจำและเล่าขานในชื่อเสียงของข้าไปอีกนานแสนนาน! "

 

     " ท...ท่านนี่! "

 

     " การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว...วิหคที่ดีย่อมรู้จักเลือกกิ่งที่ใช้เกาะเพื่อหลบภัยและพักพิง และกิ่งของข้าก็เหลือที่ให้ วิหคไม่กี่ตัวนักหรอก...ข้าอยากให้ท่านรีบตัดสินใจเสียหน่อยนะ...ท่านเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์...ท่านปิ่น! "

 

       ผู้ที่นั่งดื่มสุราอยู่กับท่านออกญาอนุชิตฯไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นชายผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่เทียบเท่ากับไกรทุกประการ เจ้าพระยาผู้เป็นจางวางมหาดเล็กฝ่ายพลเรือนทั้งปวง ในขณะที่ไกรมีตำแหน่งเป็นจางวางมหาดเล็กฝ่ายทหารราชองครักษ์...ชายวัยกลางคนผู้มีร่างกายล่ำสันเลิกคิ้วอันดกหนาของเขาเล็กน้อยราวกับกำลังรับฟังข้อเสนอของอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่ในที่สุด เขาจะเอ่ยขึ้นเบาๆว่า

 

     " นี่...นี่ท่านคิดไปถึงขั้นล้มล้าง...ราชบัลลังก์แห่งพ่ออยู่หัวเอกทัศน์เชียวหรือนี่?! " 

 

     " ห...หา? ว่าอย่างไรนะขอรับ? ไม่ๆ "  ออกญาอนุชิตฯอุทานออกมาอย่างตกใจพร้อมกับรีบส่ายหน้าปฏิเสธลั่นทันที  " ...กระผมยังคงจงรักภักดีต่อพ่ออยู่หัวทั้งสองตามที่กระผมได้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาไว้...กระผมบอกท่านแล้วว่ากระผมเพียงแค่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบราชการเท่านั้น "  

 

       ออกญาอนุชิตพูดพร้อมกับส่งพระธำมรงค์พระราชทานไปให้กับคุณพระผู้ที่ยังคงหมอบนั่งรออยู่พร้อมกับสั่งด้วยเสียงทรงอำนาจทันที

 

     " คุณพระ ช่วยนำพระธำมรงค์วงนี้กลับไปคืนสู่เจ้าของ คืนสู่ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯทีนะ และบอกว่าข้าเพียงแค่ทดสอบว่าท่านมั่นคงต่อคำสัตย์ของทานเพียงใดเท่านั้น ต้องขอโทษและขอขอบน้ำใจท่านเจ้าพระยาด้วยที่ต้องทำให้ลำบากใจเช่นนี้ "

 

     " น...แน่ใจหรือขอรับ ท่านออกญาฯ "  คุณพระผู้นั่งรอท่าอยู่ถึงกับร้องออกมาเบาๆทันที ทำเอาออกญาอนุชิตถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอเบาๆทันที

 

     " อะไร? เจ้าคิดว่าข้าจะยึดถือพระธำมรงค์ไว้เป็นสมบัติของข้ารึอย่างไร...เจ้าเป็นคุณพระแห่งกรมพระตำรวจ ทำงานร่วมกับข้ามาตั้งนาน น่าจะรู้ว่าข้าเองก็ไม่ใช่คนชั่วช้าหรือใจไม้ไส้ระกำอะไรถึงขนาดนั้น...และอีกอย่างเรื่องเพียงแค่นี้ข้าเองก็คิดเป็นน่า...เอ้า! เจ้าเอาพระธำมรงค์ไปคืนแก่เจ้าของเถอะ...ข้าว่าป่านนี้ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯคงจะรอท่าอยู่จนนั่งไม่ติดแล้วล่ะกระมัง "

 

     " ข...เข้าใจแล้วขอรับ "  คุณพระผู้นั้นรีบรับพระธำมรงค์กลับสู่ห่อผ้าไหมสีแดงที่เขาและห่อไว้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะยกมือขึ้นไหว้ทั้งออกญาอนุชิตฯและเจ้าพระยาราชมนตรีฯ เพื่อลาและหันหลังเตรียมจะนำพระธำมรงค์สำคัญวงนี้กลับคืนสู่เจ้าของทันที แต่เขาก็ต้องชะงักกึกเพราะเสียงตวาดของท่านเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ ที่ร้องออกมาอย่างกะทันหันเสียก่อน

 

     " ประเดี๋ยวก่อน! "

 

     " ข...ขอรับ? "

 

       พรึ่บ!

 

       คุณพระผู้นั้นชะงักวูบ ก่อนจะรู้สึกถึงสายลมบางอย่างที่พุ่งปะทะและผ่านร่างไป...ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมา มือทั้งสองข้างของเขาที่กำลังประคองพระธำมรงค์ในห่อผ้าสีแดงนั้นจะค่อยๆร่วงออกจากข้อมือของเขาราวกับผลไม้ที่สุกและร่วงหล่นจากขั้ว...พร้อมๆกับโลหิตสีแดงสดที่ทะลักออกมาจากบาดแผลที่เรียบสนิทราวกับถูกตัดด้วยมีดโกนขนาดยักษอันคมกริบราวกับทำนบแตกทันที

 

     " ท...ท่านออกญาอนุชิตฯ--- "  คุณพระผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของออกญาอนุชิตชืญไชยหันมาหาผู้เป็นนายพร้อมกับตะกุกตะกักครางออกมาเบาๆอย่างทำอะไรไม่ถูก และนั่นก็เป็นคำพูดสุดท้ายที่ออกมาจากปากของเขา เพราะเพียงเสี้ยววินาทีต่อมา ลำคอบริเวณหลอดลมของเขาก็ค่อยๆขาดออกด้วยบาดแผลที่คล้ายกับมาจากอาวุธชนิดเดียวกับที่ตัดมือทั้งสองของเขาทิ้ง...บาดแผล ที่กระชากวิญญาณของเขาออกจากร่างไปในชั่วพริบตาเดียว!

 

       พระตำรวจยศคุณพระผู้ที่แม้แต่ไกรเองยังต้องเอ่ยปากชมในความซื่อสัตย์...ชายผู้น่านับถือคนนึงในยุคสมัยปัจจุบัน สิ้นชีพลงแล้ว...

 

     " คุณพระ!!! "  ออกญาอนุชิตฯร้องคำรามออกมาอย่างตกใจ แต่ชั่วพริบตานั้นเองเขากลับรู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันไร้ที่มาที่พุ่งวูบจนขนลุกซู่ที่พุ่งเข้าสู่เขาราวกับกำลังจะปลิดชีพให้ดับดิ้นไปตามลูกน้องของเขา...แต่ออกญาร่างสมบูรณ์นี้ก็ยังคงไม่ทิ้งลายของจอมดาบเก่าที่เคยเป็นมาในอดีต เพียงชั่วพริบตาเดียวที่เขารับรู้ถึงจิตสังหารนั้น ดาบเล่มงามอันเป็นดาบคู่มือของเขามาตั้งแต่สมัยที่ยังหนุ่มแน่นและเต็มไปด้วยความเก่งฉกาจก็พุ่งเข้าสู่มือของเขาพร้อมกับที่เขายกดาบขึ้นเพื่อป้องกันมีดสั้นอันคมกริบที่อยู่ในมือของเจ้าพระยาผู้เป็นแขกของเขาในทันที

 

       เคร้ง!!

 

       ร่างทั้งร่างของออกญาอนุชิตฯถึงกับสะเทือนไปทั้งร่าง จนกระทั่งเขาต้องคุกเข่าลงเพื่อผ่อนแรงกดดันที่กระแทกกับดาบที่ตั้งรับอยู่ของเขา ทั้งๆที่อีกฝ่ายใช้เพียงแค่มีดสั้นเล่มเล็กๆบางๆแท้ๆ แต่กลับสร้างแรงสั่นสะเทือนได้ราวกับถูกฟาดด้วยค้อนสงครามด้ามมหึมา...ในขณะที่เจ้าพระยาราชมนตรีที่ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังพูดตุยด้วยอย่างออกรสแท้ๆ แต่เวลานี้เขากลับออกแรงกดมีดสั้นในมือพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง ส่องประกายวาววับราวกับปิศาจร้ายและริมฝีปากที่แสยะยิ้มฉีกจนเกือบถึงใบหูราวกับฆาตกรโรคจิตจะคำรามออกมาเรียบๆทันที

 

     " ขอโทษด้วยนะ ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำอะไรให้เอิกเกริกจนเกินงามนักหรอก...แต่ว่า...ข้าจำเป็นต้องใช้พระธำมรงค์วงนั้นในการบรรลุแผนการของพวกข้า... "

 

     " จ...เจ้าพระยาราชมนตรี?!! "

 

     " เฮ้อ...น่าเสียดายนัก ท่านออกญาฯ น่าเสียดายนัก "

 

     " ก...กรอด!! "

 

     " ถ้าหากเมื่อครู่เจ้าพูดว่าเจ้าพร้อมจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...พร้อมจะล้มล้างบัลลังก์ของขุนหลวงขี้เรื้อน พวกเราคงจะสามารถร่วมงานกันได้แท้ๆ "

 

     " ม...มึง! "

 

     " ข้าก็ไม่อยากจะบอกอะไรให้เจ้าไม่สบายใจในเวลานี้หรอกนะ แต่หลังจากฆ่าเจ้าแล้ว ข้าจะส่งทุกคนที่อยู่ในเขตเรือนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระตำรวจเวรยาม ข้าทาสบริวาร รวมไปถึงเมียและลูกของเจ้า...ลงตามไปอยู่กับเจ้าในนรกเอง! "

 

     " ม...มึง! ทั้งที่มึงเองก็เป็นข้าในราชการ เป็นถึงเจ้าพระยาผู้กินยศฐาและความไว้วางพระราชหฤทัยเป็นถึงจางวางเหล่ามหาดเล็กแท้ๆ มึงกลับยังกล้าคิดจะทำเรื่องชั่วช้าสามานต์เช่นนั้นอีกหรือ?!! "

 

       เปรี๊ยะๆๆๆ!!

 

       พร้อมกับที่มีดสั้นรูปร่างประหลาดค่อยๆกดลงใส่ดาบของออกญาอนุชิตฯที่ยกขึ้นต้านทานช้าๆ เจ้าพระยาราชมนตรีฯก็ยิ่งแสยะยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่พร้อมกับกระซิบลอดรอยแสยะยิ้มนั้นออกมาอย่างน่าขนลุกว่า

 

     " ก็อย่างที่เจ้าบอกนั่นแหละ...หากข้าทำไม่สำเร็จ ข้าก็คงเป็นได้แค่ไอ้ชั่วช้าสามานต์ เป็นไอ้กบฏ...แต่ถ้าหากข้าทำสำเร็จ...ข้า...และพรรคพวกของข้าจะกลายเป็นผู้ที่ชวยเหลือให้ ผู้ที่คู่ควรกับราชบัลลังก์ อย่างหัวหน้าของข้า...ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ต้นราชวงศ์ใหม่ และจะขึ้นเป็นเจ้าพระยามหาเสนาฯ...สมุหพระกลาโหมคู่พระราชบัลลังก์ของท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าของข้าทันที...ข้อแตกต่างมันอยู่ที่ความสำเร็จนี่แหละ! "

 

     " ก...กรอด!! "

 

     " หึๆๆๆ เจ้ารู้ไหมว่าข้าในเวลานี้เห็นว่าเจ้าเหมือนกับอะไร...ข้าว่าเจ้าเหมือนกับงูอย่างไรล่ะ...งูตัวน้อย...ที่ริอ่านคิดการใหญ่จนเกินประมาณ...โลภโมโทสันไม่รู้จักประมาณตัว พยายามจะกลืนกินเหยื่อที่ใหญ่คับปากของตน โดยไม่สนว่าเหยื่อตรงหน้าจะเป็นเหยื่อจริงหรือไม่ จนกระทั่งในที่สุด...ปากของงูน้อยตัวนั้นก็ฉีกออกและฆ่างูตัวนั้นตาย...อย่าน่าเวทนา... "

 

       เปรี๊ยะๆๆๆๆๆ!

 

       ดาบที่ถูกหลอมตีมาจากช่างมือหนึ่งแห่งพระนคร...ดาบ ที่เคยสร้างชื่อให้กับออกญาอนุชิตชาญไชยในฐานะจอมดาบผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งแห่งอโยธยา แต่หลังจากที่เขาขึ้นเป็นออกญาอนุชิตฯ พร้อมกับที่เขาถลำลึกลงสู่สงครามการเมืองและการชิงดีชิงเด่นกันในหมู่ข้าราชการ เขาก็แทบไม่ได้ใช้ดาบเล่มนี้อีกเลยยกเว้นเอามันติดตัวไปด้วยเพื่อประดับบารมีเท่านั้น และแทบไม่ได้ดูแลรักษาใดๆเลย จนกระทั่งในที่สุด ใบดาบก็ค่อยๆถูกกาลเวลากัดกร่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อเขาชักออกมาใช้ในเวลานี้ ดาบเล่มเก่งของเขาก็ไมได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับศึกใหญ่ใดๆอีกต่อไปแล้ว!

 

     " ก...กรอด! เวลานี้ยังทันนะ เจ้าพระยาราชมนตรี! ท่านยังสามารถกลับตัวกลับใจได้ทัน และข้าจะไม่เอาเรื่องเอาราวใดๆทั้งหมดทั้งสิ้น! "  ออกญาอนุชิตฯพยายามดิ้นรนหาทางออกอย่างจนตรอก เมื่อเห็นว่าดาบของเขากำลังเกิดรอยร้าวเล็กๆ และรอยร้าวเล็กๆนั่นก็กำลังกลายเป็นรอยร้าวที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นรอยร้าวที่กำลังจะหักดาบของเขาอยู่รอมร่อแล้ว! ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆอย่างสมเพชเวทนาทันที

 

     " ฮ่าๆๆๆ ...ดูเจ้าทำเข้าสิ...ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก แต่เอาเถอะ...ข้าเองก็ต้องขอบน้ำใจเจ้ายิ่งนัก...เพราะถ้าหากไม่ได้ความโลภโมโทสันอย่างโง่เง่าของเจ้า แผนการของข้าคงจะไม่ง่ายดายถึงเพียงนี้แน่ๆ "

 

     " ย...อย่า...ได้โปรด--- "

 

       เปรี๊ยะ! เคร้ง!! 

 

       ในที่สุด ดาบในมือของออกญาอนุชิตฯก็ไม่อาจจะต้านทานมีดสั้นอันคมกริบที่่ถูกเตรียมมาอย่างดีเพื่อการนี้ได้อีกต่อไป เจ้าพระยาราชมนตรีฯใช้ข้อมือพลิกมีดสั้นวูบแยกรอยร้าวของดาบออกจากกันจนดาบที่ดีที่สุดถึงกับหักออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับที่มีดสั้นเล่มนั้นจะฟาดฟันสะพายแล่งร่างของออกญาอนุชิตชาญไชยทั้งร่างทันที!

 

       ฉัวะ!!

 

       ร่างของพระยาจางวางแห่งกรมพระตำรวจฝ่ายขวาค่อยๆทรุดลงพื้นช้าๆ...ดวงตาที่เบิกกว้างของเขาเหลือกโพลงขึ้น ช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิตของเขา ภาพต่างๆในอดีตก็พุ่งย้อนกลับมาและถูกเล่นวนซ้ำไปซ้ำมาภายในหัวของเขา...และช่วยเตือนให้เขารู้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมา...ทุกฐานอำนาจ ทุกการวางหมาก ทุกเส้นสายที่เขาเพียรพยายามสร้างขึ้น...เมื่อถึงวินาทีนี้ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไร้ค่า...ไม่ต่างอะไรจากปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นมาจากทรายร่วนๆ...ที่ถึงแม้จะดูแล้ววิจิตรสวยงามแต่ไหน เมื่อถึงเวลาก็พังทลายลงจนไม่เหลือประโยชน์ใดๆเลย...

 

    ...ออกญาอนุชิตชาญไชย หัวหน้ากรมพระตำรวจฝ่ายขวาผู้ฝันอยู่ตลอดว่าจะถูกจารึกชื่อในฐานะชายผู้เปลี่ยนแปลงราชอาณาจักรแห่งนี้ สิ้นชีวิตลงแล้วด้วยฤทธิ์บาดแผลที่ผ่าสะพายแล่งร่างของเขา...เสี้ยววินาทีที่พระกาฬกวักวิญญาณของเขาออกจากร่าง เขาได้รู้ความจริงข้อหนึ่ง...ว่าชื่อของเขา...ไม่ได้ถูกจดจำอยู่ในฐานะใดเลย นอกจากชายโง่คนนึง...

 

       ชายโง่คนหนึ่ง...ที่ถูกหลอกใช้ และตายไปอย่างไร้ค่าที่สุด...

 

     " หึๆๆ เท่านี้...ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง...ตามอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว... "

 

       เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์...จางวางหัวหน้ามหาดเล็กฝ่ายพลเรือนทั้งหมดหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับเดินไปเก็บพระธำมรงค์พระราชทาน ที่ส่องประกายท่ามกลางกองเลือดที่ส่งกลิ่นคาวจนขึ้นจมูกของทั้งคุณพระโชคร้าย และออกญาอนุชิตฯผู้สิ้นชีพไปแล้ว...พระธำมรงค์...ที่บรรจุอำนาจที่สูงล้ำที่สุด...การเข้านอกออกในเขตราชฐานทุกๆชั้นได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น

 

     " ส่งข่าวบอกน้องเรา...จมื่นศรีสรรักษ์ให้เตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพ อ้อ...แล้วก็ พวกเจ้าทั้งหมด...เก็บกวาดเรือนนี้ให้สิ้น...แม้แต่หนูสักตัวก็อย่าให้มีชีวิตรอดไปได้! "

 

 

 

 

 

 ....................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา