ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  109.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

82)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...ท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าสูงสุดแห่งหมู่บ้านมือสังหารในเงามืดอย่างหมู่บ้านยุคันตวาตผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆเก็บ ดาบฟ้าฟื้น ดาบอาถรรพ์ระดับสูงในการครอบครองของเขาเข้าสู่ฝักของมันอย่างช้าๆ เพราะว่าการใช้ดาบเล่มนี้ค่อนข้างจะเปลืองแรงอยู่ไม่ใช่น้อยๆ แม้แต่กับผู้ที่ครอบครอง ความไม่แก่ไม่ตาย อย่างเขาก็ตามที...

 

      ' เอาเถอะ...เพราะเราเองก็ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง แต่เป็นพวกขัดตาทัพอยู่แล้ว...ไม่เหมาะกับเราก็ไม่แปลก... '  ชายหนุ่มคิดในใจเล็กน้อยพร้อมกับลุกขึ้นและบิดตัวเล็กน้อยอย่างเมื่อยขบเพราะต้องนั่งปั้นท่าปั้นทางเลียนแบบเป็นสตรีที่ตื่นกลัวรอคอยอยู่ตั้งนาน ก่อนจะเหลือบหันมามองจมื่นหัวหน้าเวรเดชและเป็นหนึ่งในชั้นบัญชาการของกลุ่มมือสังหารที่เรียกตัวเองว่า บรรลัยกัลป์ ที่เวลานี้นอนสลบเหมือดสิ้นสมประดีอยู่พร้อมกับครางต่อเบาๆอย่างประหลาดใจว่า

 

      " ไอ้นี่มัน...จมื่นศรีสรรักษ์?...เท่าที่จำได้ ไอ้จมื่นผู้นี้เป็นผู้ใต้บัญชาของไกร ทั้งยังเคยไปมาหาสู่กับไกรที่จวนพระเพชรพิไชยเลยด้วยซ้ำนี่?...ไอ้กลุ่มบรรลัยกัลป์ฝังรากในราชสำนักลึกถึงขนาดนี้เลยหรือนี่?! "

 

        ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าพร้อมกับไล่ความคิดที่อยู่ในหัวออกไปก่อน เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่มีเวลาให้เสียมาก...เขาผ่อนลมหายใจหนักๆอีกครั้งก่อนจะจับสาปเสื้อของอีกฝ่ายและลากออกไปที่ด้านนอกที่เวลานี้ยังคงได้ยินเสียงดาบปะทะเสียงพลองอยู่ตลอดเวลา...เขาลากผู้ที่เป็นหนึ่งในหัวหน้าฝ่ายกบฏออกมาถึงด้านหน้าพระตำหนักที่อยู่สูงพอจะให้ทุกๆคนที่ยังคงต่อสู้ชนิดตะลุมบอนกันอยู่ด้านล่างพร้อมกับประกาศดังด้วยเสียงลั่นทันที

 

      " หัวหน้าของพวกเจ้าอยู่ภายใต้การจับกุมของพวกเรา เหล่ากองจ่าโขลนและหน่วยคเณศร์เสียงาแล้ว วางศาสตราของพวกเจ้าลงซะ เหล่ากลุมกบฏ...การต่อสู้อันไร้ซึ่งประโยชน์นี้ได้จบลงแล้ว!! "

 

        ครืนนนน!

 

        ทันทีที่คำประกาศของท่านผู้เฒ่าถูกประกาศจนดังก้องได้ยินไปทั่วทั้งโดยรอบพระตำหนักใหญ่แห่งนี้ การต่อสู้ที่เข้าขั้นมิคสัญญียุคระหว่างกองทหารมหาดเล็กเวรเดช และเหล่ากองจ่าโขลนสตรีที่ตะลุมบอนกันอยู่ก็หยุดลงอย่างกะทันหันโดยพร้อมเพรียงกัน เสียงกรีดร้อง เสียงครางของผู้บาดเจ็บ และเสียงสาปแช่งผรุสวาทของผู้ที่ยังถือดาบอยู่...รวมไปถึงเสียงดาบและพลองกระทบกัก็ค่อยๆหยุดลงจนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสนิทจนแม้แต่เข็มตกยงได้ยินเลยทีเดียว ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ลอบยิ้มออกมาน้อยๆอย่างดีใจที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี และกึ่งๆภูมิใจหน่อยๆที่คำพูดของเขายังคงเต็มไปด้วยมนต์ขลังและความน่าเกรงขามที่สามารถสะกดทุกคนให้สงบลงได้อย่างรวดเร็ว!

 

     ...จนกระทั่งเสียงๆหนึ่งที่ดังอย่างคนที่บ่นอ่อยๆ จากกลุ่มทหารมหาดเล็กฝ่ายกบฏจะทำให้ความมั่นใจและความภูมิใจนี้พังครืนลงอย่างกะทันหันในชั่วพริบตาเดียว...

 

      " ม...ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย? ...นี่หัวหน้าเราแพ้ไอ้หนุ่มจิตวิปริตที่ชอบแต่งตัวเป็นอืสตรีหรือนี่?! "

 

      ' ม...หมดกัน...หมดแล้ว...กู...ชื่อเสียงทั้งหลายแหล่ที่สะสมมา '  ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆพร้อมกับคอตกลงและทำหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว ราวกับบางสิ่งบางอย่างอันภาคภูมิใจของเขาถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี...แต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาดวงตาของเขาก็ส่องประกายวูบอีกครั้งเพราะเขาสัมผัสถึงจิตคุกคามสองสายที่พุ่งเข้ามาที่ด้านหลังเขาได้ พร้อมๆกับที่สตรีในชุดดำปกปิดรูปพรรณสัญฐาน อันเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป็นหนึ่งในลิ่วล่อแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์จะพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังอันเป็นจุดอับของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับตวาดกรีดร้องเสียงดังลั่นว่า

 

      " ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยหัวหน้าเราบัดเดี๋ยวนี้!! "

 

         หญิงสาวทั้งสองพุ่งมาพร้อมกับมีดสั้นขนาดเล็กในมือที่ส่องประกายสีดำวูบอันบ่งบอกว่าเคลือบด้วยพิษชนิดร้ายแรงและรังสีอำมหิตที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพวกเธอคิดจะแทงจริงๆ ไม่ใช่แค่ขู่แน่ๆ...แต่จิตสังหารทั้งสองสายนั้นกลับไม่สามารถทำให้ชายหนุ่ม (ที่ยังคงอยู่ในชุดสไบชั้นสูงแห่งสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง) ขยับตัวหรือแม้แต่ชายตาหันกลับมามองด้วยซ้ำ...ท่านผู้เฒ่าเพียงแค่ขยับชักถอด ดาบฟ้าฟื้น ที่อยู่ในมือออกมาจากฝักเพียงครึ่งเล่ม พร้อมๆกับที่ดาบจะตอบรับอย่างรู้ใจด้วยการส่งกระแสสายฟ้าสีขาวบริสุทธิ์ออกมา ๒ สาย พุ่งเข้าช๊อตและตรึงร่างของหญิงสาวระดับลิ่วล้อสองนางนั้นไว้ ก่อนจะดับสติสัมปชัญญะของหญิงสาวทั้งสองจนลงไปนอนกลิ้งสิ้นสติสมประดีลงในทันที!

 

     ...ชายหนุ่มแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างพลัง...ว่าถ้าหากเขาและดาบที่อยู่ในมือเอาจริง การสังหารทุกคนที่อยู่อาณาบริเวณแห่งนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกินความสามารถของเขาเลยแม้แต่น้อย!...

 

      " ข้าขอย้ำคำเดิมอีกครั้ง...วางศาสตราในมือลงเสีย...การต่อสู้อันเปล่าประโยชน์จบลงแล้ว! "

 

        คำประกาศครั้งที่สองด้วยประโยคที่แทบไม่ต่างจะคำประกาศแรกของชายหนุ่มผู้ที่ยังคงแต่งองค์ปลอมแปลงเป็นเจ้าหญิงสิริจันทรอยู่เช่นเดิม แต่ในเวลานี้กลับดูมีน้ำหนักมากจนเกินกว่าที่เหล่าทหารมหาดเล็กแห่งเวรเดชคนใดจะกล้าขัดขืน...แม้แต่กับพวกลิ่วล้อชุดดำแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนก็ถูกความกดดันที่เกิดขึ้น ดึงเอาความรักตัวกลัวตายออกมาจนถึงขีดที่สูงกว่าความจงรักภักดี จนในที่สุด พวกเขาก็ยอมทิ้งศาสตราลงกับพื้นและยอมจำนนอย่างไม่จำเป็นต้องรอคำประกาศครั้งที่ ๓ อีกต่อไป...

 

        เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

 

        ระหว่างที่ท่านผู้เฒ่ายังคงยืนอยู่บนชานระเบียงพระตำหนักสูงนิ่งพร้อมกับที่ดวงตาอันสุขุมหรี่ลงเพื่อมองดูเหล่าทหารมหาดเล็กฝ่ายกบฏที่ค่อยๆวางศาสตราอันได้แก่อาวุธพื้นฐานอย่างหอก ดาบ หรือหน้าไม้เล็กๆลงและยอมให้เหล่าจ่าโขลนควบคุมตัวไว้แต่โดยดี...โดยที่เขาตะโกนกำชับให้กับเหล่าจ่าโขลนจัดการจับกุมและใส่โซ่ตรวนลิดรอนอิสรภาพเหล่าคนชุดดำที่เวลานี้เหลืออยู่ไม่กี่คนไว้อย่างแน่นหนาเป็นพิเศษอย่างรอบคอบ ก่อนที่เขาจะเหลือบมาด้านหลังเล็กน้อยเมื่อเห็นอนาสตาเซียผู้เป็นบุตรสาวบุญธรรมของเขา และอเทตยา มือฉมังธนูสาวผู้เป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาของไกรกำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ 

 

      " ท่านพ่อ/ ... "  อนาสตาเซียร้องขึ้นเป็นเชิงทักเบาๆทันทีที่เข้ามาถึง ในขณะที่อเทตยายังคงไม่ยอมพูดคำทักทายใดๆ เธอเพียงแค่ค้อมหัวให้บางๆเท่านั้น นั่นทำให้ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดเรียบๆทันที

 

      " มันฝ่ารั้วหนาม ขึ้นมาบนพระตำหนัก และเข้าถึงตัวข้าได้รวดเร็วกว่าที่ข้าและไกรคาดคะเนและคาดหวังไว้หลายสิบนาทีทีเดียว...นี่เจ้ากระทำภารกิจสำคัญนี้ด้วยความหละหลวมเกินไป หรือว่าข้ายังฝึกเจ้ามาไม่มากพอนะ...อนาสตาเซีย "

 

        คำตำหนิด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อยของท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาทำให้หญิงสาวถึงกับหน้าเจือนลง ก่อนที่เธอจะเบิกตาเล็กน้อยพร้อมกับแยกเขี้ยววับและชี้นิ้วเรียวยาวไปที่อเทตยาที่ยืนอยู่ข้างๆราวกับกำลังเด็กตัวเล็กๆกำลังฟ้องพ่อแม่ในทันที

 

      " ทั้งหมดทั้งมวลข้าขอกล่าวโทษยัยมอญนี่เจ้าค่ะ! เพราะถ้าหากยัยมอญนี่ยิงธนูที่เธอมั่นใจในฝีมือตัวเองเป็นนักเป็นหนาไม่พลาดไปถึง ๒ หรืออาจจะ ๓ คราล่ะก็ ป่านนี้เรื่องก็คงจะจบลงโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงท่านเลยด้วยซ้ำ! "

 

      " ข้าได้รับคำสั่งจากท่านไกรให้ดูแลรั้วหนามทั้ง ๔ ด้าน...ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั่งของท่านไกร แต่มันก็ออกจะเกินความสามารถของข้าที่มีเพียงแค่สองมือสองแขนเท่านั้นไปบ้าง แต่ข้าก็ทำภารกิจในส่วนของข้าอย่างสุดความสามารถแล้ว...เจ้าและคุณท้าวศรีสัจจาควรจะพิจารณาตัวเองต่างหากที่ทำไมถึงปล่อยให้กำแพงฝั่งตะวันตกแตกได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น...ยัยฝรั่งแขนลาย "

 

      " หนอย! ปากกล้านักนะยัยนี่! "

 

      " เอาล่ะ พอที เด็กสองคนนี่! "  ท่านผู้เฒ่าตวาดตัดบทเบาๆอย่างเริ่มรำคาญ จนทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไป ก่อนที่เขาจะหันไปเห็นอเทตยาค่อยๆก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้าไปหาจมื่นศรีสรรักษ์พร้อมกับทิ้งคันธนูอันเป็นศาสตราประจำกายของเธอลงพร้อมกับชักมีดสั้นเล่มเงาวับออกมาช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตส่องประกายวาวโรจน์ราวกับสัตว์ร้ายพร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งวูบอย่างกะทันหันทันที

 

        พรึ่บ!

 

        เคร้ง!!

 

      " อย่า! "  ท่านผู้เฒ่าที่สัมผัสเฉียบคมพอจะจับจิตสังหารนั้นได้ และไวพอจะยื่นดาบฟ้าฟื้นที่ยังคงอยู่ในฝักเพื่อป้องกันคมมีดให้แก่ร่างที่ยังคงสิ้นสติและไร้ซึ่งการป้องกันตัวใดๆของจมื่นศรีสรรักษ์ไว้ได้อย่างทันท่วงทีพร้อมกับคำรามเรียบๆ...ในขณะที่เมื่อมีดสั้นในมือพลาดจุดมุ่งหมาย มือฉมังธนูสาวนามว่าอเทตยาก็หันตาลุกวาวนั้นมาใส่ผู้ที่ยื่นดาบเข้ามา เสือก ไม่เข้าเรื่องทันที!

 

      " ...มันคือบุรุษผู้เป็นหนึ่งในกลุ่มบรรลัยกัลป์ที่เกือบจะสังหารฆ่าไปแล้ว...นี่ เป็นแค้นส่วนตัว...ไม่ใช่กงการของท่าน! "

 

      " ไม่ใช่กงการบ้าบออะไรเล่า! มันอาจจะเป็นผู้เดียวที่จะทำให้เราสืบไปถึงต้นตอของกลุ่มบรรลัยกัลป์ได้...ถ้าหากข้าคิดจะให้มันตายแต่แรกข้าจะลำบากออมกำลังของดาบไว้ทำไมกันเล่า! "

 

      " นั่นมันเรื่องของท่าน!...แต่หากข้าไม่ได้ใช้มีดเล่มนี้ควักหัวใจมันออกมา ข้าคงตายตาไม่หลับแน่...ได้โปรด...หลีกไปเสีย...ท่านเป็นเสมือนผู้ที่ท่านไกรให้ความนับถือ ข้าไม่อยากมีเรื่องกับท่าน! "

 

      " อุวะ! นังนี่!! "

 

      " อเทตยา...ฟังข้าให้ดีนะ...ข้าไม่ได้ห้ามหรือคัดค้านอะไรเรื่องที่เจ้าจะควักหัวใจมัน---เอ่อ...หมายถึงสังหารมันน่ะ...แต่ว่าในเวลานี้เรายังไม่ทราบถึงความเป็นไปของอีกฝั่ง (หมายถึงฝั่งของไกร) ซึ่งในกรณีที่ร้ายที่สุดคือไกรอาจจะกำลังเสียท่า...เราอาจจะใช้ชีวิตของมันเป็นเครื่องต่อรองได้ ซึ่งมันก็ดีกว่าสังหารมันให้ตายตกไปอย่างเปล่าๆไม่ใช่หรืออย่างไร? "  คำพูดของอนาสตาเซียที่พยายามจะห้ามการปะทะกันของทั้งสองคนได้ผลอย่างชะงัด เพราะเมื่อมีชื่อของไกรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อเทตยาก็มีท่าทีอ่อนลงอย่างชัดเจน...มือฉมังธนูสาวผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกับจิตสังหารที่ค่อยๆลดลงจนกระทั่งกลับสู่ระดับปรกติพร้อมกับพยักหน้าบางๆอย่างเห็นด้วยทันที

 

      " จริงอย่างที่เจ้าว่า...อนาสตาเซีย ข้าปล่อยให้อารมณ์โกรธบังตาไปชั่วครู่...ขอบใจจริงๆ "

 

      " อ...อนาสตาเซีย? "

 

      " บ...แบบนี้นั่นแหละดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ ท่านพ่อ...กับคนอย่างนี้เราก็คงต้องตามน้ำไปเช่นนี้แหละ "

 

      " เฮ้อ...เอาเถอะ...พวกเจ้าเตรียมม้าเร็วที่ซ่อนอยู่ไว้ได้แล้ว...ถึงทางเราจะจบลงด้วยความสำเร็จ แต่ทางของไกรและหน่วยคเณศร์เสียงาที่รับมือศึกหนักอยู่ที่พระตำหนักท้ายสระยังไม่จบ...ถึงเราจะปกป้องพ่ออยู่หัวเอกทัศน์และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรด้วยการอัญเชิญพระองค์ไปที่ปลอดภัยแล้วก็ตาม แต่ภารกิจของเราก็ยังคงขึ้นอยู่กับพระสวัสดิภาพของพ่ออยู่หัวอุทุมพร และสมเด็จพระบรมวงศานุวงศ์ท่านอื่นๆด้วย ...หากทุกพระองค์ที่กล่าวมาเป็นอะไรไปเราก็ไม่อาจนับได้ว่าภารกิจสำเร็จเต็มสิบส่วน เพราะฉะนั้นพวกเรารีบไปช่วยหนุนกันเถอะ  " 

 

        ท่านผู้เฒ่าสั่งการอย่างเป็นจริงเป็นจังที่สุดพร้อมกับเก็บดาบอาถรรพ์ของตนกลับคืน แต่เขาก็ต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยเพราะแทนที่เขาจะได้เห็นทั้งสอง หรืออย่างน้อยๆก็ได้เห็นอนาสตาเซียผู้เป็นบุตรบุญธรรมรับคำสั่งของเขาอย่างแข็งขันแท้ๆ  ...แต่ทั้งอนาสตาเซียและอเทตยา...รวมไปถึงคุณท้าวศรีสัจจาที่สภาพโทรมและบาดเจ็บเล็กน้อยที่กำลังเดินเข้ามาสมทบกลับเบิกตากว้างมาที่เขาอย่างตะลึงงันอะไรบางอย่างซะอย่างนั้น นั่นทำให้เขาต้องขมวดคิ้วพร้อมกับจุ๊ปากเบาๆทันที

 

      " เอ้า...ยังจะมัวเฉยอีก! รีบไปเตรียมม้าสิ "

 

      " อ...เอ่อ...ท่านพ่อเจ้าคะ "

 

      " อะไรอีกล่ะ? ถ้าจะพูดเรื่องไอ้เครื่องแต่งกายนี่ ข้าว่าพวกเจ้าก็รู้นี่ว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เป็นแผนของไอ้บ้าไกรทั้งนั้น...ข้าว่ามันต้องแก้แค้นข้าเรื่องที่ข้าไปแกล้งหลอกให้มันแต่งหน้าแต่งตาแปลกๆ เมื่อครั้งตามเสด็จพระเจ้าอุทุมพรเข้ามาในเมืองแน่ๆ...ให้นรกสาปสิ! "

 

      " อ...เอ่อ...ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ...แต่ว่า "  อนาสตาเซียพูดตะกุกตะกักราวกับกำลังอึดอัดและไม่แน่ใจอะไรอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในสายตาของท่านผู้เฒ่า ก่อนที่เธอจะหันไปหาอเทตยาพร้อมกับพยักเพยิดเป็นเชิงให้อีกฝ่ายที่น่าจะลำบกใจน้อยกว่าเป็นฝ่ายพูดแทน ซึ่งอเทตยาก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือก แต่คราวนี้เธอกับยอมทำตามคำขอร้องของอีกฝ่ายโดยดีด้วยการเริ่มต้นพูดขึ้นเบาๆว่า

 

      " ด้วยความเคารพ...ท่าน...เอ่อ...ท่านผู้เฒ่า "

 

      " หืม? "

 

      " อนาสตาเซีย และข้ารู้ดีเรื่องการปลอมตัวของท่าน เพราะพวกข้าเองก็เป็นผู้ที่ช่วยท่านแต่งตัวเช่นนี้ด้วย...แต่ว่า... "

 

      " แต่ว่า? "

 

        นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านผู้เฒ่าได้เห็นว่าอเทตยามีท่าทีอึกอักลำบากใจที่จะพูดอะไรออกมา นั่นยิ่งทำให้เขาต้องมุ่นคิ้วลงอย่างสงสัยในจุดประสงค์ของทั้งสองสาวเข้าไปอีก จนกระทั่งเขาต้องถามย้ำอีกครั้งอีกฝ่ายถึงจะยอมพูดออกมาช้าๆว่า

 

      " ...ท่านผู้เฒ่า...จริงอยู่ที่ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาท่านต้องเปลี่ยนเวรในการปลอมตัวเป็นพระเจ้าเอกทัศน์กับท่านไกรโดยที่ท่านปลอมเป็นพระเจ้าเอกทัศน์และทำราชกรณียกิจในช่วงกลางวัน ในขณะที่ท่านไกรที่เสร็จจากงานตะพุ่นหญ้าช้างจะลอบมาเปลี่ยนและปลอมเป็นพระเจ้าเอกทัศน์ในช่วงกลางคืนมาตลอด....พึ่งจะมาเปลี่ยนปลอมเป็นเจ้าฟ้าสิริจันทรอย่างฉุกละหุกในคืนนี้เองเพราะรู้แล้วว่าพวกมันจะลงมือ ทำให้มันอาจจะไม่พร้อมไปบ้าง... "

 

      " เจ้าจะพูดยาวน้ำท่วมทุ่งให้มันเสียเวลาทำไม? มีอะไรก็พูดมาตรงๆเลย! "

 

      " เฮ้อ...เอาก็เอา...คืออย่างนี้นะ ท่านผู้เฒ่า ท่านก็น่าจะรู้ว่าการปลอมเป็นองค์หญิงก็เพื่อทำให้มันเกิดช่องว่างด้วยการตกใจเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อให้ท่านลงมือ ไม่ใช่การตบตาทุกคนในราชฐานชั้นในอย่างการปลอมเป็นพระเจ้าเอกทัศน์...อีกทั้งเสี้ยววินาทีที่ท่านลงมือ ท่านก็หันหลังให้กับมัน และหน้าต่างทุกบานก็ถูกปิดสนิทจนเห็นเพียงรำไรๆเท่านั้น...แล้วทำไม...เอ่อ...ท่านถึงจะต้องแต่งหน้าด้วยเครื่องประทินผิวอย่างเต็มที่ ทั้งกันคิ้ว ใช้แป้งหอม และแต่งปากด้วยชาดแดงอย่างนั้นด้วยล่ะเจ้าคะ? "

 

      " แต่งหน้า? "  ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างงงๆ ก่อนที่พริบตาต่อมาเขาจะเบิกตาโพลงราวกับนึกถึงสิ่วงที่อีกฝ่ายจะสื่อขขึ้นได้ พร้อมกับที่เขาทรุดลงไปและครางออกมาเบาๆว่า

 

      " ฆ่าข้าซะ! อนาสตาเซีย อเทตยา! เอาดาบแทงข้าซะ! ก่อนที่ข้าจะคว้านท้องล้างอายให้กับตัวเอง!! " 

 

      " จ...ใจเย็นๆก่อน ท่านพ่อ! พ...พวกเราจะเย็บปากให้สนิทที่สุด รับรองว่างเรื่องนี้ไม่มีทางไปเข้าถึงหูไกรหรือมือสังหารในหมู่บ้านคนอื่นๆแน่นอนเจ้าค่ะ! "  อาสตาเซียที่เห็นว่าชักท่าไม่ดีรีบเข้ามาประคองและพูดออกมาเบาๆ พร้อมกับที่อเทตยาก็ได้แต่พยักหน้าอย่างขึงขังอีกคนเพื่อคลายความกังวลใจให้กับผู้ที่เป็นเหมือนนายของท่านไกรของเธอทันที

 

      " จ...จริงๆนะ...ถือว่าข้าขอร้องล่ะ...ช่วยเหยียบไว้ให้สนิท ไม่สิ! ลืมไปได้เลยยิ่งดี!! "

 

        ตุบ!

 

      " หืม? อ๊ะ! ค...คุณท้าว?! "  

 

        อนาสตาเซียรีบวิ่งกลับไปประคองคุณท้าวชราที่เวลานี้ทรุดลงไปก้มหน้าลงกับพื้นทันที ด้วยความตกใจและเป็นห่วงที่ว่าคุณท้าวแห่งเหล่าจ่าโขลนที่รับศึกหนักอยู่เพียงผู้เดียวที่หน้าประตูจะถูกศาสตราใดๆทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเห็นว่านอกจากรอยแผลธนูที่หัวไหล่แล้ว คุณท้าวชราไม่มีรอยแผลอื่นๆเลยมันก็ทำให้หญิงสาวทำหน้างงๆเล็กน้อย...ยิ่งเมื่อเห็นเลือดกำเดาสีแดงสดที่ไหลพรากๆออกมาจากจมูกที่ไร้รอยบาดแผลของคุณท้าวชราที่กำลังหลับตาพริ้ม ทำหน้าปลื้มปริ่มราวกับดื่มด่ำอยู่กับความสุขระดับสุดยอด เธอยิ่งงงเข้าไปใหญ่ทันที

 

      " ท...ท่านคุณท้าวศรีสัจจาเจ้าคะ? "

 

      " ค...คุณท้าว...ปล่อยอิฉันไปเถอะเจ้าค่ะ...หลังจากภาพของท่านออกญาฯที่ได้เห็นตรงหน้านี้ อิฉันก็ไม่เหลือห่วงใดๆกับโลกใบนี้อีกแล้วล่ะเจ้าค่ะ "

 

      " ก...กรี๊ด! คุณท้าวววว อย่าพึ่งสู่สุคติเจ้าค้าาา กลับมาก้อนนน! "

 

      " จบแล้ว...ชีวิตกู...จบสิ้นลงแล้ว! ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว!! "

 

      " ท่านพ่อ! อย่าพึ่งจิตตกสิ! เรายังต้องไปช่วยไกรอีกนะ มีสติหน่อยสิ! "

 

      " อืม...อนาสตาเซีย...ข้าขอบอกเลยนะ ว่าอยู่กับพวกเจ้าแล้วไม่เคยเบื่อเลยจริงๆ "

 

      " ถ้าว่างขนาดมายืนดูได้อย่างสบายใจได้ ก็เข้ามาช่วยกันหน่อยสิย้าาา! "

 

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

 

     ...ย้อนกลับมาที่พระตำหนักบรรยงก์รัตนาสน์ (พระตำหนักท้ายสระ)...

 

        เคร้ง!!

 

      " จบแล้ว...สินะ "  คำพูดอันราบเรียบของไกรที่เวลานี้ขึ้นคร่อมอยู่บนร่างอันรุ่งริ่งของเจ้าพระยาราชมนตรีที่เวลานี้กำลังใช้ท่อนแขนที่ห่อหุ้มด้วยเงาของร่างวิญญาณเสือโคร่งอันเบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นและป้องกันดาบอันคมกริบทั้งสองในมือของไกรไม่ได้อยู่รอมร่อแล้ว พร้อมกับที่ไกรค่อยๆออกแรงกดดาบสดายุและดาบสัมพาทีในมือลงไปจนคมดาบค่อยๆกินลึกเข้าไปในเนื้อแขนของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ...ซึ่งในสายตาของท่านปิ่น ดวงตาของไกรในเวลานี้ราวกับมัจจุราชที่กำลังกางหัตถ์กวักวิญญาณเขาไปอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว!

 

      " ว...ว้ากกก!! "  ด้วยความหวาดกลัวที่ปรากฏอยู่ในสายตา เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ตวาดเสียงหลงพร้อมกับระเบิดพลังออกมาเพื่อปัดชายหนุ่มที่คร่อมอยู่บนตัวให้ล่าถอยออกไป พร้อมกับดีดตัวลุกขึ้นมาทันที ในขณะที่ไกรที่ถูกบังคับให้ถอยออกไปยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอาดาบพาดบ่าเบาๆพร้อมกับพูดเรียบๆว่า

 

      " พอเถอะ ท่านออกญา...หากท่านดูสถานการณ์รอบตัวในเวลานี้ คนฉลาดเป็นกรดอย่างท่านก็น่าจะทราบดีแล้วนี่...ว่าท่านไม่มีทางชนะ หรือบรรลุแผนการชั่วช้าของท่านอีกต่อไปแล้ว...การต่อสู้อันเสียเปล่านี้ หยุดเสียเถอะ "

 

      " หุบปาก! ไอ้เด็กเวร!! กูบอกแล้วว่าถ้ากูฆ่ามุึงไม่ได้กูไม่ขออยู่เป็นคน!! " 

 

      " เย็นใจไว้ก่อน...และมองดูรอบตัวเสียก่อน...ท่านออกญา...ถึงจะยังดิ้นได้อยู่ แต่คนของท่านบัดนี้ก็กำลังเสียท่า ตกเป็นรอง และอยู่ในการควบคุมของท่านพระยาเพชรบุรี(นอกราชการ)และหลวงยกกระบัตรแล้ว...ไม่นาน พวกเขาและท่านก็จะตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ในกำมือที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด...ในขณะที่สมเด็จท่านทั้ง ๓ ก็อยู่ภายใต้การอารักขาของกุมารีทั้งสองที่ดีไม่ดีอาจจะมีพลังมากกว่าข้าเสียอีก...ยอมรับเสียเถอะ...หมากกระดานนี้ ท่านพ่ายแพ้แล้ว! "

 

      " ไม่!...ไม่!...ข้าไม่ยอมรับ! ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ...มันต้องไม่จบอย่างนี้! "  ระหว่างที่พลังของร่างทรงสมิงอันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยื้อชีวิตของเจ้าพระยาราชมนตรีกำลังเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ ดวงตาที่เบิกโพลงของเขาก็สอดส่ายไปทั่วราวกับกำลังค้นหาทางที่จะพลิกสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่ลงเรื่อยๆตรงหน้านี้ให้กลับคืนมาได้...ไม่ว่าหนทางนั้นจะเป็นเพียงฟางเส้นเล็กๆ หรือใยแมงมุมบางๆให้เขาคว้าเกาะก่อนจะตกลงสู่หุบเหวลึกอันไร้ก้นก็ตามที

 

      " ท...ท่านเรือง! "

 

      " มันเรียกเจ้าแหนะ ท่านเรือง "

 

      " มาถึงกูจนได้สิน้าาา...ส่วนเจ้าน่ะ เงียบไปเลย สิน "  ท่านเรืองครางออกมาเบาๆพร้อมกับทำหน้าเหนื่อยหน่ายราวกับเขาคาดอยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วชื่อของเขาต้องหลุดออกมาจากปากของเจ้าพระยาฝ่ายกบฏตรงหน้านี้แน่...จอมขมังเวทย์หนุ่ม (หรืออาจจะไม่หนุ่มแล้ว แต่ด้วยพลังบางอย่างทำให้เขาดูหนุ่มกว่าอายุจริง) ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับยกดาบขึ้นกันดาบคู่ของบุรุษชุดดำผู้เป็นลิ่วล้อของเจ้าพระยาราชมนตรี ก่อนจะพูดเรียบๆตอบกลับไปว่า

 

      " มีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าอย่างนั้นหรือ? พูดแบบตรงๆและเร็วหน่อยก็ดีนะ เพราะข้ายังต้องตั้งสมาธิรับมือกับพวกกบฏของท่านอยู่ "

 

      " ก...กบฏ?...เราทั้งคู่ต่างกันตรงไหน? ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะเข้าใจพวกเรานะ ท่านก็เห็นอยู่แล้วนี่ว่าขุนหลวงขี้เรื้อนไม่เหมาะกับการเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เพราะท่านเองก็เคยรวมสมัครพรรคพวกก่อการกบฏเช่นเดียวกับเราไม่ใช่รึอย่างไร?! "

 

      " แย่ล่ะสิ! "  พระพี่นาง สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีที่ประทับอยู่ด้านหลังการอารักขา ในม่านพลังบางอย่างของเด็กน้อยทั้ง ๒ ตนที่ยืนล้ำอยู่ร้องออกมาเบาๆทันที เพราะสิ่งที่พระองค์เกรงกลัวกำลังจะเกิดขึ้น...การชักชวนให้เปลี่ยนข้างของกบฎ ที่กำลังชวนกบฏด้วยกันให้เข้าร่วมอุดมการณ์นั่นเอง...แต่ก่อนที่พระองค์จะตรัสอะไรต่อไป สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็ส่ายพักตร์พร้อมกับแย้มสรวลบางๆทันที

 

      " อย่าห่วงไปเลย... "

 

      " พ่ออยู่หัว? "

 

      " หากข้าไม่มั่นใจในตัวของเขามากพอ...ข้าคงไม่ยินยอมปล่อยมันออกมาจากคุกนั่นแน่ๆ มั่นพระทัยเถอะ พระพี่นาง "

 

      " ข้ารู้จุดประสงค์ของท่าน...ท่านออกญาราชมนตรี... "

 

      " มาอยู่กับเราเถอะ...ท่านเรือง...แล้วท่านจะได้ทุกอย่างที่ท่านปรารถนา...ทุกๆอย่าง! "

 

      " หึๆ แล้วท่านรู้อย่างนั้นหรือว่าสิ่งที่ข้าปรารถนามันคืออะไร? "

 

      " ว...ว่าอย่างไรนะ?! "

 

      " ข้าต้องขออภัยด้วยนะ แต่ว่าสิ่งที่ข้าปรารถนา คือความสงบสุข และข้าเชื่อว่าท่าน กับพรรคพวกของท่านคงจะให้ข้าไม่ได้แน่นอน...อ้อ! ท่านไกร... "

 

      " หืม? "

 

      " ช่วยเพิ่มข้อหาพูดจาดูหมิ่นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อย่างข้าลงไปในกระทงข้อกล่าวหาของไอ้ท่านปิ่นผู้นี้เสียหน่อยนะ...ต่อท้ายข้อหากบฏของมันนั่นแหละ! "

 

        เคร้ง! 

 

        สิ้นคำพูดของท่านเรือง ลิ่วล้อชุดดำแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ที่เหลือยืนอยู่เพียงคนเดียวจากทั้งหมดกว่าสิบคนก็ถูกท่านเรืองและสินช่วยกันปลดอาวุธจนลงไปกองอยู่กับพื้น สิ้นสภาพต่อสู้ไปในทันที ซึ่งก็เท่ากับว่ากลุ่มกบฏที่อยู่ในพระที่นั่งในเวลานี้...เหลือเพียงเจ้าพระยาราชมนตรีปิ่น ที่อยู่ในสภาพบักโกรกที่สุด เพียงคนเดียวแล้ว

 

      " ก...กรอด! ขุนหลวงขี้เรื้อนคิดถูกจริงๆที่ส่งเจ้าเข้าคุก...เพราะเจ้าเปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลย! "

 

      " รุกฆาตแล้ว...ท่านออกญาราชมนตรี! "

 

        ไกรรู้ดีว่าเขาไม่อาจจะปล่อยให้หัวหน้ากลุ่มกบฏและคนของกลุ่มมือสังหารบรรลัยกัลป์ผู้นี้ตายได้ก็จริง เพราะท่านผู้เฒ่าคงจะยังอยากคุยกับมันอยู่ แต่เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้มันพล่ามต่อไปได้อีกแล้ว...พริบตาที่เขาเห็นว่าช่องว่างขอจิตใจของมันเปิดออก ชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะพุ่งเข้าไปพร้อมกับใช้ดาบเล่มงามทั้งสองเล่มในมือ แทงทะลุหัยวไหล่ทั้งสองข้างของเจ้าพระยาราชมนตรีผู้นี้จนกระทั่งเลือดสีคล้ำพุ่งกระฉูด พร้อมๆกับที่เจ้าพระยาแห่งฝ่ายกบฏจะร้องลั่นราวกับหมูถูกเชือดทันที!

 

      " อ...อ๊ากกกกก!! "

 

      " อย่าห่วงเลย...ข้าเลี่ยงจุดตายไว้แล้ว...เพราะสำหรับท่านแล้ว ความตายอย่างฉับพลันมันคงจะเป็นโทษทัณฑ์ที่ออกจะเบาบางเกินไป ....ท่านเรือง! "

 

      " เข้าใจแล้วขอรับ! ...นะจังงังชั้นสูงสุด!! "  พระยาเพชรบุรีที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับนัดแนะกันไว้แล้ว พร้อมกับตะโกนรับคำและใช้ฝ่ามือกว้างหนาของตนตะปบเข้าที่ใบหน้าส่วนบนของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์พร้อมกับปรากฏเสียง ซู่ว! เบาๆ เปล่งพลังเพื่อดับสติสัมปชัญญะของออกญาคนสำคัญผู้นี้ไว้โดยทันที!

 

      " จ...จบแล้ว! สมเด็จพระพี่นาง สมเด็จพระอัครมเหสี!...พวกนั้นจัดการกับเหล่ากบฏหมดสิ้นแล้ว!! "  พระเจ้าอุทุมพรที่เห็นดังนั้นก็ตรัสร้องออกมาอย่างยินดี ที่ในที่สุดเรื่องไม่คาดฝันในค่ำคืนนี้ก็จะจบลงเสียที...

 

     ...ผิดกับไกร เรือง และสินที่แม้ว่าเสี้ยววินาทีแรกจะปรากฏสีหน้ายินดีแว้บหนึ่ง แต่แล้วเสี้ยววินาทีต่อมา สีหน้ายินดีของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นตกตะลึงในพริบตา ด้วยคำพูดในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เจ้าพระยาราชมนตรีฯจะถูก นะจังงัง ของเรืองดับสติไป...คำพูดที่พูดอย่างเหม่อลอยราวกับรำพึงว่า...

 

      " ข้าขออภัยอย่างยิ่ง...ท่านหญิง...แต่แผนการของข้าถูกทำลายลงแล้วด้วยฝีมือของพวกหน่วยคเณศร์เสียงาเหล่านี้...จากนี้ไปต้องฝากทุกอย่างไว้กับกำมือของท่านแล้ว "

 

      " ท...ท่านหญิง...อย่างนั้นหรือ? "  ระหว่างที่ไกร เรือง และสินหันไปมองหน้ากันเองอย่างตกตะลึงและงงงวยกับข้อมูลใหม่เกี่ยวกับกลุ่มกบฏที่พึ่งออกมาจากปากของเจ้าพระยาผู้ถูกจับกุมแบบสดๆร้อนๆนี้  ก่อนที่กึ่งอึดใจต่อมาพวกเขาจะต้องสะดุ้งสุดตัวกับเสียงอันหวานใสเสียงหนึ่ง ที่ดังออกมาจากกลุ่มของเหล่าพระสนมที่จับกลุ่มนั่งตัวสั่นเทาอย่างหวาดกลัวและตกใจอยู่ที่มุมหนึ่งของพระที่นั่งนี้...

 

     ...เสียงอันราบเรียบหวานใส ที่แฝงมาพร้อมกับพลังอาถรรพ์แห่งไสยเวทย์ ที่ข้นหนักและน่าขนลุกจนเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ทำเอาพลังไสยเวทย์อันแก่กล้าของท่านเรือง กลายเป็นของเด็กเล่นไปเลยทีเดียว!...

 

      " อย่าโทษตนเอง...และอย่ากังวลไปเลย...ท่านพี่ปิ่น...ต่อจากนี้ไปปล่อยให้พวกข้าจะจัดการเอง... "

 

      " อืม...ช่วยไม่ได้นะ...ทั้งที่ตามแผนแล้วพวกเราไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนของเรา และพวกเราไม่จำเป็นต้องเหนื่อยแรงแท้ๆ...แต่เอาเถอะ...ท่านพร้อมแล้วนะ ท่านพี่ เจ้าจอมเพ็ง! "

 

      " เฮ้อ...เอาเถอะ...ถึงเวลานี้เราคงไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนใดๆแล้ว...น้องสาวของข้า...เจ้าจอมแมน! "

 

 

 

 

................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา