ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  108.02K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

98)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

        ซู่วววว

 

        สายลมหนาวอันแห้งผากที่พัดม้วนเอาฝุ่นและเศษใบไม้ม้วนเป็นเกลียวผ่านท้้งตัวของไกรและพระวรกายของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรทำให้ชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าสนทนาอยู่กับสมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้าหันกลับไปมองพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะไอ้สายลมหนาวที่ว่านั้นมันไม่ได้หอบเอามาแค่ผงฝุ่น แต่ดันหอบเอาจิตคุกคามอันไร้รูปลักษณ์บางอย่างที่ทำให้เขาถึงกับขนลุกวูบมาด้วย โดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิตคุกคามอันไร้รูปลักษณ์นั้นมาจากทางทิศทางไหนหรือเป็นของใคร...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นจิตคุกคามจริงๆรึเปล่า เพราะมันเบาบางเกินกว่าจะเป็นจิตคุกคามของมนุษย์ด้วยซ้ำ...

 

        วูบ!

 

      ' ...เบาบางเกินกว่าจะเป็นของมนุษย์...หืม? จิตคุกคามของแมวรึเปล่าฟะ? เอ...ไม่แน่แฮะ เพราะหลังจากเราชินกับดาบสดายุ ประสาทสัมผัสเรามันคมขึ้นแบบแปลกๆ ...นี่พัฒนาถึงขึ้นรับรู้จิตคุกคามของแมวได้แล้วรึไงฟะตู '  ไกรได้แต่เอียงคอพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างงงงวยพลางสูดหายใจลึกเพื่อพยายามเปิดจิตเพื่อรับติตคุกคามนั้นอีกครั้ง...แต่สายลมหนาวลูกต่อมากลับมีเพียงผงฝุ่นที่ปะทะเข้าเต็มๆหน้าโดยที่ไม่มีไอ้จิตคุกคามที่ว่านั่นเลย จนกระทั่งเขาอดคิดไม่ได้ว่าเขาอุปปาทานไปเองรึเปล่า

 

      " ฮ...ฮัดจิว! "  

 

      " หืม? "  เสียงเล็กๆประหลาดๆที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ไกรหันขวับกลับมาอย่างระแวดระวังภัย แต่สิ่งเขาพบกลับเป็นเจ้าหญิงสิริจันทรที่ทำตาโตพร้อมกับใช้หัตถ์เล็กๆของพระองค์ปิดอุดโอษฐ์ไว้ ในขณะที่ดวงพักตร์อันน่ารักขึ้นสีเลือดฝาดจนน่ารักขึ้นไปอีก ซึ่งท่าทีของพระองค์ทำให้ไกรเดาได้ไม่ยากเลยเกี่ยวกับเสียงอันประหลาดๆนั้น

 

      " ส...สมเด็จเจ้าฟ้า? "

 

      " ป...เปล่านะ! "

 

      " ข...ข้าพุทธเจ้ายังไม่ทันทูลอะไรเลยนะ "

 

      " ก...ก็เรารู้อย่างไรล่ะว่าท่านคิดจะพูดอะไร! "

 

      " แหงะ...หมู่นี้พระองค์เก่งกาจขึ้นจนถึงขนาดอ่านใจข้าพุทธเจ้าได้เลยเหรอเนี่ย? "

 

      " ท...ท่านไกร! "  คราวนี้สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นพระสุรเสียงพร้อมกับดวงพักตร์ที่แดงเข้มขึ้นไปอีกอย่างทั้งเคืองทั้งอาย พร้อมกับตรัสต่ออีกว่า   " ...ข้าจำได้ว่าข้าบอกท่านไปแล้วนี่ ว่าถ้าหากเราอยู่ตามลำพัง ข้าอยากให้ท่านเรียกข้าอย่างสนิทใจ อย่างที่ท่านเคยเรียกข้าอย่างคราวก่อนๆน่ะ! "

 

        คำดำรัสสั่งของสมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้าทำให้ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างครุ่นคิดทันที

 

      " อ...เอ่อ...ข้าพุทธเจ้าคิดว่า--- "

 

      " นะเจ้าคะ...ท่านไกรเจ้าขา "  สมเด็จเจ้าฟ้าที่เวลานี้ใช้หัตถ์ทั้งสองประคองร่มกระดาษสาวาดลวดลายอย่างร่มทางภาคเหนือไว้เพื่อไม่ให้ทั้งพระองค์และทั้งร่มปลิวไปตามแรงลม ก่อนจะโน้มพระวรกายลงมาจนพักตร์อันงดงามลงมาใกล้กับหน้าของไกรพร้อมกับดำรัสเป็นเชิงข่มขู่แกมบังคับอย่างยิ้มแย้มน่ารักจนกระทั่งหัวใจเจ้ากรรมของไกรที่เคยสงบนิ่งถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ จนกระทั่งไอ้คนที่ชอบใจอ่อนไม่เข้าเรื่องอยู่แล้วอย่างเขาถึงกับต้องถอนหายใจเฮือกอย่างสมเพชตัวเอง

 

      " ท่านหญิง...อย่าว่าข้าปากเสียเลยนะ แต่ทุกครั้งที่ข้าพูดกับท่านเช่นนี้ ข้ามีเรื่องให้ต้องหัวร้างข้างแตก หรือไม่ก็เสี่ยงหัวกับตัวแยกกันทุกทีเลย...ให้ตายสิเอ้า "  ชายหนุ่มลุกขึ้นพลางปัดเศษดินที่ติดอยู่ตรงเข่าเพื่อที่องค์หญิงตรงหน้าจะได้ไม่ต้องค้อมพระวรกายลงมาสนทนากับเขาให้ลำบาก ในขณะที่เมื่อฟังคำทูลอย่างเหนื่อยหน่ายของชายหนุ่ม เจ้าหญิงสิริจันทรถึงกับทรงหลุดสรวลคิกออกมาทันที

 

      " คิกๆ แต่ท่านก็เอาตัวกับหัวรอดปลอดภัยมาได้ทุกครั้งเลยนี่ ท่านไกร "

 

      " เฮ้อ...ใช่ขอรับ...รอดได้ทั้งตัวทั้งหัวทุกครั้ง...เพราะถ้าพลาดรอดได้แต่ตัว ส่วนหัวติดดาบเพชรฆาตไปเมื่อไหร่ ผมก็คงไปปรโลกเลยโดยไม่มีการแก้ตัวครั้งที่สองใดๆทั้งสิ้นแน่ๆ "

 

      " เอ๋...แต่ว่า สมเด็จพระปิจตุฉาพินทวดีบอกกับข้าว่าท่านไกรอยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้า ขนาดถูกล้อมกรอบชนิดที่พระปิจตุฉาบอกว่าตายแน่ๆเต็มสิบส่วน ท่านก็ยังอาศัยความคงกระพันชาตรีรอดมาได้เลยมิใช่หรือ? "  องค์หญิงตรัสพร้อมกับทำดวงเนตรใสแป๋ว อันบ่งบอกว่าพระองค์เชื่อตามที่ตรัสออกมานั้นจริงๆโดยไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย  นั่นทำให้ไกรถึงกับต้องเกาหัวแกรกๆทันที

 

      " โธ่...ท่านหญิง ข้าเองก็เป็นมนุษย์ปุถุชน เป็นคนเดินดินกินข้าวแกงธรรมด๊า-ธรรมดานะขอรับ...สมเด็จพระพี่นางทรงกล่าวได้ไม่ห่วงสวัสดิภาพของข้าเลย นี่ถ้าหากท่านเชื่อดำรัสนั่นแบบจริงจังแล้ววันดีคืนดีเกิดนึกครึ้มเอามีดมาจ้วงข้าตอนเผลอขึ้นมา ก็แปลว่าท่านสังหารข้าตรงๆเลยนะนั่น "

 

        ซู่ววว!

 

      " ฮะ...ฮัดจิ้ว! "

 

      " พรืด! "  เสียงจามอันน่ารักขององค์หญิงที่คราวนี้ทรงจามอย่างกะทันหันทันทีที่ลมหนาวพัดผ่าน ทำให้ไกรไม่อาจควบคุมตัวเองได้จนเผลอหลุดหัวเราะออกมา  ก่อนที่เขาต้องรีบเอามือปิดปากพร้อมกับกัดริมฝีปากอย่างเอาเป็นเอาตายทันทีที่เห็นดวงเนตรวาววับขององค์หญิงตรงหน้า

 

      " ท่านไกร! "

 

      " คือ...ถ้าท่านยังยืนยัน บอกว่าท่านไม่ได้ทำเสียงนั่น คราวนี้ข้าก็ยังคงเชื่อท่านไม่เสื่อมคลายนะขอรับ "

 

      " ท่านไกร! ท่านใจร้ายนัก! "

 

      " พ...พรืด! ข...ขออภัยขอรับ ค...คือ มันอดไม่ไหวจริงๆ "

 

      " ท่านไกร!! "

 

        ไกรผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียดพร้อมกับพยายามฝืนอารมณ์อยากจะหยอกอีกฝ่ายต่อโดยเห็นว่าอีกฝ่ายมีศักดิ์สูงกว่าเขามาก...ถึงแม้ว่าดวงพักตร์ที่ขึ้นสีเลือดฝาดจนแดงซ่านของอีกฝ่ายจะเย้ายวนให้เขาแกล้งหยอกล้อแค่ไหนก็ตามที...ก่อนที่เขาจะเห็นว่าภูษาคลุมพระวรกายขององค์หญิงเป็นเพียงผ้าปักลายที่เนื้อบางเบาจนแทบจะป้องกันอะไรไม่ได้ ในขณะที่ร่มกระดาษสานั้นก็ทำได้เพียงแค่กันแดด ไม่ได้กันลมหนาวอะไรเลย นั่นทำให้ไม่แปลกเลยที่พระวรกายขององค์หญิงสั่นเทาด้วยความหนาวของสภาพอากาศที่ไกรเองก็รู้สึกว่าหนาวเย็นกว่ายุคปัจจุบันที่เขาจากมามาก

 

      ' เอ...ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าหน้าหนาวของสมัยก่อนมันจะหนาวได้เข้ากระดูกขนาดนี้...ไม่เหมือนยุคสมัยเราทีแต่หน้าร้อนกับหน้าร้อนโคตรๆ...เฮ้อ...ชักอิจฉาคนสมัยนี้ตะหงิดๆแล้วแฮะ '

 

     ...ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาอยู่ ๒-๓ ราวกับให้แน่ใจว่าแถวๆนี้ไม่มีใครอยู่แน่ๆ เขาจึงค่อยๆหยิบผ้าฝ้ายทอมือเนื้อแน่นสีเข้มที่เขาพาดไหล่มาด้วยสะบัดกางออกช้าๆ และถือวิสาสะห่มคลุมอังสะบางขององค์หญิงช้าๆ ด้วยกริยาที่สุภาพ เทิดทูนและไม่ได้มีท่าทีจาบจ้วงหรือล่วงเกินใดๆสตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย...นั่นทำให้องค์หญิงสิริจันทรถึงกับเลิกขนงค์บางอย่างงงงวย ก่อนที่โอษฐ์อิ่มๆนั้นจะสยายกว้างขึ้นพร้อมกับดวงพักตร์ที่เริ่มแดงเรื่อขึ้นอีกครั้ง

 

     ...ซึ่งทั้งไกรและองค์หญิงรู้ดีว่า คราวนี้พักตร์สีเรื่อนั่นไม่ได้เกิดจากความโกรธหรือความอับอายแน่ๆ...

 

      " หน้าหนาวมันหนาวเข้ากระดูก ท่านควรจะรักษาวรกายของท่านนะขอรับ "

 

      " ขอบพระคุณนะ ท่านไกร...ผ้าที่ท่านสละให้มันช่างอุ่นเสียจริง "

 

      " ขอรับ และถ้ามีใครมาเห็นเข้า ไอ้ไกรคนนี้คงไม่แคล้วหัวขาดแน่ๆ "  ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังสุดชีวิต ราวกับว่าเขาพึ่งจะทำเรื่องที่ผิดพลาดลงไปอีกแล้ว ซึ่งก็ตามคาด เพราะองค์หญิงแสนสวยตรงหน้าเขาสรวลออกมาเบาๆอย่างไม่ร้อนพระทัยอะไรเลยเช่นเดิมไม่มีผิด

 

      " คิกๆ เอ้อ...นี่ ท่านไกร ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ท่านจะช่วยสิริจันทรผู้นี้อีกสักเรื่องได้หรือไม่? "  องค์หญิงสิริจันทรตรัสออกมาเบาๆราวกับดำรินึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้ไกรที่คราวนี้ต้องมายืนหนาวแทนเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างงงๆ

 

      " หืม? ท่านหญิงมีการอันใดจะให้ข้าทำอย่างนั้นหรือ? "

 

      " ช่วย...ไปนั่งเล่นกับสิริจันทรที่สวนขวัญดอกรักอีกสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ "

 

 

     ...บนพระตำหนักปลายทอง...ที่ๆจ่าโขลนสาวทั้งสองอย่างอนาสตาเซียและอเทตยาแอบซ่อนอยู่...

 

      " ป...ไปกันเถอะ...อเทตยา...เพื่อพระสวัสดิภาพขององค์หญิงเอง พวกเราก็ไปคุม...เอ้ย! ไปถวายการอารักขาอยู่ห่างๆกัน--- "  อนาสตาเซียที่นั่งแอบอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินทุกคำสนทนาของทั้งสองรีบหันมาหาตำแหน่งที่อเทตยาหมอบอยู่พร้อมกับกระซิบรัวจนลิ้นแทบพันกัน แต่เธอยังพูดไม่ทันจบดีเธอก็พึ่งรู้สึกตัวว่าอเทตยาไม่ได้อยู่ที่นี่เสียแล้ว เหลือเพียงแค่กลิ่นอายจางๆที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเคยหมอบอยู่ข้างๆเธอเท่านั้น

 

     ...อเทตยาหายไปแล้ว...จากทั้งคลองสายตาและจากสัมผัสการรับรู้ของเธอ...ราวกับภูติผีปิศาจไม่มีผิดเพี้ยน!...

 

      " ต...ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?! "

 

      

 

 

..................................................

 

 

 

 

     ...ไม่กี่นาทีต่อมา... ณ เส้นทางที่ทอดยาวภายในเขตราชอุทยานสวนองุ่น...

 

      " ...ตกลงว่า...เวลานี้ท่านก็ยังคงพำนักอยู่ที่พระตำหนักของสมเด็จพระพี่นาง สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีอยู่อย่างนั้นหรือขอรับ ท่านหญิง "  ไกรที่เวลานี้ยังคงเดินเคียงข้างองค์หญิงโดยไม่จำเป็นต้องคอยระวังสายตาสอดรู้ของเหล่านางกำนัลที่คงจะไม่มาเดินเล่นในราชอุทยานอันใหญ่โตในเวลาเที่ยงๆนี้แน่ เอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน หลังจากที่ทั้งเขาและองค์หญิงต่างก็ยกเรื่องสัพเพเหระอื่นๆมาคุยกันระหว่างทางจนแทบไม่เหลือเรื่องคุยแล้ว...ในขณะที่เมื่อได้สดับคำถาม องค์หญิงสริจันทรก็เบือนพักตร์มาสบตาเขาเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

 

      " ใช่แล้วล่ะเจ้าค่ะ เวลานี้ข้ายังคงต้องอยู่ที่พระตำหนักของพระปิจตุฉา...อย่างน้อยๆก็จนกว่าพระตำหนักหลังใหม่ของข้าจะสร้างเสร็จนั่นแหละ "

 

      " เอ๋? ...ประเดี๋ยวนะขอรับ เท่าที่ข้าจำได้ พระตำหนักของท่านก็ไม่ได้เสียหายหนักถึงขั้นต้องบูรณะซ่อมแซ่มใหญ่เลยนี่ขอรับ แล้วนี่ถึงกับจำเป็นต้องทุบสร้างใหม่เลยเหรอ? "  ไกรถามเบาๆพร้อมกับนึกถึงช่วงเวลาที่เขาและท่านผู้เฒ่า รวมถึงหน่วยคเณศร์เสียงาเก่าคนอื่นๆไปสำรวจพระตำหนักใหญ่ขององค์หญิงที่พวกจ่าโขลนสามารถปกป้องเอาไว้ได้จนแทบไม่มีส่วนใดที่เสียหายจนยากแก่การบูรณะซ่อมแซมเลย ยกเว้นบริเวณสวนทางด้านหน้าที่เตียนโล่งไปเพราะการเหยียบย่ำเท่านั้น แต่องค์หญิงแย้มพระสรวลแห้งๆพร้อมกับตรัสตอบกลับมาเบาๆว่า

 

      " ก...ก็ ไม่เชิงว่าถูกทุบทำลายหรอกนะเจ้าคะ...แต่สมเด็จพระปิจตุฉา ท่านพินทวดีมีดำรัสสั่งให้เผาทิ้งทั้งหลังเลยต่างหาก "

 

      " ห...หา?! "

 

      " คือ ลำพังตัวข้านั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย แต่พระปิจตุฉาท่านดำรัสว่า ...มันไม่เป็นการอันควรที่ข้าจะพำนักอยู่ในพระตำหนักที่มีชายพายเรือขึ้นไปเหยียบย่ำแล้ว...โดยเฉพาะกับบุรุษที่ไร้ยางอายอย่างท่านออกญาฯที่เป็นอาจารย์และญาติจอมปลอมของท่านไกร ดีไม่ดีจะเป็นเสนียดเสียเปล่าๆ ...เลยดำรัสให้เผาจนวอดทั้งหลังเลย...น...นี่เป็นดำรัสของท่านพินทวดีแบบคำต่อคำเลยนะเจ้าคะ "  องค์หญิงรีบแก้ตัวพัลวัน ในขณะที่เมื่อได้ยิน ไกรก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ

 

      ' ฮะๆ...อยากรู้จริงๆว่าถ้าท่านผู้เฒ่าได้ยินท่านจะทำหน้ายังไง '

 

      " อืม...ว่าแต่หมู่นี้ข้าไม่ค่อยได้เห็นท่านคุณท้าวศรีสัจจา หัวหน้ากองจ่าโขลนเลย...ทั้งๆที่ปกติแล้วพอข้ามีธุระเข้ามาในเขตราชฐานชั้นใน หรือแค่เฉียดๆกำแพงพระราชฐาน คุณท้าวก็ออกมาฮึ่มๆใส่ข้าทุกครั้ง ทำราวกับข้าเป็นผู้ร้ายที่ทางการต้องการตัวไม่มีผิดเลย...เวลานี้คุณท้าวท่านไปไหนเสียล่ะเนี่ย "  ชายหนุ่มเปลี่ยนคำถามที่น่าจะปลอดภัยมากขึ้นอีกครั้ง แต่คำถามของเขาก็ยังทำให้องค์หญิงได้แต่ทำพักตร์แหยๆ แถมยิ่งดูท่าจะลำบากพระทัยที่จะตอบมากขึ้นไปอีก จนไกรต้องเลิกคิ้วอย่างงงๆ

 

      " องค์หญิง? "

 

      " คือ...ช่วงนี้คุณท้าวศรีสัจจาท่านยุ่งๆอยู่น่ะ "

 

      " เอ๋? "

 

      " ท่านกำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนวิชาใหม่อย่น่ะเจ้าค่ะ "

 

      " เอ๋?? วิชาใหม่? ...ก็ดีนี่ขอรับ ...โหย! น่าชื่นชมคุณท้าวที่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ใหม่อยู่เสมอจริงๆ...อย่างว่าแหละนะขอรับ แบบนี้นี่เองที่เขาว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน "  ไกรอดชื่นชมในความขยันหาความรู้ใส่ตัวของอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งๆที่ฝีไม้ลายมือของคุณท้าวในเวลานี้ก็เข้าขั้นเอกอุจนอยู่ในระดับสูงสุดของจ่าโขลนทั้งหมดแล้วแท้ๆ...แต่คำพูดของเขากลับทำให้องค์หญิงแย้มพระสรวลแหยๆอีกครั้ง

 

      " ค...คือ...ท่านไม่ได้ฝึกวิชาการต่อสู้เจ้าค่ะ แต่กำลังขะมักเขม้นร่ำเรียนวิชาวาดภาพอยู่ต่างหาก "

 

      " ห...หา? "

 

      " ก็ คุณท้าวศรีสัจจาท่านบอกว่า ท่านกลัวว่าพอแก่ตัวลง ภาพของท่านออกญาที่อยู่ในชุดทรงสตรีชั้นสูงพร้อมกับกันคิ้วแต่งหน้าทาปากครบที่ท่านเห็นจะเลือนหายไป ท่านเลยตั้งใจจะวาดภาพนั้นเก็บไว้เจ้าค่ะ...เวลานี้เลยฝึกหัดวาดภาพแบบไม่เป็นอันกินอันนอนจนแทบเสียงานเสียการไปเลย "

 

      " เฮ้ยๆๆๆ แล้วไม่มีใครห้ามหน่อยเหรอขอรับ! ถ้าระดับเสียการเสียงานยังงี้ก็น่าจะมีใครเตือนบ้าง อย่างสมเด็จพระพี่นางที่ทรงเฮี้ยบๆยิ่งแล้วใหญ่ หากท่านทรงทราบนี่มีหวังถูกอาญาโบยหลังลายข้อหาละทิ้งหน้าที่ได้เลยนะเนี่ย! "  ไกรโวยออกมาดังลั่นอย่างลืมตัว ในขณะที่องค์หญิงสิริจันทรกุมเศียรวูบพร้อมกับแยกพระทาฐะ(เขี้ยว) วับทันที

 

      " สมเด็จพระปิจตุฉาทรงทราบเรื่องแล้วเจ้าค่ะ...คนที่มีเนตรมีกรรณทั่วทั้งราชสำนักอย่างท่าน มีรึจะไม่ทราบเรื่อง "

 

      " ล...แล้ว? "

 

      " พ...พระองค์เลยทรงพระราชทานเบี้ยอัฐส่วนพระองค์ในการว่าจ้างศิลปินชาวตะวันตกผู้มีชื่อเสียงมาสอนคุณท้าวศรีสัจจาอย่างเร่งด่วน พร้อมกับกำชับให้คุณท้าววาดออกมาให้ได้สมบูรณ์แบบและเร็วที่สุด โดยไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นใดทั้งสิ้นเจ้าคะ "  

 

      " ... "  ถึงใจอยากจะตบมุกแค่ไหน แต่เวลานี้ไกรก็ได้แต่อ้าปากค้าง...ไม่ใช่เพราะเขานึกถึงเรื่องราชศักดิ์ที่ต่างกัน แต่เขายังคงอึ้งกิมกี่อยู่ต่างหาก

 

      ' ร...เรื่องนี้...ให้ท่านผู้เฒ่ารู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด...ไม่งั้นไอ้คนต้นคิดแผนการคอสเดรสนี่อย่างเรา ต่อให้มี ๙ ชีวิตเป็นแมวก็คงใช้ไม่พอแน่ๆ !! '  ชายหนุ่มคิดหาแผนการที่จะหลบเลี่ยงเรื่องคอขาดบาดตายนี้อย่างเต็มที่ ในขณะที่องค์หญิงได้แต่สรวลออกมาเบาๆอย่างไม่อาจจะช่วยอะไรได้...ก่อนที่ในที่สุด ทั้งเขาและองค์หญิงจะเดินลัดเลาะผ่านต้นไม้ใหญ่น้อยต่างๆมาจนกระทั่งถึงสถานที่ลับของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร...สวนขวัญที่ถูกทิ้งร้างไว้...

 

     ...สวนขวัญดอกรัก...

 

       

      " ธ โธ่...ไปไหนกันแน่นะ? ยัยอเทตยา... "  อนาสตาเซียที่ติดตามองค์หญิงสิริจันทรและไกรมาอย่างห่างๆโดยพยายามอยู่ให้ใกล้พอจะเข้าชาร์จไกรได้หากไกรพยายามทำอะไรมิบังควร แต่ก็ไกลพอจนไกรไม่สามารถหยั่งสำนึกถึงตัวของเธอได้ พร้อมกับที่เธอพยายามหยั่งจิตสำนึกเพื่อหาตัวจ่าโขลนสาวผู้เป็นสหายอย่างเต็มที่ แต่เธอก็ได้รับแค่ความว่างเปล่า ซึ่งเธอก็ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย...

 

      ' ชิ! พอมี ธนูวัชระ (สายฟ้า) อยู่ในมือ ยัยนั่นก็กลายเป็นเสือติดปีกไปเลย ...หลบรอดการตรวจจับของเราไปได้อย่างง่ายดาย---ไม่สิ ต้องพูดว่าในเวลานี้ ยัยนั่นมีความสามารถมากพอจะเร้นตัวแฝงกายเพื่อหลบซ่อนจากใครก็ได้ในสุวรรณภูมิด้วยซ้ำมั้งเนี่ย...รู้อย่างนี้น่าจะห้ามไกรไว้ก่อนที่เจ้านั่นจะให้อเทตยาส่งธนูไปให้ยูกิโอะซังจริงๆ... '  จ่าโขลนสาวชาวตะวันตก ผู้มีฉากหลังเป็นถึงมือสังหารอันดับหนึ่่งแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตคิดในใจอย่างเริ่มหงุดหงิด ในการเล่นซ่อนหาที่เธอไม่มีวันชนะเช่นนี้...ก่อนที่เธอจะหันมามองศาสตราประจำกายของเธอ...ดาบนาคราช เล่มใหม่อันมีรูปแบบเป็นดาบเซเบอร์อันเล็กบางสีเงินวาวที่แทบจะเหมือนกับดาบนาคราชเล่มแรกที่หักไปทุกกระเบียดนิ้วอย่างครุ่นคิด

 

      ' หากเราใช้ความสามารถใหม่ของ นาคราช ที่ยัยท่านยูกิโอะซังสร้างให้ล่ะก็ เรื่องหายัยนั่นจะเป็นเรื่องง่ายราวกับปอกกล้วยเลยทีเดียว...แต่ว่า...ความสามารถนั่นเป็นไพ่ตายของดาบเล่มนี้ ถ้าหากเราเอามาใช้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ มีหวังท่านพ่อได้ดุเรายับแน่ๆ...แต่ว่า... '  มือสังหารสาวจับนาคราชอันเป็นดาบคู่บุญของตนไว้พร้อมกับที่ดวงตาสีฟ้าจรัสของเธอจะหรี่มองไปยังต้นไม้น้อยใหญ่ที่รายล้อมอยู่โดยรอบอย่างไม่แน่ใจที่สุด...

 

      ' สังหรณ์ใจไม่ดีเลย...หวังว่าคงจะไม่ทำอะไรโง่ๆลงไปหรอกนะ...อเทตยา '

 

 

     ...ที่เหนือยอดไม้ใหญ่ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่อนาสตาเซียซุ่มอยู่มากนัก อเทตยาที่เวลานี้ปิดกั้นทุกจิตสังหารและการมีตัวตนอยู่ของตัวเองและคุกเข่านิ่งราวกับรูปสลักไม้ ซึ่งเธอทำได้ดีขึ้นชนิดต่างจากเดิมแทบจะเป็นคนละคน จนกระทั่งในเวลานี้เธอปิดกั้นตัวตนได้อย่างสมบูรณ์แบบจนแทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับการมีตัวตนอยู่ของภูติผีด้วยซ้ำ...หญิงสาวผ่อนลมหายใจอันแผ่วเบาและแช่มช้าของเธอออกพร้อมกับค่อยๆปลดคันธนูกลที่เธอถูกไกรและท่านผู้เฒ่าของเขาสั่งให้ส่งกลับไปให้ ยูกิโอะซังแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ปรับปรุงจนดีขึ้นชนิดเป็นคนละคนออกอย่างช้าๆ...ธนูวัชระทมิฬ...

 

     ...คันธนูกลสีดำสนิทที่สูงท่วมหัวของเธอในเวลานี้ถูกเปลี่ยนจากที่ถูกสร้างด้วยไม้ กลายเป็นโลหะอ่อนบางอย่างที่แข็งแกร่งและเบาบางจนสามารถพับให้เล็กลงได้มากขึ้นจนกระทั่งสามารถซ่อนอยู่ด้านหลังเธอได้อย่างไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อย...เฟืองโลหะอันละเอียดอ่อนและลูกรอกเล็กๆหลายลูกที่ติดตั้งอยู่ที่ปลายธนูตามการออกแบบของ สองพี่น้องนักประดิษฐ์สติเฟื่อง ช่วยผ่อนแรงและเพิ่มอำนาจในการส่งลูกธนูจนกระทั่งลูกธนูของเธอเร็วขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ทั้งๆที่สายเส้นเอ็นถูกลดลงเหลือเพียงเส้นเดียวเพื่อความคล่องตัวจากเดิมที่มีถึง ๓ เส้นแท้ๆ ...ในขณะที่โลหะอ่อนที่ใช้สร้างมีคุณสมบัติในการดูดซับจิตคุกคามของเธอที่แผ่ออกมา นั่นช่วยผ่อนแรงในการปิดกั้นจิตคุกคามจนเธอสามารถยิงธนูแบบไร้จิตคุกคามและไม่สามารถตามรอยได้ติดต่อกันหลายนัดมากขึ้น จากปกติแค่นัดเดียวเธอก็ไม่สามารถปิดกั้นจิตสังหารของตนเองได้แล้วแท้ๆ...

 

     ...อย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา