โลกใบสุดท้าย

-

เขียนโดย xoxo

วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 08.45 น.

  10 บท
  1 วิจารณ์
  10.86K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) นักเรียนอันธพาล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โลกใบสุดท้าย (เบญจภาคี)

บทที่ 1

นักเรียนอันธพาล

 

กลางเมืองหลวงที่แออัดคับคั่งไปด้วยผู้คน รถราอัดเบียดกันอยู่ตามท้องถนน ดูราวกับว่าจะหาทางออกไปทางไหนไม่ได้ สายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ยิ่งทำให้รถบนถนนติดยาวเหยียด น้อยคนนักที่จะมีสีหน้าและอารมณ์ที่ดูจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร มันคงเป็นเป็นความเคยชินที่พวกเขาต้องได้รับอยู่ทุกวัน ในระหว่างที่รอรถด้านหน้าขยับอย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น สายตาของผู้คนที่อยู่ในรถบนท้องถนนก็เหลือบไปเห็นชายวัยรุ่นสองคนกำลังวิ่งฝ่าสายฝนออกมาจากห้างสรรพ

สินค้าใหญ่ใจกลางเมืองหลวงอย่างร้อนรนดูราวกับว่าเขาทั้งสองคนกำลังวิ่งหนีความตายที่กำลังตามมา ทั้งสองกระโดดผ่านกำแพงกั้นทางลงสู่ถนนที่เต็มไปด้วยรถราพวกเขาพยายามจะข้ามไปถนนอีกฝั่ง และในขณะเดียวกันนั้น ชายฉกรรจ์ที่น่าจะมีไม่ต่ำกว่าสิบคนก็วิ่งตามออกมาจากห้างสรรพสินค้าใหญ่ ในมือของแต่ละคนไม่ว่างจากอาวุธที่มีทั้งไม้ ทั้งมีด รวมกระทั่งปืน

“เฮ้ย!มันอยู่นั่น...” หนึ่งในชายฉกรรจ์ในกลุ่มตะโกนออกมา พร้อมกับยกมีดยาวในมือชี้ไปที่ชายวัยรุ่นสองคนที่วิ่งหนีข้ามถนนไปอีกฟาก และนี่คือศึกระหว่างสถาบันการศึกษาที่เกิดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายฝนและผู้บริสุทธิ์มากมายที่อยู่ตามท้องถนน โดยที่ฝ่ายผู้ล่าไม่ได้สนใจเลยว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับใครบ้าง พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตามล่านักศึกษาต่างสถาบันอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน

            “เอาอีกแล้วไอ้พวกอันธพาล...วันๆไม่ทำอะไรจ้องแต่จะหาเรื่องตีกัน...เดือดร้อนชาวบ้านจริงๆเลย...พ่อแม่ส่งเสียให้มาเรียนดันมาจ้องตีกันต่อยกัน...เฮ้อ...เวรกรรมจริงๆ” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย

“มันไม่ได้ตีกันต่อยกันอย่างเดียวสิคุณ...นั่นเห็นไหมทั้งมีดทั้งปืน...น่ากลัวจริงๆเลย” หญิงวัยกลางคนที่นั่งรถมาด้วยเสริมขึ้นและทำท่าทางหวาดกลัว

“นี่มันกำลังจะฆ่ากันชัดๆ...สงสัยวันนี้ต้องมีคนตายแน่ๆ...หมอบลงสิคุณเดี๋ยวก็โดนลูกหลงเข้าให้หรอก” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อหันมองไปเห็นปืนในมือผู้ตามล่า

“คุณก็ด้วย” ผู้หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นพร้อมกับดึงสามีตัวเองหมอบลงไป ในขณะที่ผู้ไล่ล่าพากันวิ่งกระโดดเหยียบรถที่ติดยาวอยู่บนท้องถนน

“โครม ๆ” โดยไม่สนใจใยดีต่อสายตาชาวบ้านและเจ้าของรถที่พากันสาปแช่งตามหลัง

            “เอา ๆ ๆ ไม่เห็นรถกูหรือไง...ไอ้พวกนี้” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียหลังจากที่กระโปรงหน้ารถโดนเหยียบดังโครมใหญ่ และยังไม่ทันที่เขาจะเปิดประตูรถออกมาดูผลงานที่นักเรียนอันธพาลทิ้งไว้

            “ปัง!...ปัง!...” เสียงปืนก็ดังขึ้นสองนัดซ้อนบนฟุตบาทข้างทางนั่นเอง และเสียงร้องเอะอะวี้ดว้ายดังกึกก้องก็ตาม

ท่ามกลางสายฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย เด็กหนุ่มมัธยมปลายสองคนกำลังเดินหลบเลี่ยงสายฝนลัดเลาะไปตามอาคารเรียน ทั้งสองยกมือเทินกระเป๋าหนังสือไว้บนหัวเพื่อป้องกันสายฝนนั่น

            “จะไม่รอให้ฝนหยุดตกก่อนหรือวะกาญ” เด็กหนุ่มตะโกนถามเพื่อนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งนำหน้าไป

            “คงไม่ล่ะ...เราจะรีบกลับไปช่วยแม่เก็บของน่ะ... ป่านนี้คงเปียกหมดแล้ว นายจะกลับวัดก่อนก็ได้นะเร” เด็กหนุ่มที่ชื่อว่ากาญหันกลับมาตบไหล่เรเพื่อนสนิทที่กำลังเดินตามมา ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทร่วมห้องเรียนเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นประถมจนกระทั่งเข้าสู่ชั้นมัธยมปลาย พวกเขาทั้งสองมักจะทำอะไรๆ ด้วยกันอยู่เสมอๆ เหตุจากที่บ้านกาญอยู่ใกล้วัดที่เรอาศัยอยู่ พวกเขาจึงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กๆจนกระทั่งโตมาด้วยกัน ด้วยฐานะที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ประกอบกับอุปนิสัยใจคอที่เข้ากันได้ดี มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งสองก็ไม่เคยทอดทิ้งกัน

กาญอยู่กับแม่มาตั้งแต่เล็กๆหลังจากที่พ่อถูกส่งตัวไปช่วยราชการที่ภาคใต้เมื่อหลายปีก่อนในฐานะตำรวจตระเวนชายแดน พ่อของกาญเป็นนายตำรวจคลุมกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนออกไล่ล่าผู้ก่อการร้ายเข้าไปในป่าลึก นั่นคือเหตุการณ์สุดท้ายที่กาญและแม่ของเขาได้รับทราบจากทางกรมตำรวจฯ และยังไม่มีการสรุปการเสียชีวิตของกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่หายไปอย่างลึกลับ เพราะทางการไม่พบร่างผู้เสียชีวิตแม้แต่คนเดียวจึงยังไม่มีการช่วยเหลืออย่างเป็นทางการจากจากกรมตำรวจ ทำให้สองแม่ลูกต้องอยู่กันอย่างลำบาก แต่ถึงกระนั้นกาญและแม่ของเขาก็ยังแอบมีความหวังว่าสักวันพ่อของเขาจะกลับมา

ส่วนเรเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อนที่เดินเข้ามาหาข้าวก้นบาตรที่วัดอยู่เป็นประจำ จนหลวงตาเมตตาสงสาร ประกอบกับที่เรเป็นเด็กดีไม่เหมือนเด็กเร่รอนทั่วไป หลวงตาจึงชักชวนเรมาอยู่ที่วัด ส่วนเรเองก็จำประวัติตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเขาเป็นใครมาจากไหนแต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับที่มาของตัวเองมากเท่าใดนัก เพราะหลวงตาคอยพร่ำสอนเรให้อยู่กับปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น เรรู้แต่เพียงว่าหลวงตาเปรียบเสมือนผู้ให้ชีวิตใหม่กับเขาดังนั้นเขาจึงรักหลวงตาประดุจบิดามารดาเลยทีเดียว ต่อจากนั้นก็คงเห็นจะเป็นเพื่อนที่เขารักมากที่สุดอีกคน นั่นก็คือกาญนั่นเอง

            “ยังไม่กลับวัดหรอก...เดี๋ยวไปช่วยนายก่อนแล้วกัน” เรตอบกลับในขณะที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามกาญไป

            “ขอบใจว่ะ แต่ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวหลวงตาจะก็เป็นห่วง ดูสิฝนตกหนักอย่างนี้” กาญพูดพร้อมกับแหงนหน้ามองสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย

            “แหม...ขัดใจจ๊อดจริงๆเลย หลวงตาท่านไม่ว่าอะไรหรอก เราไม่เคยเหลวไหลที่ไหนนี่...นายก็รู้”

            “จริงเหรอ?” กาญตอบกลับมาพร้อมกับเบะปากน้อยๆแสดงอาการไม่เชื่อถือ

            “นั่นแน่ะ!อย่ามาทำหน้าไม่เชื่อถือกันอย่างนั้นนะ...ใครเขาเห็นเข้าจะเสียเครดิตเราหมด”

            “อย่างนายมีเครดิตกับเขาด้วยหรือวะ?”

            “อ้าว!ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ” เรทำหน้างอนใส่กาญ

“แหม...ล้อเล่นแค่นี้....หัวก็ไม่ล้านซักนิดทำเป็นน้อยใจไปได้....แล้วแน่ใจหรือว่าจะไปช่วยเราจริงๆไม่มีอะไรแอบแฝงนะ”

“แหม...ไอ้เพื่อนคนนี้นับวันจะคบยากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ ไม่เคยเห็นความบริสุทธิ์ใจของเพื่อนชายคนนี้บ้างเลยหรือ” เรจีบปากจีบคอพูดตามประสา

“ก็เห็นฝนตกอย่างนี้ แล้วแถวสยามฯสาวเพียบ...เสื้อขาวๆบางๆ....โดนน้ำอีกต่างหาก....จะเกิดอะไรขึ้นวะ” พอกาญพูดจบเรหยุดกึก ทำท่าเหมือนคิดอะไรได้

“เออจริงสิ....คิดได้ยังไงวะขาวๆบางๆโดนน้ำอีกต่างหาก” เรทำตาโต

“นี่นายไม่ได้คิดจริงๆหรือ?” กาญถามย้ำ

“บ้า!ไม่เคยอยู่ในหัว...นี่ถ้าสมองไม่สัปดนคิดไม่ได้เลยนะนี่” เรเลิกคิ้วขึ้นสูง

“โห...เพื่อนแรงว่ะ...แต่ว่าลามกตัวพ่ออย่างนาย อย่าบอกนะว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้” กาญพูดพร้อมกับหรี่ตามองมาที่เร

“แหมๆ สบประมาทสุภาพบุรุษอย่างเราจริงๆเลย”

“หา!อะไรนะ?” กาญทำท่าเอียงหูเมื่อได้ยินเรพูด

“เออ...ได้ยินไม่ผิดหรอก” เรยักคิ้วให้กาญอย่างมั่นใจ

“อย่างนายนี่นะสุภาพบุรุษ...สถาบันไหนเขายกย่องนายอย่างนั้นวะ” กาญส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เรถึงกับอึ้งเมื่อกาญแสดงอาการอย่างนั้น ก่อนจะทำหน้านิ่งๆและเอ่ยขึ้น

“ลามกศาสตร์...นายต้องการคำตอบอย่างนี้ใช่ไหม...กาญ” เรตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและออกอาการงอนนิดๆ

“เออ...สงสัยจะใช่” กาญพูดไปยิ้มไป

“นายไม่เคยชื่นชมเพื่อนดีๆอย่างเราบ้างเลย” เรทำท่างอนเมื่อกาญย้ำคำตอบอย่างนั้น

“เฮ้ย!เป็นอะไรวะ...อยู่ๆก็จะดราม่าขึ้นมาซะงั้น...เออๆขอโทษแล้วกัน...งอนเป็นตุ๊ดไปได้” กาญตบไหล่เรเบาๆเชิงปลอบใจ เรเหล่ตามองกาญอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

“ก็ยังดีที่รู้จักขอโทษ...แต่นายต้องถอนคำพูดเมื่อกี้ก่อนไม่อย่างนั้นเลิกคบ” เรทำท่ายื่นคำขาด

“คำไหนวะพูดไปตั้งเยอะ” กาญขมวดคิ้วเข้าหากันทำท่างงๆ

“ตุ๊ด! เราไม่ใช่ตุ๊ด...เข้าใจป่ะ”

“ฮึ่ย! พูดเล่นน่า”

“จะถอนหรือไม่ถอน” เรเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ กาญเห็นเรออกอาการเอาจริงเอาจังจึงยอมทำตามที่เรขอ

“อะอะ...ยอมยอม...ท่านประธานครับผมขอถอนคำพูดว่า...ตุ๊ดครับ...อะ...พอใจยัง” เรหรี่ตาและแสยะยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ

“เออ...ค่อยคบได้หน่อย” และเมื่อเรประสบความสำเร็จในการเอาชนะเพื่อนเขาก็ได้เปลี่ยนกิริยาทันที

“อย่ามัวช้าเลย....มีงานด่วนให้เราทำแล้วล่ะ” เรพูดขึ้นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

“มีงานอะไรหรือสุภาพบุรุษ...” กาญทำหน้าสงสัย

“ก็เอาเสื้อไปห่อร่างอันบอบบางของสาวๆพวกนั้นไง... เดี๋ยวหนาวตายกันพอดี ฝนตกหนักอย่างนี้...” เรทำตาเหล่ยิ้มหวานออกมาท่ามกลางสายฝนที่ยังตกลงมา

“เฮ้ย!อะไรวะ... เมื่อกี้ยังงอนอยู่เลย...อารมณ์แปรปรวนจริงวะไอ้คนนี้”

“เออ..เรื่องมันแล้วไปแล้ว เร็วเถิด...เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์” เรพูดจบก็รีบวิ่งออกนำหน้ากาญไปทันที

“โอ้โห!ติดจรวดเลยนะมึง” กาญบ่นออกมาเบาๆก่อนจะวิ่งตามเรไปติดๆ

“เฮ้อ! รอด้วยสิสุภาพบุรุษ”

“แน่จริงตามมาให้ทันสิวะ” เรตอบกลับมาในขณะที่ตั้งหน้าวิ่งจ้ำอ้าวนำหน้าไป

สองสหายวิ่งตามกันไปตามทางฟุตบาทฝ่าฝูงชนที่เดินสวนกันไปมาบนทางเท้า ไม่นานนักกาญก็วิ่งนำหน้าเรไปในขณะที่เรหยุดวิ่งก้มตัวลงหอบอย่างคนหายใจไม่ทัน

“แฮ่กๆ โอย...เหนื่อยโคตร....ใจคอมันจะไม่ยอมเสียค่ารถเมล์เลยหรือไงนะ...แฮ่ก ๆ” เรบ่นออกมาก่อนจะนั่งลงกับพื้นท่ามกลางผู้คนที่เดินถือร่มสวนกันไปมาบนฟุตบาตนั่นเอง กาญหยุดวิ่งหันไปดูเพื่อนนั่งหอบอยู่ เขายิ้มที่มุมปากน้อยๆก่อนจะเดินเข้าไปหาเร

“อะไรกัน นี่ยังวิ่งไม่ถึงสองกิโลเลยนะ เป็นลมเสียแล้ว แล้วอย่างนี้จะปกป้องสาว ๆ ได้อย่างไรกันสุภาพบุรุษ...ฮ่า ๆ...” กาญยื่นมือไปดึงเรลุกขึ้นยื่นอีกครั้ง

“ขอบใจ” เรทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะแหงนมองดูท้องฟ้าที่มืดครื้มไปด้วยเมฆฝน

“นี่ฝนมันจะตกไปถึงไหนกันนะ” เรบ่นพึมพำออกมา พร้อมกับก้าวขาเดินตามกาญไป และอีกไม่กี่ช่วงตึกกาญและเรก็จะถึงที่หมาย ในขณะที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่นั้น กาญหันกลับไปมองเรที่กำลังตามหลังมา แต่พอเขาหันหน้ากลับมาเขาต้องปะทะกับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง

            “เฮ้ย!”

“ตุ้บ! ตุ้บ!” แรงจากการปะทะทำให้กาญถึงกับล้มลงก้นจ้ำเบ้า ซึ่งไม่ต่างไปจากชายสองคนที่วิ่งเข้ามาชนกาญ ทั้งสองล้มกระเด็นไม่เป็นท่าเช่นกัน

            “เฮ้ย! ไอ้...” ชายหนึ่งในสองยกมือชี้ที่กาญด้วยอาการไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ พวกเขาสองคนก็ต้องตาลีตาเหลือกลุกขึ้นเมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนกำลังวิ่งกรูกันเข้ามา แต่ก็สายไปเสียแล้ว ชายสองคนที่ล้มลงโดนรุมสะกรัมจากกลุ่มชายฉกรรจ์ที่วิ่งตามมาทันอย่างป่าเถื่อน

“ตุ้บตั้บๆๆๆ”

“โอ๊ย! โอ๊ยๆๆ” เสียงท่อนไม้ หมัดและเท้า กระหน่ำเข้าใส่ร่างของทั้งสองระคนกับเสียงร้องโอดโอย กาญถอยหลังออกมาด้วยอาการตกใจต่อภาพเหตุการณ์ป่าเถื่อนที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้า และสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งในชายฉกรรจ์ในกลุ่มที่เข้ารุมทำร้ายควักปืนออกมาจากเอวและลั่นกระสุนใส่ชายเคราะห์ร้ายทั้งสองทันที

            “ปังๆๆๆ” กระสุนปืนดังขึ้นหลายนัดร่างของชายเคราะห์ร้ายทั้งสองนอนสงบนิ่งจมกองเลือด กลุ่มชายฉกรรจ์ที่รุมทำร้ายเมื่อเห็นว่าเหยื่อแน่นิ่งไปแล้วก็พากันสลายตัวไปตามซอกตึกทันที แต่ก่อนที่พวกมันจะพากันหนีไปชายคนที่ลั่นกระสุนปืนเหลือบไปเห็นว่ากำลังมีใครคนหนึ่งจ้องมองเขาอยู่ และบุคคลที่มองเขาอยู่นั้นก็คือกาญ มันค่อยๆหันมาหาเขาและยกปืนเล็งมาที่กาญเพื่อหวังจะปิดปาก มันไม่รอช้าเหนี่ยวไกปืนทันที

“แชะ ๆ” เสียงไกปืนสับลงที่ลูกปืนถึงสองครั้งติดต่อกันแต่มันกลับไม่ระเบิดออกมา ทำเอามือปืนหัวเสียเดินตรงมาที่กาญ และก่อนที่มือปืนจะก้าวเดินมาถึงกาญ

“ไปเร็ว! พี่ดำตำรวจวิ่งมาโน่นแล้ว” หนึ่งในชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นได้วิ่งกลับมาดึงตัวนายดำมือปืนไป

“เฮ้ย! ไอ้เด็กนั่นมันเห็นหน้ากู” นายดำมือปืนพูดขึ้น

“เออ...ไปก่อนพี่ เดี๋ยวค่อยจัดการมันทีหลังก็ได้ ตำรวจวิ่งมาโน่นแล้ว” สิ้นคำทั้งสองก็พากันวิ่งหนีหายไปทันที เหลือทิ้งไว้เพียงสายตาที่มองกาญอย่างจะเอาเป็นเอาตาย กาญยังตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ที่เห็นเขายังทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่ง

“กาญ...เกิดอะไรขึ้น? เสียงปืนเมื่อกี้ ใครมันยิงกันวะ?” เรวิ่งเข้ามาถึงก็รีบร้อนถาม กาญมองหน้าเรและส่งสายตายให้เรเห็นภาพชายสองคนที่นอนจมกองเลือดอยู่เบื้องหน้า

“เฮ๊ย!เด็กสถาบันไหนวะ?” เรเบะปากและส่ายหน้าหนีเมื่อเห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้า

“ไม่รู้” กาญพูดจบก็ตั้งสติได้และรีบเดินเข้าไปดูชายทั้งคนทันที

“เฮ้ย! เดี๋ยวกาญ นายจะทำอะไรวะ” เรดึงแขนกาญเอาไว้ เมื่อเห็นกาญทำท่าจะเข้าไปดูชายทั้งสองคนที่นอนจมกองเลือดอยู่

“ไปดูเขาก่อนเผื่อยังไม่ตาย” กาญตอบกลับมาเบาๆ

“แล้วไงวะ” เรขมวดคิ้วเขาหากันสีหน้าไม่สบายใจ

“เราอาจจะช่วยอะไรเขาได้” กาญไม่สนใจคำทักท้วงของเรเขาสลัดแขนออกจากมือเร เมื่อเข้าไปถึงร่างของชายทั้งสองเขาก็รีบเอามือจับชีพจรของชายเคราะห์ร้ายทั้งสองทันที

“ยังไม่ตายนี่” กาญรำพึงออกมาเบาๆพร้อมกับหันหน้ามาทางเร

“กาญ...เราว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดีกว่า โน่น...มากันโน่นแล้ว” เรพูดยังไม่ทันขาดคำตำรวจสามนายก็วิ่งมาถึงพอดี

“เฮ้ย!หยุด” นายตำรวจนายหนึ่งตะโกนขึ้นพร้อมกับชี้มือมาที่คนทั้งสอง และอีกมือทำท่าเตรียมจะชักปืน เรเห็นอย่างนั้นถึงกับตาโต

“ป่ะเปล่านะครับคุณตำรวจ...ผมไม่ได้ทำอะไรนะ” เรยกมือทั้งสองขึ้นพร้อมกับพูดออกไปอย่างรนราน

“ไม่ต้องพูดมากหลักฐานเห็นอยู่โทนโท่” นายตำรวจพูดเสียงดัง พร้อมกับจับกาญและเรเอามือไขว้หลังดันเข้ากำแพงทันที

“เปล่านะครับคุณตำรวจ...ผมกับเพื่อนพอดีผ่านมาทางนี้ครับ...ไม่เชื่อถามคนแถวนี้ดูก็ได้” เรรีบตอบอย่างรนราน นายตำรวจหันไปมองไทยมุงที่เริ่มทยอยกันเข้ามาดูซึ่งต่างก็พยักหน้ารับตามที่เรพูด และหนึ่งในบรรดาไทยมุงนั้นเองก็ทำให้นายตำรวจเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายตำรวจจึงปล่อยตัวกาญและเรให้เป็นอิสระ

“เกือบซวยแล้วมั้ยล่ะพ่อพลเมืองดี” เรบ่นพึมพำใส่กาญ

“แล้วพวกเธอเข้ามาทำอะไร” ตำรวจนายหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเมื่อปล่อยทั้งสองเป็นอิสระ

“พวกผมเข้ามาดูอาการนายสองคนนี่ครับ...เห็นว่าโดนยิงด้วยเผื่อจะช่วยอะไรเขาได้นะครับ” กาญตอบเรียบๆ

“เป็นหมอรึ? ถึงคิดว่าจะช่วยเขาได้” นายตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้นอย่างกวนๆ และมองหน้ากาญอย่างพินิจพิเคราะห์อย่างกับกาญเป็นผู้ต้องสงสัย

“เพื่อนผมไม่ได้เป็นหมอหรอกครับ แต่เป็นคนมีน้ำใจนะครับ น้ำใจ...รู้จักไหมครับคุณตำรวจ” เรตอบกลับไปแบบกวนๆบ้าง

“วอนนอนคุกนะเอง...เอาสักคืนสองคืนมั้ย” นายตำรวจนั้นตอบกลับมา

“พอเถิดจ่าฯ” นายตำรวจซึ่งมีดาวติดอยู่บนบ่าหนึ่งดวงร้องปรามขึ้นเมื่อเห็นการสนทนาที่เริ่มมีอารมณ์เกิดขึ้น

“แล้วอาการเป็นไงบ้าง?” นายตำรวจที่มีดาวติดที่บ่าเอ่ยถามกาญต่อ

“ยังไม่ตายครับ แต่โดนยิงอาการสาหัสมาก... คุณตำรวจรีบเรียกรถพยาบาลเถิดครับ” กาญตอบออกไปในขณะที่นายตำรวจคนนั้นก็วิทยุสื่อสารเรียกรถพยาบาลเข้ามาทันที เมื่อนายตำรวจสั่งการเสร็จก็หันมาตบไหล่กาญเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ขอโทษนะที่เข้าใจผิด”

“ไม่เป็นไรครับ” กาญตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

“เอ่อ...แต่แขนผมเคล็ด เอ่อ...ไม่ทราบว่าจ่ายค่าเยียวยาไหมครับ” เรตอบกวนๆพร้อม

กับสะบัดแขนข้างซ้ายเบาๆ นายตำรวจหันมามองหน้ากัน ก่อนที่จ่าฯจะควักกระเป๋าออกมา เรเห็นถึงกับทำตาโตและหันมามองกาญประหนึ่งว่าไม่อยากเชื่อสายตาที่เห็น

จ่าฯควักแบ็งค์ออกมาหลายใบนับก่อนจะยื่นแบ็งค์ใบหนึ่งให้เร เรยกมือไหว้ยิ้มร่าพร้อมกับยื่นมือไปรับ แต่พอเรเห็นถึงกับหน้าเหี่ยวทันที

“ยี่...สิบ” เรทำเสียงสูง

“โอยๆๆ เยอะไปมั้ยครับคุณตำรวจ...ผมจะใช้ยังไงหมดเนี่ย” เรบ่นพึมพำ

“ไม่เอาก็คืนได้นะ”จ่าฯเอ่ยขึ้น เรส่ายหน้าน้อยๆพร้อมกับเก็บเงินเข้ากระเป๋าก่อนจะ

รำพึงออกมาเบาๆ

“ทำแขนเขาเคล็ดให้มาได้ยี่สิบ...โคตรคุ้มเลย”

“หา!ว่าไงนะ...” จ่าฯทำเสียงสูงเมื่อได้ยินเรบ่นอย่างนั้น

“ป่ะเปล่าครับ...ผมกำลังคิดว่าจะเอาเงินนี้ไปซื้อหุ้นอะไรดีนะครับ” เรทำเฉไฉไปเรื่อย

“มึงจะซื้อหุ้นเลยหรือ” จ่าฯที่ยื่นเงินให้เรถามย้ำ

“ครับ” เรตอบหน้าตาเฉย นายตำรวจที่มีดาวอยู่บนบ่ายิ้มที่มุมปากก่อนจะหันมาทางกาญและเอ่ยขึ้น

“ แล้วเธอเห็นไอ้พวกที่ทำร้ายนายสองคนนี่หรือเปล่า”

“เห็นครับ” กาญตอบอย่างมั่นใจ

“แล้วไอ้พวกนั้นมันไปทางไหน” นายตำรวจถามต่อ

“พวกมันพากันไปทางนี้ครับ” การชี้ทางเข้าไปในซอกตึกใกล้ๆ นั่นเอง

“ขอบใจอีกครั้งนะ” เมื่อได้คำตอบจากกาญนายตำรวจที่มีดาวบนบ่าจึงออกคำสั่ง

ทันที

“เดี๋ยวจ่าดูนายสองคนนั่นอยู่ที่นี่ผมกับผู้หมู่จะตามพวกมันเข้าไปเอง”

“ครับผู้หมวด” จ่าฯรับคำสั่งแข็งขันและผู้หมวดกับผู้หมู่ก็วิ่งตามพวกอันธพาล

หายเข้าไปในซอกตึกตามที่กาญชี้ทันที จ่าฯเข้าไปดูอาการชายทั้งสองคนก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวรถพยาบาลก็คงมา อยู่ใกล้ๆนี่เอง...กำลังช่วยชีวิตคนที่โดนลูกหลงอยู่” จ่าฯพูดจบเรกับกาญถึงกับมองหน้ากัน

“มีคนโดนลูกหลงด้วยหรือครับ” กาญเอ่ยถามทันที

“มีสิ… นอนหายใจรวยรินอยู่หน้าห้างฯ นั่นแหละ”

“นักศึกษาหรือครับ?” เรเอ่ยขึ้นบ้าง

“เอ! รู้สึกว่าจะไม่ใช่นะ เห็นแว่วมาว่าเป็นแม่ค้าที่ขายของอยู่แถวนั้น... ฉันก็ยังไม่ได้เข้าไปดูเสียด้วย...รีบตามไอ้พวกนั้นมา” จ่าฯพูดยังไม่ทันขาดคำ กาญถึงกลับหน้าถอดสี เขาออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปที่หน้าห้างฯ ทันที

“เฮ้ย! อะไรกันวะไอ้หนุ่ม รีบร้อนขนาดนี้” จ่าฯพูดขึ้นเมื่อกาญรีบผลุนผลันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

“ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยครับผู้กำกับฯ... เพื่อนผมมันคงรีบไปดูแม่มันนะครับ” เรพูดจบก็รีบวิ่งตามเพื่อนของเขาไปทันที

“เฮ้ย! แค่จ่าฯโว้ย” จ่าฯ ตะโกนไล่หลังไป เรหยุดกึกเดินกลับมาหาจ่าฯคนนั้นทันที

“เดี๋ยวก็ได้เป็นแล้วครับจ่า...แจกเงินเยียวยาเยอะขนาดนี้...ปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งขนาดนี้และยังสละชีพในหน้าที่อีก...หุหุหุ...” เรหัวเราะในลำคอเบาๆและยกมือขึ้นบ๊ายบาย พร้อมกับจ้ำเท้าตามเพื่อนไป โดยหวุดหวิดที่จะโดนรองเท้าของจ่าฯไล่ตามก้นไปติดๆ

            “ไอ้เวร! แช่งกูนี่หว่า....” จ่าฯรำพึงออกมาเบาๆ

 

            ไม่นานนักกาญก็วิ่งมาถึงบริเวณหน้าห้างฯ ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยไทยมุงมากมาย ต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำอันป่าเถื่อนของพวกนักเรียนอันธพาล และความโชคร้ายของแม่ค้าขายผลไม้หน้าห้างฯ ยิ่งทำให้กาญหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะจนกระทั่งเขาฝ่าวงล้อมไทยมุงเข้าไปจนถึงที่เกิดเหตุจนได้ และภาพที่เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าไม่อยากได้เห็นก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า กาญหมดเรี่ยวแรงเขาทรุดเข่าลงบนทางเท้านั้น น้ำตาของความโศกเศร้าเสียใจพลั่งพลูออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

“มะ...มะ...แม่....ไม่...ไม่...” กาญตะโกนออกมาสุดเสียงพร้อมกับเสียงร้องไห้อย่างคนบ้าคลั่ง เขาคลานเข่าเข้ามากอดร่างแม่ของเขาที่นอนสงบนิ่งด้วยบาดแผลจากคมกระสุนปืนที่หน้าอกด้านซ้าย ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เฝ้ามองดูกาญด้วยความเวทนาสงสารอย่างสุดซึ้ง เรซึ่งตามกาญมาติดๆก็ถึงกับช็อคเมื่อได้พบกับภาพเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า เขาพยายามคลุมสติ เดินเข้าไปโอบกอดกาญด้านหลังทั้งน้ำตา

“ น้องๆ อาสาสมัครกู้ชีพจับไหล่กาญเขย่าเบาๆ กาญเงยหน้าขึ้นมองอาสาสมัครสาวคนนั้น

“คะครับ...พี่...” กาญตอบออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ

“น้องใจเย็นๆนะ... แม่ของน้องชีพจรยังเต้นอยู่”

“หา! จริงหรือครับ...” เสียงของอาสาสาวคนนั้นเปรียบประดุจเสียงจากสวรรค์ เขารีบจับชีพจรของแม่ก็พบว่ายังมีสัญญาณชีพอยู่จริงๆ ถึงจะเริ่มแผ่วเบาลงบ้างก็ตาม

“อย่ามั่วช้าอยู่เลยรีบเอาแม่ของเธอไปโรงพยาบาลเถิด” อาสาสมัครสาวเอ่ยขึ้น กาญหันซ้ายหันขวาอย่างรนรานมองหารถพยาบาล

“แล้วรถพยาบาลอยู่ไหนครับพี่?”

“รถพยาบาลเข้ามาไม่ได้... เห็นไหมรถมันติดขนาดนี้...มีวิธีเดียวต้องเอาแม่ของน้องลงเปลและพาไปที่รถ...เดี๋ยวน้องปล่อยเป็นหน้าที่ของพวกพี่ดีกว่านะพี่จะพาแม่ของเธอไปส่งที่โรงพยาบาลเอง”

“ครับ...ครับ...” กาญตอบออกมาอย่างว่าง่าย

“ไม่เป็นอะไรแล้วกาญ แม่นายต้องไม่เป็นอะไร” เรจับหัวไหล่เพื่อนแน่น

“ขอบใจนายมากเร” ไม่นานนักร่างของแม่กาญก็ถูกหามส่งโรงพยาบาล กาญยังคงตามแม่ของเขาไปจนถึงโรงพยาบาลโดยมีเรตามไปด้วยทุกย่างก้าว และเมื่อมาถึงโรงพยาบาลกาญก็ทำได้อย่างเดียวคือนั่งรอปล่อยให้การช่วยชีวิตเป็นหน้าที่ของหมอต่อไป

“เร...ขอบใจนายมากนะ... นายกลับวัดก่อนก็ได้นะ นี่มันก็ดึกแล้ว... ป่านนี้หลวงตาคงเป็นห่วงนายแย่แล้ว”

“ไม่ต้องเป็นห่วงกาญ เราโทรศัพท์ไปบอกหลวงตาเรียบร้อยแล้ว หลวงตายังสั่งให้เราอยู่เป็นเพื่อนนายอีกเสียด้วยซ้ำ” กาญหันมามองหน้าเรด้วยสายตาที่แสดงถึงความซาบซึ้งใจ

“ขอบใจมากเร”

“ไม่เป็นไรน่ากาญ... เราเป็นเพื่อนกัน โตมาด้วยกัน เรื่องอย่างนี้จะให้เราทิ้งนายไว้คนเดียวได้อย่างไรวะ” เรเดินมาจับไหล่กาญที่นั่งคอตกอยู่หน้าห้องไอซียู

เวลาผ่านไปไม่นานนัก นายแพทย์ที่ทำการผ่าตัดแม่ของกาญได้เดินออกมาจากห้องผ่าตัดและเดินตรงมาที่กาญทันที

“เอ่อ... เธอเป็นลูกชายของป้า...” นายแพทย์เอ่ยขึ้น กาญลุกขึ้นยืนยกมือไหว้ก่อนจะตอบออกไป

“ครับหมอ แม่ผมเป็นอย่างไรบ้างครับ” กาญถามด้วยอาการตื่นเต้น ในขณะที่นายแพทย์มีสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

“คืออย่างนี้นะ แม่ของเธอโดนกระสุนปืนเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายซึ่งมันที่เป็นตำแหน่งของหัวใจพอดี” ดวงตาของกาญเบิกโพลงเมื่อฟังประโยคแรกที่นายแพทย์พูด

“หมายความว่ายังไงครับหมอ แม่ผมจะรอดไหมครับหมอ...หมอช่วยแม่ผมด้วยนะครับช่วยแม่ผมด้วย” กาญออกอาการอ้อนวอนนายแพทย์เต็มที่

“ใจเย็นๆ ก่อน... หมอยังพูดไม่จบเลย” นายแพทย์เอ่ยขึ้น เรจับไหล่กาญและบีบเบาๆบอกนัยว่าให้ใจเย็นๆ รอฟังหมอก่อน

“ครับหมอ” กาญตอบพร้อมข่มกริยาให้เย็นลง

“เธอพร้อมจะฟังแล้วใช่ไหม” นายแพทย์ถามย้ำอีกครั้ง กาญพยักหน้ารับน้อยๆแทนคำตอบ

“เอ... แต่หมอว่า หมอรอพบพ่อของเธอก่อนดีกว่าไหม” นายแพทย์ไม่แน่ใจที่บอกให้กาญฟัง กาญเงยหน้ามองนายแพทย์ดวงตาดูเศร้าสร้อยหนักกว่าเก่า

“เออ... คุณหมอครับ พ่อของเพื่อนผมเป็นตำรวจและย้ายไปที่ภาคใต้... ออกตระเวนตรวจชายแดน... และพ่อของเขาได้หายสาบสูญไปครับ... จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ทราบชะตากรรมเลยครับ” เรต้องตอบคำถามที่แสนจะขมขื่นแทนกาญ

“อ้าว! เหรอ... หมอเสียใจด้วยนะ พ่อเธอคงเป็นนายตำรวจที่กล้าหาญมากเลยสินะ” นายแพทย์ยื่นมือมาตบไหล่กาญเบาๆ

“เอาล่ะ ๆ ไม่เป็นไร... ว่าแต่ว่าญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆของเธอล่ะ” นายแพทย์ถามต่อ

“เขาอยู่กับแม่ของเขาแค่สองคนครับ” เรตอบคำถามแทนกาญอีกครั้ง

“ไม่มีญาติเลยเหรอ?” นายแพทย์ยังคงถามอีกครั้ง กาญส่ายศีรษะแทนคำตอบ นายแพทย์ถอนหายใจยาว

“ถ้างั้นก็หมายความว่าเธอเป็นคนตัดสินใจ ในวิธีการรักษาแม่ของเธอสินะ”

“ครับ ผมเป็นคนตัดสินใจเอง” กาญตอบ

“เอาอย่างนั้นก็ได้... นั่งลงคุยกันตรงนี้ก่อนแล้วกัน” นายแพทย์พากาญนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องไอซียูก่อนจะคุยต่อ

“ก็นับว่ายังโชคดีที่กระสุนปืนไม่โดนหัวใจ” กาญเริ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดจากนายแพทย์

“แต่... หัวกระสุนมันฝังอยู่ด้านในและดันไปกดทับเส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมองเข้าพอดี....ทำให้เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้แม่ของเธอยังไม่ฟื้น...”

“แต่แม่ผมจะฟื้นใช่ไหมครับ?”

“หมอยังตอบไม่ได้นะ แม่ของเธอจะต้องนอนหลับไปอย่างนี้.... จนกว่า...”

“จนกว่าอะไรครับหมอ?”

“จนกว่าจะได้รับการผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก”

“แล้วคุณหมอทำไมไม่ผ่าตัดเอาหัวกระสุนออกเสียเลยล่ะครับ” กาญถามด้วยความสงสัย นายแพทย์ถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อ

“เอ่อ... ถ้ามันทำได้ง่ายๆอย่างนั้น ป่านนี้หมอคงเอามันออกมาแล้วล่ะ....ในตำแหน่งที่หัวกระสุนมันฝังตัวอยู่มันเป็นตำแหน่งที่อันตรายมาก ถ้าทำการผ่า ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก อาจจะเสียชีวิตได้” กาญแสดงสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้งก่อนจะค่อยๆเอ่ยถามต่อ

“แล้วไม่มีทางจะรักษาเลยหรือครับ” นายแพทย์เม้มริมฝีปากตัวเองแสดงอาการครุ่นคิดอย่างหนัก

“อันที่จริงมันก็มีนะ... แต่ว่า...” คำตอบของนายแพทย์ทำเอากาญมีสายตาที่มีความหวังขึ้นมาบ้าง

“แต่ อะไรหรือครับหมอ” นายแพทย์กอดอกตัวเองและสูดหายใจเข้าแรงๆก่อนจะเอ่ยออกมา

“คือมันต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัยกว่านี้... และต้องใช้นายแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้โดยตรง...ซึ่งโรงพยาบาลรัฐบาลยังไม่มีเครื่องมือผ่าตัดที่ทันสมัยอย่างนั้น” กาญขมวดคิ้วเข้าหากัน

“โรงพยาบาลรัฐฯไม่มี... แล้วที่ไหนถึงจะมีล่ะครับหมอ”

“โรงพยาบาลที่พอจะช่วยแม่เธอได้ตอนนี้เห็นจะมีแต่... ศูนย์โรงพยาบาลโรคหัวใจโดยตรง... ซึ่งมันเป็นโรงพยาบาลของเอกชน และที่สำคัญเธอจะต้องออกค่ารักษาพยาบาลเอง”

“ออกค่ารักษาเอง” กาญก้มหน้าลงน้อยๆก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ แม้จะคิดอยู่ในใจแล้วว่ามันต้องใช้เงินจำนวนมากแน่ แต่เขาก็ยังเอ่ยถามต่อ

“แล้วต้องใช้เงินสักเท่าไหร่ล่ะครับหมอ”

“อาการอย่างแม่ของเธอ คงต้องใช้เงิน... หนึ่งถึงสองล้านบาท...หรืออาจจะมากกว่านั้นหมอก็ไม่แน่ใจ” นายแพทย์ส่ายหน้าน้อยๆเมื่อพูดจบ

“เป็นล้านเลยหรือครับ?” เรซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยอุทานออกมาพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ กาญเองเมื่อได้ยินก็ถึงกับหลับตาส่ายศีรษะน้อยๆ

“ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วหรือครับหมอ” เรถามขึ้นมาบ้าง

“ก็มีนะ... ถ้าเธอจะให้ทางโรงพยาบาลเสี่ยง หมอก็ทำให้ได้... แต่หมอบอกตรงๆว่าโอกาสมีน้อยมาก เธอจะเสี่ยงหรือ” นายแพทย์จ้องมองมาที่กาญ กาญส่ายศีรษะอย่างไม่ต้องคิดมาก

“ไม่ครับหมอ... ผมไม่อยากเอาชีวิตแม่ของผมมาเสี่ยงขนาดนั้น”

“ก็นั่นสินะ... แต่ถ้าแม่ของเธอนอนอยู่อย่างนี้นานๆ ก็ไม่ดีเหมือนกันนะ... เพราะแขนขาของแม่เธอก็คงจะเล็กลีบไปลงไปเรื่อยๆเธอมีเวลาสองถึงสามเดือน ถ้านานไปกว่านี้นอกจากแขนขาที่จะลีบเล็กลงแล้ว สมองของแม่เธออาจจะตายได้นะ” กาญหันมองนายแพทย์ทันทีที่เขาพูดจบ

“หมายความว่า ถ้าภายในสองเดือนผมหาเงินมาได้... แม่ผมก็อาจรอดใช่ไหมครับ”

“หมอก็ยังไม่ยืนยันขนาดนั้นนะ... เพราะหมอเองก็ยังไม่รู้ว่า... ภายหน้าอาการของแม่เธอจะเป็นอย่างไรต่อไป คงต้องดูอาการต่อไปเรื่อยๆ” นายแพทย์พูดจบกาญสูดหายใจเข้าแรงๆก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว

“ครับคุณหมอ...ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะรีบหาเงินมาให้ได้เร็วที่สุด”

“ถ้าเธอต้องการอย่างนั้นก็แล้วแต่เธอ...ในระหว่างนี้ทางโรงพยาบาลจะดูแลแม่ของเธอให้ดีที่สุด”

“ขอบพระคุณมากครับคุณหมอ” กาญพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้นายแพทย์

“ไม่เป็นไรมันหน้าที่ของหมออยู่แล้ว... เอาล่ะเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะมีคนไข้รอหมออยู่”

“ขอบพระคุณมากครับคุณหมอ” กาญและเรยกมือขึ้นไหว้อีกครั้ง ก่อนที่นายแพทย์จะเดินจากไป

 

ภายในห้องไอซียู กาญยืนทอดสายตามองแม่ของเขาที่นอนสงบนิ่งบนเตียงอย่างเงียบๆ ดวงตาแสดงถึงความเศร้าและยังแดงกล่ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักถึงแม้ตอนนี้น้ำตาของเขาจะหยุดไหลลงแล้วก็ตาม แต่แค่เพียงเสี้ยววินาทีดวงตาของเขามันกลับฉายแววของความเคียดแค้นออกมาอย่างเห็นได้ชัดกาญกัดกรามและกำมือของตัวเองแน่น เรสังเกตเห็นเพื่อนของเขาแสดงอาการอย่างนั้น ก็เดินมาจับไหล่กาญพร้อมกับบีบเบาๆ

            “ใจเย็นๆเพื่อนแม่นายต้องไม่เป็นอะไร” กาญไม่ได้สนใจคำพูดของเรมากนักเขามองมาที่หน้าแม่ของเขาอีกครั้ง และเอ่ยขึ้น

            “แม่ครับ... ผมจะต้องหาเงินมารักษาแม่ให้ได้ แม่อดทนรอผมหน่อยนะครับ” พูดจบกาญก็ผละออกมาจากเตียงของแม่เขาและเดินออกมาจากห้องไอซียูทันที

            “เฮ้ย! เดี๋ยวกาญจะรีบไปไหนวะ?” เรรีบจ้ำอ้าวตามเพื่อนออกมา

            “ไปหาเงิน” กาญตอบออกมาสั้นๆโดยไม่หันไปมองเร

            “ดึกดื่นอย่างนี้จะไปหาที่ไหนวะ” เรเดินไปพูดไป

            “ไปเอากับไอ้คนที่มันทำแม่เรา” กาญตอบออกมาพร้อมกับเดินออกจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เรอ้าปากน้อยๆด้วยความตกใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

            “เฮ้ย! นายจะบ้าหรือไงวะ”

            “นายอย่ามาห้ามเราดีกว่าเร ไม่มีประโยชน์หรอก นายไม่เป็นเรานายไม่เข้าใจหรอก นายกลับวัดไปซะ วันนี้เราขอบใจนายมาก” กาญไม่สนใจคำทักท้วงของเรยังคงเดินจ้ำอ้าวต่อไป เรหยุดกึกอยู่กับที่มองเพื่อนด้วยความสับสนใจว่าเขาจะห้ามเพื่อนเขาได้อย่างไรในเวลานี้ เรใช้เวลาคิดไม่นานเขาก็ถอนหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะวิ่งตามหลังไป

            “เฮ้ย! เดี๋ยวกาญรอเราด้วย” เรเปล่งเสียงเรียกกาญให้หยุด

            “นี่นายยังไม่กลับวัดไปอีกหรือ” กาญหยุดและหันมามองเพื่อน เรวิ่งมาหยุดตรงหน้ากาญจับหัวไหล่กาญทั้งสองข้างก่อนจะพูดขึ้น

            “กาญ... ไอ้เพื่อนยาก... ขอแต่ความเป็นเพื่อนให้นายฟังเราก่อนได้ไหม... สักครั้ง...” เรพูดไปหอบไป กาญมองตาเร สายตาของเขาเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง สักพักเขาจึงพยักหน้า

            “นายมีอะไร...เร...”

            “เออ...ขอบใจว่ะ ก่อนอื่นนายดูนาฬิกาสิ” กาญมองหน้าเรก่อนจะมองมาที่แขนตัวเองเป็นนัยให้รู้ว่าเขาไม่มีนาฬิกา เรจึงยกนาฬิกาที่ข้อมือให้กาญดู

            “ดูซะ นี่มันจะตีสองแล้วนะ… ป่านนี้ไอ้พวกนั้นมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้... นายไม่มีทางหาตัวมันเจอแน่”

            “เราจะไปรอมันที่สถาบันฯที่มันเรียน อีกไม่นานก็เช้าแล้ว เราต้องเจอมันที่นั่นแน่” กาญตอบออกไปด้วยสายตาที่แข็งกร้าว

            “แล้วนายรู้หรือว่ามันอยู่สถาบันฯไหน” เรถามต่อ

            “รู้สิ... เราจำชุดของมันได้ แถมยังจำหน้ามันได้ชัดเจนเสียด้วย” กาญหรี่ตาที่แฝงไปด้วยความแค้น

            “เออ... เสือกรู้อีก” เรบ่นออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ

            “ใจเย็นสิกาญ...นายเจอมันแล้วไงวะ นายจะเอาอะไรไปสู้กับพวกมัน...พวกมันมีกันเพียบแถมมีปืนอีก...นายคิดบ้างหรือเปล่าวะ”

            “นายมีเรื่องจะพูดกับเราแค่นี้ใช่ไหม” พูดจบกาญก็ใช้มือดันเรให้พ้นทางเดินโดยไม่สนใจคำทักท้วงของเขา เรยังคงไม่ละความพยายามเดินตามกาญต่อไป

            “ใจเย็นสิกาญ... เราเข้าใจความรู้สึกของนายดี แม่ของนายก็เหมือนแม่ของเรานั่นแหละ...แต่ถ้านายผลุนผลันทำอะไรไปตอนนี้ มันจะมีแต่เสียกับเสีย แทนที่จะช่วยแม่นายได้...นายอาจจะต้องตายก่อนแม่นายก็ได้นะ” สิ้นคำพูดของเรกาญหันมาหาเรทันที

            “เฮ้ย! เรนายพูดอย่างนี้ได้ยังไงวะ...” กาญกระชากคอเสื้อเรด้วยความโมโห

            “เอาเลยสิเพื่อน... ถ้านายเห็นว่ามันจะระบายอารมณ์นายได้บ้าง... เอาเลย...” เรยื่นหน้าท้าทายกาญ

            “โธ่โว้ย!” กาญปล่อยคอเสื้อเรก่อนที่เขาจะทรุดฮวบลงบนทางเท้า ก้มหน้าร้องไห้อีกครั้งท่ามกลางสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา เรส่ายหน้าน้อยๆ ก้มลงข้างกาญ เขาโอบกอดเพื่อนไว้ พร้อมกับร้องไห้ไปด้วยกัน

“เราเข้าใจนายนะ กลับวัดไปปรึกษาหลวงตาก่อนแล้วกันนะเพื่อน... ไอ้เรื่องแก้แค้นเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้หาทางช่วยแม่นายก่อน” กาญค่อยๆพยักหน้าแทนการรับปาก เรจึงพากาญกลับไปพักผ่อนที่วัดในคืนนั้นนั่นเอง

 

…………………………………………………………..

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา