ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ NC+ (หวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารัก)

9.0

เขียนโดย สุภาวดี

วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.22 น.

  15 ตอน
  3 วิจารณ์
  23.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 19.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ตอนที่ 7 เรื่องสกปรกของนางมารร้าย 50%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

7

 เรื่องสกปรกของนางมารร้าย

 

            รถยนต์คันหรูของวิทยาแล่นผ่านประตูรั้วเข้ามาในบริเวณบ้านหลังขนาดกลางที่เป็นเรือนหอของเขาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ชายหนุ่มจอดรถเทียบหน้าบันไดทางขึ้นแล้วก้าวลงไปยืนเพื่อมองหาคนที่เขากำลังมารับ

            เมื่อเห็นว่าเธอยังไม่มาเขาจึงคิดจะเข้าไปนั่งรอข้างในบ้าน แต่ยังไม่ทันขยับตัวรถสปอร์ตสีบลอนด์คันสวยก็วิ่งผ่านประตูรั้วเข้ามาด้วยความเร็วสูงและพุ่งตรงมาที่ท้ายรถของเขาอย่างแม่นยำ หัวใจดวงแกร่งกระตุกวาบทันทีเมื่อคิดว่าสิ่งไม่คาดฝันกำลังจะเกิดขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเบรกที่ดังสนั่นหวั่นไหวจนร่างหนาชาดิกนิ่งงันไปชั่วขณะ สาวใช้ทั้งสองที่อยู่ภายในบ้านต่างพากันลนลานวิ่งออกมาดูด้วยความตื่นตะลึง

            “ว๊าย! ตายแล้ว คุณหมอ คุณหนูอร มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ชื่นร้องถามพลางยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ เมื่อเห็นรถของนายสาวจอดสนิทแทบจะชิดกับท้ายรถของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

            “คุณหนูบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ” คนเป็นพี่เลี้ยงรีบวิ่งเข้าไปที่รถของหญิงสาวแล้วเปิดประตูฝั่งข้างๆ คนขับเพื่อดูความปลอดภัยของเธอ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคนที่กำลังเป็นห่วงส่งยิ้มหวานมาให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “คุณหมอเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ชื่นปิดประตูลงอย่างเบามือแล้วหันไปถามหมอหนุ่มที่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างๆ รถของเขา

            “ผมไม่เป็นไร แค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ พี่ชื่นเข้าไปเอาของฝากมาไว้ในรถผมเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวผมขอจัดการคุณหนูของพี่ชื่นก่อน” วิทยาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับสาวใช้พร้อมกับเอ่ยคาดโทษเจ้าของรถที่จอดสนิทติดท้ายรถของเขาจนน่าใจหาย

            ชายหนุ่มย่างสามขุมเข้าไปเอื้อมมือกระชากประตูฝั่งที่หญิงสาวนั่งอยู่ให้เปิดออกพร้อมกับส่งเสียงตวาดลั่นด้วยความโกรธจัด

            “ไง... ยัยตัวแสบ จะมีเรื่องให้ได้ใช่ไหม”

            “ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” อรณิชาทำท่าเมินเฉยก่อนจะก้าวลงจากรถที่ชายหนุ่มอารมณ์ร้อนมาเปิดประตูให้เธอด้วยตัวเอง

            “แล้วถ้าคุณเบรกไม่ทันล่ะ” หมอหนุ่มตะโกนใส่หญิงสาวอย่างจริงจังหวังจะสั่งสอนและเตือนสติในการขับรถของเธอ ‘หากมันพลาดแล้วเธอเบรกไม่ทันขึ้นมาจะเป็นยังไง รถเขาน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่ร่างบอบบางของเธอจะทนกับแรงกระแทกได้แค่ไหนกัน’ วิทยานึกต่อว่าหญิงสาวอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง

            “ฉันเบรกทันหรอกน่า... ทำเป็นคนแก่ตื่นตูมไปได้” หญิงสาวบอกปัด หางเสียงติดจะรำคาญนิดๆ เหมือนไม่สะทกสะท้านกับเรื่องที่เกิดขึ้น

            “แสดงว่าคุณตั้งใจใช่ไหม” ดวงตาคมเข้มตวัดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างดุดัน

            “เปล๊า... ฉันรีบไปหน่อยน่ะ กลัวคุณจะรอนาน” อรณิชาขึ้นเสียงสูงเป็นการยียวนชายหนุ่มให้ยิ่งโมโหมากขึ้น ‘เชอะ อยากบังคับให้เธอไปด้วยดีนัก เอาให้ตกใจตายไปเลย สมน้ำหน้า’

            “ฮึ้ย!...” วิทยาพุ่งตัวเข้าไปหมายจะกระชากร่างบางของเธอมาเขย่าให้หายแค้นใจ แต่ก็ต้องชะงักเพราะสาวใช้ที่เขาสั่งให้เข้าไปเอาของฝากมาใส่รถกำลังเดินออกมาพอดี

            “รีบไม่ใช่หรือไง งั้นก็เร็วๆ เข้าสิ ยืนเป็นหมีกินผึ้งอยู่ได้” อรณิชาว่าพลางรีบวิ่งไปที่รถของเขาแล้วเปิดประตูฝั่งข้างๆ คนขับก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่ด้วยความรวดเร็ว

            “คุณหนู... ไม่เล่นแบบนี้อีกแล้วนะคะพี่ชื่นตกใจแทบแย่ ดูสิ เกิดเบรกไม่ทันขึ้นมา เฮ้อ... พี่ชื่นล่ะ ไม่อยากจะคิดเลย” ชื่นวางกระเช้าผลไม้ที่เป็นของฝากจากบ้านเรือนไทยลงที่เบาะข้างหลัง แล้วหันมาต่อว่าเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วง

            “น่า... อรขอโทษค่ะ เห็นไหมอรไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” คนก่อเรื่องยังคงยิ้มระรื่น ก่อนจะได้รับสายตาดุๆ กลับมาพร้อมกับประตูรถที่ถูกปิดลงอย่างเบามือของพี่เลี้ยงสาว

            วิทยาเดินมาขึ้นรถฝั่งของตัวเองด้วยอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นไม่จางหาย ยิ่งเหลือบตาไปมองหญิงสาวข้างกายด้วยแล้วอารมณ์โกรธก็ยิ่งทวีความพลุ่งพล่านขึ้นมาเป็นเท่าตัว ‘ฝากไว้ก่อนเถอะยัยตัวแสบ ฉันเอาคืนเธอแน่’ หมอหนุ่มคาดโทษหญิงสาวในใจ พร้อมกับคิดหาวิธีที่จะเอาคืนเธอให้สาสมกับความเจ็บแสบครั้งนี้

            ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกไป หมอหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองกระจกแล้วผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรถของเธอในกระจกมองหลัง ‘ฮึฮึ คราวนี้แหละ เธอเสร็จฉันแน่ อรณิชา’ ชายหนุ่มเก็บความคิดนั้นไว้แล้วหันไปสนใจกับถนนเบื้องหน้าด้วยอารมณ์ที่เริ่มเย็นลงจนเป็นปกติ

 

            “นี่คุณ! ทำไมรถคุณมันถึงสกปรกแบบนี้เนี่ย” เสียงของหญิงสาวที่นั่งเงียบมาตลอดทางเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด พร้อมกับก้มลงมองเศษขยะที่เธอเหยียบไว้โดยไม่ตั้งใจ เมื่อกี้เธอรีบก้าวขึ้นมานั่งเลยไม่ทันสังเกตให้ดีก่อน

            “ก็แค่เศษกระดาษทิชชู่” เจ้าของรถหันไปมองที่พักเท้าของหญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ ก็เพราะมัวแต่ทะเลาะกับเธอนั่นแหละเขาถึงลืมเก็บลงไปทิ้ง

            “แล้วมันสกปรกไหมล่ะ” อรณิชาแหวใส่เสียงเขียว

            “ไม่ใช่ของสกปรกนักหนาหรอกน่า... อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ป่านนี้คงแห้งแล้วมั้ง คุณก็หยิบๆ ไปทิ้งข้างหลังก่อนสิ ถ้าไม่อยากจะนั่งเหยียบมันไว้แบบนั้น” วิทยาบอกพลางนึกถึงที่มาที่ไปของเศษกระดาษทิชชู่ซึ่งเขารู้ดีว่ามันคือโยเกิร์ตที่พยาบาลสาวทำหกเปรอะเปื้อนโดยไม่ตั้งใจเมื่อกี้นี้

            เมื่อได้ยินชายหนุ่มเจ้าของรถบอก อรณิชาคิดว่าอุบัติเหตุนิดหน่อยที่ว่านั่นคงเป็นกาแฟหรือน้ำที่ชายหนุ่มถือขึ้นมาดื่มแล้วอาจจะหกเลอะเทอะเขาเลยใช้กระดาษทิชชู่เช็ด ดังนั้น หญิงสาวจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ก่อนจะยื่นมือลงไปแล้วใช้สองนิ้วคีบหยิบขยะเพื่อนำไปทิ้งไว้ข้างหลังอย่างที่เขาบอก เพราะเธอก็ไม่อยากเหยียบมันไว้แบบนี้

            ทันทีที่นิ้วเรียวสัมผัสกับเศษกระดาษทิชชู่ที่ยังมีความชื้นอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับยุ่ยจนหยิบไม่ติด หญิงสาวรู้สึกว่าสิ่งที่หยิบขึ้นมาด้วยนั้นไม่ได้มีเพียงแค่กระดาษทิชชู่ เธอจึงยกขึ้นดูและเมื่อเห็นชัดๆ ว่ามันคืออะไร มือบางก็ดีดสะบัดสิ่งนั้นไปที่ชายหนุ่มทันที

            “กรี๊ดดดดดด!...”

            เสียงกรีดร้องพร้อมกับเศษขยะและซองลูมิเนียมอยด์ขนาดกะทัดรัดหล่นตุ๊บลงมาที่ตักของชายหนุ่มจนเขาตกใจรีบหักรถจอดเข้าข้างทางแทบไม่ทัน

            “เห้ย! เป็นบ้าอะไรของคุณเนี่ย อยากตายหรือไง” วิทยาหันมาตะคอกใส่หญิงสาวทันทีที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว

            “ก็แล้วอะไรของคุณล่ะ ยี๋! สกปรก ทุเรศ ลามก...” หญิงสาวด่าทอชายหนุ่มพลางเหยียดนิ้วกางออกอย่างขยะแขยงเมื่อคิดว่าเศษกระดาษทิชชู่ที่เธอหยิบขึ้นมาเป็นสิ่งสกปรกที่เกี่ยวข้องกับซองฟอยด์เล็กๆ ที่ติดขึ้นมาด้วย

            หมอหนุ่มก้มมองเศษขยะที่อยู่บนตัก ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ยังคงรักษาท่าทีและมีสติอยู่ครบ มือหนาจึงรีบคว้าซองถุงยางอนามัยขึ้นมาแล้วยัดลงไปในกระเป๋าเสื้อด้วยอาการฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด จนคนข้างๆ ต้องหันไปมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

            แวบหนึ่งในความรู้สึกหมอหนุ่มนึกข้องใจว่าพยาบาลสาวที่นั่งตรงนั้นก่อนหน้านี้ไม่พบเห็นบ้างหรือไง ถ้าจะให้คิดว่ามันเป็นของเธอก็เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ เพราะของแบบนี้ยังไงก็ต้องเป็นของผู้ชาย และโดยเฉพาะกับเพื่อนรักของเขาที่ทั้งเจ้าชู้และขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิง มันทำให้เขาไม่สามารถคิดเป็นอื่นไปได้เลยนอกจากของสิ่งนี้จะต้องเป็นของก้องเกียรติอย่างแน่นอน

            “ระยำ!” ชายหนุ่มสบถออกมาพร้อมทั้งกระแทกแขนข้างขวาไปกับประตูรถเพื่อระบายความกรุ่นโกรธ ก่อนจะหักพวงมาลัยรถแล้วขับออกไปจากตรงนี้เพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด เขาจะได้ให้คนงานที่บ้านคุณแม่ช่วยกันล้างเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด ‘ไอ้เพื่อนเวรมันทำแบบนั้นบนรถของเขาจริงๆ หรือเนี่ย ฮึ่ย! อยากจะฆ่ามันนัก’ วิทยาก่นด่าเพื่อนรักที่ยืมรถเขาไปเมื่อตอนเที่ยงพร้อมกับคำพูดที่ชวนให้คิดลึก ซึ่งเขาก็ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะทำอย่างที่พูดจริงๆ จนได้มาเจอหลักฐานนี่แหละ เขาถึงโกรธจัดขนาดนี้

            อรณิชามองหน้าหมอหนุ่มอย่างนึกรังเกียจ เธอมั่นใจว่าได้ยินเขาสบถคำหยาบออกมาแถมยังมีอาการกระฟัดกระเฟียดเหมือนคนกำลังโมโหอีกด้วย แสดงว่าเขาต้องไม่พอใจที่ถูกเธอจับได้ว่าเขาทำเรื่องน่าบัดสีแบบนั้นในรถแน่ๆ แวบหนึ่งเธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอรู้สึกผิดหวังในตัวเขาและไม่คิดว่าเขาจะเป็นผู้ชายมักมากแบบนี้

            “เป็นอะไร” ชายหนุ่มหันมาถามเมื่อเห็นหญิงสาวข้างกายทำท่าเหมือนรังเกียจเขาเสียนักหนา

            “กะ กระดาษทิชชู่นั่น...” อรณิชาอึกอักพลางชี้มือไปที่เศษกระดาษทิชชู่ซึ่งยังอยู่บนตักของเขาด้วยสีหน้าพะอืดพะอม

            “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่ามันคืออะไร ดมดูหรือยัง” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดติดจะรำคาญนิดๆ

            “ว๊าย! ตาหมอบ้าลามกจะให้ฉันดมของสกปรกแบบนั้นได้ยังไงห๊า” หญิงสาวสวนกลับทันควันอย่างไม่ต้องคิดนาน

            หมอหนุ่มส่ายหน้าอย่างนึกระอาในความไม่ประสีประสาของเธอ เพราะถ้าเธอลองดมก็จะรู้ว่ามันเป็นกลิ่นนมชัดๆ

            “มันคือนมเปรี้ยว! โยเกริ์ตน่ะคุณ รู้จักไหม” วิทยากระแทกเสียงพร้อมกับหยิบเศษกระดาษทิชชู่นั้นขึ้นมาแล้วยื่นให้หญิงสาวดู

            “เอ่อ... อือ... ก็รู้! แต่ฉันไม่คิดว่าคนอย่างคุณจะกินโยเกริ์ต” อรณิชาตะกุกตะกักบอกอย่างไม่เต็มเสียงนัก พร้อมทั้งขยับตัวเบียดร่างบางแนบไปกับประตูรถเหมือนไม่ไว้ใจ

            “ไม่ใช่ผมหรอก... พยาบาลผู้ช่วยน่ะ เมื่อเย็นเธอขอติดรถไปลงที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตพอดีเธอถือถ้วยโยเกิร์ตขึ้นมาด้วย แล้วก็ทำมันหกโดยไม่ได้ตั้งใจ” หมอหนุ่มพูดเสียงเรียบก่อนจะโยนขยะในมือทิ้งไปข้างหลังอย่างไม่ใส่ใจ

            “ชิ! ใครจะเชื่อว่าแค่นั่งรถมาเฉยๆ” คนฟังเบ้ปากบ่นงึมงำออกมาเบาๆ แต่ชายหนุ่มข้างกายก็ได้ยินชัดเจน

            “ไม่เข้าใจอะไรเดี๋ยวไว้ไปคุยกันที่บ้าน ตอนนี้ทำหน้าที่ลูกที่ดีก่อน” วิทยาหันมาบอกหญิงสาวขณะเลี้ยวรถผ่านประตูอัลลอยเข้ามาในบริเวณบ้านหลังใหญ่ที่แสนอบอุ่นของเขา

            “ปะ... ลงไปกันได้แล้ว ทุกคนรอเราอยู่” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้งเมื่อเขาจอดรถสนิทแล้วแต่หญิงสาวที่พามาด้วยยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมขยับตัวลงไปสักที

            อรณิชานั่งมองมือตัวเองเงียบๆ เหมือนกำลังรวบรวมกำลังใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้พบปะพูดคุยกับคุณนายกมลวรรณในฐานะแม่สามีไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงพยาบาลที่พ่อของเธอเป็นผู้อำนวยการอยู่ ดังนั้น เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นและขาดความมั่นใจไปชั่วขณะ

            หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าจนสุดจากนั้นก็เปิดประตูรถเตรียมจะก้าวเท้าลงไปแต่ยังไม่ทันจะแตะถึงพื้น เสียงของชายหนุ่มเจ้าของรถก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาอีก

            “อ่อ... แล้วผมขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ อย่าเอาเรื่องเมื่อกี้นี้ไปทำให้คุณแม่ท่านไม่สบายใจเป็นเด็ดขาด ไม่งั้นผมฆ่าคุณแน่ อรณิชา” พูดจบเขาก็เปิดประตูแล้วก้าวลงไปทันที ชายหนุ่มเดินลิ่วออกไปทางบ้านพักคนงานเพื่อสั่งให้เอารถของเขาไปล้างทำความสะอาด

            อรณิชาสะบัดหน้าพรืดแล้วลงมายืนที่หน้าบันไดหินอ่อนอย่างนึกโมโห นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาขู่จะฆ่าเธอ ครั้งแรกก็ที่โรงแรมในคืนวันแต่งงาน นี่เขาจะขู่เธอไปถึงไหนกัน ‘คำก็จะฆ่าสองคำก็จะฆ่า ชิ! ฉันไม่กลัวนายหรอก อีตาหมอลามก’ หญิงสาวต่อว่าชายหนุ่มในใจพร้อมกับหันไปแลบลิ้นให้เขาอย่างล้อเลียน ซึ่งแน่นอนว่าหมอหนุ่มไม่มีวันได้เห็นกิริยาอันน่าหยิกของเธอเพราะเขากำลังเดินมุ่งหน้าไปทางหลังบ้าน

            “อ้าว หนูอร” คุณนายกมลวรรณเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกสะใภ้ยืนเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงบันได

            “สวัสดีค่ะคุณป้า... เอ้ย... คุณแม่” อรณิชาหันมายกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม อดไม่ได้ที่จะเรียกท่านในแบบที่ถนัด ก่อนจะรีบแก้คำให้เหมาะสมเมื่อเจอกับสายตาดุๆ ของท่าน

            “สวัสดีลูก อย่างนี้ต้องมาหาแม่บ่อยๆ แล้ว จะได้เรียกแม่ให้ชิน” คำพูดยอกเย้าเล็กๆ น้อยๆ ของแม่สามี ทำให้คนเป็นลูกสะใภ้ลดอาการเกร็งและคลายความกังวลลงไปได้มากทีเดียว

            “ค่ะ” อรณิชารับคำเบาๆ พลางส่งยิ้มหวานให้ท่านอย่างเปิดเผย

            “แล้วพี่วิทล่ะลูก” คุณนายกมลวรรณถามเมื่อยังไม่เห็นแม้แต่เงาของบุตรชาย

            “สวัสดีครับคุณแม่” วิทยายกมือไหว้มารดาขณะเดินแกมวิ่งเข้ามาใกล้ๆ โดยที่อรณิชายังไม่ทันจะตอบอะไร

            “อ้าววิท ไปตามคนงานมาทำไมกันลูก” คนเป็นแม่เอ่ยถามเมื่อเห็นคนงานสองสามคนรวมถึงคนขับรถของนางที่เดินตามบุตรชายออกมาด้วย

            “ให้มาช่วยกันยกผลไม้เข้าไปในบ้านน่ะครับคุณแม่ แล้วก็ล้างรถให้ผมด้วย” ชายหนุ่มตอบมารดาก่อนจะเข้าไปแตะแขนของคนตัวเล็กให้เดินขึ้นบันไดมาด้วยกัน

            “คุณแม่ท่านฝากผลไม้กับขนมมาให้ค่ะ” อรณิชาบอกแม่สามีด้วยน้ำเสียงหวานไพเราะ เมื่อก้าวเท้ามายืนตรงหน้าคุณนายกมลวรรณแล้ว

            “จ้ะ... ขอบใจนะลูก แล้วก็ฝากขอบคุณคุณแม่ของหนูด้วย” คุณนายกมลวรรณยิ้มตอบด้วยความชอบใจ ‘คนนี้แหละใช่เลย นางเลือกลูกสะใภ้ไม่ผิดจริงๆ สวยหวานน่ารัก’

            “งั้นเราเข้าบ้านกันดีกว่า ทุกคนรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว” ว่าจบประมุขใหญ่ก็เดินนำสองหนุ่มสาวเข้าไปในบ้านแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องอาหารทันที

            ท่าทางอ่อนหวานจนผิดปกติของหญิงสาวข้างกายทำให้วิทยาต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจว่าใช่ยัยตัวแสบจอมดื้อรั้นของเขาหรือเปล่า และทันทีที่เขาสบตาเธอ รอยยิ้มหวานก็หุบฉับเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงในทันทีพร้อมกับแลบลิ้นออกมานิดๆ แล้วหยีตาให้เขาข้างนึงจนน่าหยิกนั่นแหละ เขาจึงมั่นใจได้ว่าเธอคือยัยตัวแสบของเขาจริงๆ ‘ฮึ่ย! ทำท่าได้น่าฟาดมาก’ หมอหนุ่มเข่นเขี้ยวในใจพลางนึกอยากจะจับหญิงสาวมาฟาดก้นเสียให้เข็ดโทษฐานที่ยียวนกวนประสาทเขาดีนัก

 

            บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของครอบครัวใหญ่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่น คุณนายกมลวรรณมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ ทั้งลูกชายลูกสาวลูกเขยลูกสะใภ้และหลานสาวตัวน้อย กำลังนั่งรับประทานอาหารค่ำด้วยกันอย่างมีความสุข แม้จะเป็นการพูดคุยกันครั้งแรกแต่ทุกคนก็ดูสนิทสนมกลมเกลียวกันได้รวดเร็วจนนางอดปลื้มใจไม่ได้

            เมื่อรับประทานอาหารค่ำเรียบร้อยแล้วทั้งหมดจึงมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเพื่อพักผ่อนและพูดคุยกันอย่างครื้นเครงโดยส่วนใหญ่เสียงหัวเราะจะมีสาเหตุมาจากหนูน้อยทิชาที่กำลังหัดพูดและเริ่มพูดตามคำได้สองสามประโยคสั้นๆ ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มและความรักความเอ็นดูจากคุณป้ามือใหม่ที่เริ่มหลงใหลหลานสาวจนแทบไม่อยากขยับไปไหนเลย

            “ท่าทางคุณอรจะรักเด็กนะคะ อย่างนี้ต้องรีบมีน้องแล้วค่ะ ทิชาจะได้มีเพื่อนเล่น” พิชามลแซวพี่สะใภ้ยิ้มๆ ทำให้ทุกคนในห้องต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียวเพื่อรอฟังคำตอบ

            “เอ่อ... อรยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยค่ะ คือ... อะไรๆ ยังไม่พร้อมน่ะค่ะ” อรณิชาอึกอักเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ แม้ในใจอยากจะบอกเหลือเกินว่า ‘ไม่เคยคิดอยากจะมีลูกกับเขาเลยด้วยซ้ำ’ ก่อนจะเหลือบตาไปมองชายหนุ่มที่เป็นสามีในนาม ก็เห็นเขาทำเมินไม่สนใจกับคำพูดของเธอสักนิด ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกน้อยใจขึ้นมาอย่างประหลาด

            “เดี๋ยวผมขอตัวออกไปโทรศัพท์สักครู่นะครับ” จู่ๆ วิทยาก็ลุกขึ้นเอ่ยขอตัวแล้วเดินออกไปเงียบๆ ท่ามกลางสายตาที่งุนงงของทุกคน ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจกับคำตอบของเธอ แต่เพราะถ้าเขายังนั่งอยู่ตรงนี้รับรองได้เลยว่าทินกรน้องเขยของเขาคงไม่ปล่อยให้เขานั่งปั้นหน้านิ่งๆ แบบนี้ได้หรอก ฝ่ายนั้นต้องหาเรื่องมาหยอดให้เขาได้อายอีกเป็นแน่ ที่สำคัญเขาจำเป็นต้องโทรศัพท์ไปจัดการเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่เขากับยัยตัวแสบจะกลับถึงบ้านด้วย

            “อ้าว... พี่วิทเป็นอะไรเนี่ย” พิชามลพูดขึ้นมาลอยๆ รู้สึกมึนงงเล็กน้อยกับท่าทีของพี่ชายที่จู่ๆ ก็ขอตัวลุกออกไป

            “สงสัยคงอาย ก็น้องมลเล่นถามอะไรแบบนั้นน่ะ” ทินกรตอบภรรยาด้วยรอยยิ้มอย่างคนรู้ทัน

            “เห้ย... คนที่ควรจะอายน่ะ คุณอรไม่ใช่เหรอ” คำพูดกลั้วหัวเราะของน้องสามีทำให้อรณิชาหันมายิ้มจืดเจือนด้วยไม่รู้จะวางตัวอย่างไร ใช่ว่าเธอไม่อายเมื่อไรกันแต่เพราะไม่อยากเสียมารยาทมากกว่าจึงยังนั่งยิ้มอยู่ตรงนี้

            “แม่ว่าพี่วิทเขากลัวตากรจะแซวจนเสียหลักมากกว่าน่ะสิ ถึงได้รีบเผ่นออกไปน่ะ” สิ้นคำพูดของคุณนายกมลวรรณทั้งหมดก็หัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เพราะต่างก็รู้ดีว่าฝ่ายน้องเขยอารมณ์ดีคนนี้แซวพี่เมียจนอายม้วนมาแล้วเมื่อวาน

            “อ๋อ จริงด้วยค่ะ พี่กรน่ะ ชอบไปแซวพี่วิทจนอายไม่อยากจะคุยด้วยแล้วเห็นไหม” พิชามลว่าพลางส่งค้อนให้สามีเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเห็นพี่สะใภ้ที่ยังทำหน้างงๆ อยู่ เธอจึงอาสาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟังและก็ได้รับรอยยิ้มขบขันกลับมา เพราะเรื่องที่ทำให้หมอหนุ่มต้องอับอายนั้นต้นเหตุมันเกิดมาจากเธอล้วนๆ นั่นเอง

            “นิดๆ หน่อยๆ น่า... เนอะคุณอร” ทินกรแก้ตัวยิ้มๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายได้ฟังเรื่องราวของสามีตัวเองแล้ว

            “ค่ะ” อรณิชารับคำพร้อมกับส่งยิ้มให้ทุกคนด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก แม้จะอยู่ด้วยกันแบบครอบครัวใหญ่แต่ทุกคนกลับให้ความเป็นกันเองเหมือนพี่น้องแท้ๆ จนเธอไม่รู้สึกเกร็ง แถมยังอุ่นใจเหมือนกับเป็นบ้านของตัวเองอีกด้วย

            หญิงสาวอดจะนึกชื่นชมชายหนุ่มตรงหน้าที่มีศักดิ์เป็นเขยของบ้านนี้ไม่ได้ เพราะเขาช่างคุยเก่งอารมณ์ดีอัธยาศัยก็เยี่ยมและดูอบอุ่นไปพร้อมกันด้วย ใครได้อยู่ใกล้รับรองว่าได้ยิ้มไม่หุบเป็นแน่ ไม่เหมือนชายหนุ่มที่เธอแต่งงานด้วยเพราะเขาทั้งเย็นชา ลามก ปากจัด ขี้หงุดหงิดเอาแต่ใจ และก็ชอบขู่เธอด้วย

            “ฮัดเช้ย!...” วิทยาเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับจามออกมาฟืดใหญ่

            “เป็นอะไรตาวิท ออกไปโทรศัพท์แค่นี้ถึงกับเป็นหวัดเลยเหรอลูก” คุณนายกมลวรรณร้องทักบุตรชายอย่างไม่จริงจังนัก

            “เปล่าครับ สงสัยมีคนกำลังแอบด่าผมอยู่” หมอหนุ่มตอบทีเล่นทีจริงพลางหันไปมองยัยตัวแสบที่ชอบด่าเขาอยู่ในใจเป็นประจำ แล้วก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นเธอสะบัดหน้าพรืดใส่เขาเหมือนไม่พอใจที่เขารู้ทัน

            “ฮื้อ... ลูกก็พูดไป” คนเป็นแม่บอกปัดยิ้มๆ แต่ฝ่ายลูกสาวคนเล็กกับลูกเขยต่างสบตากันอย่างรู้ความหมาย

            “ผมล้อเล่นน่ะครับคุณแม่... งั้นผมขอตัวกลับเลยแล้วกันนะครับ” วิทยาเห็นท่าทางของน้องสาวกับน้องเขยแล้วเกิดไม่ไว้ใจขึ้นมาจึงรีบเอ่ยขอตัวกลับ เพราะกลัวสองคนนั้นจะพูดแซวอะไรให้เขาได้อายอีก

            “จ้ะ แล้วมาหาแม่บ่อยๆ นะลูก... หนูอร ไม่ต้องรอพี่วิทเขาก็ได้ หนูอยากมาเมื่อไรก็มาได้เลย บ้านนี้ยินดีต้อนรับหนูเสมอ” คุณนายกมลวรรณบอกลูกสะใภ้ ก่อนที่ทุกคนจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งสองหนุ่มสาวที่รถ

            “ขอบคุณค่ะคุณแม่ ไว้อรจะมาหาบ่อยๆ นะคะ” อรณิชายกมือไหว้ขอบคุณแม่สามี แล้วเข้าไปหอมแก้มยุ้ยๆ ของหลานสาวตัวน้อยทั้งสองข้างอย่างมันเขี้ยว เช่นเดียวกับวิทยาที่เดินเข้าไปอุ้มหนูน้อยขึ้นมาไว้ในวงแขนแล้วหอมแก้มลงไปฟอดใหญ่ก่อนจะพาเดินออกไปด้วย

            “แล้วพบกันค่ะคุณอร” พิชามลบอกกล่าวพี่สะใภ้เมื่อเดินมาถึงที่รถแล้ว

            “ค่ะ” อรณิชารับคำพร้อมทั้งส่งรอยยิ้มหวานละมุนให้กับทุกคน

            “พี่ไปก่อนนะยัยมล คุณกร ทิชา... ลุงไปก่อนนะครับ เดี๋ยวลุงมาเล่นด้วยใหม่นะ” หมอหนุ่มส่งตัวหลานรักที่อุ้มไว้ในวงแขนคืนให้น้องสาวพร้อมกับเอ่ยล่ำลาทุกคน

            “ผมไปนะครับคุณแม่ สวัสดีครับ” วิทยาหันไปยกมือไหว้มารดาที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถให้คนเป็นภรรยาก้าวขึ้นไปนั่ง ส่วนเขาก็อ้อมไปอีกฝั่งแล้วขึ้นไปประจำที่ของตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนรถขับออกไปด้วยรอยยิ้มเต็มวงหน้าอย่างมีความสุขและอิ่มเอมใจ ซึ่งก็ไม่ต่างจากหญิงสาวที่หันไปมองกระจกข้างรถแล้วยิ้มตามเมื่อเห็นทุกคนกำลังโบกมือให้

 

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

^_^

 

สนใจสั่งซื้อนิยายเรื่องนี้ในแบบรูปเล่ม ติดต่อผู้แต่งโดยตรงได้ที่
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566
 
หรือสนใจในรูปแบบ E-Book สามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่
www.chalawanhunsa.com  หรือ
www.nongoil.com

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา