ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ NC+ (หวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารัก)

9.0

เขียนโดย สุภาวดี

วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.22 น.

  15 ตอน
  3 วิจารณ์
  23.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 19.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ตอนที่ 5 คำขอโทษ 50%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

5

คำขอโทษ

 

            รถแท็กซี่คันใหญ่จอดเทียบหน้าประตูรั้วของบ้านเรือนไทยแทบจะไม่ทันใจของผู้โดยสารสาวที่ความอัดอั้นเสียใจคับแน่นจนจุกอก อรณิชารีบก้าวลงมาด้วยความรวดเร็วก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปในบ้านทั้งน้ำตา เวลานี้เธออยากได้ไออุ่นจากอกของมารดามากที่สุด

            เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของบุตรสาวทำให้คุณนายมณีนุชที่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่บริเวณห้องนั่งเล่นต้องรีบลุกออกมาดูด้วยความตกใจ

            “คุณแม่ขา... ฮือ... ฮึก...” อรณิชาโผเข้าสวมกอดมารดาทันทีที่เห็นหน้า

            “หนูอร... เป็นอะไรลูก ร้องไห้ทำไม” คุณนายมณีนุชกระชับอ้อมกอดอย่างปลอบโยน สิ่งใดกันทำให้ลูกสาวที่น่ารักของนางเสียใจได้ถึงเพียงนี้

            “อรไม่อยู่กับเขาได้ไหมคะคุณแม่ อรอยากอยู่ที่บ้านของเรา” เสียงสะอื้นร้องบอกอย่างน่าสงสาร

            “โถ่... ลูกแม่” คนเป็นแม่ลูบผมนุ่มสลวยของบุตรสาวด้วยความรักจนสุดหัวใจ

            “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง” ชื่นที่เดิมตามมาทีหลังยกมือไหว้นายหญิงของบ้านอย่างนอบน้อม

            “อ้าว ชื่น มากับหนูอรเหรอ แล้วหมอวิทยาล่ะมาด้วยหรือเปล่า” คุณนายมณีนุชถามพี่เลี้ยงของบุตรสาวด้วยความแปลกใจ

            “คุณหมอไม่ได้มาค่ะ ชื่นนั่งแท็กซี่มากับคุณหนู” พี่เลี้ยงสาวตอบตามตรง

            “ตายจริง... ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะลูก ไปๆ เข้าไปข้างในก่อนแล้วค่อยคุยกัน” นายหญิงของบ้านโอบประคองลูกสาวสุดที่รักเข้าไปในบ้านเพื่อจะได้ถามไถ่พูดคุยกันได้สะดวก

            สองแม่ลูกนั่งกกกอดปลอบโยนกันสักพักเสียงสะอื้นของคนเป็นลูกก็ค่อยๆ เบาลงจนเป็นปกติ นายแพทย์สินชัยที่เดินออกมาจากห้องหนังสือตามเข้ามานั่งข้างๆ กับบุตรสาว

            “เกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกสาวของพ่อถึงได้ร้องไห้มาแบบนี้” คนเป็นพ่อที่หวั่นไหวกับน้ำตาของบุตรสาวอันเป็นที่รักถามขึ้นด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น มือหนาแตะที่ไหล่บอบบางเบาๆ เพื่อถ่ายทอดความรักความห่วยใย ก่อนจะมองสาวใช้ที่ส่งให้ไปคอยดูแลบุตรสาวด้วยสายตาตำหนิ

            “คุณพ่อขา...” อรณิชาผละจากอกของมารดาขยับเข้ามากอดคนเป็นพ่ออย่างต้องการที่พึ่ง

            “แล้วหมอวิทยาไปไหน ทำไมปล่อยให้ลูกของพ่อมาคนเดียวแบบนี้ล่ะ” นายแพทย์สินชัยเอ่ยถามด้วยความรู้สึกไม่พอใจ พร้อมทั้งส่งสายตาไปที่สาวใช้ ซึ่งก็ได้รับคำตอบกลับมาเป็นการส่ายหน้า

            “อรไม่อยากอยู่กับเขา คุณพ่อให้อรอยู่ที่บ้านของเราไม่ได้หรือคะ” อรณิชาไม่พูดถึงชายหนุ่มที่คนเป็นพ่อถามหาแต่กลับอ้อนวอนในสิ่งที่ตัวเองต้องการออกไปแทน

            “ไหนบอกแม่สิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูถึงไม่อยากอยู่กับพี่เขา” คุณนายมณีนุชถามบุตรสาวอีกครั้งด้วยความห่วงใย

            “เอ่อ... อร” คำถามของมารดาทำให้ใบหน้าเนียนใสซับสีระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่รู้จะบอกคนเป็นแม่อย่างไรดี ว่าเขาทั้งดูถูกหาว่าเธอริรักในวัยเรียนชิงสุกก่อนห่าม อีกทั้งยังเหยียดหยามว่าเธอเป็นเด็กใจแตก และก็... จูบเธอด้วย

            อาการนิ่งงันประกอบกับใบหน้าที่เห่อแดงเป็นลูกตำลึงสุกของบุตรสาว ทำให้นายแพทย์สินชัยเริ่มอมยิ้มออกมานิดๆ อย่างชอบใจ แสดงว่าสาเหตุที่ทำให้บุตรสาวร้องไห้คงไม่ใช่เรื่องอะไรร้ายแรงที่ต้องเป็นกังวลอีกแล้ว

            “ถ้าลูกยังไม่พร้อมจะพูดตอนนี้ก็ไม่เป็นไร พ่อว่าลูกไปนอนพักสักหน่อยดีกว่าไหม เผื่อจะได้สบายใจขึ้น” คนเป็นพ่อบอกอย่างเอาใจ เพราะไม่อยากให้บุตรสาวต้องคิดมากในตอนนี้

            “นั่นสิ นอนพักสักหน่อยนะลูก... ไปจ้ะ เดี๋ยวแม่จะเดินไปส่งที่ห้อง” คุณนายมณีนุชบอกบุตรสาวเสียงนุ่ม และเมื่อได้คำตอบเป็นการพยักหน้าน้อยๆ นางจึงอาสาจะไปส่งลูกสาวสุดที่รักให้ถึงเตียงนอน

            “ค่ะคุณแม่” อรณิชารับคำก่อนจะเข้าไปสวมกอดคนเป็นพ่อ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองพร้อมกับมารดา

            “ว่าไงชื่น มีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังไหม” นายแพทย์สินชัยหันไปถามสาวใช้ที่ยังนั่งเงียบอยู่กับพื้นตรงหน้า

            “เอ่อ... คือ... ชื่นก็ไม่ทราบค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเช้าคุณหมอเข้าบ้านมาพร้อมกับคุณหนูก็ดูจะปั้นปึงกันนิดหน่อยค่ะ แต่พอคุณหมอเรียกให้คุณหนูขึ้นไปคุยกันข้างบนห้อง สักพักก็มีเสียงเอะอะโวยวาย จากนั้นคุณหนูก็วิ่งร้องไห้ลงมาแล้วบอกจะกลับบ้านท่าเดียวเลยค่ะ” ชื่นบอกเล่าสิ่งที่ตัวเองรู้อย่างไม่ปิดบัง แม้จะไม่ใช้คำตอบที่ชัดเจนนักก็ตามแต่เธอก็รู้ก็เห็นมาเท่านี้จริงๆ

            “แล้วหมอวิทยาล่ะ” คนเป็นเจ้านายยังคงถามต่อ

            “ไม่ทราบค่ะ คุณหมอไม่ได้ตามลงมาด้วย”  

            “อืม... เธอมีอะไรก็ไปทำก่อนเถอะ แล้วยัยหนูจะกลับบ้านโน้นตอนไหนฉันจะให้คนไปเรียก”

            “ค่ะ”

            นายแพทย์สินชัยนั่งคิดถึงเรื่องของบุตรสาวกับบุตรเขยตามที่สาวใช้เล่าให้ฟัง แสดงว่าทั้งสองต้องมีเรื่องทะเลาะกันแน่ๆ แต่จะเรื่องอะไรนั้น เขาเองก็สุดจะรู้ได้ แต่ภายในใจก็คิดว่าคนเป็นลูกคงไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายได้ฝ่ายเดียวหรอก เพราะบุตรสาวของเขานั้นทั้งดื้อทั้งเอาแต่ใจและแถมไม่ยอมใครอีกด้วย

            “เห็นไหมคะคุณสิน แค่วันแรกก็ทะเลาะกันแล้ว อย่างนี้จะไปกันรอดหรือคะเนี่ย” คุณนายมณีนุชบ่นอุบหลังออกมาจากห้องนอนของบุตรสาว แล้วกลับมาหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามกับสามี

            “ลูกเป็นยังไงบ้าง” นายแพทย์สินชัยถามอย่างห่วงใย

            “หลับไปแล้วค่ะ สงสัยร้องไห้จนเหนื่อย เฮ้อ... น้องละปวดหัวจริงๆ” คุณนายมณีนุชถอนหายใจหนักๆ ด้วยความกังวล

            “น่า... ไม่มีอะไรหรอก เด็กๆ คงแค่ทะเลาะกันนิดๆ หน่อยๆ เมื่อกี้ผมถามกับชื่นแล้ว” คนเป็นสามีปลอบใจภรรยาเสียงนุ่ม

            “แล้วอย่างนี้จะทะเลาะกันทุกวันหรือเปล่าคะเนี่ย น้องเป็นห่วงลูกจังเลยค่ะ”

            “แรกๆ ก็ต้องมีกันบ้างแหละเป็นเรื่องธรรมดา คนเพิ่งรู้จักกัน จู่ๆ จะให้ทำอะไรถูกใจกันทุกอย่างก็คงยาก เดี๋ยวอีกหน่อยก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไปเอง” นายแพทย์สินชัยพยายามหว่านล้อมให้คนเป็นภรรยาคลายความกังวล

            “น้องจะไปอยู่เป็นเพื่อนลูกดีไหมคะ” คนเป็นแม่ไม่วายเป็นห่วง

            “ฮื้อ... ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ลูกสาวเราโตแล้วนะคุณ ปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง” ประมุขของบ้านปฏิเสธเสียงแข็งเอ่ยตักเตือนอย่างไม่เห็นด้วย

            “แต่...” คุณนายมณีนุชเตรียมจะคัดค้าน แต่ก็ถูกคนเป็นสามีเอ่ยย้ำขัดขึ้นมาก่อน

            “เชื่อผมเถอะ... เดี๋ยวเย็นๆ หมอวิทยาจะต้องมารับยัยหนูของเรากลับบ้านแน่ๆ” นายแพทย์สินชัยกล่าวอย่างมั่นใจ เขาเชื่อว่าตัวเองดูคนไม่ผิด การที่หมอวิทยาไม่ตามมางอนง้อบุตรสาวของเขาในตอนนี้ก็เพราะรู้ดีว่าต่างฝ่ายก็ต่างใจร้อน ปล่อยให้ใจเย็นก่อนแล้วค่อยคุยกันจะดีกว่า

            “คุณคิดอย่างนั้นหรือคะ” แม้จะไม่คลายความกังวลมากนัก แต่ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้มาก ยังไงก็ต้องรอดูกันไปก่อน หากเย็นนี้บุตรเขยจะมารับบุตรสาวของนางจริงๆ คงได้พูดคุยกันให้กระจ่างกว่านี้

            “ครับ ไม่ต้องคิดมากหรอก ลงไปเดินเล่นในสวนกับผมดีกว่า เผื่อจะได้เก็บผลไม้ให้ลูกเอากลับไปกินด้วย” ว่าจบนายแพทย์สินชัยก็ประคองภรรยาคนสวยให้ลุกขึ้นแล้วพากันเดินลงไปข้างล่างด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข

 

            วิทยาตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย หลังจากที่นอนหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเพราะความอ่อนเพลีย กายแกร่งขยับตัวลงจากเตียงแล้วตรงดิ่งไปอาบน้ำทันทีเพื่อให้ร่างกายสดชื่น ก่อนจะเดินลงมาข้างล่างด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขาสั้นเสมอเข่าแบบสบายๆ สำหรับวันพักผ่อนของเขา

            “คุณหมอจะให้ตั้งโต๊ะอาหารกลางวันเลยหรือเปล่าคะ” สาวใช้นามว่าสายใจเดินเข้ามาถามคนเป็นเจ้านายเมื่อเห็นว่าเขาลงมาจากข้างบนแล้ว พลางเหลือบมองรอยฝ่ามือที่เป็นปื้นแดงๆ บนใบหน้าหล่อเหลานั่นอย่างนึกแปลกใจ แต่ก็จนปัญญาที่จะเอ่ยถามด้วยไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองควรจะเข้าไปยุ่ง

            “อืม... ตั้งเลย แล้วเธอชื่ออะไรนะ... ขอโทษทีฉันจำไม่ได้” วิทยาถามกลับไป แม้จะรู้สึกคุ้นๆ หน้าอยู่บ้างว่าเป็นเด็กที่บ้านคุณแม่ของเขา แต่เขาก็ไม่เคยเรียกใช้เลยสักครั้งจึงจำชื่อไม่ได้

            “สายใจค่ะ” สาวใช้ตอบอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นเจ้านายพยักหน้าให้เป็นการรับรู้ เธอจึงก้มตัวเล็กน้อยแล้วเดินออกไปเพื่อจัดโต๊ะอาหารให้ชายหนุ่ม

            เจ้าของบ้านเดินสำรวจไปทั่วบริเวณรอบๆ เพื่อตามหาใครบางคนแต่ก็ไม่พบ เขาจึงเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารซึ่งสาวใช้จัดรอไว้แล้ว เมื่อเห็นว่าจานข้าวมีแค่ของเขาคนเดียว ทำให้ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าหญิงสาวที่ทะเลาะกับเขาเมื่อเช้าเธอไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน

            “เอ่อ... แล้ว... คุณอรณิชาไปไหน” หมอหนุ่มมีอาการลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามกับสาวใช้ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ใกล้ๆ

            “เห็นบอกว่าจะกลับบ้านค่ะ... ไปกับพี่ชื่น”

            คำตอบของสายใจทำให้คนเป็นเจ้านายนิ่งงัน ‘นี่คงจะร้องไห้ขี้มูกโป่งไปฟ้องแม่ล่ะสิ เด็กน้อเด็ก’ วิทยาคิดในใจพลางส่ายหน้าอย่างนึกระอา แล้วจึงหันไปออกคำสั่งกับสาวใช้อีกครั้ง

            “อืม... เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันไม่เอาอะไรแล้วหละ”

            หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปที่ห้องทำงานเพื่อจัดเรียงหนังสือและเอกสารที่เขาขนมาจากบ้านโน้นให้เข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบพร้อมสำหรับการใช้งานได้ทันที จากนั้นก็ขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองเพื่อหยิบกุญแจรถและของใช้ส่วนตัวอีกสองสามอย่าง แล้วกลับลงมาอีกครั้งเพื่อจะออกไปข้างนอก

            “เย็นนี้ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อฉันนะ ฉันจะไปบ้านคุณแม่” วิทยาเข้าไปบอกสาวใช้ที่กำลังทำงานอยู่ในครัว ก่อนจะเดินไปที่รถของตัวเองแล้วขับออกไปจากบ้านทันที เขาคิดถึงหนูน้อยทิชาหลานสาวที่น่ารักของเขา เพราะเมื่อถึงวันหยุดทีไรเขามักจะขลุกอยู่กับหลานตลอดทั้งวัน ซึ่งถือเป็นการพักผ่อนและคลายความเครียดไปในตัวด้วย โดยหมอหนุ่มไม่ได้คิดถึงหญิงสาวที่เป็นภรรยาในนามเลยสักนิด เพราะคิดว่าเมื่อเธอหายโกรธแล้วคงจะกลับมาเอง อีกอย่างเธอก็มีพี่เลี้ยงคอยดูแลใกล้ชิดอยู่แล้วยิ่งไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก

 

            รถยนต์สัญชาติเยอรมันคันหรูคุณภาพเยี่ยมพาวิทยามายังบ้านหลังใหญ่ที่แสนอบอุ่นของมารดา เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้วเจ้าของร่างสูงโปร่งก็ก้าวลงมาด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในบ้าน และก็ไม่ผิดหวังเมื่อเขาพบหนูน้อยที่เขาตั้งใจมาหากำลังนั่งเล่นกับพี่เลี้ยงอยู่ในบริเวณห้องรับแขกพอดี

            “ทิชา คิดถึงลุงไหมครับ” วิทยาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วอุ้มหนูน้อยมากอดไว้บนตัก พร้อมทั้งก้มลงหอมแก้มยุ้ยๆ ทั้งสองข้างอย่างนึกมันเขี้ยวในความน่ารักน่าชังของเจ้าตัวเล็ก

            “แล้วนี่ทุกคนไปไหนกันหมด” ชายหนุ่มถามพี่เลี้ยงที่นั่งอยู่กับหนูน้อยตามลำพัง

            “คุณนายพักผ่อนอยู่ข้างบนค่ะ ส่วนคุณกรกับคุณมลอยู่ในห้องทำงาน” สิ้นคำตอบของเด็กสาว ประมุขของบ้านก็เดินลงบันไดมาจากชั้นบนพอดี เมื่อเห็นบุตรชายคนโตที่นางกำลังเป็นห่วงอยู่จึงเอ่ยทัก

            “อ้าว ตาวิท มานานหรือยังลูก ไม่ให้คนขึ้นไปตามแม่ล่ะ”

            “สวัสดีครับคุณแม่ ผมเพิ่งมาครับ” วิทยายกมือไหว้มารดาพร้อมกับตอบคำถามเสร็จสรรพ

            “แล้วหนูอรล่ะ ไม่ได้มาด้วยเหรอ” คุณนายกมลวรรณถามถึงลูกสะใภ้พลางกวาดตามองหาจนทั่วห้อง แล้วหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาตัวยาว

            “เอ่อ...” อาการอ้ำอึ้งของบุตรชายทำให้นางหันมาสบตาอย่างนึกสงสัย และเมื่อได้มองชัดๆ จึงเห็นรอยฝ่ามือเป็นปื้นแดงที่แก้มข้างซ้ายของคนเป็นลูก

            “ตาวิท! นั่นหน้าไปโดนอะไรมาหะลูก มานี่สิ มานั่งคุยกับแม่ตรงนี้หน่อย” คนเป็นแม่ร้องถามด้วยความตกใจ และขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้บุตรชายขึ้นมานั่งใกล้ๆ

            “ครับ” วิทยารับคำเบาๆ พลางยกมือขึ้นลูบแก้มที่เป็นรอยช้ำของตัวเองแก้เก้อไปด้วย แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งข้างๆ กับมารดา

            “เกิดอะไรขึ้นวิท” คนเป็นแม่ถามขึ้นด้วยความกังวล

            “เอ่อ... ผมรังแกคุณอรนิดหน่อยน่ะครับ เลยถูกเธอตบเอา” วิทยาตอบตามตรง ก็เขารังแกปล้ำจูบเธอจริงๆ นั่นแหละ หวังว่าคนเป็นแม่คงเข้าใจและจะไม่ถามอะไรให้มากความอีก แต่เขาคิดผิดเพราะมารดายังคงถามในรายละเอียดต่อไป

            “ตายแล้วตาวิท ทำไมเรียกเมียตัวเองว่าคุณแบบนั้นล่ะ เรียกน้องสิลูก... แล้วเราไปรังแกอะไรน้อง” คุณนายกมลวรรณขมวดคิ้วมุ่น บุตรชายของนางไปรังแกอะไรลูกสะใภ้ถึงได้โดนเธอตบซะช้ำมาแบบนั้น

            “เอ่อ... คือ...” หมอหนุ่มอ้ำอึ้งด้วยไม่รู้จะบอกมารดาอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเล่าสู่กันฟังได้ง่ายๆ เมื่อไรกัน

            “อ้าวหมอวิท/พี่วิท มานานแล้วเหรอ” สองสามีภรรยาที่ออกมาจากห้องทำงานร้องทักคนเป็นพี่ด้วยอาการดีใจ ก่อนจะเดินเข้ามาร่วมสนทนาด้วย

            “แล้วพี่สะใภ้ของมลล่ะคะพี่วิท” พิชามลถามพร้อมกับมองไปรอบๆ ห้องรับแขกแต่ก็ไม่พบคนที่เธอกำลังพูดถึง

            “พี่มาคนเดียวน่ะ” วิทยาตอบน้องสาวแล้วรีบหันไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้คนเป็นน้องเห็นร่องรอยที่น่าอับอายบนใบหน้าของเขา

            “อ้าว มลเลยไม่ได้ทำความรู้จักกับพี่สะใภ้อย่างเป็นทางการสักที” พิชามลทำท่าผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะลงไปนั่งเล่นกับลูกสาวที่กำลังชี้ชวนให้เธอดูของเล่นในมือ

            “แล้วนั่นหน้าไปโดนอะไรมาครับ” ทินกรเอ่ยถามยิ้มๆ อย่างรู้ทัน เมื่อเห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าหล่อเหลาของหมอหนุ่ม และยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อใบหน้าขาวๆ ของอีกฝ่ายเห่อแดงอย่างคนเขินอาย ‘ไวไฟเหมือนกันนะเนี่ย คุณหมอ ฮึฮึ’

            “ก็เนี่ย แม่กำลังถามเอาความกันอยู่ ว่าไปทำอีท่าไหน น้องเขาถึงได้ตบเอา” คุณนายกมลวรรณพูดแกมบ่นนิดๆ ปลายตามองคนเป็นลูกที่ถามไปก็เอาแต่อ้ำอึ้ง

            “ผมว่าไม่ใช่ผิดท่าหรอกครับ คงผิดจังหวะมากกว่า จริงไหมครับหมอวิท” ทินกรแซวพร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่มไปให้คนเป็นพี่เขยอย่างหยอกล้อ ส่งผลให้หมอหนุ่มยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก

            “อะไรกันตากร แม่ไม่เข้าใจ” ผู้อาวุโสทำท่าครุ่นคิดหันไปมองหน้าบุตรชายสลับกับบุตรเขยอย่างเป็นคำถาม

            “ผมว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกครับ คุณอรเธอคงไม่เคยแล้วหมอวิทก็ใจร้อน มันอาจจะผิดจังหวะกันได้” ทินกรพูดทีเล่นทีจริงเหมือนเป็นเรื่องขำขันซะมากกว่า

            “ว๊าย!พี่กร พูดอะไรน่าเกลียด” พิชามลตวาดลั่นใส่คนเป็นสามีที่พูดจาสองแง่สองง่ามชวนให้คิดลึก

            “วิท ลูกบังคับฝืนใจน้องเหรอ” คนเป็นแม่ถามออกไปตรงๆ เมื่อคิดตามที่บุตรเขยบอก

            “ปะ เปล่านะครับคุณแม่ ผมไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น” วิทยาส่ายหน้าหวือรีบปฏิเสธทันควัน พลางคิดในใจว่าเขาไม่น่ามาที่นี่เลย ไม่งั้นคงไม่ต้องรู้สึกอับอายขนาดนี้

            “นั่นงะ... แสดงว่าทำ... ถึงแม้จะแค่นิดหน่อยก็เหอะ ฮึฮึ” ทินกรยังคงล้อเลียนอย่างสนุกสนาน

            “พี่กร... พอแล้วค่ะ พี่วิทอายจนตัวแดงไปหมดแล้ว” พิชามลเอ็ดเบาๆ พลางหยิกแขนอีกฝ่ายจนสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะได้รับสายตากรุ้มกริ่มเป็นเชิงคาดโทษเอาไว้จากสามีสุดที่รัก

            “ยังไงเนี่ยตาวิท” คุณนายกมลวรรณนึกสนุกเลยแกล้งถามกลับไปหน้าตาเฉย ยิ่งเห็นบุตรชายเขินอายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางจึงอยากให้คุณหมอเย็นชาหลุดมาดขรึมสักที

            “ผมก็บอกคุณแม่แล้ว ว่าผมรังแกน้องเขานิดหน่อยเท่านั้น” วิทยาอ้อมแอ้มตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก พลางยกมือขึ้นขยับแว่นตาเป็นการแก้เขิน เมื่อรู้ตัวว่ามีสายตาจ้องจับผิดอีกหลายคู่มองมาทางเขา ชายหนุ่มจึงลุกพรวดแล้วลงไปนั่งเล่นกับหลานสาวตัวน้อยทันทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “แล้วตอนนี้น้องอยู่ที่ไหน” คนเป็นแม่ถามเสียงเรียบ ปรายตามองบุตรสาวคนเล็กและบุตรเขยที่ส่งยิ้มมาให้อย่างรู้ทัน

            “อยู่ที่บ้านของเธอครับ” อีกครั้งที่หมอหนุ่มตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะเรื่องนี้เขาเป็นคนผิดเต็มๆ ที่ทำให้เธอหนีไป

            “ตายแล้วตาวิท! ลูกปล่อยให้น้องหนีกลับบ้านไปได้ยังไง ป่านนี้คุณสินไม่โกรธแย่แล้วหรือเนี่ย” คุณนายกมลวรรณตำหนิเสียงขุ่น นึกกังวลใจไปถึงเพื่อนเก่าที่เกี่ยวดองซึ่งป่านนี้คงกำลังไม่พอใจบุตรชายของนางอยู่เป็นแน่ พลางคิดว่าเดี๋ยวต้องโทรไปหาอีกฝ่ายเพื่อหยั่งเชิงถามดูสักหน่อยแล้ว ก่อนจะหันไปออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดกับลูกชาย

            “ไปเลยนะตาวิท เย็นนี้ไปรับน้องกลับมาอยู่กับเราที่บ้านให้ได้เชียว”

            “ผมคิดว่าถ้าเขาหายโกรธก็คงกลับมาเองแหละครับ” คนเป็นลูกออกปากข้างๆ คูๆ เพราะไม่อยากไปพบหญิงสาวตอนนี้

            “ไม่ได้! จะรอได้ยังไง แม่ขอสั่งเลยนะวิท ไปรับน้องกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม” เสียงเข้มๆ ของคนเป็นแม่ บ่งบอกว่าลูกชายที่ดีอย่างเขาไม่ควรปฏิเสธหรือโต้แย้งใดๆ อีก ดังนั้น หมอหนุ่มจึงทำได้เพียงก้มหน้าแล้วยอมรับคำสั่งแต่โดยดี

            “ครับคุณแม่”

            หลังรับคำสั่งจากมารดารไปแล้ว วิทยาก็อิดออดโอ้เอ้ชวนหลานสาวเล่นสนุกอยู่เป็นนาน พอหนูน้อยทิชาเริ่มงอแงง่วงนอนแล้วนั่นแหละ คนเป็นลุงถึงเริ่มขยับเขยื้อนกายออกไป แต่ก็ไม่วายหันมาสบตาคนเป็นแม่ที่จ้องมองเขาด้วยแววตาดุเข้มแกมบังคับอยู่ในที ตามด้วยน้องสาว และน้องเขย ซึ่งทั้งสองต่างก็ส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นกำลังใจ

 

 

 

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

^_^

 

สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่

http://ookbeetunwalai.s3.amazonaws.com/files/member/7177/1914408155-member.jpg ...หรือ... เสน่หาทาสซาตาน

 

 

หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง 

E-mail : oilza24@hotmail.com

โทร/ไลน์ : 094-4942566

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา