P.P.Rising The Bullet Time อภินิหารพลังจิตเหนือโลก

8.1

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 10.54 น.

  46 chapter
  28 วิจารณ์
  42.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557 17.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) วิกฤตการณ์กลางเมือง บทที่ 4 [เริ่มวิกฤติ]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

P.P. Rising: The Bullet Time

เดอะบูลเลตไทม์ อภินิหารพลังจิตเหนือโลก

  1. Ch.4 วิกฤตการณ์กลางเมือง บทที่ 4 [เริ่มวิกฤติ]

Rewrite V.3

 

◊◊◊

 

‘ฉันมีชื่อเล่นว่า พี...

แม่ฉันเป็นคนไทยใน Area TH ส่วนพ่อเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นจาก Area JP

ฉันนะเป็นลูกชาย...ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงใช้คำว่า “ฉัน” แทนที่จะเป็น “ผม” เพราะถูกแม่สอนมาให้ใช้คำแบบนี้จนชิน หลังความจำเสื่อมเพราะอุบัติเหตุ เธอเลี้ยงให้เหมือนลูกสาวเกือบทุกๆ อย่าง เพราะหน้าตาคล้ายเด็กสาวมากกว่าเด็กชายล่ะมั้ง ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ ไม่ค่อยอยากเชื่อความทรงจำที่สับสน ณ ตอนนี้

แต่ทว่าหกปีก่อนนั้น ทั้งพ่อทั้งแม่ฉัน อยู่ดีๆ ก็หายตัวไป...ไม่มีใครติดต่อได้ ขอให้คนที่พอรู้จักช่วยแล้ว แจ้งความก็แล้ว ก็ยังไม่พบ กลายเป็นฉันต้องอยู่ตัวคนเดียว ตอน ม.ต้น แต่ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ที่พี่สาวใจดีข้างบ้านที่ช่วยส่งเสียจนจบ ม.ต้น ได้อย่างไม่มีปัญหา

ฉันคิดไว้ว่า จะตอบแทนพี่สาวคนนั้นด้วยการถวายชีวิตให้เลย ทว่าวันหนึ่งได้ไปช่วยงานพี่สาวแล้วเดินกลับบ้านตอนดึกนั้น มีโจรมาดักปล้น...ฉันโดนชกเข้าที่ท้องล้มลงจนลุกไม่ไหว

เห็นพี่สาวกำลังยื้อลากไม่ให้โจรมันแย่งของเธอไป โจรคนนั้นก็ใช้มีดยาวแทงพี่สาว...ฉันไม่รู้ว่าแทงไปกี่ครั้ง แต่เลือดพี่สาวกระเด็นใส่หน้าฉันเต็มไปหมดจนฉันสลบไป ตื่นขึ้นมา ก็รู้อยู่แล้วว่า พี่สาวคนนั้นไม่รอดแน่ๆ ฉันโทษตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เลย ครอบครัวของพี่สาวคนนั้นก็มาต่อว่าฉันเป็นต้นเหตุอีกด้วยฉันได้แต่ยอมรับไม่ตอบโต้กลับ เพราะคิดว่านี่คือสิ่งที่ฉันสมควรได้รับแล้ว...

หลังจากนั้นฉันต้องหาทำงานเลี้ยงตัวเองและหาเงินจ่ายค่าเรียนที่จะเข้า ม.ปลาย ไปด้วย ด้วยความที่หน้าตาเหมือนผู้หญิง ฉันจึงได้งานที่ได้เงินเยอะอยู่แต่มันก็ต้องแลกกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองนิดหน่อย ที่จริงฉันก็ชินแล้วเวลาอยู่กับแม่ ได้แต่งเป็นผู้หญิง

วันก่อนที่ฉันจะเข้าปฐมนิเทศวันแรกของ ม.ปลาย นั้น ฉันเข้าไปขอร้องผู้อำนวยการโรงเรียนว่าฉันขอแต่ตัวเป็นผู้หญิงเข้าเรียน...เพราะเหตุผลใหญ่ๆ สองข้อ หนึ่งเพื่อการงานอาชีพที่ต้องทำงานหากินเอง เพราะเวลาเลิกเรียนต้องรีบไปทำงานทันที คงไม่ค่อยมีเวลาเช็ตอะไรมาก สองเพื่อรำลึกถึงคุณพ่อกับคุณแม่ เวลาที่คุณพ่อกับแม่กลับมา หรือไม่ก็บังเอิญเจอที่ไหน พวกเขาจะได้จำได้

ที่จริงเหตุผลสองข้อนี้ มันค่อนข้าง “เห็นแก่ตัว” มากอยู่ แต่ผู้อำนวยการก็ให้ผ่าน เพราะเชื่อว่าฉันทำลงไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แม้หวั่นใจสายตาแปลกๆ ที่ท่านมองฉันเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็ได้เรียนในคราบชุดผู้หญิง...แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ไม่ได้ปกปิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายและช่วงชีวิตนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ป๊อบที่สุดของฉันเลยล่ะ

มีแต่คนสนใจตัวฉันมากมาย ทำให้ลืมเรื่องร้ายๆ ไปชั่วขณะเลยจนทำให้ฉันเริ่มหลงตัวเอง เริ่มต้องการความสนใจมากขึ้น ซึ่งนั่นมันเป็นแค่ปัจจัยพื้นฐานของหลายๆ คนที่ต้องการ เป็นเรื่องปกติ

แต่ความอาภัพของฉันก็มาเยือนอีก...วันหนึ่งฉันเดินอยู่กับเพื่อน อยู่ดีๆ ก็มีใครไม่รู้มาสาดน้ำกรดใส่ ฉันเอาตัวบังเพื่อนไว้...กลายเป็นว่าฉันรับน้ำกรดไปเต็มๆ หน้า

มันทรมานนะ ที่ต้องผ่าตัดหลายครั้งอยู่เป็นเดือน จนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่หน้าฉัน...สิ่งสุดท้ายที่พ่อแม่มอบให้ มันทลายหายไปหมดแล้ว ฉันหัวเราะและร้องไห้ ขังอยู่ในห้องตัวเองอยู่หลายวัน จนเพื่อนหลายๆ คนเป็นห่วงก็เลยตามมาถึงบ้าน พวกเขาเห็นสภาพฉัน...ใบหน้าบิดเบี้ยวที่มีแผลเต็มที่ไม่เข้ากับรูปร่างบอบบาง ฉันเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความน่ารังเกียจหลายคน จนหนีกลับกันไปหลายคน มีแต่เพื่อนไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ หนึ่งในนั้นก็เป็นทอมมี่ ยังดีนะ ที่ฉันยังมีเพื่อนที่เข้าใจฉันอยู่บ้าง

หลังจากนั้นฉันก็พันผ้าทั้งหน้า รับเข้าการผ่าตัดเป็นระยะๆ กลับมาแต่งตัวเป็นผู้ชาย ย้ายห้องเรียน ตัดการสื่อสารทุกคนที่เคยรู้จัก ก็ยังมีคนตามมาแอบดูฉันตามข่าวลือบ้างจากคนที่เป็นที่สนใจอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง มันรู้สึกใจหวิวๆ เลยล่ะ ถึงฉันเคยผ่านความรู้สึกนี้มาบ้าง แต่มันไม่ชินอยู่ดี ฉันไม่ชอบมันสักนิด...

หลังจากที่ฉันจบ ม.ปลาย แล้วก็ทำงานอย่างหนัก ตากฝนตากแดดจนร่างกายแข็งแรง ผิวไหม้ทั้งตัว หากินเลี้ยงตัวเองชีวิตช่วงนี้...โดดเดี่ยวและเดียวดาย

แต่ฉันก็ชอบมันนะ ไม่ต้องกังวลเรื่องคนอื่นเลย มีเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครมาแคร์และฉันจะได้ไม่ต้องไปแคร์ใครเพราะคิดอย่างงั้นมากๆเข้า กลายเป็นฉันต้องเข้าพบจิตแพทย์

กว่าจะกู้สภาพจิตใจกลับมาได้ก็แย่อยู่เหมือนกัน แต่มันทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น...มั้งนะ ต่อมาฉันเริ่มตั้งเป้าหมายชีวิต หาอะไรทำเรื่อยๆ ทำงาน หมกตัวอยู่หอสมุด กิน นอน ใช้ชีวิตแสนจะธรรมดา จนกระทั่งเธอคนนั้นเข้ามา...เมงุมิ

ตอนแรกฉันก็เฉยๆ กับเธอนะ แต่เธอเข้ามาจุ้นจ้านมากซะจนชีวิตฉันเปลี่ยนไปกลายเป็นเพื่อนคลายเหงาไปเลยช่วงนั้น แต่ทว่าการมาของเธอมีจุดหมายแอบแฝง เธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉัน ความทรงจำที่ฉันไม่มีเธอก็เล่าให้ฉันหมด มันก็พอๆ จะกระตุ้นความทรงจำได้บ้างมันเหมือนมีอะไรในใจฉันที่สั่งห้ามไว้ว่าอย่ารู้มากกว่านี้เลย แต่ถึงงั้นฉันก็ไม่สนใจ ฉันก็รับรู้เรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อตอนเด็กมาเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ฉันกับเธอก็สัญญากันแล้วว่า พอบินถึง Area JP เราจะคุยกันต่อ

ฉันกับเธอสัญญาไว้...

สัญญา...มันหายไปพร้อมกับการระเบิดของเครื่องบินต่อหน้าต่อตา ชีวิตฉันมันอาภัพจริงๆ แฮ่ะ แต่มันก็ไม่ควรพรากชีวิตเธอไปด้วยเลยนิ แค่พี่สาวข้างบ้านที่ช่วยฉันไว้ตอนเด็กกับพ่อแม่ก็มากเกินพอแล้ว ทำไมไม่เอาชีวิตฉันไปเลยล่ะ...

จะให้ฉันทรมานไปถึงไหนกัน’

 

“ขออภัยผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคจึงไม่สามารถนำเครื่องบิน บินขึ้นได้ชั่วคราว โปรด---”

 

เสียงตามสายประกาศของฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่เรียกสติพีขึ้นมาจากห้วงความคิด ตอนนี้เขานั่งอยู่ข้างในอาคารผู้โดยสารชั้นที่สามของสนามบินเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วที่เครื่องบินลำนั้นระเบิดกลางอากาศ มีข่าวในโลกออนไลน์ไปทั่วสารทิศเป็นที่พูดถึงขณะนี้ พีสับสนกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมากซะจนไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ในนี้ได้ยังไงด้วยซ้ำ นี่ยังไม่รวมเรื่องที่มือขวาเขาที่โดนกระจกกลมๆ นั่นฝังลงไป

พีมองที่มือขวาที่สวมถุงมือ แล้วกำลังจะใช้มือซ้ายถอดถุงมือออกเพื่อที่จะดู แต่แล้วมีคนมาขัดก่อน

 

“พี่ชายกำลังเศร้าอยู่หรอฮะ”

 

เสียงเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ ตาสีแดง ผมสั้นก็สีแดง สวมหัวกบสีเขียวที่มานั่งอยู่ข้างๆ เขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

 

“ก็นิดหน่อยนะ” พีตอบไปทั้งๆ ที่เขาไม่อยากจะตอบ “...แล้วทำไมอยู่คนเดียวนิ หลงทางกับแม่หรือไง”

“เปล่าฮะพี่ชาย พี่สาวป๋มบอกว่าให้รออยู่แถวๆ นี้ฮะ”

“อ๋อ...”

 

‘แล้วไป นึกว่างานเข้าต้องตามหาแม่เด็กคนนี้ล่ะ แค่เจอเรื่องที่ผ่านๆ มาฉันก็จะแย่ล่ะ’

 

พีก็เอามือกุมขมับที่หัว เพราะยังช็อคเรื่องเมงุมิไม่หายและเขาทำตัวไม่ถูก

 

‘ทำไมฉันไม่ร้องไห้’

 

“นี่...พี่ชาย ป๋มให้” เด็กชายที่อยู่ข้างๆ ยื่นลูกอมห่อซองสีเหลืองๆ มาให้“กินสิฮะ เป็นลูกอมสลายความเศร้าที่พี่ป๋มให้มาฮะ”

“อ่า...ขอบใจจ้า”

 

แล้วพีก็แกะโยนเข้าปากไปไม่ทันคิด

 

‘โคตรเปรี้ยว!’

 

พี่รีบเอามือปิดปากไว้ เพื่อไม่ให้ลูกอมมันพุ่งออกมาจากในปากเขา

 

‘เด็กนี่...เดี๋ยวเหอะ ฉันจะ...’

 

พอดียกมือขึ้นจะศีรษะเด็กสักทีแต่มือที่ตบจับซองลูกอมอยู่แล้วเห็นคำบนซองนั้นว่า ‘Epic Lemon’ กลายเป็นตบเด็กนั่นไม่ลงเพราะเขาไม่ได้ดูก่อนกินว่ามันคืออะไร

 

‘ฝากไว้ก่อน’

 

พีสะกดคำพูดนั้นไว้ในใจ ลูกอมมะนาวก็เปรี้ยวปรี๊ดขึ้นแก้มแล้วเด็กผู้ชายที่ให้ลูกอมมาก็ยิ้มแบบใสซื่อบริสุทธิ์แล้วถามว่า...

 

“เป็นไงบ้างฮะ พี่ชาย?”

“...ก็...เปรี้ยวดี”

“ไม่ใช่ฮะ ป๋มหมายถึงพี่หายเศร้าหรือยังฮะ”

“ก็...นิดหน่อย แต่ขอบใจมากน้องชาย” พีลูบหัวเด็ก

 

‘อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ทำไปเพราะอยากช่วยฉันล่ะนะ...แต่มันเกินเยียวยาแล้วล่ะ’

 

เด็กผู้ชายยิ้มเหมือนจะดีใจว่าช่วยเขาได้ เขาก็ยิ้มตอบกลับไปเหมือนกัน เพียงชั่วครู่พีรู้สึกได้ว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหลังเหมือนได้กลิ่นจิตสังหารสูงมากๆ ด้วย ก่อนที่จะหันไปนั้นก็โดนล็อคคอจนพูดไม่ได้

 

‘ใครวะ!’

 

“พี่สาว! จะทำอะไรพี่เขาฮะ” เด็กผู้ชายหัวกบพูด

“ก็โซตะจะโดนมันลักพาตัว พี่เลยจัดการ...ให้!”

 

สิ้นเสียงคำว่า ‘ให้’ ของผู้หญิงออกห้าวเล็กน้อยที่เป็นคนล็อคคอเขาก็เหวี่ยงร่างพีลงกับพื้น แน่นอนแผ่นหลังปะทะกับพื้น

 

‘โอ้ย! เจ็บโว้ย!’

 

“เห็นไหมโซตะ พี่เก่งมากไหมละ แปปเดี๋ยวล้มโจรลักตัวเด็กได้แล้ว”

“แต่พี่ฮะ พี่ชายเค้าไม่ได้เป็นโจรฮะ...”

 

เด็กผู้ชายที่อยู่ด้วยกัน...โซตะ พยายามพูดช่วยแต่เท้าข้างขวาผู้หญิงที่โซตะเรียกว่าพี่สาว ยกมาเหยียบหน้าอกพีไว้แล้วกล่าวสั่งสอน

 

“แหมๆ โซตะอ่อนต่อโลกไปแล้วนะ พี่จะบอกให้ โจรลักพาตัว มันหาเด็กทำหน้าเศร้าๆ อย่างโซตะ ยื่นขนมลูกอมให้แล้วก็หลอกพาไปขายตัวไงล่ะจ๊ะ”

 

‘เฮ้ย! ไม่ใช่นะโว้ย!’

 

พีพยายามจะพูดแล้ว แต่ไม่รู้เธอเอาเรี่ยวแรงจากไหนรัดคอไว้ซะจนเขาพูดไม่ออก

“แต่พี่ฮะ ป๋มเพิ่งให้ลูกอมเค้าไปนะฮะ เห็นพี่ชายเค้าเศร้าๆ อ่ะ”

“หา! โจรเดี๋ยวนี้ทำกันแบบนี้เลยหรอโซตะ...หน่อย! ใช้ลูกไม้ใหม่เรียกความสงสารหลอกโซตะได้ลงคอ พี่จะกระทืบให้ตายคาตีนเลย! นี่แน่ะ! นี่แน่ะ! นี่แน่ะ!”

 

เธอเลิกล็อคคอแล้วหันมากระทืบทั้งสองเท้าแทนสามรอบ

 

‘ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!!’

 

พีกลิ้งตัวหลบระบำกระทืบเท้าของคนที่ทำร้ายเขา แล้วพลิกตัวลุกขึ้นเห็นกำปั้นมือกำลังลอยเข้าหน้า พีเลยเอามือข้างซ้ายปัดที่ข้อมือเธอแล้วใช้มือทั้งสองมือจับเข้าแขนและทุ่มไปอีกทาง

 

‘ฉันก็พอมีฝีมือบ้างล่ะน้า’

 

อีกฝ่ายที่โดนเหวี่ยงกระเด็นไป ก่อนที่ตัวจะกระแทกกับพื้นก็ใช้มือทั้งสองข้างดันลอยขึ้นจนกลับมาตั้งหลักได้

 

‘ดูเหมือนทางนู้นจะมีฝีมือเหมือนกันแฮะ’

 

พีเพิ่งได้เห็นหน้าของคนที่เข้ามาล็อคคอ เธอไว้ผมฟูนิดหน่อยสีแดงยาวถึงบ่า นัยน์ตาสีแดงด้วย ผิวสีขาวราวกับคนรัสเซีย แก้มกลมหน่อยอยู่ในชุดสีขาวรัดรูปเอาเรื่อง แต่ก็ดูเหมือนชุดที่ไว้ใช้ต่อสู้ได้ดี

 

‘เธอคนนี้เป็นคนๆ เดียวกันที่เห็นอยู่กับเมงุมิตอนเย็นนี่หน่า...

เอ๊ะ!? เดี๋ยวก่อน...นี่มันยัยเฟียน่า!! นักเรียนแลกเปลี่ยนที่เคยอยู่ห้องเดียวกันตอนมอปลาย!  งานเข้าล่ะ... ตอนนี้ยัยนี่จำฉันไม่ได้หรอก เพราะหน้าเราเปลี่ยนไป’

 

พีพิจารณารูปร่างเฟียน่าตั้งแต่หัวจรดเท้าใหม่อีกรอบ

 

‘สูงขึ้น หุ่นดีขึ้น ไว้ผมสั้นลงเยอะแฮ่ะ แต่ท่าทางยังห้าวไม่เปลี่ยน’

 

แต่เหมือนเฟียน่าจะเข้าใจท่าทางเขาผิดไปเลยโดนตวาดใส่

 

“หน่อย! อย่าทำสายตาลามกใส่ฉันนะ ไอ้โจรหน้ากากขาวหื่นกาม!”

 

‘สงสัยหน้าฉันเหมือนโจรอย่างมากจริงๆ แฮะ เห็นสีหน้าเฟียน่าที่อับอายที่สุดแล้ว ฉันอยากจะขำอยู่หรอก แต่ตอนนี้ต้องหย่าศึกกับเธอซะก่อน เพราะคนรอบตัวเริ่มหันมาสนใจกันแล้ว’

 

“เฮ้ย! ฟังก่อนนะ คือว่า---” พีจะเจรจาแต่โดนขัด

“หุบปากแกไปซะ!!” เฟียน่าตะโกนใส่

 

‘นางไม่ฟังคนเหมือนเมื่อก่อนเลยแฮะ’

 

พีคิดแบบนั้นและแล้วเฟียน่าพุ่งตัวเข้ามาจะต่อยอีกรอบ ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าจะรับหมัดของเธอได้แน่ แต่เพียงไม่กี่ก้าวก่อนที่เฟียน่าจะมาถึงฉัน อยู่ดีๆ ร่างของเธอหายไปดื้อๆ

 

‘เฮ้ย! หายตัวไปได้ไง?’

 

ก่อนที่พีจะตั้งตัว สัมผัสได้ถึงลูกถีบเข้าที่หลัง ตัวเขาเดินเซไปข้างหน้าเกือบสิบก้าวก่อนที่จะหันกลับมาดู ร่างของเฟียน่าที่เห็นทั้งตัวจางๆ ก็ค่อยๆ ชัดขึ้นจนกลับมาเหมือนเดิมซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ

 

‘ของไฮเทคชิ้นใหม่หรอหรือพลังจิต?

ถ้าเป็นพลังจิตหรือพีทู...คงจะเป็นประเภทหักเหแสงรอบตัว แต่ยังไม่มีใครที่สามารถหักแสงได้ทั้งตัวและสมบูรณ์แบบขนาดนี้เลยนิ ฉันพลาดอะไรไป? หรือว่ามีการพัฒนาแบบลับๆ?

ไม่รู้ล่ะ ตอนนี้คงต้องหยุดยัยนี่ให้ได้ก่อน ลองเชิงดูก่อน น่าจะได้ผล’

 

พีคิดแล้วก็ลองพูดเชิงยอ

 

“โอ้วววว ใช้พีทูได้ดีเลยนิ แบบหักเหแสงงั้นเหรอ?”

“ใช่แล้ว...เป็นไงบ้างล่ะ สมบูรณ์แบบไหม ฉันนะมีฉายาเป็นถึงอิลลู...” และแล้วเธอเพิ่งจะรู้ตัว “เฮ้ย! แกรู้เรื่องนี้ได้ไง!”

 

เฟียน่าเผลอตอบตามแผนของพี แต่เหมือนจะทำให้งานเข้ามากกว่าเดิมเพราะตอนนี้สีหน้าของเธอเหมือนต้องการจะเค้นคำตอบจากเขามากให้ได้

 

‘งั้นฉันบอกไปตรงๆ เลยดีกว่า’

 

“ฉันกำลังศึกษาเรื่องพีทูอยู่ ก็รู้เป็นเรื่องธรรมดา...แต่ที่ไม่ธรรมดานะ คือตัวเธอไม่ใช่หรอ...เริ่มมีคนมองแต่เธอแล้วนะ”

 

เฟียน่าทำหน้าตกใจแล้วเริ่มหันมองคนรอบตัวที่ก็ตกใจกับสิ่งที่เธอทำไว้ พีถือโอกาสนี้เดินเข้าใกล้เธอ ทำหน้าดุๆ ใส่ แต่ก็ไม่ได้หวังว่าหน้าของเขาจะดุมากพอให้เธอกลัวได้และเหมือนเธอจะทำอะไรมากไม่ได้แล้วด้วยเพราะสายตาหลายคู่แถวนี้จับจ้องมองอยู่

 

‘เรื่องพีทูที่เธอใช้ตะกี้ คงไม่ค่อยอยากให้ใครรู้มากสินะ แต่ดันเผลอใช้จนได้’

 

ก่อนที่เฟียน่าจะทำตัวไม่ถูกไปมากกว่านี้ พีเข้าไปกระซิบข้างๆ หูเธอ

 

“อย่าใช้ต่อหน้าคนมากๆ อีกล่ะ”

 

พีหลับตาสูดหายใจพักหนึ่งก่อนที่จะตะโกนดังเล็กน้อยให้คนรอบตัวและก้มหัว

 

“ขอบคุณสำหรับที่รับชมมายากลของเราครับ!”

 

‘มุขนี้ผ่านชัวร์’

 

แล้วผู้คนแถวนี้ก็ซุบซิบกันก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ส่วนเฟียน่าเห็นทำสายตาแปลกๆ มาที่พีก่อนก้มหน้าหนี แต่พอดีเขาเดินไปหาโซตะที่อยู่ข้างๆ แล้วนั่งลงคุย

 

“ชื่อโซตะใช่ไหม? พี่สาวเธอยอดมากเลยน้า...แต่ว่าพี่สาวชอบทำร้ายคนแปลกหน้าบ่อยๆ หรือเปล่านิ?”

“อ่า...ใช่ครับ” โซตะเกาหัว “ใครเข้าใกล้ป๋มก็จะทำแบบนี้ประจำเลย...ต้องขอโทษแทนพี่สาวป๋มด้วยนะฮะ”

 

‘ห่วงน้องชายได้น่ากลัวชะมัด ว่าแต่เฟียน่ามีน้องชายด้วยเหรอเนี่ย? ไม่เห็นจะรู้เรื่อง’

 

พีกำลังคิดว่าโซตะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่มีพี่สาวอย่างเฟียน่า พูดถึงเธอก็เดินเข้ามากระชากคอเสื้อ

 

“ฉันยังคุยกับแกไม่เสร็จ”

“...เอ่อ...งั้นช่วยคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม”

 

‘ให้ตายสิ ห้าวกว่าเดิมเยอะแฮะ คงต้องหาทางหนีก่อนที่ฉันจะโดนเธอเล่นงานมากกว่านี้’

 

พีคิดแบบนั้นแต่ก่อนที่เขากับเฟียน่าจะทำอะไรไปมากกว่านี้ ก็มีกลุ่มคนเสื้อกาวน์สีขาวห้าคนโดยในกลุ่มนั้นมีผู้ชายสามคนและผู้หญิงสองคนมาพร้อมกับชายชุดดำอีกสองคน เดินเข้ามา เฟียน่าหันไปเห็นใครสักคนในกลุ่มเสื้อกาวน์แล้วปล่อยมือที่กระชากคอเสื้อผมลงไปพูดกับผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งในกลุ่มนั้น

 

“ด็อกเตอร์ซิส”

 

เฟียน่าเรียกลุงแก่ๆ คนหนึ่งที่เดินนำหน้ามา หัวโล้น ไว้เครายาวถึงต้นคอ หน้าตาเหลี่ยมๆ มีรอยหยักเต็มไปหมดดูน่าเกรงขาม

 

“เรียกลุงบ้างก็ได้...แต่เมื่อกี้เธอละเมิดกฎที่ตกลงกันไว้ใช่ไหม?” ด็อกเตอร์ซิสว่า

“...ขออภัยค่า เผลอไปหน่อย” เฟียน่าพูดไม่สบตา

“หือ...คนนี้เป็นใคร?”

 

อยู่ดีๆ ลุงแก่ที่ชื่อว่าด็อกเตอร์ซิสยิงคำถามมาหาพี แน่นอนเฟียน่ากำลังจะบอกว่าเป็นโจรหรือไม่ก็พวกอาชญากร แต่โดนโซตะตัดหน้าก่อน

 

“อ๋อ...ไอ้นี่เป็น---”

“เพื่อนพี่สาวฮะ!!”

 

‘ไงโซตะโกหกไปแบบนั้น...’

 

คำตอบของความสัมพันธ์ที่ชวนให้พีและเฟียน่าตะลึง ณ สถานการณ์ตอนนี้

 

‘ถึงมันจะจริงอยู่บ้าง...ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ แต่ตอนนี้เฟียน่าจำฉันไม่ได้แล้ว บอกไปแบบนั้นเท่ากับนรกชัดๆ ตาลุงนั่นก็จ้องมองเขาอย่างกับจะกินลูกตา ส่วนเฟียน่ามองหน้าโซตะเหมือนจะสื่อสารผ่านสายตากันอยู่...

โซตะหาเรื่องให้พี่ชายแล้วไง...ถ้าเราบอกว่าไม่ใช่ เดี๋ยวโซตะจะโดนหาว่าโกหก แต่ว่าที่จริงฉันกับเฟียน่า...’

 

เหมือนต่างฝ่ายต่างนิ่ง จนเฟียน่าต้องเล่นตามน้ำของโซตะ เดินเอาแขนมาคล้องคอทำเหมือนเป็นเพื่อนแล้วบอกให้ตาลุงข้างหน้าไป

 

“ใช่ๆ...หมอนี่เพื่อนฉันเอง แฮะๆ” เฟียน่าแสร้ง

“อ๋อ ครับ ไม่ได้เจอกันตั้งสองปีเลยเนอะ”

 

‘ฉันพูดความจริงไป...จริงๆ นะ’

 

เฟียน่าหันมามองพีแล้วกระซิบถาม

 

“นี่แกอย่าพูดมาก เดี๋ยวความแตก”

“เปล่า ฉันพูดความจริง เฟียน่า”

“หา!?”

 

สายตาสับสนของเฟียน่าแสดงออกมาชัดเจนว่ารู้ชื่อเธอได้ยังไง แต่ก่อนที่จะอธิบายให้เธอฟังไปมากกว่านี้ ด็อกเตอร์ซิสเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วเอาเครื่องอะไรสักอย่างออกมากดปุ่มทำงานให้มันส่องแสงมาที่ตัวเขา คล้ายๆ ว่ามันกำลังสแกนตัวเขาอยู่อย่างงั้น...

 

‘เฮ้ยๆ นั่นมันเครื่องแสดง ID ประชาชนนี่หว่า...ปกติคนที่มีต้องเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนของทางเอ็มแอลเอสิ’

 

พอเครื่องมันสแกนเสร็จก็เด้งโชว์ข้อมูลขึ้นมาเป็นชื่อพีและรูปร่างปัจจุบัน ด็อกเตอร์ซิสก็อ่านชื่อพีพร้อมคำสั่งค้นหา

 

“พี ธีระ หงฆ์สกุล...แสดงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเฟียน่า”

 

ชื่อของพีทำให้เฟียน่าที่อยู่ข้างๆ เอียงคอสงสัยแล้วเธอทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก เครื่องสแกนข้างๆ ทำงานเสร็จพอดีปรากฏคำตอบขึ้นมาว่า ‘ความสัมพันธ์ : เพื่อนร่วมชั้น มอปลาย’ คำตอบนั่นทำให้ตาลุงนั่นเลิกคิ้วขึ้นมา ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้มแล้วถามเฟียน่า

 

“หึ...คนอย่างเฟียน่ามีเพื่อนกับเขาด้วยหรือ?”

 

เฟียน่าแสดงท่าทางที่ไม่พร้อมจะตอบเพราะยังอึ้งที่รู้ตัวจริงของพีไม่หาย เขาอาสาตอบแทน

 

“ต้องเรียกว่ารู้จักกันมากกว่าครับ นี่เฟียน่ายังตกใจไม่หาย เพราะหน้าผมเปลี่ยนไปเยอะ”

“ใช่ เปลี่ยนไปมากกกกกกกกก...”

 

เฟียน่าลากเสียงยาวจนเขากลัวเธอแทน พีหันไปมองด็อกเตอร์ซิสนั้นอีกครั้ง...เพิ่งสังเกตสัญลักษณ์ที่อกข้างซ้ายของเสื้อกาวน์ มีตัวอักษรอยู่ว่า E.P.P ใต้อักษรนั่นมีสัญลักษณ์คล้ายๆ ลูกศรชี้ไปทางขวาบนเป็นสีน้ำเงินและมีชื่อบริษัทเขียนอยู่ข้างๆ คือ บริษัท ไฮเทคอัพเปอร์ จำกัด

 

‘เมงุมิ...’

 

พีนึกถึงชื่อเธอคนนั้นขึ้นมาอย่างแรกเพราะเธอคือลูกซีอีโอของไฮเทคอัพเปอร์ ซึ่งมันเรียกสติเขาให้กลับมาเรื่องของเมงุมิอีกครั้ง

 

‘นี่ฉันมัวแต่ทำอะไรอยู่นี่...ฉัน...ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมันเครื่องบินลำนั้น

คนตรงหน้า...น่าจะรู้อะไรมั้งนะ’

 

“...คุณรู้ไหมว่ามิซากะ เม---”

 

เวลาที่เขาจะทำอะไรที่สำคัญๆ มักมี ‘อุปสรรค’ เสมอ แต่คราวนี้เป็นเสียงผู้ชายห้าวๆ ตะโกนใส่

 

“อย่าขยับ!!”

 

กลุ่มคนประมาณสิบกว่าคนได้ ใส่ชุดสีดำตรงหน้าอกมีสัญลักษณ์คล้ายไม้กางเกงสีแดง แต่มีส่วนท้ายปลายแหลมใส่หน้ากากที่ละเลงสีแดงไปทั่ว เอาปืนยาวกระบอกสีดำที่มีสีแดงป้ายนิดๆ ขึ้นจ่อรอบล้อมกลุ่มที่เขาอยู่

 

‘เฮ้ยๆ นี่มันบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย!’

 

“คุกเข่าลงไป! เอามือประสานไว้บนหัว!!”

 

เสียงสั่งดังลั่นสนามบิน ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ พอเห็นกลุ่มชุดดำถือปืนนี้แล้วพากันวิ่งหนีกรีดร้องตกใจ ส่วนพีก็ต้องทำตามที่พวกมันบอก

 

‘ผู้ก่อการร้ายเหรอ? การแต่งตัวแบบนี้ คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน?’

 

“พวกไอริส!?”

 

ได้ยินเสียงกระซิบในหมู่คนเสื้อกาวน์สีขาวขึ้นมา ทำให้นึกออกทันที องค์กรลับไอริส (Iris) เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาอาวุธสงครามที่ชอบตามล่าลักพาตัวนักวิทยาศาสตร์โด่งดังบ่อยครั้ง

 

‘งั้นเป้าหมายพวกมัน...คงจะเป็นกลุ่มของตาลุงนี้หรอ?

แล้วฉันก็มาซวยติดร่างแหไปด้วย!?

เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ไม่แน่...มันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องของเมงุมิก็ได้...ไม่ใช่ว่าไม่แน่ใจ แต่มันต้องใช่! เครื่องบินระเบิดขนาดนั้น มีแต่คนพวกนี้ที่ทำได้!’

 

“เฟียน่า ห้ามใช้พลังนั้นเด็ดขาด”

“แต่ว่า---”

 

ด็อกเตอร์ซิสกระซิบสั่งเฟียน่าไม่ให้ใช้พลังจิตนั่น เฟียน่าเหมือนจะไม่ยอม แต่คนของไอริสเห็นเลยโดนตะคอกเข้า

 

“อย่าคุยกัน!”

 

‘ดีแล้วที่ตาลุงนั่นพูดแบบนั้น ขืนให้ยัยนั่นใช้พลังจิตตอนนี้ มีหวังได้โดนยิงตายยกกลุ่มแน่ๆ’

 

“พี่ชาย...”

 

เสียงโซตะเหมือนจะร้องไห้ นั่งกอดตัวพีอยู่

 

‘สงสารโซตะมาก...ไม่น่ามาเจอเรื่องแบบนี้เลย ต้องปลอบ...’

 

“ไม่เป็นไรน้า เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยแล้ว”

“แต่ป๋มกลัวนี่ฮะ! แง้ๆๆๆ”

 

โซตะร้องไห้ดังมากซะจนเขาสะดุ้งไปด้วยและงานก็เข้าตามคาด มีคนหนึ่งในกลุ่มพวกมันเดินเข้ามาต่อว่า

 

“ไอ้เด็กนี่! เงียบๆ ซะถ้าแกยังไม่อยากตาย”

“เฮ้ย! เขายังเด็กอยู่นะ เข้าใจกันบ้างสิ!!”

 

เหมือนพีจะไม่ชอบสิ่งที่ทำกับเด็กมาก ปากเขาทำงานอัตโนมัติเลยโดนพานท้ายปืนสวนเข้าที่หน้าให้

 

‘เจ็บ...’

 

พีร่วงไปนอนกับพื้น แต่ก็ยังพอประคองตัวไม่ให้หน้าทิ่มกับพื้นไว้ได้ แล้วคนที่เอาพานท้ายปืนมาตบก็ตะคอกสั่ง

 

“แกไม่มีสิทธิ์สั่ง! อย่าให้เด็กมันแหกปากอีกไม่งั้นจะยิงเด็กนี่ไปลงนรกกับแกด้วย!”

 

คนของไอริสตะคอกใส่ ก่อนที่จะถอยหลังกลับไปยืนที่เดิม พีค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง

 

‘ชิ ฝากไว้ก่อนเถอะ...อยากต่อยหน้ามันคืนมากแต่คงเป็นไปไม่ได้’

 

“พี่ชาย...ป๋มขอโทษฮะ”

 

โซตะเข้ามากระซิบใกล้ๆ เขา พียิ้มรับแล้วลูบหัวปลอบ ระหว่างนั้นก็มีสองคนที่ใส่ชุดรักษาความปลอดภัยของสนามบินนี้ กำลังวิ่งเข้ามาทักทายพวกไอริสแทนที่จะมาช่วย

 

‘อ้าว เฮ้ย นี่พวกนั้นก็เป็นพวกมันเหมือนกัน...คุมทั้งสนามบินหรือไงนิ? ถ้ามันทำถึงขนาดนี้ได้ แสดงว่าแทรกซึมได้เกือบทั้งสนามบิน งั้นที่เมงุมิต้องตายนั้น...คงไม่พ้นฝีมือเจ้าพวกนี้!’

 

พีคิดแล้วกำมือข้างหนึ่งไว้แน่นและแล้วกลุ่มไอริสคนหนึ่งก็คุยกับ รปภ. ตัวปลอมที่เดินเข้ามา

 

“ทำตามคำสั่งแล้วครับท่าน”

“ด็อกเตอร์ซิส...”

 

รปภ. ตัวปลอมดูหน้าตาลุงของเฟียน่าเหมือนจะเช็คให้แน่ใจก่อนที่จะเอามือไปกดปุ่มเครื่องที่สวมตรงหู

 

“ท่านครับ ยืนยัน ได้ตัวเป้าหมายแล้ว...ครับ...ครับท่าน...”

 

‘เป้าหมายคือตาลุงซิสงั้นหรอ...’

 

พีหันมาหาดูตาลุงที่กำลังหน้าซีดเหมือนจะรู้ชะตากรรมตัวเองที่รออยู่ข้างหน้า รปภ. ตัวปลอมนั่นก็บอกกล่าวทำเหมือนตัวเป็นเป็นพิธีกรเปิดงาน

 

“อีกประมาณห้าวินาที ท่านหัวหน้าจะมาถึง”

 

ตูม!

 

เสียงกระแทกของอย่างรุนแรง เงาดำๆ ที่ใหญ่กว่ารถบรรทุกที่อยู่ด้านหลังของ รปภ. ตัวปลอม ออกไปหลายร้อยเมตรพุ่งทะลุผ่านหลังคาของเพดานสนามบินเข้ามา ก่อนที่จะร่วงลงไปชั้นนข้างล่างที่มองไม่เห็น

 

‘นั่นมันอะไร มองไม่ทัน...’

 

รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความน่ากลัวปรากฏขึ้นบนหน้า รปภ. ตัวปลอมนั่นทำให้พีหวั่นๆ จนเงาดำนั่นพุ่งขึ้นมาจากชั้นล่างขึ้นลอยเหนือหัว ก่อนที่จะพุ่งลงมาทางนี้...

ร่างเครื่องจักรแมงมุมยักษ์สีดำแดงที่กระโดดมาคร่อมเหนือหัว ขาทั้งสี่อยู่รอบข้าง ลูกตาที่เป็นกล้องส่องสีแดงลงมาทางตาลุงซิสนั่นแล้วปากของมันตะโกนเป็นคลื่นเสียงที่ชวนให้ปวดหู

เครื่องจักรแมงมุมยักษ์สงคราม “เนโอสไปเดอร์” หนึ่งสิ่งประดิษฐ์ของพวกไอริส

 

พีเอามือปิดหูสุดแรงแล้ว ก็ยังไม่ช่วยให้ดีขึ้น คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ยกเว้นพวกไอริสที่ยืนคุมอยู่ เหมือนจะไม่เป็นอะไร น่าจะเป็นเพราะมีเครื่องที่ใส่ครอบหูอยู่ ไม่นานนักเสียงตะโกนจากเครื่องจักรแมงมุมก็หยุดลง แสงสีแดงที่ออกมาจากตานั่นก็ดับ...

 

‘หยุดได้สักที แสบหูจะบ้าตายอยู่แล้ว’

 

พีบ่นในใจแล้วดูโซตะที่นอนขดทรมานกับพื้น เฟียน่ารีบเข้าสวมกอดตัวโซตะไว้

 

‘เด็กมาเจออะไรแบบนี้ มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!’

 

พีหันกลับไปมองเครื่องจักรยักษ์ตรงหน้าอีกครั้ง มีร่างคนเงาดำๆ เพราะแสงไฟจากเพดานสนามบินมันแยงตาเดินออกมาจากข้างบนตัวเครื่องจักรแมงมุม

 

“เมื่อครู่ต้องขออภัยด้วยที่ตะโกนดังไปหน่อย พอดีมันเห็นเหยื่อแล้วอดใจไว้ไม่อยู่ต้องให้มันร้องดีใจอยู่เรื่อย”

 

‘หา!? ไอ้ความคิดแบบนั้น มัน...’

 

พีก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายยังไงดี แต่รู้สึกอย่างหนึ่งแน่ๆ คือ ไอ้น้ำเสียงแลเหมือนคุณชายกับคำพูดนั่นน่าแขยงอย่างบอกไม่ถูก เจ้าของเสียงนั่นกระโดดลงมาข้างล่างทำให้เห็นตัวชัดๆ เป็นผู้ชายมาดคุณหนูอายุเกือบๆ สามสิบได้ไว้ผมสีทองเหลืองยาวถึงต้นแขน หน้าแหลมๆ ใส่ชุดดำแดงรัดรูปร่างกายผอมๆ ทั้งตัว ที่เอวมีกระบี่ยาวติดตัวด้วยแล้วมันก็ลั่นวาจาแนะนำตัว

 

“เพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อหน้าด็อกเตอร์ซิส ฉันก็แนะนำตัว ฉัน...คุณชายนาธาน...หนึ่งในขุนพลของไอริส...”

 

‘โหยๆ ไอ้หมอนี่มันติดโผหนึ่งในสิบที่ทางเวิลด์เจเนรัลต้องการตัวนี่หว่า’

 

พีคิดว่าการที่คนนี้โผล่มาในที่แบบนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

 

“นายท่านครับ ผมตรวจสอบแล้วไม่มีใครรอดจากเครื่องบินนั่นแน่ๆ หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นครับ”

 

รปภ. ตัวปลอมเข้ามารายงานคุณชายนาธาน

 

‘เฮ้ย...อย่าบอกนะว่าหมายถึง...’

 

“ตายล่ะ น่าสงสารคุณหนูเมงุมิมากที่ต้องตายเร็วแบบนี้ หัวหน้าใหญ่ก็รีบอยากให้ตายไวเกิน เพราะเป็นลูกประธานนั่นล่ะนะ ไม่งั้นฉันจะจับมาทรมานแยกชิ้นส่วนเล่นๆ สักหน่อย”

 

เสียงบ่นแสดงความเสียดายของคุณชายข้างหน้าที่พูดแล้วแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากตัวเองด้วย พีได้ยินได้เห็นพฤติกรรมหมอนี่แล้วมันสุดขีดที่เขาจะทนไหว

 

“นี่แกฆ่าเมงุมิ!”

 

พีตะโกนใส่พร้อมลุกขึ้นจะไปต่อยหน้ามัน แต่โดนเฟียน่ารั้งตัวไว้ กระบอกปืนทั้งสิบรอบตัว หันมาเล็งใส่

 

“เฟียน่า! ปล่อยฉันนะ!”

“หือ...พ่อหน้ากากขาวนี่เป็นใครกัน?” นาธานจิกสายตามอง “รู้สึกไม่ได้อยู่ลิสต์ที่ต้องการตัวซะด้วยสิ...แต่ท่าทางจะรู้จักกับคุณหนูเมงุมิ”

 

พีจ้องตานาธานด้วยความเคียดแค้น เขามองพีพิจารณาอะไรบ้างอย่างก่อนที่นาธานจะพุ่งเข้ามาแล้วต่อยเข้าที่ท้องแบบไม่ทันตั้งตัว มันเป็นหมัดที่เร็วและแรงจนมองไม่ทันจนพีล้มลงคุกเข่าขยับตัวแทบไม่ได้

 

‘หมัดอะไรของมันว่ะ จุกมาก’

 

พีพยายามเงยหน้ามองขึ้นไป ก็โดนลูกเตะเสยคางลอยไปนอนกับพื้น หน้ากากที่เขาใส่อยู่ก็หลุดไปด้วย

 

‘คางฉันแตกแล้วแน่ๆ’

 

พีลืมตาก็พร่ามัวไปหมดและได้ยินคำพูดจากนาธานก่อนที่จะสลบไป

 

“นี่แค่เบาๆ เท่านั้น ต่อไปจะเป็นโชว์ของจริง!”

 

◊◊◊

 

[มุมมองทอมมี่]

 

“ทำไมรถติดยาวขนาดนี้...แปลก”

 

ทอมมี่ที่ขับรถแท็กซี่ของเขาเองออกจากเขตสนามบินได้แค่หนึ่งกิโลเมตรอยู่เลนขวาสุด บ่นออกมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

 

‘แต่วันนี้ได้เจอพีจัง ดีใจที่สุด!

ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบไปเข้าเวรที่การ์เดี้ยนนะ จะอยู่กับเธอยาวๆ ล่ะ แต่พีจัง...อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนั่นนะ!? เธอเคยใจดี คุยง่าย สุภาพมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?’

 

ทอมมี่คิดเสร็จก็เปิดลิ้นชักหน้ารถในนั้นมีปลอกข้อมือการ์เดี้ยนอยู่ด้วย เขาหยิบช็อคโกแล็ตแท่งที่อยู่ข้างๆ ออกมากิน แล้วกดปุ่มเปิดฟังคลื่นวิทยุแถวนี้ดูเป็นช่องข่าวที่มีนักข่าวสาวรายงานสดอยู่แถวสนามบินที่เขาเพิ่งผ่านมา

 

“ณ ขณะนี้ดิฉันอยู่หน้าทางเข้าอาคารผู้โดยสารแล้วค่ะ...มีรายงานการระเบิดเครื่องบินสายบิน AT หมายเลขเครื่อง 250 เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เหนือน่านฟ้าสนามบินดอนเมืองใน Area TH-7 เขตกลาง”

 

‘หา!?’

 

ทอมมี่ตกใจกับการรายงานข่าวตามที่ได้ยิน แล้วเขาก็ฟังต่อไป

 

“ได้มีการงดเที่ยวบินขึ้นลงชั่วคราวแล้ว...” นักข่าวรายงานอยู่ดีๆ ก็พูดสะดุด “เอ๊!? ...นั่นมันอะไร!? กรี๊ดดดดดดดดดดดด!”

 

เสียงกรีดร้องของนักข่าวสาวลั่นผ่านวิทยุ ทำให้ทอมมี่สะดุ้งโหยงกว่าครั้งก่อนแล้วเขาก็ได้ยินเสียงเหล็กกระทบดังไปหมด ผสมโรงกับเสียงพวกทีมงานนักข่าวที่เหมือนกำลังเอาชีวิตรอด

 

“พวกไอริส! หนีเร็ว! หุ่นยนต์แมงมุมมากันเพียบเลย!”

 

ตูม!

 

เสียงระเบิดแค่หนึ่งวินาทีก่อนที่วิทยุจะดับไป...ทอมมี่หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด พยายามปะติดปะต่อจนรู้เรื่อง

 

‘สนามบินดอนเมืองกำลังโดนก่อการร้ายงั้นเหรอ? พีจังอยู่นั่นด้วย!’

 

ทอมมี่ไม่รอช้า หักพวงมาลัยขวาเต็มที่แล้วเหยียบคันเร่งพุ่งขึ้นเกาะกลางถนนเพื่อที่จะไปเลนอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นขาเข้าสนามบิน

 

‘รอก่อนนะ พีจัง ทอมมี่จะไปช่วยเดี๋ยวนี้ล่ะ!’

 

◊◊◊

 

หวัดดีจร๊า!! จบไปแล้วกับตอน วิกฤตการณ์กลางเมือง บทที่ 4 [เริ่มวิกฤติ]

ตอนนี้เป็นการเริ่มเข้าสู่เหตุการณ์หลักของ P.P. Rising : The Bullet Time กันแล้วนะจ๊ะ

พีได้เจอเพื่อนเก่าไม่ทันไร มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายนามว่า ไอริส ปรากฎตัวมา

พวกเขาเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดเครื่องบินที่เมงุมินั่งหรือไม่?

โปรดติดตามตอนต่อไปที่มีชื่อว่า วิกฤตการณ์กลางเมือง บทที่ 5 [เรสเทียร์]

By Spy442299 & Nattanan Srising

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา