Deathland ฝ่าวิกฤติซอมบี้ล้างโลก

-

เขียนโดย อชิรญาฯ

วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.57 น.

  3 วันที่
  0 วิจารณ์
  6,625 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) วันนรกกับการฝึกหฤโหด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ยังไม่ทันที่กลิ่นดินปืนอันฉุนจมูกจะจางหายไป ร้อยตำรวจตรีหนุ่ม เฮกกรีน ก็ต้องลุกจากเตียงนอนสีชาพาดดำในค่ายฝึกของหน่วยรบพิเศษ 'ซิล' ชายหนุ่มพาร่างกว่าร้อยแปดสิบห้าลุกขึ้นมาอย่างยากลำบากก่อนจะกระโดดคว้าปืน MK&MITT 47 แบบอัตโนมัติขึ้นมาถือ

ไม่กี่อึดใจชายหนุ่มก็ออกมารวมตัวกับตำรวจพิเศษคนอื่นๆที่ได้รับการฝึกหน้าลานกว้างขนาดใหญ่

บรรดาตำรวจสัญญาบัตรนับสิบนายต่างมีสภาพที่อิดโรย อันเกิดมาจากสัปดาห์นรกที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ

การฝึกฝนของหน่วยรบพิเศษที่ได้ชื่อว่า 'หน่วยซิล' นั้น เป็นการออกแบบการฝึกฝนยุทธวิธีการรบและการป้องกันตัวโดยสุดยอดของการฝึกแบบอเมริกันที่ได้ชื่อว่ามาตรฐานที่ดีที่สุดในโลก 

ไม่ใช่เพียงต้องการผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ต้องการคนที่ฉลาดที่สุดและมั่นคงในการกระทำที่ตัดสิรใจทำลงไป การฝึกที่เป็นชื่อของหน่วยซิลนั้นคือ สัปดาห์นรก และสัปดาห์สวรรค์ โดยสัปดาห์สวรรค์จะทำการทดสอบจิตใจของคนรวมทั้งนิสัย ลักษณะท่าทางและการตัดสินใจโดยใช้หลักทางจิตวิทยา แน่นอนว่า พันคนจากทั่วโลกจะหายไปมากกว่าครึ่ง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติของหน่วยซิล สัปดาห์นรกเรียกได้ว่าเป็นนรกของแท้สำหรับพวกที่ตัดสินใจอยู่ต่อ เหล่าหัวกระทิที่ต่อให้ฉลาดมากสักแค่ไหน หากร่างกายไม่ทรหดพอจะนอนในน้ำแข็ง แช่ตัวในน้ำร้อน หรือกินลมห่มฟ้าแทนการอยู่แบบปกติแล้วละก็ ท้ายที่สุดก็ต้องตัดใจจากการฝึกแบบลธกผู้ลายแบบนี้ ทุกวันที่ค่ายจะมีผู้บาดเจ็บจากการฝึกไม่ตำกว่ายี่สิบคน ยิ่งนานวันเข้า การฝึกก็ทำให้สิ่งที่เคยมีชีวิตจิตใจ เริ่มกลายเป็นอรูสมากกว่าจะเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์ทุกที

สิบสัปดาห์แห่งค่ายฝึกหน่วยรบพิเศษซิล ในที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้ใบหน้าของเหล่าตำรวจจะดูไม่สู้ดีนัก แต่ยามนี้เมื่อผู้อำนวยการฝึกได้ออกมายืนประจัญหน้ากับทุกคนแล้ว ความปิติแล้วน้ำตาอันเกิดจากความอดทนจึงไหลรินออกมาอาบแก้มไม่มีหยุด

ทหารหาญวัยห้าสิบกว่าปียืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา แววตามุ่งมั่นดุดันจ้องเขม็งไปยังผู้กล้าเพียงสิบกว่าคนอย่างภาคภูมิ

"กว่าจะถึงวันนี้ ช่างยากลำบากบากนัก ตลอดเวลาสิบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมขอขอบคุณเหล่าผู้กล้าทั้งหลายเป็นอย่างมากที่อุส่าห์อดทนกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ย้อท้อในอุปสรรคต่างๆที่ต้องเผชิญ

ตอนนี้ พวกคุณทั้งหมดคือยอดคน คืออัจฉริยะที่เราสร้างขึ้นมา ผมมีบางสิ่งบางอย่างอยากจะบอกกับพวกคุณ ตอนนี้พวกคุณที่อยู่ตรงหน้าของผมนั้น ไม่ใช่คน แต่เป็นผู้ที่จะถูกผู้อื่นเคาระในฐานะของ ซิล

จากนี้ไป หน้าที่และความรับผิดชอบของโลก ขึ้นอยู่ในกำมือของพวกคุณแล้ว รีบไสหัวไปจากค่ายนี้ก่อนจะเช้าล่ะ"

คำทิ้งท้ายของยอดคนต่างเรียกความครื้นเครงที่หายไปเป็นเดือนให้กลับฟื้นคืนขึ้นมาใหม่

ใช่แล้ว ตอนนี้เขาไม่ใช่คน พวกเขาทั้งหมดที่นี่ไม่ใช่คน หากแต่เป็นซิลที่แบกรับภาระอันหนักอึ้งอันนั้นเอาไว้ และจะไม่มีใครจะมาทำหน้าที่เหล่านี้ได้ดีไปกว่า หน่วยซิล อย่างพวกเขา

....................................

"เฮ้...เฮกกรีน ฉันได้แซนด์วิชมาสองชินกับนมอีกสองกล่อง นายจะเอามั้ยวะเพื่อน" เสียงทุ้มต่ำของซารีนปลุกชายหนุ่มให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์

"โอยยย ให้ตายสิ..ตอนนี้ฉันอยากได้เตียงนอนกับหมอนวดสักคน" เฮกกรีนบิดขี้เกียจไปมาจนเพื่อนรักออกอาการหมั่นใส้

ตอนนี้เขากับซารีนอยู่บนรถฮัมวี่สี่ประตูของค่าย แม้ว่าสรรถนะของรถค่อนข้างจะแย่เอามากๆ แต่ยังไงพาหนะเพียงอย่างเดียวนี้ก็จะสามารถพาเขากลับไปยังเบฮิงแรมตันได้

การฝึกหนักเพื่อให้ได้ตราของหน่วยซิลมาเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับครอบครัวเขาที่เบฮิงแรมตัน พ่อ แม่ ปู่ และน้องสาวที่เพิ่งจะแต่งงานไปพร้อมลูกเขยโซโลวาเนียคงจะออกไปอวดเบ่งกับคนแถวบ้านเอาไว้มากแล้วล่ะมั้งว่าลูกชายตัวเองเป็นถึงซิลของอเมริกัน

"อะไรกันไอ้เสือ ยังไม่ทันแก่ก็บ่นเป็นปู่เอาซะได้ นายนี่ไม่ไหวเอาซะเลยนะ" ซารีนบ่นพร้อมยื่นนมกับแซนด์วิซให้ "มีแค่นี้ก็เอาแค่นี้ไปก่อน นี่อีกไม่กี่ไมล์ก็จะถึงแฮมมิ่งโร้ดแล้ว พอไปถึงเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที่"

เฮกกรีนคว้าเอาของกินในมือซารีนมาปิดปากท้องตัวเองอย่างลวกๆ อาการเร่งรีบอันเกิดมาจากความเคยชินในค่ายกลายเป็นเป็นความปกติของเขาซะแล้วละสิ

ซารีนเป่าปากพลางฮัมเพลงเบาๆเป็นจังหวะดนตรีที่เจ้าตัวชอบ สร้างอรรถรสในการผ่าความมืดครั้งนี้ได้ดีนัก

ซารีนเป็นชายชาวรัสเซียผิวขาวเหลือง ใบหน้าออกเป็นตาชั้นเดียว แม้จะสูงเพียงร้อยเจ็ดสิบห้า แต่รูปร่างปราดเปรียวของซารีนก็ยังได้เปรียบกับการต่อสู้ระยะชิด

ถนนสายหลักสายเดียวของรัฐสโลวเกียไม่ค่อยจะมีผู้คนออกมาเพ่นพ่านมากนัก เนื่องจากตามสองข้างทางถนนเป็นภูมิศาสตร์แบบทะเลทราย ดังนั้นอย่างว่าแต่คนเลย บ้านเรื่อนก็ไม่โผล่มาให้เห็นสักหลัง นานๆที่ถึงจะมีรถผ่านสวนอกมาให้เห็นบ้างพอคลายเหงา แต่หลักๆแล้วก็มีเพียงเสียงเครื่องยนต์กับหมาป่าที่เลทรายส่งเสียงหอนเพียงแค่นั้น

"ไม่ได้กลับบ้านตั้งสามเดือนกว่า ไม่รู้ว่าจะหาแฟนกับเขาได้สักคนมั้ย เห้ออออ" เฮกกรีนถอนหายใจเสียงดัง

"อย่าเครียดไปเลยน่าเพื่อน คนเราถ้ามันจะมีเดี๋ยวมันก็มีเอง ดูฉันสิ แม่สาวจีนในผับที่เราเจอกันตอนสัปดาห์สวรรค์ตอนนี้คงกำลังนอนรอฉันไปซั่มจนแห้งหมดแล้ว ฮ่าๆๆ"

"เอ็งน่ะขับรถไปเถอะ ความเร็วแค่หกสิบจะไปพออะไรวะ กว่าจะถึงแฮมมิ่งโร้ดไม่พรุ่งนี้เย็นเลยรึไงวะ" เฮกกรีนบ่น

"เอาน่าเพื่อน ฉันว่าดีออก ลมมันเย็น รถเปิดประทันแบบนี้รับชมธรรมชาติบ้างไม่ได้รึไงวะ ไอ้นี่ชอบรีบร้อนตลอด"

สองหนุ่มต่างเถียงกันไปมาสร้างบรรยากาศให้ดูครึกครื้น แต่ไม่นานคลื่นเงียบละลอกสองก็ซัดเข้ามาใหม่

แสงจันทร์ทอแรงส่องลงมาพอให้เห็นถนนและสภาพทะเลทรายเป็นสีเทารางๆ บรรดาหมาป่าต่างออกหากินอย่างหิวโหย เช่นเดียวกับสัรว์นักล่าคนอื่นๆที่ต้องการห่วงโซ่อาหารแบบเดียวกัน

"เห็นแฮมมิ่งโร้ดแล้ว เค้าบอกว่าอีกร้อยกิโลจะถึงเบฮิงแรมตัน" ซารีนบอกขณะที่ขับเคลื่อนฮัมวี่แบบทหารเข้าสู่งแฮมมิ่งโร้ด

แฮมมิ่งโร้ดจัดว่าเป็นถนนสายหนึ่งของอเมริกาเหนือตอนใต้ที่มีวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด แต่สภาพของถนนตอนนี้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากเหล่านักบิดวัยรุ่นต่างมาลักลอบใช้ถนนจนทำให้เกิดการเบิร์นของยางรถดำติดถนนทำให้สภาพของถนนเปลี่ยนไปจนหมด

เรื่องแบบนี้ก็คงห้ามกันไม่ได้ แม้ว่ารัฐบาลจะคุมเข้มเรื่องสิงห์นักบิดแต่ก็ได้แค่ไม่นาน ตอนนี้เรื่องเหล่านี้ได้กลายเป็นเรื่องประจำไปแล้วสำหรับพวกนักซิ่งประจำถิ่น

คืนนี้น่าแปลก ตั้งแต่เข้ามาในเขตแฮมมิ่งโร้ดแล้วยังไม่เห็นมีรถสักคันผ่านไปมาแถวนี้เลย เสียงรถซิ่งของบรรดาวัยรุ่นก็ไม่มีสักแอะ ตลอดทั้งเส้นทางมีเพียงความมืดและเสียงหมาป่าทะเลทรายเท่านั้น

"คืนนี้นายมาพักที่บ้านฉันก่อนละกันซารีน นี่จะสามทุ่มแล้ว พอไปถึงบ้านฉันคงจะตีหนึ่งพอดี" เฮกกรีนพูดทำลายความเงียบ

"อืม...ก็ดีนะ ตอนนี้ฉันชักจะเริ่มเพลียๆแล้วเหมือนกัน ขืนไปส่งนายแล้วไปต่อคงไม่ไหว น้ำมันก็ใกล้จะหมดแล้ว เดี๋ยวหาปั้มน้ำมันก่อน..."

"นั่นไง ปั๊มอยู่ข้างหน้าแล้ว ...เอาไว้เติมน้ำมันเสร็จเดี๋ยวฉันจะรับช่วงต่อจากนายเองเพื่อน"

เฮกกรีนบอกแล้วยิ้มแหยๆให้

รถฮัมวี่เข้ามาจอดในปั๊มน้ำมันนิ่งสนิทก่อนดับเครื่องยนต์

ปั๊มน้ำมันขนาดเล็กแต่มีอุปกรณ์ครบวงจร แต่กลับไม่มีเด็กปั๊มประจำอยู่เลยสักคน

"ไม่ใช่แบบบริการตัวเองนี่?" ซารีนเอ่ย เขาลงจากรถก่อนจะตะโกนเรียกใครสักคนที่น่าจะยังอยู่ในปั๊ม "สวัสดีครับ!? เอ่อ..มีใครอยู่ที่นี่รึเปล่าครับ คือว่าพวกเราต้องการจะเติมน้ำมันน่ะ!"

ซารีนพยายามตะโกนเรียกคนให้ออกมาช่วยเติมน้ำมันให้ แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า โลกนี่ที่เคยปกติสุขน่ะ กำลังจะล่มสลายไปในไม่ช้าแล้ว

เฮกกรีนเดินสำรวจรอบนอกตัวปั๊ม ก่อนจะไปสะดุดตาเข้ากับด้านหน้า ห่างออกไปหกเมตรที่สี่นาฬิกา

เห็นเงาสีดำทะมึนของผู้ชายร่างเล็กผอมบางเดินโซเซคล้ายจะล้มเอาซะให้ได้อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากความมืดทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถมองออกได้ว่าคนๆนั้นไปใคร จนกระทั่งเห็นเครื่องแบบของเด็กปั๊มจึงยิ้มกว้างออกมาทันที

"เฮ้! คุณครับ ช่วยเราหน่อย พอดีว่าเราจะมาเติมน้ำมันแต่ว่าไม่มีใคร..." อีกไม่กี่คำเฮกกรีนจำต้องกลืนลงคอ เนื่องจากสภาพเด็กปั๊มตรงหน้า อยู่ในสภาพที่สยอดสยองมากที่สุด

ผิวซีดคล้ำส่งกลิ่นเหม็นเน่าชวนอ้วกแตก ดวงตากลมสดมีเส้นเลือดหยดอยู่รอบดวงตาทะลักออกมานอกเบ้ามีแมลงวันส่วนหนึ่งตอมที่ดวงตาอีกข้าง เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ร่างกายผอมบางเก้งก้างจนเห็นกระดูก ร่างกายทั้งหมดฟกช้ำ มีส่วนหนึ่งที่ถูกกัดกินจากฝีมือของสัวต์หรืออะไรสักอย่างจนเหวอะหวะไม่เหลือชิ้นดี

ซอมบี้!!..ภาพยนต์ดังๆเรื่องซอมบี้คล้ายจะหลุดออกมาอยู่งตรงหน้าเขา เพียงแต่ว่าตรงหน้าสามารถจับต้องตาย กัดกินได้ และนายได้!

โอวว...โอวว! ซอมบี้เดินโซเซใกล้เข้ามาก่อนกระชากแขนเฮกกรีนเข้าไปหามัน

"เหวออออ!!"

ตำรวจหนุ่มยศสัญญาบัตรร้องเสียงหลงพร้อมสะบัดมือหนีออกจากพวกกระหายเนื้อ แต่มันไม่เป็นดั่งใจนัก ก็ไอ้ตัวพวกนี้มันแรงเยอะเหลือเกิน

"ปล่อยฉันสิโว้ยยยย!" เฮกกรีนออกหมัดต่อยไปบนใบหน้าของพวกซอมบี้ไม่ยั้ง แรงต่อยของเขาทำให้สิ่งที่เคยเรียกว่า ศีรษะของมนุษย์ บิดเบี้ยวไร้รูปทรง คล้ายกับว่ากะโหลกได้แตกไปแล้ว "ไอ้บ้าเอ้ยยย!"

กร๊วมมม!.. ในที่สุดความพยายามของเฮกกรีนก็ไร้ผล มือข้างหนึ่งของเขาถูกกัดทิ่มลงไปในเสื้อจนจมเขี้ยวมิดฟัน "อ๊ากกกกก!! ช่วยด้วยยย!!"

เฮกกรีนกึ่งวิ่งกึ่งลากไอ้ผีดิบกระหายเลือดกลับเข้าไปยังปั๊มหมายจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมรุ่น

แต่เมื่อเขาย่างเท้ากลับเข้าไปในปั๊มน้ำมันก็เป็นอันต้องเสียสติ เหล่าซอมบี้กว่าสิบชีวิตต่างรุมกระชากเนื้อของซารีนกันเป็นว่าเล่น เคราะห์ดีที่ซารีนไม่ใช่หมูที่พวกผีดิบจะมากัดกินเล่นได้

หลังจากที่สะบัดตัวหลุดออกจากเสื้อหนัง ซารีนก็กระชากมีดสปาต้าออกมาจากซอกรองเท้าก่อนจะกระโจนเข้าไปหาผีดิบพวกนั้นอย่างโมโห

"เฮ้เฮกกรีน! นายรีบสลัดไอ้บ้าที่กัดแขนนายแล้วมาช่วยฉันเติมน้ำมันหน่อยสิ ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่วยเพื่อน" ซารีนบ่นอุบ

เขาไม่รู้ว่าเรื่องบ้านี่เกิดขึ้นมาได้ยังไง แต่ไอ้พวกซอมบี้ที่เป็นมนุษย์เหล่านี้มันเหมือนในหนังสงครามหรือนิยายแหวกแนวพวกนั้นมากเลย

เฮกกรีนกระชากแขนที่กำลังถูกกัดเข้ามาหาตัวเองก่อนสละเสื้อคลุมมัดเป็นห่วงรัดคอผีดิบแล้วเกร๊งแขนบิดเข้าหากันอย่างแรง ส่งผลให้หัวของอดีตมนุษย์ขาดสะบั้นออกจากกันอย่างสยดสยอง

เลือดเหม็นเน่าสีแดงพุ่งฉูดออกจากคอของผีดิบราวท่อรั่ว

ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบวิ่งไปจัดการกับรถฮัมวี่ที่กำลังรอน้ำมันมาเติมให้เต็มถัง

"นายฆ่าคน" ซารีนบ่น เขาพยายามจับกลุ่มผีดิบมามัดรวมกันแล้วนำไปขังไว้ในร้านค้าก่อนใช้เสื้อคลุมมัดปากประตูอย่างแน่นหนา "สักวันฉันจะจับนาย"

"เชิญเลยเพื่อน แต่ฉันว่านั่นไม่ใช่ทางที่ดีสักเท่าไหร่" เฮกกรีนยิ้มกว้าง

"มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ฉันแค่ต้องการจะเติมน้ำมัน ..ไม่คิดว่าจะโดนต้อนรับกลับมาแบบเป็นมิตรโคตรๆอย่างนี้" ซารีนพยายามคุมเสียงตัวเองให้ราบเรียบ

ชายหนุ่มเดินเข้าไปตรวจสอบสภาพศพของเด็กปั๊มหัวขาด "ขยะแขยง"

"ฉันคิดว่าคนๆนี้ร่วมทั้งไอ้พวกที่นายจัดการคงจะติดเชื้ออะไรสักอย่างเข้าจนทำให้สภาพพลาสม่าของเลือดเปลี่ยนตัวไป" เฮกกรีนพูดขึ้นหลังจากเต็มน้ำมันรถเสร็จแล้ว

"ติดเชื้อ? ฉันว่าไอ้พวกนี้มันเป็นพวกคนดิบเถื่อนที่ไม่ยอมอาบน้ำมากกว่า ..นี่ฉันพยายามคิดในแง่ดีนะ" ซารีนเดินกลับมาขึ้นรถ "ฉันว่าเรารีบไปบ้านนายดีกว่า รู้สึกว่าอยู่ที่นี่แล้วมันเสียสุขภาพจิต"

"โอเคเพื่อน ทีนี้ก็มุ่งหน้าสู่บ้านฉันกัน"

 

 

END DAY I

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา