มัธยมวิปลาส มิตรฆาตวิทยา

-

เขียนโดย bluemouse

วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.53 น.

  6 บท
  0 วิจารณ์
  8,055 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 16.05 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) วิชาสามัญชั่วโมงสุดท้าย - ๑ เสียง (ครึ่งแรก)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      

 

 

วิชาสามัญชั่วโมงสุดท้าย

 

บทที่ ๑ - เสียง

 

 

 

 

 

 

 

 

              นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเที่ยงวัน

 

              ถ้าชั่วโมงเรียนเปรียบได้กับการแหวกว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำอันหน่วงหนัก  พักกลางวันก็คือชั่วขณะที่ได้ถีบเท้าทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ  ด้วยเหตุนี้  พอเสียงกริ่งเงียบลงแต่ครูยังไม่ยอมเลิกชั้น  นักเรียนม.ห้าห้องห้าจึงเริ่มทำหน้าเหมือนขาดอากาศ

 

              ต้องใช้เวลาร่วมสิบนาที  กว่าที่ครูจะสังเกตเห็น (หรือเอือมระอาก็ไม่ทราบ)  เหล่านักเรียนซึ่งได้รับการปลดปล่อยในที่สุดเร่งรี่กรีธาออกจากห้องเหมือนเพิ่งถูกปล่อยออกจากคุก  ไชยพศผู้ไวต่อกลิ่นอิสรภาพวิ่งพรวดพ้นประตูไปก่อนใคร

 

              ศุทธวีร์เพิ่งเดินพ้นขอบโต๊ะ  เด็กหนุ่มมักรอคนอื่นกรูกันออกไปให้หมดแล้วค่อยขยับตัว

 

              "เอ้า  หาประตูไม่เจอรึไงเพ่  อยู่ทางนี้"  ไชยพศเยี่ยมหน้ากลับเข้ามาเรียก  "หรือเอ็งพุ่งออกทางหน้าต่างเลยก็ดีนะจะได้เร็ว ๆ  เฮ้ย  หลับกลางอากาศเปล่าวะน่ะ  กล้าเว้ย  ว่องนิดนึง  เดี๋ยวกับข้าวหมด"

 

              "ใจเย็น ๆ ไอ้เจ๋ง  หมูทอดของเอ็งยังไม่ไปเกิดใหม่หรอก"  ศุทธวีร์ตอบเนือย ๆ  ยังคงเดินเอื่อยเฉื่อย  ลูกสาวร้านข้าวเจ้าประจำกั๊กเมนูยอดนิยมเผื่อไว้ให้มันเสมอ  แต่เขารู้  ไม่ใช่หมูทอดหรอกที่ไชยพศหมายถึง  มองลงไปชั้นล่าง  เห็นนักเรียนหญิงห้องอื่นชั้นปีอื่นที่เลิกก่อนหลายกลุ่มทยอยออกมาจากโรงอาหารกันแล้ว  นั่นต่างหากกับข้าวของเพื่อนเขา  มันไม่เกี่ยงถ้าต้องกินข้าวเปล่า  แต่ห้ามขาดสาว ๆ เป็นอาหารตา

 

              "ไหวมั้ยลุงกล้า"  ไชยพศยังแขวะต่อ  "ข้าว่าเอ็งซ้อมอุ้มเด็กไปพลาง ๆ ระหว่างเดินเลยก็ดีนะ  กว่าจะไปถึง  น้องบัวน่าจะมีลูกสักสองสามคนละ"

 

              น้องบัวคือลูกสาวร้านข้าว  ปัจจุบันเรียนชั้น ป.สี่

 

              ปรกติศุทธวีร์จะกัดกลับ  แต่วันนี้ขี้เกียจต่อปากต่อคำ  กระทั่งกินข้าวยังไม่มีแก่ใจ  เรี่ยวแรงของเขาระเหยหมดเกลี้ยงในอากาศซึ่งเลยจุดที่เรียกว่าร้อนไปหลายช่วงตัว  ถ้าสังเคราะห์แสงได้  แค่เดินออกมาตรงระเบียงนี่แวบเดียวเขาคงอิ่มยันพรุ่งนี้

 

              "โฮ้ย!  ร้อนว่ะ"  ไชยพศรู้สึกทีหลังแต่คิดดังกว่า  "แดดจะเยอะไปไหนวะเนี่ย  เหลือเฟือพอส่งขายนอกได้สบายเลยแ- ่-"  คำสุดท้ายแผ่วลงเพื่อให้ครูเดินผ่านไปก่อน  แม้อ่านจากปากจะเดาไม่ยากว่าด่าแม่...ของใครไม่ได้เจาะจง  แต่ดูเหมือนคนที่เพิ่งเดินเลี้ยวออกจากห้องข้าง ๆ จะข้องใจ  หมอนั่นหันขวับมาแล้วชักเท้าถีบใส่ (แน่นอนว่ารอให้ครูเดินลับหัวมุมลงบันไดไปแล้ว)

 

              ศุทธวีร์ร้องเตือนไม่ทัน  แต่มือข้างหนึ่งยื่นข้ามหัวไหล่เขาไปดึงคอเสื้อไชยพศถอยพ้นฉิวเฉียด

 

              เจ้าของมือเป็นเด็กหนุ่มร่างโย่งผู้มีผมยุ่งรุงรัง  ชนิดที่งอกออกมาอีกมิลเดียวก็ยาวพ้นเขตอภัยทานจากกรรไกรครู  ดูแค่หน้าเหมือนศิลปินอินดี้  แต่ถัดจากใต้คางลงไปดันเป็นนักเพาะกาย...พงศ์พิช  ยักษ์ใหญ่แห่งห้องสี่

 

              ส่วนเจ้าของเท้าเป็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำ  ตัวไม่ยักษ์เท่าแต่ก็จัดว่าสูงกว่าเด็กผู้ชายด้วยกันโดยทั่วไป  ผมสั้นเกรียนเหมือนประชดกฎโรงเรียนทำให้ใบหน้ากับดวงตาของเขาดูดุดัน...หลาย ๆ คนวิจารณ์ซุบซิบกันว่าอย่างนั้น  แต่ศุทธวีร์เห็นว่าต่อให้ถักเปียหรือผูกผมแกละ  หน้ากับตาคู่นั้นก็ดูดุอยู่ดี...  "เอ็งยุ่งอะไรด้วยวะ  ไอ้พง"  กรกฎ  เก๋าตัวพ่อแห่งห้องเจ็ดดุนลิ้นถามอย่างท้าทาย  "ชอบเผือกเรื่องชาวบ้านไม่เปลี่ยนนะเอ็งเนี่ย"

 

              "ถามตีนเอ็งดีกว่าว่ามาเผือกอะไรเพื่อนข้า  ไอ้กิก"  พงศ์พิชตอบเสียงราบเรียบ  แต่ชัดเจนว่าพร้อมมีเรื่อง  "ถ้าเอาไว้เดินอย่างเดียวแล้วรู้สึกใช้ไม่คุ้ม  ยกขึ้นเกาหูตัวเองบ้างก็ได้"

 

              นักเรียนที่นั่ง ๆ ยืน ๆ อยู่ตามระเบียงค่อย ๆ กระจายตัวออกไปด้านข้าง  เด็กม.หนึ่งยังรู้  ยักษ์พงกับเก๋ากิกโคจรมาเจอกันเมื่อไร  เคลียร์พื้นที่ขึงเวทีรอไว้ได้เลย

 

              วิจารณ์ทางเชิงมวยแล้ว  พงศ์พิชเป็นต่อในด้านรูปร่าง  เขาคือคำตอบที่ดีว่าทำไมเด็กผู้ชายควรออกกำลังกาย  ทั้งแข็งแรง  สูงใหญ่  และกำยำ  แต่กรกฎมีแก๊ง...กำลังนึกถึงก็พากันตบเท้าเดินออกมาจากห้องเหมือนตัวร้ายถึงคิวเดินเข้าฉากเลยเชียว  ศุทธวีร์คิดว่าเจ้าพวกนี้ต้องเคยใช้ร่างเดียวกันก่อนจะแตกหน่อออกมา  และจนทุกวันนี้ก็ยังเหลือตรงไหนสักที่ที่เชื่อมติดกันอยู่แน่ ๆ  เรียนที่นี่มาห้าปีเขาไม่เคยเห็นคนไหนในกลุ่มนี้เดินคนเดียวอยู่เดี่ยว ๆ สักที

 

              อีกฝ่ายรวมกรกฎเข้าไปด้วยก็เป็นห้าคน  ตั้งวงล้อมกรอบพวกเขาซึ่งมีกันสามคน...หรือที่ถูกต้องคือสองคนกว่า ๆ  ศุทธวีร์ไม่แน่ใจว่าตัวเองนับเป็นหนึ่งคนได้มั้ย  พงศ์พิชเป็นสายบู๊อย่างไม่ต้องสงสัย  ไชยพศไม่ชอบลงไม้ลงมือเพราะเสี่ยงเสียหล่อ  แต่ก็พอตัวอยู่  ส่วนเขา...  'ต่อยตี' แทบจะเป็นคำในภาษาต่างประเทศ  รู้จักแต่ไม่สนิท

 

              คิดไปก็เท่านั้น  รอบด้านเงื้อขาง้างแขนเตรียมจะเหนี่ยวกันแล้ว  พงศ์พิชกับกรกฎคว้าคอเสื้อของต่างฝ่าย

 

              "หยุด"

 

              เหมือนกดปุ่มพอสตอนเล่นวิดีโอ  วงวิวาทหยุดกึกในท่าที่ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นก็คงตลกดีอยู่หรอก

 

              "พักผ่อนตามอัธยาศัย  หรือไปทัศนศึกษาห้องเย็น"  ระฆังพักยกที่ชื่อว่าครูชนันธรแห่งฝ่ายปกครองถามเนิบ ๆ  "เลือกเอา"

 

              กรกฎปล่อยมือเร็วพอ ๆ กับตอนคว้า  และส่งสายตาให้พรรคพวก  เปลี่ยนจากตั้งวงล้อมไปยืนรวมกันที่ฟากเดียว  ศุทธวีร์ทึ่งนิด ๆ ในความไวว่อง  ก็สมเป็นผู้เปี่ยมประสบการณ์  ถ้าโรงเรียนมีระบบเบิกกู้คะแนนความประพฤติ  กรกฏซัดเต็มวงเงินไปแล้วเรียบร้อย  ใต้จมูกครูแบบนี้  คงมีแต่คนอยากเปลี่ยนโรงเรียนเท่านั้นที่ลุยต่อ

 

              เจอแล้วคนหนึ่ง...เพื่อนเขาเอง

 

              ยักษ์แห่งห้องสี่ยังขยุ้มคอเสื้ออริจากห้องเจ็ดไว้  ตาไม่ได้มองครูด้วยซ้ำ

 

              คดีทะเลาะวิวาทของกรกฎกว่าครึ่งก็พงศ์พิชนั่นล่ะคู่กรณี

 

              "จารย์คร้าบ  ผมอุตส่าห์ยอมก่อนแล้วนะเนี่ย"  กรกฎกางแขน  จะว่าเป็นท่ายอมจำนนก็ใช่  แต่จะบอกว่าไม่ได้ท้าให้ต่อยก็ไม่เชิง  "อีแบบนี้ให้ผมทำไงดีล่ะครับ"

 

              "เฮ้ย  พง  พอเหอะ"  ศุทธวีร์กระซิบ  ไชยพศรีบเสริม  "เกียร์ถอยอย่างด่วนไอ้พง  ชนตอนนี้เอ็งรับขี้เต็ม ๆ นะเว้ย"

 

              ครูชนันธรเริ่มย่างเท้าเข้ามาหา  "พง  ปล่อยมือ"

 

              พงศ์พิชไม่กระดิกแม้แต่น้อย

 

              "พี่พง!"

 

              คราวนี้มีสะดุ้งเล็ก ๆ

 

              เสียงก้าวตึกตักรัว ๆ ดังไล่ขึ้นมาจากชั้นล่าง  จากนั้นถึงค่อยโผล่พ้นขอบบันไดให้เห็นเป็นนักเรียนหญิงผมยาว  เด็กสาววิ่งมาหยุดหอบตัวโยนข้าง ๆ ครู  เดาไม่ยากว่าห้อมาเต็มเหยียด  "พี่พง"  เธอเรียกซ้ำ  ไม่มีคำพูดอื่นใดมากไปกว่านั้น  นิ้วที่กุมแน่นของเด็กหนุ่มร่างใหญ่คลายออกทันควัน

 

              'สิบชนันธรหรือจะสู้หนึ่งพิมพ์พร' เป็นสุภาษิตอันเนื่องมาจากตำนานยักษ์ห้องสี่ที่ใครก็ไม่รู้ได้กล่าวไว้  พงศ์พิชไม่กลัวใคร  แต่เกรงใจน้องสาว

 

              "ฝากไว้ก่อนเถอะเอ็ง"  กรกฎทิ้งท้ายพร้อมทำมือแทนคำ 'ฟัคยู'  (แหงล่ะ  ใช้ตัวบัง  จากมุมของครูชนันธรมองไม่เห็น)

 

              "อีกแล้วเหรอ  ฝากรอบที่แล้วยังไม่มาทวงคืนเลย  คราวหน้าคิดเงินแล้วนะจ๊ะ"  ไชยพศกวนตีน  ทำมือแทนคำ 'เลิฟยู' ชูกลับไป

 

              แก๊งของกรกฎแต่ละคนดูจะอยากบินข้ามระเบียงมาจ่ายให้เพื่อนเขากันเดี๋ยวนั้น  (ไม่ใช่เงินแน่ ๆ)  แต่ก็ได้แค่เข่นเขี้ยวถลึงตาแล้วพากันลงบันไดไป  ส่วนครูชนันธรยิ้มมุมปากพลางส่ายหัวเดินขึ้นไปชั้นบน  ศุทธวีร์คิดว่าวันไหว้ครูคราวหน้า  จะเพ่งจิตสำนึกพระคุณให้ฝ่ายปกครองเป็นพิเศษ  เด็กหนุ่มปล่อยลมจากปากที่กลั้นไว้เฮือกใหญ่  ยังหวาดเสียวอยู่ในอก  ใครจะว่าเขาปอดแหกก็เถอะ  ที่เพิ่งเฉียดผ่านแล้วรอดพ้นมาได้น่ะสงครามชัด ๆ

 

              "ไอ้กากนี่มันก็ไม่รู้จักเข็ดหลาบเลยว่ะ"  ไชยพศกลับหัวเราะ  แปลงชื่อคนที่ไม่ชอบหน้าไปในทางเสื่อมเช่นเคย  "จะโดนเชิญออกอยู่รอมร่อแล้วยังมีหน้ามาก่อเรื่องอีก  อ้อ  ใช่  ขอบใจที่ช่วยไว้ว่ะไอ้พง  เกือบได้แด็กเท้าแทนข้าวแล้วมั้ยล่ะ"

 

              "เออ  ไม่เป็นไร  งั้นก็ไปละเว้ย  แยกย้าย ๆ"  พงศ์พิชรับคำและรีบออกปากสลายวงเร็วผิดสังเกต  ศุทธวีร์พอจะรู้ถึงสาเหตุ  และเดาได้ว่าไม่ง่ายอย่างนั้น...

 

              "พี่พง"  พิมพ์พรยืนจังก้า  ว่าเสียงเขียว  "จะไปไหน  อย่าทำมึน"

 

              ยักษ์ใหญ่ยังคงทำมึน  เดินอ้อมผ่านเหมือนน้องสาวเป็นวัตถุต่ำกว่าระดับเรดาร์  คาดว่าตอนคลอด  พงศ์พิชคงสูบสารอาหารจากแม่ไปหมดเกลี้ยงแล้ว  เธอที่เกิดทีหลังหนึ่งปีจึงมีขนาดตัวคนละเรื่อง

 

              "คุยกันก่อนเดี๋ยวนี้"  พิมพ์พรทุบเข้าให้

 

              "อย่าให้รู้นะว่าใครคาบข่าวไปฟ้องยัยพิม"  พงศ์พิชสบถอุบอิบ

 

              "ก่อเหตุกลางระเบียงตึกแบบนี้  อยู่นอกรั้วโรงเรียนยังรู้เลย"  เด็กสาวตอบ  ซึ่งไม่ใช่การเปรียบเปรยที่เกินเลย  "นี่มีเรื่องกันกับพี่กรกฎอีกแล้วนะ"

 

              "แค่เกือบมี  แล้วไม่ต้องเรียกมันซะเพราะแบบนั้นด้วย  เรียกเห้กิกก็พอ"  ยักษ์ขี้ยัวะสอนน้องพูดคำหยาบ

 

              "เรียกเขาแบบนั้นน่ะสิถึงญาติดีกันไม่ได้ซะที"

 

              "คราวนี้ไอ้กิกมันหาเรื่องก่อน"

 

              "แต่พี่เองก็ปล่อยมือทีหลัง"

 

              คู่ชกถัดไปจ่อขอบเวทีแล้ว  "อ่า  ใจเย็น ๆ"  ศุทธวีร์หาช่องห้ามมวย  "นะพง  ที่น้องเอ็งเขาพูดก็มีส่วนถูก"

 

              ยักษ์ใหญ่แยกเขี้ยวใส่  ไม่เฉพาะความสูง  ตอนนี้แม้แต่หน้าตาก็ละม้าย

 

              "นะพิม  พี่เขาก็แค่ช่วยเพื่อน"  เด็กหนุ่มเบนเป้าหมายมายังน้องสาวที่ตัวเล็กกว่า

 

              "พี่กล้าไม่ต้องแก้ตัวแทนเลยค่ะ"  พิมพ์พรสวนหมัดใส่กรรมการ

 

              "...ครับ"  เขาถอยกรูดกลับเข้ามุม

 

              "จะบอกว่าพี่ผิดงั้นใช่มั้ย"  พงศ์พิชถาม  เสียงเย็นลงกว่าเมื่อกี้ที่กระโชกโฮกฮาก  แต่นั่นแหละที่น่ากลัว  คนอื่นโกรธแล้วยิ่งร้อน  พงศ์พิชยิ่งโกรธยิ่งเย็น

 

              "ก็...  อื้อ"  พิมพ์พรตัวลีบลง  แต่รีบเขย่งเท้าให้สูงขึ้นนิดหนึ่ง  ประมาณว่าไม่ยอมถูกข่มขวัญ

 

              "งั้นจะให้พี่ทำยังไง"  พงศ์พิชว่าต่อ  "คิดว่ากี่ครั้งแล้วล่ะที่ไอ้กิกมันทำแบบนี้  กี่หนแล้วที่พี่ยอมปล่อยไป  แล้วมันจบมั้ย  ไม่ไง  เราอยู่เฉย ๆ แต่มันดันมาเริ่มเอง  พอมันอยากเลิกพี่ต้องยอมถอยงั้นเหรอ  พี่ควรยื่นหน้าให้มันเอาเท้านาบเพื่อเป็นการสมานฉันท์ด้วยมั้ย"

 

              แดกดันแทบทุกคำ  แต่สิ่งที่พูดออกมาก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวซะทีเดียว

 

              "ไม่ได้บอกให้ทำขนาดนั้นซะหน่อย"  ถ้าไม่ใช่รู้สึกไปเอง  ศุทธวีร์คิดว่าเสียงของพิมพ์พรอ่อนลง  "พิมแค่อยากให้ลองมองหาทางอื่นบ้าง  จะหลีกเลี่ยงอยู่ให้ห่าง ๆ  จะบอกครู  จะอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องตีกัน"

 

              เด็กสาวเงียบไป...พักใหญ่  พอเริ่มพูดอีกครั้งเสียงก็สั่นและแผ่วเบา

 

              "ได้แผลทีไร  แม่เห็นเข้าก็ร้องไห้"  พิมพ์พรทำหน้าแบบที่เห็นอยู่บ่อย ๆ ตอนยังเล็ก ๆ ...เป็นสีหน้าก่อนจะร้องไห้โฮ  "สัญญากับพิมได้มั้ยว่าจะไม่แก้ปัญหาด้วยกำลัง  พิมเอง...ก็ไม่อยากเห็นพี่ต้องเจ็บตัวนะ"

 

              ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้ว  ไม่ว่าจะมองยังไง  ก็ไม่มีทางเห็นเป็นอื่นว่าพิมพ์พรอายุน้อยและตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม  แต่เหมือนจะมีแค่เจ้าตัวที่มองไม่ออก  พิมพ์พรปฏิบัติตัวแบบที่พงศ์พิชบ่นประจำว่าเหมือนเป็นพี่มากกว่าน้อง  เข้มงวดจู้จี้  เตือนนั่นห้ามนี่  บอกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องคอยดูแลแทนแม่ที่สุขภาพไม่ดี  ดุว่าพี่ชายกับเพื่อนพี่ชายชอบเล่นอะไรแผลง ๆ  ทำตัวน่าตำหนิ

 

              แรกเริ่มที่รู้จักกัน  ศุทธวีร์คิดอย่างเด็กผู้ชาย  ว่าพงศ์พิชโชคร้ายที่มีน้องสาวแบบนี้  และตัวเองโชคไม่ดีที่มีน้องเพื่อนแบบนี้  คิดว่าน่าเบื่อ  คิดว่าน่ารำคาญ  แต่นานไป  เขาก็รู้อยู่ในใจ  ไม่มีใครที่ทนทำแบบนั้นได้หลายต่อหลายปี  ถ้าไม่ใช่ห่วงใยกัน

 

              ศุทธวีร์รู้  ว่าไม่ควรยุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่นหรอก  ...แต่ก็เอาศอกสะกิดเพื่อน

 

              พงศ์พิชถอนหายใจ  "เออ ๆ"

 

              "เออ ๆ นี่คือสัญญารึเปล่า"  พิมพ์พรถาม

 

              "เออ  สัญญา"

 

              คุณน้องสาวอมยิ้มน้อย ๆ  ยื่นนิ้วก้อยให้พี่ชาย

 

              พงศ์พิชหน้ามุ่ย  "ไม่ต้องหรอก"

 

              "ต้องสิ  เดี๋ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์"

 

              "เอามือตบกันก็พอมั้ง"  คนตัวสูงต่อรอง  ท่าทางอยากได้อะไรที่ดูแมน ๆ หน่อย  ยักษ์ใหญ่ไม่เคยถนัดเรื่องกุ๊กกิ๊ก  ศุทธวีร์แอบขำเพื่อน  จากสีหน้า  ถ้าไม่ใช่ว่าเกรงใจน้องสาว  พงศ์พิชคงขอเปลี่ยนเป็นงัดข้อ

 

              "เร็ว ๆ ซี่"  เด็กสาวรบเร้า  แกว่งนิ้วก้อยไปมา

 

              "จ้า ๆ สัญญาเนาะ"  นิ้วก้อยกระหวัดกันตามคำขอ  แต่ไม่ใช่ของพงศ์พิช  ...ไชยพศโผล่พรวดเข้าไปอยู่ระหว่างสองพี่น้องตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้  พิมพ์พรสะดุ้งโหยง  รีบดึงมือกลับเหมือนโดนไฟช็อต

 

              "เอ๊า  ไม่ได้เหรอ  พี่อยู่ในวงก่อเหตุเหมือนกันนะ  เรื่องวันนี้นี่เริ่มมาจากพี่เลยล่ะ"  ไชยพศพูดเหมือนเป็นความดีความชอบ  "พี่อยากสัญญากับพิมบ้างอะ"  มันอ้อนตาใส  หมาปั๊กยังอาย

 

              "หวัดดีค่ะ  พี่กล้า  พี่...เจ๋ง"  เด็กสาวหันมาหาศุทธวีร์  ค่อยเหลือบตากลับไปทักอีกคนที่เหลือแบบไม่เต็มเสียง  ก่อนจะก้มหน้า  หมุนตัวเดินผละไปดื้อ ๆ

 

              ไชยพศยิ้มกรุ้มกริ่มโบกมือบ๊ายบาย  "ยัยหนูน้อยหนึ่งเดียวของกลุ่มเรา  ไม่กี่ปีก่อนยังโยเยขี้มูกย้อยแย่งตุ๊กตากับไอ้กล้าอยู่เลย  ตอนนี้กลายเป็นสาวสวยซะแล้ว"

 

              ศุทธวีร์กะจะโวยไอ้นักจำมั่วเรื่องแย่งตุ๊กตาบ้าบอนั่น  แต่ไม่ได้พูดออกมา  เพราะเห็นซะก่อนว่าพงศ์พิชไม่ได้ซึ้งกับความหลัง  กลับกัน  กำลังมองไชยพศตาขวางคมกริบ

 

              "มีอะไรที่ไม่ชอบเหรอ"  คนถูกจ้องทำหน้าทะเล้น

 

              พงศ์พิชหน้าเครียด  "เรื่องผู้หญิง  ถึงข้าไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมเอ็ง  แต่เอ็งเป็นเพื่อนข้า  ชีวิตส่วนตัวเอ็ง  ข้าจะไม่ก้าวก่าย...ตราบใดที่ในหมู่ผู้หญิงพวกนั้นไม่มีน้องข้า"

 

              เงียบฉี่กันพักใหญ่  ก่อนที่ไชยพศจะพูดกลั้วหัวเราะ

 

              "นี่ข้าต้องวงเล็บกำกับไว้ด้วยมั้ยว่าเมื่อกี้น่ะเล่นมุก"  จอมเจ้าชู้ยกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่าย  "ข้าไม่นิยมทำการค้าในท้องถิ่น  ไม่กินคนใกล้ตัวแน่  รับรอง"

 

              คนหวงน้องยังนิ่ง  วูบหนึ่งที่ศุทธวีร์คิดว่าต้องรีบจับแยกแล้ว  นี่คู่ที่เท่าไรแล้วนะ

 

              ไม่ทัน  พงศ์พิชต่อยอกไชยพศ

 

              ...เบา ๆ

 

              "เออ  เท่านี้แหละที่อยากได้ยิน"  ยักษ์ใหญ่พยักหน้า  "คุยกันแค่นี้เว้ย  เดี๋ยวต้องไปโรงยิม  มีซ้อม"

 

              "ซ้อมอีกแล้ว?  ลูกคนแรกให้ชื่อซ้อมเลยสิ  เห็นเอ็งชอบเหลือเกิน"  ไชยพศกวนโอ๊ยอีกรอบ  "เท่าที่ข้าจำได้  ตอนเที่ยงมันคือเวลาพักนี่หว่า  ผอ. แกประกาศตั้งแต่เมื่อไหร่วะว่าให้เป็นชั่วโมงชมรม"

 

              "งั้นพอถึงชั่วโมงศาสนา  เอ็งก็จงปฏิบัติตนเป็นคนดี  เลิกหะลีนักเรียนหญิงห้องข้าทางหน้าต่างซะนะ"  คนถูกแซวตะโกนกลับมา

 

              ...รอจนพงศ์พิชเดินแยกออกไปไกลแล้ว  ศุทธวีร์ค่อยพูดขึ้น

 

              "นี่ยังไม่ได้บอกไอ้พงมันเหรอ  ว่าเอ็งเคยชวนพิมไปเที่ยว"

 

              ไชยพศยิ้มแห้ง ๆ  "ถ้าพูดเรื่องจริงแล้วความซวยถามหา  เอ็งเก็บไว้เป็นปริศนาต่อไปดีกว่ามั้ย"

 

              "เฮ้ยเจ๋ง  นี่ซีเรียสนะ"  เขาขึ้นเสียงให้เพื่อนรู้ว่ากำลังด่า  "ทั้งเอ็งทั้งไอ้พงเป็นเพื่อนข้า  พิมมันก็เหมือนน้องข้าคนนึง  เอ็งอย่าทำเลย"

 

              "พูดหยั่งกะข้าล่อลวงพิมไปขาย  ข้าชวนไปเที่ยวกันแบบพี่แบบน้อง  ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม่งามซะหน่อย"

 

              "อ้อ  เอ็งจะบอกว่าไม่ได้แตะต้องพิมแม้แต่ปลายผมงั้นสิ"  ศุทธวีร์หรี่ตา

 

              ไชยพศหลบตา  "ก็...  มีลูบหัวสองสามที"

 

              "อือฮึ?"

 

              "อ่า  จับมืออีกนิดหน่อย"

 

              "อาฮะ?"

 

              "เอ้อ  ก็โอบไหล่อีกเล็กน้อย  วุ้ย!  ช่างมันเหอะน่า  ข้ารับรองด้วยเกียรติของลูกเสือที่เรียนจบมาหลายปีแล้ว  ว่าไม่ได้ทำอะไรเข้าข่ายอนาจาร  กระทำชำเรา  หรือพรากผู้เยาว์น้องเขา  โอเคมั้ย"

 

              "นั่นเอ็งทำมือปฏิญาณหรือทำอิ๊บบวกวะ"

 

              "เอ็งนี่คิดเล็กคิดน้อยจริง  อื๊ยยยยยยย"  อยู่ดี ๆ ไชยพศก็ส่งเสียงพิลึกลากยาวแล้วไถลไปเกาะราวระเบียง  จ้องตาโตลงไปข้างล่าง  "มาแล้ว ๆ  หวานใจข้า"

 

              ศุทธวีร์นิ่งไปเพราะสมองต้องใช้เวลาประมวลผล  ทุกครั้งที่ไอ้เพื่อนมากรักพูดขึ้นมาว่าหวานใจข้า  ถ้าไม่ได้ระบุข้อมูลช่วยระลึก  เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหวานใจไหน  ตำแหน่งนี้เปลี่ยนคนแทบจะรายเดือน

 

              "ขวัญไง  ขวัญ"

 

              "อ๋อ  พี่ขวัญฤดี ม.หกอะนะ"  แต่เอ๊ะ  ไม่ได้เลิกกันแล้วเหรอ  ศุทธวีร์จำได้คลับคล้ายคลับคลา

 

              "ห่านนี่  ขวัญนั้นเลิกกันไปก่อนหน้าแฟนคนที่แล้วอีกโว้ย"  ผู้เป็นเพื่อนช่วยให้ความกระจ่าง  ในบางครั้ง  ขนาดระบุกระทั่งชื่อแล้วก็ยังไม่ช่วยชี้ชัด  ไชยพศควงมาเยอะชนิดที่ชื่อจะซ้ำกันบ้างก็ไม่แปลก  ช่วงเวลาแบบนั้น  มันชอบพูดติดตลก 'ไม่ต้องเสียวว่าจะเผลอเรียกผิดชื่อตอนที่อยู่กับคนใหม่'

 

              "ไอ้หอกนั่นเกะกะว่ะ  สำนึกบ้างมั้ยเนี่ยว่าเอาเปรียบสังคมอยู่น่ะเฮ้ย  เอียงขวาหน่อยดิ๊  มองไม่เห็นโว้ย"  ไชยพศยังชี้มือชี้ไม้โวยวายบ้าบออยู่คนเดียวที่ริมระเบียง  อันที่จริงไม่ใช่แค่คนเดียว  เด็กผู้ชายรายอื่น ๆ ก็ออกอาการคือกัน  ศุทธวีร์มองลงไป  เห็นกลุ่มนักเรียนประมาณเจ็ดแปดคนเดินมา  และนักเรียนที่อยู่รอบ ๆ แทบจะหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่เพื่อมองตามคนคนหนึ่งในกลุ่มนี้แบบเหลือบตาเหลียวหลังสุดกล้ามเนื้อ  มนุษย์วิวัฒนาการไปถึงจุดที่ตากับคอหมุนรอบวงได้เมื่อไร  ไม่ต้องสงสัยว่าสาเหตุสำคัญมาจากเธอ...ขวัญสุดา  นักเรียนใหม่ที่ย้ายเข้ามากลางปีการศึกษา...ซึ่งก็ราว ๆ สัปดาห์ที่แล้วนี่เอง  นับเป็นระยะเวลาที่สั้นระดับปรากฏการณ์  สำหรับการเด้งผึงขึ้นมาเป็นหนึ่งในดาวโรงเรียน

 

              เพราะอะไรน่ะหรือ  คำตอบสั้น ๆ คือ  ขวัญสุดาเป็นผู้หญิงที่สวยมาก

 

              ถามว่ามากขนาดไหน  ก็ขนาดที่ถ้ากระทรวงศึกษาขี้กังวลหน่อยคงจัดเธอเป็นสิ่งมอมเมาเยาวชน  ไปไหนมาไหนทีมีไอ้หนุ่มเป็นพรวนติดสอยห้อยตาม  พวกต่างโรงเรียนที่มาคอยเฝ้าคอยตื๊ออีกล้นหลาม  สาวกเยอะพอจะตั้งเป็นศาสนาใหม่ได้เลย

 

              "ผู้ท้าชิงเพียบ"  ศุทธวีร์หันกลับมาหัวเราะให้เพื่อน  หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยคือการฟาดฟันกับนักเรียนด้วยกันทั้งประเทศ  จีบขวัญสุดาน่าจะเป็นเรื่องที่มีจำนวนคู่แข่งเยอะรองลงมา

 

              "เออ  หาโอกาสเข้าถึงตัวแต่ละทีโคตรยาก"  ไชยพศรับด้วยเสียงหงุดหงิด  "นี่กว่าจะตะล่อมจนได้เบอร์มาก็เมื่อวานนี้เอง"

 

              "เอาจริงดิ"  เขาอึ้ง  ก็ใช่อยู่ที่เรื่องนารีเจ้าเพื่อนคนนี้ไม่เคยรีรอ  แต่ไม่นึกว่าจะชิงลงมือจนถึงขั้นเห็นผลฉับไวอะไรขนาดนั้น

 

              ไชยพศยักคิ้ว  แลดูกระหยิ่มใจไม่ใช่น้อย

 

              "คนนี้ของสูงนะเอ็ง  เป็นที่เคารพบูชา"  ศุทธวีร์คิดว่าควรต้องเตือน  "จีบเล่น ๆ  เกิดเจอแฟนคลับคุณเธอแจกตีนเน้น ๆ นี่  ให้ไอ้พงมียี่สิบมือ  มันก็ดึงเอ็งหลบไม่ทันนะครับ"

 

              "ไม่เล่นเว้ย"  จอมเจ้าชู้ทำหน้าเหมือนถูกสบประมาท  "คนนี้ข้าจริงจัง  เอ๊า  ดูมองเข้า  จริงจี๊ง  ไม่ได้โม้"

 

              ไชยพศไม่ได้โม้  ศุทธวีร์ไม่สามารถแย้งได้เลยว่าเพื่อนของตนไม่จริงจัง  เรียกได้ว่าตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างกับจะยึดเป็นอาชีพเลยก็ว่าได้  แม้แต่ตอนที่จีบติดแล้ว  ก็ยังคงจริงจัง  เริ่มจีบคนใหม่ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง  หลายครั้งก็มากกว่าหนึ่งคนในเวลาเดียวกัน  ถ้ามีการบันทึกสถิติโลก  ชื่อของมันคงเบียดอยู่ต้น ๆ ตาราง

 

              "อ้าวเฮ้ย  มีเรื่องอะไรวะนั่น"  จู่ ๆ ไชยพศก็ย่นหัวคิ้ว  เหยียดตัวชะเง้อคอมากกว่าเดิม  "ไอ้พงนี่หว่า"

 

              ศุทธวีร์หันกลับไปมอง  ตรงริมสนามบาสกลางแจ้ง (ที่นักเรียนชายมักเอาไปเล่นเตะบอล)  ยักษ์ผมยาวยืนหันหลังให้กลุ่มเพื่อนร่วมห้องสี่  และหันหน้าหานักเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง...กลุ่มของขวัญสุดานั่นล่ะ  จากท่าทางที่เห็น  ไม่ใช่การถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแน่ ๆ

 

              "ยังอารมณ์ค้างจากไอ้กิกรึไงวะ  ลงไปดูหน่อยดีกว่าว่ะกล้า"  ไชยพศดันหลังเขาออกวิ่งในทันที  "ไอ้พงเอ๊ย  อย่าทำอะไรรุนแรงนะเว้ย  นั่นว่าที่ภรรยาเพื่อนเอ็งนะ"

 

              ศุทธวีร์พยายามชะลอ  "อย่าผลักสิวะ  เดี๋ยวชนคนอื่นเขา"

 

              "ว้าย!"

 

              สมพรปาก

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา