มัธยมวิปลาส มิตรฆาตวิทยา

-

เขียนโดย bluemouse

วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.53 น.

  6 บท
  0 วิจารณ์
  8,023 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 16.05 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) วิชาสามัญชั่วโมงสุดท้าย - ๒ เลือก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 


วิชาสามัญชั่วโมงสุดท้าย

 
บทที่ ๒ - เลือก

 

 

 

 

 


              กรรณิการ์?

              ...ใช่แน่เหรอ

              แม่คนรู้เยอะ  พูดไม่หยุด  ชอบถ่ายรูป  ทำตาวิบวับ  ยิ้มมีแผนการ

              คนที่นอนนิ่งอยู่นั่นไม่มีสิ่งเหล่านั้นสักข้อเดียว...  ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นกรรณิการ์ที่ศุทธวีร์รู้จัก

              คนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้างนั่นก็เหมือนกัน

              ศุทธวีร์ไม่ได้สนิทสนมกับเธอ  แต่ก็เคยทักทายพูดคุยอยู่บ้างบางครั้ง  ท่าทางค่อนข้างเรียบร้อย  แต่เสียงแหลมเอาเรื่อง  งานกีฬาเมื่อปีก่อน  จำได้ว่าเธอกรี๊ดดังที่สุดในสแตนด์เชียร์ตอนที่รุ่นพี่ม.หกโชว์ฟอร์มชู้ตลูกลงห่วงปิดเกม  ...เด็กผู้หญิงห้องสี่ที่เขาเพิ่งได้รู้เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วว่าหายตัวไป  ตอนนี้ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ

              และไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นจิรวรรณที่เขารู้จัก

              เธออยู่ในชุดนักเรียน  และอยู่ในสภาพเหมือนเด็กผู้ชายหลังจากเล่นบอลตอนฝนตก  เปรอะเปื้อนตั้งแต่หัวจรดเท้า  เพียงแต่สำหรับเธอไม่ได้มีแค่ดินเปียก ๆ กับน้ำฝน  ยังมีของเหลวสีแดงหม่นเข้มจนเกือบดำ

              สีเดียวกับที่กำลังไหลออกมาจากลำคอเหวอะหวะของกรรณิการ์

              จิรวรรณยืนมองเพื่อนร่วมชั้นที่เพิ่งฝังรอยกัดลงไป  ขณะเคี้ยวเนื้อที่ติดอยู่ในปาก  บดเคี้ยวเชื่องช้า  เสียงซี่ฟันเสียดสีระคนกับเสียงคำรามต่ำ  กลิ่นเหม็นโชยจากตัวเธอ

              ใช่สิ่งที่หมอเรียกกันว่ากลไกทางจิตใจที่ต้องการหนีความจริงรึเปล่านะ  ที่ทำให้ยังแอบหวังว่านี่อาจเป็นแค่เรื่องล้อเล่น  กรรณิการ์ชอบแกล้งเขาเสมอ  เรื่องจิรวรรณหายตัวไปอาจเป็นการกุขึ้นมาให้เขานึกกลัว  มันจะจัดฉากเนียนเกินไปละ  จากที่ง่วง ๆ  เล่นเอาตาสว่าง  ดีที่เมื่อกี้ฉี่ไปแลัว  ไม่งั้นตอนนี้คงนองพื้น

              ใช่  อำกันเห็น ๆ

              จิรวรรณหมอบลงไปคร่อมเหนือร่างกรรณิการ์  เหมือนสัตว์ที่กำลังจะจัดการกับเหยื่อที่ล่าได้

              สองคนนี้ไม่มีเรื่องเคืองแค้นถึงขนาดต้องฆ่ากันแน่ ๆ  โอเค มุกเธอเด็ด  รีบลุกขึ้นมาหัวเราะเยาะฉันได้แล้วน่า  ยัยก๋า

              กรรณิการ์ไม่ลุกขึ้นมา

              และจิรวรรณเริ่มลงมือ  ดื่มและกิน...เนื้อกับเลือด

              ศุทธวีร์อาเจียนออกมาทันที

              นี่มันบ้าอะไร

              นี่มันบ้าอะไรวะ

              เขาคิดว่าตัวเองตะโกน  แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่แอะเดียว

              มื้อกลางวันทะลักพรวดรวดเร็ว  เทกราวลงบนพื้น  และส่งเสียงเรียกจิรวรรณให้ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น  หันมาหา

              "ประกาศ  ประกาศ"

              ข้อความจากลำโพงกระจายเสียงดังขึ้น  ดึงความสนใจของเธอไปก่อนที่จะได้เห็นเขา  จิรวรรณเอียงคอมองอยู่ครู่ใหญ่  ก่อนจะขยับแขนขาลุกขึ้นด้วยท่าทางแข็งขัด  เดินลากเท้าไปทางทิศที่มาของเสียง

              ศุทธวีร์ยืนตัวสั่น  มือชา  ตาพร่ามัว  หูอื้อ  ไม่ขยับ  ไม่รับรู้  นิ่งอยู่กับที่  และแล้วความกลัวก็เป็นฝ่ายสั่งการแทน  มันกดเขาให้เข่าอ่อนทรุดลง

              ควรจะไปเรียกใครให้มาช่วย  ควรจะรีบไปเตือนคนอื่น ๆ ในอาคารว่าจิรวรรณผิดปรกติไป  ควรจะทำอะไรสักอย่าง  แต่เขาก็นั่งอยู่ตรงนั้น

              ไม่รู้ว่านานแค่ไหน  ในที่สุด  สิ่งอื่นก็เคลื่อนไหวก่อนเขา

              ...กรรณิการ์

              เธอขยับ  กระตุกเบา ๆ ครั้งหนึ่งแล้วก็ขยับ

              "ยัยก๋า"

              ศุทธวีร์แปลกใจที่จู่ ๆ ตนก็เปล่งเสียงออกมาได้  อาจเพราะวูบนั้นโล่งอกที่เพื่อนยังมีชีวิต  เขาไม่รู้

              ที่เด็กหนุ่มรู้ในวินาทีถัดมาคือตัวเองคิดผิด  ...และไม่ควรปริปากเลย

              กรรณิการ์ลุกจากท่านอนหงายโดยไม่พลิกตัว  แขนทั้งสองปล่อยห้อย  แค่ขากับเข่าช่วยดันร่างยกขึ้น  ดูประหลาด  แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ลุกขึ้นมาได้

              เด็กสาวสั่นศีรษะ  เลือดปนเนื้อไหลย้อยร่องแร่งที่คอทำให้น่าหวาดเสียวว่าส่วนหัวอาจหลุดได้ทุกเมื่อ  เธอคลอนศีรษะอยู่สองสามครั้ง  เหมือนพยายามจะหัน  เหมือนกำลังทำความเข้าใจว่าลำคอใช้การไม่ได้  พอถึงครั้งที่สี่ก็เบี่ยงทั้งตัวหันมา

              ศุทธวีร์เหลือบตามองหาความช่วยเหลือ  แต่นอกประตูไม่มีใคร  ป่านนี้คงขึ้นห้องเรียนกันหมดแล้ว  ต่อให้มีคนที่โดดร่มเหมือนกัน  ก็แน่ชัดว่าเฉพาะเขากับกรรณิการ์เท่านั้นที่มาป้วนเปี้ยนแถวนี้

              เด็กหนุ่มสาปแช่งขาของตนที่ไม่ฟังคำสั่ง  กรรณิการ์ก้าวเข้ามา...สะดุดยกพื้นแล้วล้มฟาดลง  เป็นตอนนั้นเองที่เขาสะดุ้ง  ขาหดหลบโดยที่ไม่ทันสั่ง

              ข้อศอกของเด็กสาวปูดโปน  เธอล้มทับแขนตัวเองหัก  พอเงยหน้าก็เห็นได้ชัดว่าคางถูกกระแทก  แต่ไม่มีทีท่าว่ารู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย  ยังคงคืบคลานเข้ามาทั้งอย่างนั้น

              ศุทธวีร์ถดตัวจนหลังชนกับพื้นผิวเรียบแข็ง  เขาหันไปมองอย่างลนลาน  พบว่าเป็นผนัง

              ชั่ววูบที่ละสายตา  กรรณิการ์พุ่งมือเหมือนงูฉก  กำรอบเท้าขวาเขา  จากนั้นก็กระชาก

              ร่างไถลพรืดไปตามแรงดึง  ศุทธวีร์แทบช็อค  เขาผอมแห้งกว่ามาตรฐานก็จริง  แต่นี่แรงผู้หญิงเหรอ

              เด็กสาวใช้อีกมือยึดไหล่เขา  อ้าปากกว้าง  โถมลงมาจะขย้ำ  เด็กหนุ่มรีบยันหน้าผากของเธอไว้  ฟันหน้าของเธอขบกันเฉียดปลายจมูกเขาแค่เส้นยาแดง

              ระยะประชิดทำให้ได้เห็น  กรรณิการ์ที่จับจ้องมองมา  ด้วยดวงตาที่ไม่ใช่ดวงตา  เหมือนแก้วสีดำที่สะท้อนภาพได้เท่านั้นเอง

              "ก๋า..."  ศุทธวีร์เรียกไม่เต็มเสียง  คนตรงหน้ายังใช่เพื่อนของเขา...หรือเป็นอะไร

              แรงที่กดทับยิ่งเพิ่มขึ้น  เด็กหนุ่มรู้สึกล้าลงทุกที

              "กล้าเว้ย"

              ศุทธวีร์นึกขึ้นได้  ไชยพศแวบออกจากห้องไปก่อนเขาอีก

              "แอบมาหลบอยู่ในนี้อีกรึเปล่าวะ"  เสียงของเพื่อนจากข้างนอกดังขึ้น  บอกให้รู้ว่ากำลังใกล้เข้ามา  "ฉี่แค่นี้ล่อซะข้ามวัน  ลงไปสำรวจในคอห่านรึไงวะเอ็ง"

              เขายังจำได้ว่าบอกไชยพศไป  เรื่องที่ชนกนันท์นอนพักอยู่ในห้องพยาบาล  และมันควรไปเยี่ยมเธอสักหน่อย  บางทีไอ้จอมเจ้าชู้อาจทำตาม  นี่คงแวะมาดูเขาก่อนกลับเข้าห้อง

              "เจ๋ง!"  ศุทธวีร์แหกปากสุดเสียง  แม้ว่าจะรู้ว่าเพื่อนเห็นแล้วก็ตาม  เขาไม่เคยอยากเจอมันมากขนาดนี้

              "อะจึ๋ย"  ไชยพศตอบรับด้วยคำทะแม่ง  น้ำเสียงกระอักกระอ่วน  "ขอโทษที่มาขัดจังหวะตอนกำลังหม่ำว่ะกล้า  ไม่โกรธนะ"

              ...เข้าใจไปคนละโลกเลยไอ้เวร  ใช่อยู่  กรรณิการ์กับเขาอยู่ในท่าที่น่าคิด  แต่เขาต่างหากกำลังจะถูกกิน  ความหมายตามตัวอักษรเลยด้วย

              กรรณิการ์มองไปทางประตู  คงชั่งใจว่าจะกินจานใหม่หรือจานเก่า...ศุทธวีร์เดา  และดูเหมือนเธอจะเลือกเขา  ...ไม่ดีใจสักนิด  ให้ตาย

              เด็กหนุ่มกัดฟัน  "คือถ้าเอ็งจะกรุณาแหกตาดูให้ดีกว่านี้จะขอบใจมาก"

              "อ้าว"  ไชยพศยังมึนงงสถานการณ์  ก็นะ  นักเรียนหญิงไล่งับนักเรียนชายกลางห้องน้ำหลังตึกไม่ใช่อะไรที่เจอกันทุกวัน  แต่ช่วยเข้าใจเร็ว ๆ ทีเถอะ  เขาจะไม่ไหวแล้ว  "คือเดือดร้อนอยู่?"

              ศุทธวีร์ผงกหัวรัว ๆ

              "โอเค ๆ"  เพื่อนของเขาผงกตอบ  พลางย่างเท้าเข้ามาอย่างมากท่า

              "ระวังด้วย"  เขารีบเตือน  "นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ"

              "เออรู้น่า"  ไชยพศตอบส่ง ๆ ไม่ใส่ใจ  แต่เมื่อใกล้พอจะเห็นหน้ากรรณิการ์ก็ชะงักกึก  "นี่เอ็งทำอะไรยัยก๋าวะ  เลือดเต็มเลย"  ว่าแล้วก็หันมามองด้วยสายตากล่าวหา

              "ไม่ใช่ฝีมือข้าโว้ย"  ศุทธวีร์ร้องว้าก  "ช่วยกันก่อนแล้วจะอธิบายให้ฟัง"

              "ช่วยเหรอ  ยังไงดี"  ไชยพศยื่นมือจะผลัก  แต่ก็ชักกลับเร็วรี่ทันทีที่กรรณิการ์คำรามขู่  "ข้าไม่ลงไม้ลงมือกับผู้หญิง"  สุภาพบุรุษหรือหาข้ออ้างเพื่อไม่ต้องเข้าใกล้ก็ไม่รู้

              "ไอ้เจ๋ง"  เขาจวนจะคำรามตามกรรณิการ์

              "ขออีกอึด ๆ"  เจ้าคนยึกยักหมุนไปหมุนมาจนกวาดตาเจอไม้ถูพื้น  "เอาน่ะ  ไม่ได้ลงไม้ไม่ได้ลงมือ  แค่จิ้มเฉย ๆ"  ไชยพศหยิบขึ้นตั้งท่า  "นับถึงสามนะ  เอ็งผลักไปทางซ้าย  หนึ่ง  สอง  สาม!"

              ศุทธวีร์เหวี่ยงเต็มแรง  พร้อมกับที่เพื่อนของเขาเสือกไม้กระทุ้งลำตัวเด็กสาว  ดันร่างกรรณิการ์ให้เสียหลักไถลไปด้านข้างได้สำเร็จ

              "ตกลงนี่เรื่องอะไร  เล่ามา"  ไชยพศดึงแขนเขาลุก  และยิงคำถามตามติด  "เอาแบบละเอียด ๆ"

              "คืองี้ --"

              เสียงไม้แตกดังขัดจังหวะ

              เด็กหนุ่มทั้งสองหันไปมอง  หัวของไม้ถูพื้นในมือไชยพศแหลกคาปากของกรรณิการ์ไปเรียบร้อย

              "เอ่อ  ที่ขอละเอียด ๆ นี่ไม่ได้พูดกับเธอ"  เพื่อนของเขายังอุตส่าห์จะตลก

              เด็กสาวขบฟันดังแกร๊ก  เสี้ยนแหลมของไม้บางส่วนทิ่มคาเหงือกและแทงทะลุข้างแก้มออกมา

              "...เฮ็ดเข้"  ศุทธวีร์กับไชยพศสบถประสานเป็นเสียงครางโดยไม่ได้นัดหมาย

              พวกเขารีบพุ่งออกจากห้องน้ำ  พ้นวงกบปุ๊บก็ตาลีตาเหลือกดึงประตูปิดปั๊บ

              บานพับฝืด

              ของมันแหง  พวกนักเรียนชายชอบเอาขยะไปยัด  เตะเล่น  บางทีก็ฉี่รด  (เจ้าอชิระนี่ตัวดี)  ...ศุทธวีร์เริ่มเห็นคุณค่าคำสอนที่ครูบอกให้รักษาสมบัติโรงเรียนแล้ว

              กรรณิการ์คืบคลานตามมาอย่างเชื่องช้า  แต่ต่อให้ช้ากว่านี้ก็ยังเร็วกว่าทำเรื่องขอเบิกบานพับใหม่มาเปลี่ยนอยู่ดี  เรื่องปิดประตูขังเธอไว้เป็นอันเลิกคิด

              "นับถึงสามเหมือนเดิม"  ไชยพศพูดขึ้น  "หนึ่ง  สอง"

              ไม่มีสาม  พวกเขาทั้งคู่กวดโกยสุดฝีเท้า

              "เอาไงต่อวะไอ้กล้า"

              "บอกครูละกัน"  ศุทธวีร์นึกได้แค่นี้  "ไม่ ๆ  ตำรวจ"  ถ้าเรื่องที่กรรณิการ์แปลกไปจากเดิมไม่ใช่เรื่องหลอกเล่น  อย่างนั้นเรื่องที่จิรวรรณหายตัวไปเมื่อคืนคงเป็นเรื่องจริง  "วันนี้ที่โรงเรียนมีตำรวจมา  อาจจะยังไม่กลับ  ตำรวจน่าจะช่วยได้"  แต่ตำรวจมานอกเครื่องแบบ  ไม่รู้ว่าเป็นคนไหน  สรุปคือต้องแจ้งครูนั่นล่ะนะ  "เอาเป็นว่าไปบอกครู  ให้ออกประกาศให้ทุกคนอยู่แต่ในห้อง  อย่าเพิ่งลงมาข้างล่าง"  ครูจะเชื่อรึเปล่า  เขายังกังวล  แต่นักเรียนหญิงทั้งสองในตอนนี้เข้าขั้นอันตราย  ซัดกับพงศ์พิชตัวต่อตัวยังได้    ยังไงก็ต้องป้องกันไม่ให้คนอื่นไปเจอเข้า

              ผู้เป็นเพื่อนทำหน้าเจื่อน  "เอ็งไม่ได้ยินที่ประกาศเมื่อกี้เหรอ"

              ได้ยิน  แต่เขาไม่มีสติสตังจะฟังให้รู้เรื่อง

              "ผอ. สั่งเลิกก่อนเวลา"  ไชยพศพูดต่อโดยไม่ต้องรอเขาถาม  "ไม่รู้ว่าทำไม  แต่แกพูดออกลำโพงด้วยตัวเองเลย  ให้ทุกคนรีบกลับ"

              อะไรนะ...

              ตอนนั้นเองที่พวกเขาวิ่งกลับมาถึงอาคารเรียน

              ...และพบกับความโกลาหล


              :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :


              มันระเบิดออกตอนที่เด็กหนุ่มเลี้ยวพ้นเสาแรกเข้ามา

              เปิดฉากจากเสียงกรีดร้องของใครสักคน  คล้ายกับสัญญาณที่ดังขึ้น  แผ่ขยายไปที่คนอื่น  กลายเป็นเสียงร่ำระงมนับร้อย

              และแล้ว  คลื่นนักเรียนจำนวนที่มากกว่านั้นก็แตกทะลัก  วิ่งหนีกันชุลมุน  เบียดเสียดสับสนทุกทิศทุกทาง

              "ไอ้กล้า!"  ไชยพศที่ตั้งตัวได้ไวกว่าดึงเขาที่มัวแต่ตะลึงหลบเข้าด้านข้าง

              "...ขอบใจ"  ศุทธวีร์บอกด้วยเสียงสั่นปนหอบ  ถ้าโดนชนล้มในฝูงชนขนาดเท่านี้ล่ะก็...

              ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวนั้น  เขาเห็น  สิ่งที่สร้างมันขึ้นมา...คนที่เป็นแบบจิรวรรณ  แต่ไม่ใช่แค่จิรวรรณ  ยังมีนักเรียนห้องอื่น  ชั้นปีอื่น  ทั้งที่รู้จัก  ทั้งที่ไม่รู้จัก  เดินไล่ล่ากัดกินเพื่อนและพี่น้องร่วมโรงเรียน  เนิบช้าแต่ทารุณ  นี่มันอะไรกัน

              "ไอ้พง"  เขานึกถึงเพื่อนอีกคนที่ไม่อยู่ตรงนี้  แต่หมอนั่นยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าน้องสาว  "ยัยพิม"

              ศุทธวีร์ควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรหา  ...ไม่มีสัญญาณ

              "โธ่เว้ย!"  เครือข่ายมาล่มอะไรเอาตอนนี้  เด็กหนุ่มแทบอยากปาทิ้ง

              "เฮ่ย  จะไปไหน"  ไชยพศดึงไหล่เขาไว้  เมื่อศุทธวีร์ขยับจะวิ่งสวนกระแสที่ไหลกรูลงมาตามบันไดขึ้นไปข้างบน

              "ข้าจะขึ้นไปดูว่าพิมยังอยู่บนตึกรึเปล่า"

              "บ้ารึไง  ได้โดนเหยียบตายก่อน"

              "ปล่อยสิวะ"  เขาง้างมือเพื่อนที่กดไว้แน่น  "ไปแป๊บเดียว  เดี๋ยวก็ลงมา"

              "ไม่ต้องขึ้นไปหรอกน่า  พิมไม่อยู่บนนั้น"

              ศุทธวีร์หยุดเท้า  หันกลับไปมอง  "เอ็งรู้ได้ไง"

              "คือ..."  ไชยพศอึกอัก

              "ทำไม"  ศุทธวีร์สังหรณ์ไม่ดี  เขาพอจะคาดได้  พร้อมกันนั้นก็หวังให้ตัวเองเดาผิด  "เอ็งนัดพิมไว้เหรอ"

              "ข้าไม่ได้นัด  พิมเป็นฝ่ายมานัดข้า"  ไชยพศตอบอุบอิบ  "ก่อนจะไปตามเอ็งที่ห้องน้ำ  น้องมันโทรมาบอกว่าไปรออยู่ตรงจุดนัดแล้ว"

              "นอกโรงเรียนใช่มั้ย"  เขายังภาวนา  แต่ไชยพศทำลายคำขอด้วยการตอบตรงกันข้าม

              "ในโรงเรียน"

              ศุทธวีร์กัดริมฝีปากห้ามคำด่า  เป็นไปได้สูงที่พงศ์พิชไม่รู้เรื่องนี้  และถ้าพงศ์พิชไม่รู้  หมายความว่าพิมพ์พรรออยู่ตรงที่นัดหมายตามลำพัง  "ยัยพิมนัดเจอที่ไหน"

              "ตึกเก่าแถวแผนกประถม  ตรงประตูสอง"

              จุดนัดพบยอดนิยมสำหรับคนต้องการความเป็นส่วนตัว  ไม่แปลกที่เป็นที่นั่น  พงศ์พิชเป็นคนดังของโรงเรียน  เรื่องน้องสาวคบหากับไชยพศซึ่งเป็นคนดังพอกันจะรู้ถึงหูผู้เป็นพี่ชายในเวลาไม่นานแน่หากนัดเจอในที่ที่มีคนมาเห็นได้ง่าย ๆ  ศุทธวีร์คิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยก็ห่างจากตรงนี้  ยังทัน  กว่าที่ความวุ่นวายจะลามไปถึง  แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ถึงอีกเรื่องที่สำคัญ

              "เอินยังอยู่ที่ห้องพยาบาลรึเปล่า"

              ไชยพศเงียบ

              เขาขมวดคิ้ว  "เอ็งไม่ได้ไปเยี่ยมเอินหรอกเหรอ"

              ไม่มีคำตอบ  แต่เขาก็รู้แล้ว  ศุทธวีร์ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะ

              "เอ็งไปดูเอิน  ถ้ายังอยู่ที่เดิมรีบพาออกมา  ข้าจะไปตามยัยพิม"  เขาบอกไชยพศ  "เจอกันข้างนอก"

              เด็กหนุ่มออกวิ่ง  แต่แค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุด  เพราะเมื่อหันกลับมามอง  เพื่อนยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

              "ไอ้เจ๋ง  เอ็งเป็นอะไรไป"

              "ข้า..."  ไชยพศพูดแค่นั้น  แต่ศุทธวีร์ไม่จำเป็นต้องถามอีก  เพราะเขาก็รู้สึกแบบเดียวกัน  ...ภาพที่ได้เห็น  เรื่องที่ได้เจอ  มันปุบปับเกินไป  มันใหญ่โตเกินไป

              เด็กหนุ่มจับบ่าเพื่อน  "ข้าก็กลัว"  เขาสารภาพตามตรง  "แต่ตอนนี้  ถ้าเอินกับยัยพิมเจอกับ...ที่เราเจอมา  สองคนนั้นก็คงกลัวเหมือนกัน  เข้มแข็งไว้  ช่วยพวกนั้นให้ได้ก่อน"  เขาไม่รู้จะพูดยังไง  ได้แต่ยกชนกนันท์กับพิมพ์พรมาปลุกปลอบใจตัวเองไปด้วย  ถ้าเลือกได้  เขาอยากให้เป็นตัวเองมากกว่าที่เป็นฝ่ายฟังประโยคนี้จากเพื่อน

              แต่ไชยพศที่เคยหัวเราะได้แม้จะกำลังถูกรุมล้อมจากคนหมู่มากยังคงยืนก้มหน้า  เหมือนจิตใจไม่อยู่กับตัว

              "เจ๋ง"  ศุทธวีร์เรียก

              "ข้าไม่ไป  ข้าจะกลับบ้าน"  ไชยพศโพล่งออกมา  และทำท่าจะหนีไปจริง ๆ

              ศุทธวีร์กระชากเสื้ออีกฝ่าย  "ผู้หญิงสองคนนั้นเขารักเอ็งนะ  เอ็งไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่จะทิ้งพวกเขาไปแบบนี้น่ะ"  เขาจำใจใช้คำพูดกึ่งดูแคลน  "ขอร้องล่ะ  ไอ้เจ๋ง  ข้าคนเดียวช่วยทั้งสองคนไม่ได้หรอก"

              ไชยพศไม่สบตา  ปัดมือเขาออก

              ศุทธวีร์ชักเหลืออด  "เอ็งนี่มันเชี่ยจริง ๆ  เอินไม่ควรไปรักคนอย่างเอ็งเลย!"

              เขาหลุดปาก  ...บางทีอาจผสมผเสด้วยเจตนา  ลึก ๆ แล้วเขาคงอยากประกาศใส่เพื่อนของตนมาเนิ่นนาน

              สีหน้าของไชยพศแสดงความงุนงงในทีแรก  แต่อีกครู่ถัดมาก็ฉายชัดว่าเข้าใจ  ...ที่จริงมันก็ไม่ได้เดายากอะไรขนาดนั้น

              "ตั้งแต่เมื่อไร"  มันถาม

              "ก่อนเอ็งจะเจอกับเอิน"  เขาตอบออกไปง่าย ๆ  ทั้งที่ปิดบังไว้หลายปี

              ผู้เป็นเพื่อนเลิกคิ้ว  คล้ายกับจะสื่อว่า 'อย่างนั้นเชียว'  พร้อมกับหงายมือทั้งคู่เหมือนจะบอกว่าไม่แคร์  ...ไม่แคร์ที่เขาชอบเอินก่อน  หรือไม่แคร์ถ้าเขาจะชอบแฟนเก่าของมันตามที่เคยพูดไว้ว่าไม่ถือ  เขาไม่รู้  "แต่ถ้างั้น"  เสียงไชยพศราบเรียบผิดจากที่เคย  "มันก็หน้าที่เอ็งไม่ใช่เหรอที่ต้องไปช่วยน่ะ"

              ศุทธวีร์อึ้ง  "อย่างน้อยเอ็งก็เคยคบกับเอินมานะ"  เขากัดฟัน  ไม่นึกว่าเพื่อนจะบอกปัดกันหน้าตาเฉยแบบนี้  "เอ็งเคยรักใครจริงบ้างมั้ย  ไอ้เจ๋ง"

              "เคยแล้วทำไม  ไม่เคยแล้วทำไม  มันหนักหัวเอ็งเหรอ"  ไชยพศเหยียดมุมปากยียวน  "ข้าจะชั่วแค่ไหนมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่เอินเขาไม่ชอบเอ็งนี่หว่า  แพ้แล้วอย่าพาลสิวะ  เอ็งชอบเขาแล้วเอ็งไม่บอกนี่ความผิดข้า?  ชื่อกล้าเหรอ  แม่เอ็งตั้งผิดแล้ว  เปลี่ยนเป็นปอดแหกดีกว่ามั้ง  หัดมองอะไรดำ ๆ มั่งนะ  ตาเอ็งนี่ขาวโพลนเลย"

              ศุทธวีร์ตอบไม่ได้ว่าหน้าร้อนวูบเพราะอายหรือโมโห  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน  สาเหตุมีอยู่ข้อเดียว...เพราะที่ไชยพศพูดมาเป็นความจริง  "อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ทิ้งขว้างใคร"  เด็กหนุ่มหาทางตอบโต้

              "เอ็งไม่มีใครให้ทิ้งต่างหาก"  ผู้เป็นเพื่อนยิ้มเยาะ  "แล้วไงไอ้สัตว์  แค่เพราะเอ็งเจอก่อน  รักนานกว่า  ความรักของเอ็งเลยยิ่งใหญ่กว่าข้างั้นเหรอ  ข้าว่าข้าหลงตัวเองแล้วนะ  เอ็งนี่เข้าขั้นคลั่งตัวเองเลยล่ะ  ตอนขัดจรวดเอ็งจินตนาการถึงหน้าตัวเองรึเปล่าวะ"

              ศุทธวีร์กำหมัด  "เอินไม่ควรไปรักคนอย่างเอ็งเลย"

              เขาพูดออกไปอีกครั้ง  ครั้งนี้แน่ใจว่าตัวเองจงใจ

              ไชยพศหัวเราะ  "ทำไม  เพราะข้าไม่ไปช่วยเขา?  หรือเพราะไม่ได้คอยประคบประหงมดูแลทุกครั้งที่ป่วย?  เอ็งคิดว่าคนที่กลายเป็นแฟนเก่ากันมันเป็นยังไง  คิดว่าแม่มเลิกราทั้งที่อาลัย  กระสันอยากหาเรื่องมาเจอกันใจแทบขาดเลยงั้นสิ  เอ็งเอาอะไรคิด  ตอนสั่งให้ข้าทำเนี่ยเคยคิดมั้ยว่าข้าเต็มใจหรือลำบากใจ!  เคยคิดมั้ยว่าข้ารู้สึกยังไง!  ข้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว  ทำไมเอ็งต้องมาคาดคั้นให้ข้าเสียสละด้วยวะ!"

              ไชยพศยิ่งพูดยิ่งเสียงดัง  ดูเดือดดาลกว่าทุกครั้ง  ...อันที่จริงแล้ว  ถึงจะช่างโวยวาย  แต่ก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะทีเล่นทีจริงเสมอ  ศุทธวีร์ถามตัวเอง...เขาเคยเห็นเพื่อนคนนี้โกรธจริง ๆ สักครั้งรึเปล่า

              แต่...  "แล้วพิมล่ะ"

              ไชยพศเงียบ  ไม่พูดอะไรอีก

              "เข้าใจแล้ว"  ศุทธวีร์พูดอย่างฝืดฝืน  พยักหน้าสั้น ๆ  "เข้าใจแล้ว"  เด็กหนุ่มพูดซ้ำ

              เขากับไชยพศเดินกันไปคนละทาง


              :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :


              ควรไปช่วยใครก่อน?

              ศุทธวีร์บอกกับตัวเองว่าห้องพยาบาลอยู่ใกล้กว่า  และชนกนันท์ที่มีไข้ก็ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า

              ถึงอย่างนั้นก็ยังคงรู้สึกผิด  และรู้สึกว่าตนเห็นแก่ตัว

              ไชยพศไม่แยแสพิมพ์พร  เขาเองก็ไม่ต่างกัน

              ถ้าเจอเอินแล้ว  พี่จะรีบไปหานะพิม

              "กรุณาอย่าวิ่งครับ  มันอันตราย"  กลทีป์  แว่นจอมเฮี้ยบผู้เคร่งครัดกฎระเบียบหันมาตำหนิไล่หลังตอนที่เขาวิ่งผ่าน  ยังมีแก่ใจจะมาตักเตือนความประพฤติ  ใครจะสนล่ะ

              อย่างน้อยก็ตัวเขาเองที่ควรสน

              ศุทธวีร์วิ่งชนเข้ากับนักเรียนชายกลุ่มหนึ่ง...ไม่ได้แรงขนาดทำให้เจ็บมากมาย  แต่คงเพียงพอที่จะทำให้ยัวะเหลือหลาย  เพราะเมื่อเขารีบก้าวเท้าจะวิ่งต่อ  อีกฝ่ายก็คว้าคอเสื้อ  ดึงให้หันกลับไปหา

              "เฮ่ย ๆ"  ฝ่ามือหนา ๆ ตบผัวะเข้าที่ใบหน้าเขาประกอบคำทักทาย  "เอ็งนี่ตัวอย่างชั้นดีที่แสดงถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษาเลยนะเนี่ย  เวลาเดินชนคนอื่น  ครูเขาสอนเอาไว้ว่าให้พูดอะไรฮึไอ้กล้า"

              แวบแรกที่เห็นแผลเป็นจาง ๆ ตรงปลายคิ้วซ้ายของผู้ยื่นคำถาม  ศุทธวีร์ก็รู้ว่าเทพแห่งความซวยมีจริง  และเกาะอยู่บนหลังเขานี่แหละ

              คนสุดท้ายที่อยากเจอในเวลาแบบนี้...นักเรียนที่แก่ที่สุดในโรงเรียน  หรืออาจจะแก่ที่สุดในจังหวัดเลยมั้ง  แทนธรรม์เปลี่ยนโรงเรียนบ่อย...มาก  เท่าที่รู้มา  ที่นี่เป็นชีวิตมัธยมแห่งที่สิบหรือเกินกว่านั้น  บอกว่ามีงานอดิเรกสะสมเครื่องแบบนักเรียนให้ครบทั้งประเทศเขาก็เชื่อ

              "ข้าตบแรงเกินจนกล่องเสียงเอ็งหลุดรึไง  หรือคำถามยากไป?  ขอตัวช่วยมั้ย"

              แทนธรรม์เป็นคนมีอารมณ์ขัน  แต่ถ้าเทียบกับอารมณ์ด้านที่ไม่ขันด้วยแล้ว  กรกฎก็กลายเป็นตัวแทนประกวดมารยาทไปเลย  เรื่องเล่าขนหัวลุกมากมายเกี่ยวกับคนตายในโรงเรียนที่ถูกซ่อนศพไว้  ในแปลงผักเอย  ในห้องน้ำชั้นสามที่ปิดตายห้ามใช้เอย  หรือแม้กระทั่งในสวนหลังโรงเรียน  ทุกเรื่องบอกว่าฆาตกรคือแทนธรรม์  ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับกระจกด้านที่หันออกถนนใหญ่ของตึกวิทยาศาสตร์ที่เช้าตรู่วันหนึ่งคนทำความสะอาดพบว่ามันแตกหมดทั้งแถบ  อนาจารนักเรียนหญิงรุ่นน้อง  ทำร้ายร่างกายครู  ซ้อมเด็กต่างโรงเรียน  ทั้งแทงทั้งยิง  ขายยาค้าอาวุธ  ค่อนข้างเหลือเชื่อไปหน่อยที่เด็กนักเรียนคนหนึ่งจะเคยทำหมดนั่น  แต่ไม่ว่าจะจริงหรือไม่  มันก็ทำให้คนส่วนใหญ่กลัวแทนธรรม์กันหัวหด...รวมทั้งเขาด้วย

              ศุทธวีร์กลืนน้ำลายเอื้อกแล้วรีบผงกหัว  "ขอโทษด้วย  กำลังรีบน่ะ"

              "โอเค  งั้นเคลียร์กันแบบด่วน ๆ เลย"

              ศุทธวีร์งง  แต่แค่ครู่เดียว  คำขยายความก็แล่นเข้าข้างแก้ม  เขาปลิวไปกระแทกกับผนัง

              "เรียบร้อย"  แทนธรรม์โบกมือ  "ทีนี้เอ็งจะรีบไปตายที่ไหนก็ตามสบาย"

              หลังความเจ็บแปลบคือรสเลือดในปาก  อารมณ์ขุ่นมัวที่สะสมมาตั้งแต่เที่ยงวันทำให้เขาเผลอจ้องกลับไป...ใช้คำว่าเผลอ  เพราะถ้าเป็นเวลาปรกติเขาคงเผ่นแน่บแล้ว

              "เอ๊า  มองหน้า  ครั้งเดียวไม่พอ  อยากขอสองรึไง"

              ศุทธวีร์มั่นใจว่าไม่ได้ขอ  ที่จริงยังไม่ทันตอบ  ไอ้พวกนี้ก็ใจดีแถมสามสี่ห้าหกมาให้ด้วย  ดูไม่ทันว่าเท้าใครบ้าง  รู้ตัวอีกทีก็ลงไปนอนขดอยู่บนพื้น

              "ทีหลังอย่าเปรี้ยว  ถ้าไม่มีไอ้พงกับไอ้เจ๋งคุ้มหัว  เอ็งก็แค่แย้ตัวนึง"

              มันพูดถูก

              แทนธรรม์กับพวกเตะหลังเขาปิดท้ายแล้วเดินจากไป

              มีนักเรียนหลายคนวิ่งผ่านมา  และทั้งหมดวิ่งผ่านไป  เป็นเขาก็คงทำอย่างเดียวกัน  ...เป็นใครก็คงทำอย่างเดียวกัน

              ศุทธวีร์รู้สึกว่างโหวงและเสียใจขึ้นมา  เขาผิดเองที่บังคับให้ไชยพศต้องไปช่วยเหลือคนอื่น

              เด็กหนุ่มต้องนั่งกุมท้องอยู่อีกครู่ใหญ่ถึงค่อยลุกขึ้นได้  คนบางตาลงมากแล้ว  เขาเดินกะเผลกไปตามทางพลางนึกเอะใจสงสัย  ทั้งโรงเรียนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น  แต่พวกแทนธรรม์กลับใจเย็นกันเหลือเกิน  อย่างน้อยก็ดูจะมีเวลามากพอให้มาเสียไปกับการรุมกระทืบเขา  หรือบางทีเจ้าพวกนี้อาจไม่ได้คิดหนี  คงเป็นความถือดีที่คนขี้ขลาดอย่างเขาไม่มีวันเข้าใจ

              ยิ่งเดินไป  ยิ่งรู้สึกมืดลงเรื่อย ๆ  มืดกว่าทุกที  ที่จริงก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะท้องฟ้าครึ้มเมฆ  แต่มันมืดเกินไป  เขาเพิ่งสังเกตก็ตอนนี้เอง  หลอดไฟบนเพดานไม่ได้เปิด  ทุกดวงปิดหมด

              ศุทธวีร์ดูนาฬิกาข้อมือ  นั่นสินะ  ปรกติแล้วเวลานี้ครูจะยังไม่เปิดไฟ  เด็กหนุ่มเดินไปอีกระยะก็เห็นสวิตช์  เขากด

              ไฟทุกดวงยังคงดับสนิท

              อาจกดผิด  ศุทธวีร์ทดลองกดปุ่มอื่น  ลองกดทุกปุ่ม...ไม่ติด

              จะว่าไป  ไม่ใช่แค่ชั้นล่างนี้  เขามองขึ้นไปข้างบน  ไล่สายตาทั่วบริเวณ  หลอดไฟของทั้งอาคาร  ไม่มีสักดวงเลยที่ส่องแสง

              และไม่ใช่แค่หลอดไฟ  แอร์ทุกเครื่องไม่ทำงาน  พัดลมระบายอากาศไม่ทำงาน  หมายความว่าไง  เขาคิดได้อย่างเดียวว่าไฟดับทั้งโรงเรียน  แต่มีระบบไฟฟ้าสำรองไม่ใช่เหรอ  อย่างน้อยไฟตรงทางเดินก็ควรจะเปิดติดบ้าง

              ระหว่างที่กำลังงุนงงอยู่นั้น  ห้องพยาบาลก็อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว  ตรงสุดทางเดิน  มุมระเบียงตึก  ใกล้กับห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา  ดูมืดอับคับแคบ  บ่อยครั้งที่ศุทธวีร์คิดว่าสถาปนิกออกแบบห่วย  ไม่ก็เจ้าคนที่คิดจะใช้ห้องตรงนี้เป็นห้องพยาบาลนั่นล่ะที่ห่วย  และไม่เคยเกลียดที่มันมาตั้งอยู่ตรงนี้มากเท่าตอนนี้เลย

              ประตูกระจกบานซ้ายแตกเป็นรูโหว่  ส่วนบานขวาหลุดออกจากรางเลื่อนเอียงไปพิงอยู่กับผนัง  ชั้นวางรองเท้าหน้าทางเข้าล้มอยู่ใกล้ ๆ กัน  รองเท้าแตะกับรองเท้านักเรียนชายและหญิงสองสามคู่หล่นกระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ

              ...ไม่ว่าประตูจะกลายเป็นแบบนี้ด้วยเหตุอะไรก็ตามแต่  ตอนที่มันเกิดขึ้น  ข้างในห้องยังมีคนอยู่

              จากจุดนี้มองไม่เห็นข้างในห้อง  ต้องเดินเข้าไป

              คนที่พังประตูใช่ 'เจ้าพวกนั้น' มั้ย  พวกมันอยู่ข้างในรึเปล่า  คำถามนี้ถ่วงสองเท้าของเขาให้หนักอึ้งหยุดอยู่กับที่

              "...เอิน"  เด็กหนุ่มลองส่งเสียงเรียก

              ไม่มีประโยชน์  ถ้าพวกมันเข้าไปในนี้  คนที่อยู่ข้างในก็ตายหมดแน่ ๆ  เสียงในใจตอบ  เขาอยากเห็นด้วยกับมัน  จะได้กลับหลังหันแล้ววิ่งหนีออกไปจากตรงนี้

              แทบไม่มีความเป็นไปได้  แต่ถ้าชนกนันท์ยังอยู่ในนั้น...

              ศุทธวีร์กัดริมฝีปากล่าง  ใช้มือที่สั่นระริกทุบใส่ต้นขาที่สั่นพอกัน  บอกตัวเองให้ก้าวต่อ

              แสงสว่างที่เล็ดลอดเข้ามาในห้องดูสลัวรัวราง

              ลมพัด  ข้อต่อโลหะของเตียงที่ผ่านอายุการใช้งานมาหลายรุ่นเกิดเสียงเอียดอาดเบา ๆ เป็นช่วง ๆ  ม่านกั้นเตียงขาดครึ่ง  ครึ่งบนแขวนอยู่กับราว  อีกครึ่งกองอยู่ที่พื้น

              ภายในห้องมีนักเรียนหญิงคนเดียว...นอนคว่ำหน้าจมกองเลือด  เด็กหนุ่มใจหายวาบ

              ไม่  ไม่ใช่เอิน  เขาสังเกตจากทรงผม

              ศุทธวีร์โล่งอกที่ไม่ใช่ชนกนันท์  แต่ครู่ต่อมาก็นึกเกลียดตัวเองที่รู้สึกแบบนั้น  ถึงไม่รู้จักกัน  แต่ที่อยู่ตรงหน้าคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกฆ่าตาย

              เธอขยับ

              ศุทธวีร์ผงะ

              เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นมา

              อีกแล้วเหรอ  นี่มันหมายความว่ายังไงกัน  ทำไมคนที่เหมือนจะตายไปแล้วถึงฟื้นขึ้นมาได้  ทั้งกรรณิการ์  ทั้งเด็กผู้หญิงคนนี้  ...ไม่ใช่  ไม่ใช่กรรณิการ์  ไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนนี้  สังหรณ์อีกเช่นกันที่บอกเขา  ว่าคนที่ลุกขึ้นมาไม่ใช่คนเดิมก่อนที่จะล้มลงไป

              ส่วนสีขาวของลูกตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดริ้วแดงเล็กละเอียด  นัยน์ตาดำเจือจางจนเป็นสีเทาขุ่น  ไม่เหมือนดวงตา  เป็นแค่แก้วที่สะท้อนภาพได้  ไร้แวว  เหลือกขึ้นบน  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  แข็งขัด

              เขาออกวิ่งก่อนที่จะแหกปากร้องด้วยซ้ำ

              ...และชนเข้ากับบานประตูที่พิงกับผนังอย่างจัง  เด็กหนุ่มถลากึ่งคะมำไปข้างหน้า  เศษกระจกบาดแขนขา  แต่เขาไม่มีเวลาจะมาเจ็บ  พอคว้าได้รองเท้าก็รีบปากลับหลัง  ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองว่าโดนเป้าหมายหรือขว้างถูกทิศทางรึเปล่า  พร้อม ๆ กับที่พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน  เขาเอาเท้ายันใส่ประตูห้องเก็บอุปกรณ์อยู่สองสามครั้งเพราะสับสนไปชั่วขณะว่ามันคือพื้น  ศุทธวีร์ซวนเซตีลังกาอีกรอบ  กว่าที่จะจำแนกบนล่างจนตั้งหลักลุกขึ้นมาได้

              ทันใดนั้น  อะไรบางอย่างขยุ้มเข้าที่เสื้อตรงกลางหลังเขา...จากสัมผัสบอกให้รู้ว่าเป็นมือข้างหนึ่ง

              เสียงซี่ฟันเสียดสีกันแว่วขึ้นข้างหู...


              :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :  :


              ทักทายท้ายบท

              จบบทที่ ๒ จนได้ = v =

              ท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้  คงพอรู้แล้วว่าแนวของเรื่องนี้คืออะไร  'วิ่งหนีผีดิบในโรงเรียน' นั่นเอง  แหม่  พล็อตโคตรใหม่เลย  เรื่องที่ล้านกว่า ๆ เอง  ขออภัยท่านที่คิดว่าจะเจออะไรแปลกใหม่กว่านี้ m(_ _)m

              แต่ถึงอย่างนั้น  ในฐานะผู้เขียน  ก็คิดว่าเรื่องนี้ได้พยายามใส่องค์ประกอบปลีกย่อยที่เป็นของตัวเองลงไป  หวังว่าจะมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากเรื่องอื่นอยู่บ้าง  ก็ขอให้ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้และคิดว่านิยายเรื่องนี้น่าจะพอมีดีซ่อนอยู่ได้โปรดติดตามกันต่อไป  ชอบไม่ชอบตรงไหน  หาก comment ให้ผู้เขียนรับรู้ด้วยก็จะขอบคุณมากครับ = v =  comment เต๊อะ  ผู้เขียนอยากคุยกับคนอ่าน TT v TT

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา