My Lovely Writer อยากเขียนคำว่ารักไว้ในใจเธอ

-

เขียนโดย yoongpeskyy

วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 00.10 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,343 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 มกราคม พ.ศ. 2558 00.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บัวบาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เสียงเพลงบรรเลงที่ฟังดูเหงาหัวใจดังคลอเบาๆ ในร้านกาแฟเล็กขนาดหนึ่งคูหาที่ตั้งอยู่หัวมุมของถนนเส้นหนึ่ง ร้านแห่งนี้ถูกตกแต่งด้วยของน่ารักๆ ในโทนสีเรียบและเย็นตา หลอดไฟดวงน้อยใหญ่ที่ห้อยจากเพดานร้านส่องแสงสีส้มนวลบวกกับจำนวนลูกค้าในร้านที่บางตากว่าทุกวันทำให้บรรยากาศดูเงียบเหงามากขึ้น

     นลินเป็นอีกคนที่นั่งอยู่ในร้านโปรดแห่งนี้มานาน ตรงหน้ามีแก้วกาแฟทรงสวยที่ยังดื่มไม่หมด ในมือเรียวถือปากกาเตรียมจรดลงบนสมุดบันทึกเล่มเล็กสีชมพูหวาน ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังนอกกระจกร้านที่ตอนนี้บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆฝนกำลังตั้งเค้าพร้อมกับความความเหงาที่ก่อตัวเล็กๆ ขึ้นในใจ

      ‘ลินรู้มั้ย เราชอบฤดูฝนที่สุดเลยนะ มันทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะเล่นดนตรี’ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยปากกับเด็กสาวที่นั่งข้างๆ ด้วยสีหน้าเป็นสุข

       นลินย่นจมูก ‘แต่เราว่านะ ฝนทำให้เหงา เราชอบฤดูหนาวมากกว่า’

       เด็กหนุ่มยิ้มบางก่อนจะหยิบกีตาร์ตัวเก่งขึ้นมาดีดนิ้วยาวลงไปบรรเลงเพลงที่แสนไพเราะ

       ความทรงจำที่เจ็บปวดในอดีตห้วนกลับมาทำร้ายหญิงสาวอีกครั้ง เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะละสายตาจากเมฆฝนกลับมาที่สมุดบันทึกก่อนจะจรดปากกา

        สองปีแล้วสินะที่เราเลิกกันคิดถึงชลนะ

        เด็กหนุ่มคนนั้นคือคนรักในอดีตของเธอ ชลเป็นรักแรกและรักเดียวที่เธอไม่เคยคิดจะลบออกจากหัวใจแม้แต่น้อย เรื่องราวความรักของทั้งสองเริ่มต้นตั้งแต่หกปีที่แล้ว ในช่วงที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เขาเข้ามาทำความรู้จักกับเธอในวันเปิดเรียน ม. 4 วันแรก

         ‘สวัสดี นลิน เราชื่อชลนะ’ เด็กสาวยิ้มรับอย่างจริงใจถึงแม้จะงงเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆ

          ‘รู้จักชื่อเราด้วยเหรอ’

          เมื่อถูกถามเด็กหนุ่มก็หน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขินพลางหัวเราะแก่เก้อ

          ‘ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ ชล’

          หลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มสนิทกัน จากคำว่าเพื่อนจึงกลายเป็นคนรัก เขาชอบดนตรีส่วนเธอชอบเขียนหนังสือ  ถึงแม้ความฝันจะแตกต่างแต่ทั้งคู่ก็ตั้งใจว่าจะร่วมเคียงข้างเดินตามฝันไปด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขและจะไม่มีวันทิ้งกันไปไหน

           จนกระทั่งวันที่จะต้องเลือกคณะเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งสองต่างเลือกคณะที่ตั้งใจเอาไว้ ชลเลือกเรียนเอกดนตรีที่เขารัก ส่วนนลินเองถึงแม้จะเลือกเรียนกฎหมายตามความต้องการของพ่อ แต่เธอก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินตามฝันในการเป็นนักเขียนมืออาชีพ ด้วยการเรียนที่แตกต่างทำให้ทั้งคู่มีเวลาไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็ไม่อาจทำให้ความรู้สึกดีๆ จางหายไป

           ‘ลิน คอยดูนะ เราจะต้องมีเพลงเป็นของตัวเองให้ได้’ น้ำเสียงมุ่งมั่นบอกกับเด็กสาว

            ‘เราก็เหมือนกัน เราจะมีหนังสือของตัวเองให้ได้’

            มือหนาเอื้อมมากุมมือของเธอไว้ ทั้งสองสบสายตากันราวกับสัญญาว่าคนทั้งคู่จะไม่ละทิ้งความฝันและความรัก

            ในขณะที่ชลมุ่งเดินสายแข่งขันวงดนตรี เธอเองก็เดินหน้าเข้าประกวดทุกโครงการที่เกี่ยวกับการเขียน  แม้ว่าความฝันของทั้งคู่จะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่พวกเขาก็ไม่ล้มเลิกและยังคงเป็นกำลังใจให้กันเสมอมา

            …แต่ทว่าเวลากลับทำให้คนเปลี่ยนผัน

           วันหนึ่งชลมาหาเธอด้วยแววตาที่แปลกไป เธอยังคงจำเรื่องราววันนั้นได้ไม่ลืม หยาดฝนแรกของฤดูแห่งความชุ่มชื้นมาเยือน ชลพาเธอไปดูคอนเสิร์ตเล็กๆ ของเพื่อนที่ตอนนี้เขาสานฝันสำเร็จและได้มีอัลบัมเป็นของตัวเอง ในตอนนั้นเธอทั้งรู้สึกชื่นชมและดีใจไปกับเขาด้วย

           ‘เพื่อนเราคนนี้เคยบอกกับเราว่าถ้าจะตามฝัน ความรักก็อาจจะไม่จำเป็น’ สายตาของชลยังคงจ้องมองที่คนบนเวที

           ‘หมายความว่ายังไง’

           ‘ลิน เราอยากทำมันให้สำเร็จโดยไม่ต้องกังวลอะไร’ 

           เธอยังจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองรู้สึกยังไง ราวกับสายฝนกระหน่ำลงมาใส่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เธอรู้สึกว่าทั้งตัวชาไปหมด ความสับสนและความเสียใจวิ่งใส่เธอไปทั้งร่าง ถึงแม้จะเสียใจแต่เด็กสาวก็พยายามตั้งสติและยิ้มให้เขาก่อนจะเอ่ยสั้นๆ

           ‘โชคดีนะชล’

           เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มจาง เขาจับมือเธอเบาๆ ก่อนจะก้มหัวเล็กๆ เป็นเชิงขอบคุณ

           ‘ขอบคุณนะลิน เราเชื่อว่าลินจะเจอคนที่ดีกว่าเราและต้องได้เป็นนักเขียนอย่างที่ฝันไว้แน่นอน’

           นับตั้งแต่นั้นมานลินก็สูญสิ้นศรัทธาทั้งในความรักและความฝัน เธอล้มเลิกความฝันที่จะเป็นนักเขียน หญิงสาวหันกลับมาตั้งใจเรียนพร้อมหางานทำเพื่อให้ตัวเองไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่าน

 

          อากาศหนาวเย็นจากลมฝนข้างนอกร้านกาแฟ ทำให้หญิงสาวไม่อยากออกไปเผชิญความจริงตอนนี้ ในขณะที่กำลังนึกว่าจะทำอะไรฆ่าเวลานั้น สายตาก็พลันไปเห็นชั้นหนังสือขนาดใหญ่ซึ่งถูกตั้งอยู่มุมในสุดของร้าน

          …อ่านหนังสือแก้ขัดก็ได้มั้ง

         ไวเท่าความคิด สองขาพาเธอมาหยุดที่หน้าชั้นหนังสือ หญิงสาวค่อย ๆ ไล่นิ้วไปที่สันหนังสือแต่ละเล่มช้า ๆ พร้อมกับอ่านชื่อหนังสือแบบผ่าน ๆและสุดท้ายเธอก็เจอหนังสือที่ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล

         “อยู่อย่างเหงา…เหงา” นลินอ่านชื่อหนังสือที่ปรากฏบนปกช้า ๆ ก่อนจะสายตาจะเจอกับชื่อผู้เขียนใต้ชื่อหนังสือ “บัวบาน…ไม่เคยได้ยินแหะ”

         ระหว่างนั้นหญิงสาวพลิกดูที่ปกหลังแล้วก็ได้พบกับประโยคสั้น ๆ เหงาได้แต่อย่านาน

         หญิงสาวเดินกลับมายังโต๊ะที่เธอจับจองไว้ มือบางพลิกหน้าหนังสือหน้าแล้วหน้าเล่าพลางยิ้มบางๆ กับคำพูดจากปลายปากกาของนักเขียน ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะดูบางสักหน่อยแต่ในทุกๆ ตัวอักษรที่ผ่านสายตาของเธอกลับทำให้ความสุขที่เจือด้วยความเหงาเล็กๆ เอ่อล้นในใจ

         หน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้เดินทางมาเร็วกว่าที่นลินคิดไว้ หลาย ๆ ความคิดของผู้แต่งยังคงตรึงอยู่ในใจไม่หาย มือเรียวปิดหนังสือลงแล้วเอามาแนบไว้ที่อก ดวงตากลมฉายแววสดใสกว่าที่เคยมองผ่านกระจกออกไปนอกร้านที่ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่เธอกลับไม่รู้สึกว่าอยากลุกออกจากที่นี้เลย

        …เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันได้รู้ว่าอย่างน้อย ๆ ก็มีหนึ่งคนที่เหงาเหมือนกันกับฉัน

 

       “หมอก เธอเคยได้ยินชื่อนักเขียนที่มีนามปากกาว่า…บัวบานมั้ย” นลินถามหมอก รูมเมทของเธอทันทีที่กลับมาถึงหอพัก ท่าทางของเพื่อนดูตื่นเต้นจนหมอกแปลกใจ

        “ไม่นะ มีอะไรเหรอ” หมอกคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบเพื่อน “เธอก็ลองหาในเน็ตสิ”

         คำแนะนำของเพื่อนทำให้นลินคิดขึ้นได้ ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ อย่างนึกขำตัวเอง

         “เอ่อ…ทำไมฉันนึกไม่ออก”

         หญิงสาวลงมือค้นหาข้อมูลของนักเขียนเจ้าของนามปากกาบัวบานด้วยสีหน้าสดใส มือเรียวพิมพ์ชื่อนั้นลงในช่องค้นหาของเว็บไซต์ชื่อดังอย่างคล่องแคล่ว ดวงตากลมโตฉายแววจริงจังกว่าครั้งไหนๆ สิ่งที่นลินกำลังเป็นตอนนี้ทำให้หมอกอดดีใจเล็ก ๆ ไม่ได้ เพราะว่านานมากแล้วที่เธอไม่ได้สดใสอย่างนี้ หรือจริง ๆ ก็ตั้งแต่ที่ชลจากไป

          เวลาผ่านไปเนิ่นนานที่นลินจมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ สีหน้าท่าทางของเธอดูหงุดหงิดเล็กๆ หมอกจึงตั้งคำถาม

         “ไม่เจอเหรอ”

         น้ำเสียงหวานเจือความห่วงเล็ก ๆ เอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ

         “เจอ แต่ว่า…” หญิงสาวทิ้งช่วงไปพลางหันมามองหน้าเพื่อน นิ้วเรียวชี้มาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

         “ไหน ๆ” สายตาของหมอกมองตามไป

         ภาพที่ปรากฏต่อหน้าทั้งสองคือบล็อกของนักเขียนผู้นั้นทว่ากลับไม่มีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับตัวเขามีเพียงรูปถ่ายแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผมสั้นสีดำสนิท และสวมเสื้อสีขาวที่มีตัวอักษรสีดำสกรีนว่าเหงาอยู่ด้านหลัง

         หญิงสาวยกมือเท้าคางพลางยิ้มอ่อนโยน ในใจพลันนึกถึงถอยคำต่าง ๆ ของชายผู้นี้ เธอยังคงไล่ดูรูปของเขาต่อไปซึ่งก็ได้พบว่าเขาถ่ายเฉพาะด้านหลังของตนเท่านั้น

         “เขาหน้าตาไม่ดีแหง ๆ” รูมเมทสรุปสั้น ๆ ก่อนจะหัวเราะและเดินเข้าห้องน้ำไป

 

         ‘คอร์ดจีจับแบบนี้ครับ’ มือหนาจับนิ้วเรียวของเด็กสาววางลงบนสายกีตาร์ทีละสาย สัมผัสนุ่มและสายตาอบอุ่นของเขาทำให้ใจของเธอเต้นระรัว

          ‘แล้วทีนี้ก็ดีดลง’  นลินทำตามอย่างที่ชลบอกแต่เสียงที่ดังออกมากลับฟังดูแปลก ๆ

          เด็กหนุ่มอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

          ‘ไม่เอาแล้ว ลินไม่เล่นแล้ว’ เด็กสาวหันไปค้อนวงโตพลางยกกีตาร์วางลงบนตัวเขา

          เมื่อเห็นท่าทีงอนนั้นของเธอ ชลจึงยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้า ‘อย่างอนนะครับ’

          ‘ไม่คุยด้วย’ ดวงหน้าใสหันหนีก่อนจะลอบอมยิ้มกับท่าทางน่ารักของเขา

          เด็กหนุ่มยิ้มบางพลางจับกีตาร์ขึ้นมา ใช้นิ้วยาวเรียวไล่ไปตามสายอย่างคล่องแคล่ว เสียงทุ้มนุ่มกังวานขับขานเพลงโปรดของเธอ นลินอมยิ้มพลันหันมาและตั้งใจฟังมันเหมือนทุกครั้ง ในใจนึกขอบคุณคนบนฟ้าที่ทำให้เธอเป็นผู้หญิงโชคดีที่สุด ขณะที่กำลังอยู่ในห้วงความสุขนั้นอยู่ ๆ เสียงกีตาร์หยุดชะงักลงสร้างความแปลกใจให้เด็กสาว แต่ก่อนจะได้ถามอะไรชลก็โน้มใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้และประทับริมฝีปากที่แก้มนวลของเธอ

         ‘รักลินนะครับ’

          สายลมของฤดูฝนพัดต้องผิวกายหญิงสาวที่ยืนเหม่อมองออกไปนอกระเบียงห้องยามค่ำคืน ภาพวันเก่า ๆ ย้อนกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง มือเรียวบางค่อย ๆ ยกขึ้นจับที่พวงแก้มข้างขวาราวกับยังคงชุ่มช่ำอยู่กับความหอมหวานในครั้งก่อน 

         หมอกยืนมองอยู่ห่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ความเจ็บปวดที่เพื่อนเผชิญหน้าตลอดเวลาหนึ่งปี แม้นลินจะไม่เคยปริปากเล่าแต่เธอก็สามารถรับรู้และเข้าใจมาเสมอ

          …ความรักนี่หน้าตาเป็นยังไงนะทำไมคนเราถึงโหยหายามที่ไม่มีมันและเสียใจที่มันจากไป

          ลมบาง ๆ พัดมาอีกครั้งพร้อมกับพาคำถามมากมายที่ตอบไม่ได้ผุดขึ้นในใจของหมอก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นเพื่อนเสียใจหรืออะไรที่ทำให้เธอยังคงกลัวการมีความรักอยู่เสมอจนทุกวันนี้และคงยากที่จะทำให้เธอคิดอยากมีใคร

 

                ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใกล้กับมหาวิทยาลัยในวันอาทิตย์แบบนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายพากันออกมาเดินเล่นเพลินๆ ทั้งแบบครอบครัวและแบบคนรัก แต่สำหรับนลินกลับเป็นเพียงหนึ่งในผู้คนส่วนน้อยที่ออกมาเดินเล่นเพียงลำพัง หญิงสาวเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย สายตาคู่สวยมองซ้ายขวาอย่างไม่ใส่ใจกับของสวยๆ งามๆ มากนัก เวลาเนิ่นนานผ่านไปก่อนเธอจะเดินขึ้นสามและผ่านร้านหนังสือที่ไม่ได้แวะเวียนเข้าไปนาน นลินหยุดฝีเท้าลงอย่างลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลายวันที่ผ่านมาเธอได้รู้จักกับนักเขียนหนุ่มผู้ลึกลับเจ้าของนามปากกาบัวบาน

                หญิงสาวเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือซึ่งติดป้ายเรื่องสั้นและวรรณกรรมทั่วไปเอาไว้ หนังสือเล่มหนาบางที่เรียงรายกันอยู่หลายต่อหลายเล่มอาจจะดึงดูดใจเธอได้หากเป็นเมื่อก่อน แต่เวลานี้คนที่ไม่มีความฝันอย่างเธอคงจะไม่จำเป็น  เมื่อในใจนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ภาพชายหนุ่มเจ้าของแววตาอบอุ่นคนนั้นก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาช้าๆ หญิงสาวสะบัดหน้าพลันถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะสูดอากาศเข้าปอดราวกับว่ากำลังต่อสู้กับตัวเอง ดวงตากลมโตฉายแววเด็ดเดี่ยวขึ้นมาพลางมองที่หนังสือตรงหน้าแล้วใช้นิ้วเรียวไล่ไปที่สันหนังสือซึ่งถูกวางไว้ที่ชั้นบนสุดพร้อมกับตั้งใจอ่านที่ชื่อผู้แต่งเป็นพิเศษ

                “บัวบาน บัวบาน ไม่มี…” นลินพึมพรำกับตัวเองเบา ๆ โดยที่ไม่ละสายตาจากชื่อผู้แต่ง นิ้วเรียวยังคงไล่ตามสันหนังสือไม่หยุดจนกระทั่งมันบังเอิญชนเข้ากับมือหนาของใครบางคน

                “ขอโทษค่ะ”

                “ขอโทษครับ”

                เสียงของทั้งสองดังประสานกันพร้อมกับที่ชายหนุ่มชักมือออกจากการสัมผัสมือเรียว นลินเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงข้าง ๆ ในจังหวะเดียวกับที่เขาก้มหน้ามองเธอ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสบกับดวงตากลมโตพอดี

                ทันทีที่รู้ว่าเป็นชล หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนกับว่าเสียงเพลงเบา ๆ ที่เปิดคลอในร้านเงียบหายไป โลกหยุดหมุนไปชั่วครู่ ในขณะที่คนตรงหน้าค่อย ๆ เผยยิ้มออกมาเมื่อตั้งสติได้

               “ลิน” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยชื่อเธอแผ่วเบา

               “เป็นไงบ้าง” เธอถามพลางฝืนยิ้มทั้ง ๆ ที่ในใจของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับสายฝนโหมกระหน่ำใส่ร่าง

               “สบายดี แล้วลินล่ะ เป็นไงบ้าง…ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

                นลินก้มหน้าเพื่อจะซ่อนแววตาเจ็บปวดพลันแสร้งมองหาหนังสือทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่นัก

                “เราก็…เรื่อย ๆ”

                “แล้ววันนี้มากับใคร หมอกเหรอ” ชลทำท่ามองหาหมอกที่จู่ๆ ก็ถูกพูดถึง

                “เปล่าหรอก เรามาคนเดียวน่ะ”

                ดวงตาคู่สวยจ้องมองท่าทีของเขาอย่างเจ็บปวด เมื่อก่อนเขามักจะห่วงเธอเรื่องการไปไหนมาไหนคนเดียวอย่างที่เธอชอบเสมอ จนวันนี้ท่าทีที่เขามียิ่งทำให้เธอทรมานใจ

                “ชล...ไปกันหรือยังคะ” เสียงหวานใสของใครบางคนดังขึ้นด้านหลังของชายหนุ่ม

                ชลหันหลังไปตามเสียงเรียกพร้อมกับนลินที่เอียงคอเพื่อมองหน้าใครคนนั้น หญิงสาวร่างเพียวสวยปรากฏต่อหน้า เธอดูสูงกว่านลินเล็กน้อย ใบหน้าหวานคมถูกแต่งแต้มเครื่องสำอางกำลังดี จมูกโด่งได้รูป แววตาเป็นมิตรจ้องมองมาที่เธอก่อนจะยิ้ม

                “นี่นลิน เพื่อนผมครับ…ลินนี่ น้ำฟ้าแฟนเราเอง”

                คำว่าเพื่อนที่ได้ยินสะกิดแผลเก่าที่ยังไม่หายดีของหญิงสาวขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้เธอจะไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่แต่เมื่อมองดวงหน้าหวานคมของคนรักคนใหม่ของเขาแล้ว เธอก็อดดีใจด้วยไม่ได้

                “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” น้ำฟ้ากล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจซึ่งนลินเองก็ยิ้มตอบบาง ๆ “ไปกันเถอะชล”

                “ไปก่อนนะลิน”

                ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มที่มองมาที่เธอปรากฏรอยเศร้าจาง ๆ ก่อนจะกลับมาสดชื่นอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นเวลาเสี้ยววินาทีแต่นลินก็สังเกตเห็นมัน

                คู่รักเดินจากไปนานแล้ว แต่เขาและเธอคงไม่รู้เลยว่าได้สร้างความเจ็บปวดมากมายไว้ในใจของคนที่ยังยืนอยู่ตรงนี้…หญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมตั้งแต่วันเขาจากไป รอยยิ้มเศร้าเปื้อนหน้าเธออีกครั้งก่อนสองขาจะพาเดินออกจากร้านไปโดยไม่ได้นึกถึงหนังสือของนักเขียนที่ตามหาแม้แต่น้อย

 

                “ลิน…ปิดเทอมนี้ไปเที่ยวบ้านย่าฉันด้วยกันนะ” รูมเมทอย่างหมอกเอ่ยชวนหญิงสาวด้วยท่าทีตื่นเต้นพลางเขย่าแขนเพื่อนเชิงออดอ้อน

                นลินตาโต “เชียงใหม่เนี่ยนะ”

                “ไปเถอะ ช่วงนี้เห็นเธอไม่ค่อยดีเลย” น้ำเสียงเป็นห่วงของเพื่อนทำให้หญิงสาวยิ้มออกมาพลางพยักหน้าเบาๆ

                “ดีมาก” สายหมอกทำท่าจะลุกออกจากเตียงของนลินแล้วแต่กลับบางอย่างนึกขึ้นได้ “เอ่อ…แล้ววันนี้ไปเป็นไง ไปไหนมาบ้าง”

                คำถามของเพื่อนกระตุกหัวใจร่างบางเล็กน้อย หญิงสาวยิ้มเหยียดยิ้มจางๆ

                “ไม่ห้างมานะ แต่ไม่ได้อะไรหรอก”

                ถึงแม้คำตอบของเพื่อนจะดูไม่มีอะไรจริง ๆ แต่สำหรับหมอกแล้ว คำพูดของนลินเป็นเพียงการพูดเพื่อให้เพื่อนอย่างเธอสบายใจก็เท่านั้น

                หญิงสาวเดินออกไปที่ระเบียง ดวงหน้าใสเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่ตอนนี้ถูกความมืดมิดยามราตรีเข้าปกคลุม จะมีเพียงแสงดาวที่ยังคงระยิบระยับให้เห็น ไม่นานนักภายใต้ห้วงคำนึงปรากฏใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่อบอุ่นและอ่อนโยน นลินหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นในที่ยังคงกรุ่นอยู่ในภาพฝัน ก่อนภาพคู่รักที่เธอเห็นเมื่อเย็นจะก่อตัวขึ้นแทนที่

                เธอใช่ไหม…ที่เดินเข้ามาและทำให้ใจฉันไหว

                ดังยอดกิ่งไม้ที่โดนแค่ลมก็ไหว ดั่งลมเมื่อต้องใบไม้ก็ลอยไปไกล

                เธอใช่ไหม…เธอเดินเข้ามาแค่เพียงชั่วคราวใช่ไหม

                ดั่งลมที่พัดแค่เพียงผ่านไปใช่ไหม เธอทำคนหนึ่งฝันและเดินจากไปแค่นั้น

                                                                         (เพลงใบไม้ ศิลปิน 25 hours)

 

 

                ชลเดินออกจากบ้านแฟนสาวอย่างน้ำฟ้าหลังจากที่ได้ร่วมทานอาหารเย็นกับพ่อและแม่ของเธอเรียบร้อย ทั้งสองบอกลากันนิดหน่อยก่อนชายหนุ่มจะเดินขึ้นรถไป รถยนต์สีขาวออกตัวโดยมีหญิงสาวโบกมือลาอยู่หน้าบ้าน

                ไม่นานที่รถวิ่งพ้นรั้วบ้านของคนรัก ในห้วงความคิดที่ลึกที่สุดของชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มหวานของหญิงสาวอีกคนที่เขาไม่ควรคิดถึง…รอยยิ้มที่ทำให้เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น

มือหนาหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายกะทันหันทั้งๆ ที่เกือบจะถึงบ้านในอีกไม่กี่นาที พลันมุ่งหน้าสู่สถานที่ที่เคยมีความทรงจำร่วมกัน รถจอดเทียบริมบึงขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในสวนสาธารณะใจกลางเมือง เวลาแบบนี้คงไม่มีใครที่จะเข้ามาที่นี้นอกจากเขา

                ชลถือกระเป๋ากีตาร์สีดำออกจากรถก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวที่ในอดีตเคยเป็นที่ของเธอ แต่ก่อนจะได้หยิบกีตาร์ออกมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นดึงเขาออกจากภวังค์

                “ครับฟ้า” เขากรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ไป

                (ถึงบ้านหรือยังคะ)

                ชายหนุ่มยิ้มกับน้ำเสียงเป็นห่วงของคนรัก “ถึงแล้วครับผม”

                น้ำฟ้าเป็นนักศึกษาเอกดนตรีเช่นเดียวกับเขา เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวย ฉลาดและมีพรสวรรค์ น้ำฟ้ารักในเสียงดนตรีเช่นเดียวกับเขาดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้คนสองคนรู้สึกดีต่อกันได้ง่าย ๆ

                หกเดือนก่อนวงดนตรีของเขาขาดมือคีย์บอร์ดไปเนื่องจากสมาชิกที่รับตำแหน่งนี้ได้ทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ในขณะที่ชลกำลังมองหาสมาชิกคนใหม่เขาก็ได้รู้จักกับเธอผ่านการแนะนำของเพื่อนในวง ทันทีที่ปลายนิ้วกดลงบนคีย์บอร์ดบรรเลงเพลงหวานหูไพเราะและมีเสน่ห์ เขาก็ไม่รอช้ารีบคว้าตัวเข้ามาร่วมวงก่อนที่จะมีใครตัดหน้า

                ด้วยความที่ความฝันช่างคล้ายคลึงกัน ไม่นานทั้งคู่ก็ตกลงคบกันในฐานะคนรักอย่างเปิดเผยซึ่งทุกคนในวงและแฟนคลับกลุ่มเล็ก ๆ ของพวกเขาก็ยินดี

                (โอเคค่ะ งั้นฟ้าขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ)

                “ครับ”

                นิ้วยาวกดปุ่มวางสายก่อนจะผละจากหน้าจอโทรศัพท์หยิบกีตาร์ตัวโปรดขึ้นมาพลันใช้นิ้วเรียวดีดไปตามสายก่อเกิดบทเพลงทำนองหวานปนเศร้าดังกังวานทั่วสวนสวย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนที่บัดนี้ปรากฏใบหน้าอ่อนหวานกับรอยยิ้มสดใสของเธอผู้เคยเป็นเจ้าของหัวใจ

                 …นลิน…เรายังคิดถึงเธอ…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา