ปั้นฝันปันรัก

10.0

เขียนโดย locket

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 16.06 น.

  2 ตอน
  9 วิจารณ์
  3,913 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 19.06 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เหตุเกิดเพราะหนังสือ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

1

เหตุเกิดเพราะหนังสือ

 

 

                  ในยามบ่ายของวันศุกร์กลางเดือนธันวาคมซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงลมหนาวใกล้เทศกาล

ปีใหม่สำหรับจังหวัดที่มีที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย   ร่างบางของนักศึกษาปริญญาตรี

ปี 4เดินเข้ามาในตัวอาคารอันเป็นแหล่งเพิ่มพูนความรู้และขุมปัญญาของนักศึกษาน้อยใหญ่ที่บ้าง

ก็ต่างก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือกองโตบ้างก็กำลังเดินหาหนังสือกันขวักไขว่ หญิงสาวร่างเล็กยืน

ขมวดคิ้วมุ่นอยู่หน้าชั้นหนังสือ “หมวดบริหารธุรกิจ”  เพราะวันนี้เพื่อนรูมเมตของเธอที่เรียนอยู่

คณะบริหารซึ่งเป็นคนละคณะกับที่เธอเรียนนั้นป่วยเป็นไข้หวัด แต่เพื่อนสุดที่รักของเธอต้อง

ทำงานส่งซึ่งต้องใช้หนังสือประกอบการทำรายงานไม่ต่ำกว่าสามเล่ม นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอ

ต้องย้ายตัวเองลงจากเตียงนอนอันแสนอบอุ่นในวันที่ไม่มีเรียนมาอยู่หน้าชั้นหนังสือเพื่อหาหนังสือ

ไปให้เพื่อนรักที่นอนซมเพราะพิษไข้                

                       ดวงตากลมโตสอดส่ายไปตามสันหนังสือก่อนที่จะเอื้อมมือเล็กๆไปหยิบ

หนังสือสองสามเล่มที่อยู่เหนือศีรษะก่อนจะพบว่าเธอเอื้อมมันไปไม่ถึงเนื่องด้วยความสูงที่ยังไม่ถึง 160 เซนติเมตรดีทำให้เธอต้องเขย่งตัวแล้วเอื้อมมือไปยังหนังสือเหล่านั้นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่า

ดวงของหญิงสาววันนี้คงจะไม่ดีนักเพราะในระหว่างที่กำลังเอื้อมไปหยิบหนังสือนั้นเธอคว้าพลาดไปโดนหนังสือเล่มใหญ่ที่อยู่ข้างๆกันทำให้หนังสือเหล่านั้นตกลงมาใส่เธอ!

โครม!!

“ อู้ยยย เจ็บอ่ะเจ็บ”  เสียงเล็กๆที่ร้องโอดโอยกับเสียงโครมครามของหนังสือที่ร่วงหล่นทำให้ชาย

หนุ่มที่กำลังเลือกหนังสืออยู่อีกฟากของชั้นหนังสือต้องเดินออกมาดูที่มาของต้นเสียงและภาพที่

เห็นก็ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะกลัวว่าจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เพราะ

ภาพที่เห็นนั้นคือภาพของหนังสือเล่มใหญ่สองสามเล่มที่กองอยู่บนพื้นโดยมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่ง

เอามือกุมศีรษะของตนเองเอาไว้ด้วยใบหน้าเหยเกดูท่าทางคงจะเจ็บไม่น้อย และเหมือนหญิงสาว

จะรู้ตัวว่ากำลังมีคน 'ยืนมอง' อยู่ใบหน้าที่เหยเกเพราะความเจ็บค่อยๆเงยหน้าขึ้นส่งสายตาแค้น

เคืองไปให้ใครๆก็ตามที่มาบังอาจยืนมองเธอที่อยู่ในสภาพ “ตัวตลก” อย่างตอนนี้  สายตาที่มอง

จึงไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง  สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัดกับผิวขาวๆนั่นและกางเกงสแล็กสีดำ

 รูปร่างและท่าทางดูองอาจรวมเลยไปถึงหน้าตาที่น่ามองนั้นทำให้เธอต้องขมวดคิ้วและเอ่ยกับตัว

เองในใจเบาๆว่า ‘หน้าตาดี แต่นิสัยแย่’ ช่างเป็นการมองคนจากภายนอกแล้วด่วนสรุปเสียจริงๆ

                  ฝั่งชายหนุ่มที่เห็นหญิงสาวกำลังทำหน้าตาประหลาดๆใส่เขาก็เริ่มรู้สึกตัวว่าบางที

ตนเองอาจจะเป็นเป้าให้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าแอบนินทาอยู่ในใจก็เป็นได้ เขาคงต้องทำตัวเป็น

สุภาพบุรุษหน่อยแล้วล่ะ ก็ดูหน้าตาของเธอสิ อย่างกับเขาเป็นต้นเหตุทำให้หนังสือเหล่านั้นหล่น

ลงมาใส่เธอยังไงยังงั้น

 

                “ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” เจ้าของเสียง ‘หน้าตาดี แต่นิสัยแย่’  เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำ

เสียงทุ้มที่ปรับให้เป็นปกติ(หลังจากแอบหัวเราะหญิงสาวเมื่อครู่) อย่างคนมีน้ำใจจะช่วยเหลือผู้อื่น

 

                 “ ไม่มี ” เนื่องด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีมาตั้งแต่โดนหนังสือเล่มหนาๆตกใส่ศีรษะทำให้น้ำ

เสียงที่ใช้ตอบคำถามนั้นฟังดูห้วนและไร้ซึ่งหางเสียงจนทำให้ชายหนุ่มที่หวังดีเดินเข้ามาช่วยต้อง

ขมวดคิ้วมุ่นกับน้ำเสียงและคำพูดดังกล่าว

                   ช่วยไม่ได้ นายคนนี้อยากมาเห็นเราในสภาพแบบนี้ทำไม แถมยังแอบหัวเราะเยาะ

เราอีก ไม่ตะโกนใส่หน้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว ชิ นั่นๆอะไรไม่เห็นต้องทำหน้าตาอย่างนั้นเลยนี่นา ไม่เคย

โดนผู้หญิงเมินใส่หรือยังไงกันนะ!

                   จะด้วยน้ำเสียงหรือสีหน้าของเธอก็ตามทำให้ขายาวๆของคนตรงหน้าก้มลงไป

เก็บหนังสือที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมาถือไว้แล้วนั่งลงใกล้ๆกับเธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่น่า

เจ็บใจเป็นที่สุดสำหรับเธอว่า

                   “ ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นอะไร ที่ผมเป็นห่วงคือหนังสือพวกนี้ต่างหาก มันแพงเกิน

กว่าที่จะเอามารยาทของคุณทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้มาชั่งรวมกันแล้วขายเสียอีก ”

                   หนอย อีตาผู้ชายคนนี้ เกิดมายังไม่เคยมีใครพูดกับเธออย่างนี้เลยนะ แล้วอีตาบ้า

นี่เป็นใครถึงได้มาพูดจาดูถูกกันอย่างนี้!

                ไวเท่าความคิดมือบางยกขึ้นตวัดไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มแต่ดูเหมือนเขาเองก็

ระมัดระวังตัวเองอยู่แล้วจึงใช้มือหนาของตนจับข้อมือบางเอาไว้ก่อนที่รอยนิ้วมือเหล่านั้นจะมา

ประทับอยู่บนใบหน้าของเขา

                “ ผมไม่ชอบใช้กำลังกับผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ เว้นเสียแต่ว่าผมจะเป็นฝ่ายถูกทำร้าย

ก่อน” น้ำเสียงเข้มๆและดวงตาคมสงบนิ่งบ่งบอกอารมณ์ของคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี เขากำลัง

โกรธ โกรธที่ความหวังดีของตนนั้นถูกตอบแทนด้วยท่าทางและคำพูดที่ไร้มารยาทของคนตรงหน้า

และดูเหมือนว่าท่าทีแบบนี้ของเขาจะทำให้ยัยตัวเล็กตรงหน้าเริ่มกลัวเขาขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นได้

จากการที่แม่คุณทำตาโตๆมองเขาอย่างกล้าๆกลัวๆเมื่อเขายังไม่มีวี่แววว่าจะลดใบหน้าดุดันลง

แม้แต่น้อย     ใบหน้าหวานจึงได้แต่ก้มหน้างุดแล้วเอ่ยออกมาเสียงเบาๆหวังว่าเขาคงปล่อยข้อมือ

ของเธอเสียที

                “ ขะ...ขอโทษ ” แต่ดูเหมือนว่าคำขอโทษนั้นจะยังคงไม่เป็นที่น่าพอใจเมื่อมือหนา

ไม่ยอมปล่อยข้อมือบางสักทีทำให้ใบหน้าหวานที่เอาแต่ก้มหน้างุดต้องเงยหน้าขึ้นมามองอย่าง

สงสัย               

                  อีตาบ้านี่ ยังไงของเขานะ

                “ ค่ะ ” มันไม่ใช่ประโยคตอบรับ ดูท่าคนตรงหน้าคงอยากอบรมมารยาทให้เธอแน่ๆก็

รู้อยู่หรอกว่าคนตรงหน้าอาจจะอายุมากกว่าเธอแล้วยังไงล่ะ ก็เธอไม่มีอารมณ์มาพูดเพราะๆกับเขา

นี่ แล้วดูสายตาของเขาที่มองมานะ น่ากลัวซะไม่มี

                “ ขอโทษ...ค่ะ ” 

                ‘เธอกล่าวขอโทษเขาอีกครั้งด้วยคำพูดที่สุภาพมากขึ้น(และเน้นคำว่า ' ค่ะ ' ดัง

มาก)  แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงต้องบอกว่ามันประชดกันชัดๆ ยัยผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าคงคิดว่า

เขาผิดที่มายืนมองเธอในสภาพน่าอายแบบนั้นจริงๆด้วยสินะ ให้ตายเถอะ...เขาไปทำเวรกรรม

อะไรไว้เนี่ย’

              “ เฮ้อ”  เสียงถอนหายใจของเขาดังขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นยืนแล้วฉุดเอาร่างบาง

ติดมือขึ้นมาด้วยรอจนหญิงสาวตรงหน้าอยู่ในสภาพเรียบร้อยจึงปล่อยข้อมือเธอออกอย่างสุภาพ 

ฝ่ายหญิงสาวเมื่อได้มายืนขึ้นตามแรงฉุดของคนตัวโตทำให้สามัญสำนึกกลับมาครบถ้วน ใบหน้า

หวานปรากฏอาการลังเลว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี พร้อมๆกับที่มือหนาตรงหน้ายื่นหนังสือที่เขาเก็บ

ขึ้นไว้แล้วส่งให้เธอ

             “ ขอบคุณ...ค่ะ” คราวนี้คนที่เริ่มรู้ตัวว่าควรมีมารยาทเอ่ยขอบคุณเขาเสียงอุบอิบทำให้

คนได้รับคำขอบคุณแกล้งเบิกตาโตๆส่งผลให้หญิงสาวต้องแอบค้อนเข้าให้ทีหนึ่ง

 

              “ ไม่เป็นไรครับ ”  เขาตอบรับคำขอบคุณสั้นๆที่แอบเน้นเสียงคำว่า ‘ครับ’ก่อนจะเดิน

เลี่ยงออกไปจากบริเวณที่หญิงสาวยืนอยู่ปล่อยให้เธอค้อนลมค้อนอากาศอยู่คนเดียว

             เมื่อเห็นคนตัวโตเดินออกไปแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างยอมรับใน

ความซวยของตัวเองที่อยู่ดีๆก็ทำหนังสือหล่นใส่แล้วยังไปพาลโวยวายเอากับคนที่เขาอุตส่าห์มีแก่

ใจจะเข้ามาช่วยอีก ให้มันได้อย่างนี้สิ หวังว่าเธอคงจะไม่เจอเขาอีกนะ แค่นี้ก็เริ่มรู้สึกอายจะแย่

             ก๊อก ก๊อก ก๊อก แกรก  เสียงเคาะประตูติดๆกันสามครั้งก่อนที่ประตูจะเปิดออกส่งผลให้

ร่างที่นอนอยู่บนเตียงต้องหันหน้ามามองทางต้นเสียง

                “ เพลงขลุ่ย ฉันกลับมาแล้ว นี่ฉันแวะซื้อโจ๊กร้อนๆร้านที่แกชอบมาด้วยนะ” เสียง

ใสๆของคนตัวเล็กดังขึ้นทำให้ใบหน้าของเพื่อนร่วมห้องที่ซีดเซียวเพราะพิษไข้มีรอยยิ้มแต่งแต้ม

ขึ้นมาพลางมองท่าทีกุลีกุจอของเพื่อนตัวเล็กที่วิ่งไปเทโจ๊กใส่ชามมาให้เธออย่างเอ็นดู  

                  ' นางสาวมัชฌาวีร์   สราธิชานันท์ หรือที่เพื่อนๆเรียกกันว่า ฌาส์ม' หญิงสาวอายุ

21 ปี  ผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา  ผิวขาวละเอียดเพราะเป็นคนถิ่นเหนือโดยแท้ แตกต่างจากเธอ

ที่เป็นคนพื้นเพภาคกลางแต่มาสอบติดที่มหาวิทยาลัยทางภาคเหนือแห่งนี้ ในวันแรกที่พบกันตอน

อยู่ปีหนึ่งนั้น ฌาส์มทำให้เธอประทับใจในความมีน้ำใจของเจ้าตัวจนมาลงเอยกันด้วยการเป็นรูม

เมทร่วมห้องพ่วงด้วยตำแหน่งเพื่อนรักอย่างในตอนนี้  กลิ่นโจ๊กหอมๆลอยเข้ามาเตะจมูกเธอจน

ทำให้เกิดอาการหิวขึ้นมาเมื่อคนตัวเล็กถือชามโจ๊กมาตั้งไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง

                “ แล้วของแกล่ะ” เพลงขลุ่ยถามขึ้นหลังจากที่เห็นว่ามีชามโจ๊กของเธอเพียงแค่ชาม

เดียวส่วนคนซื้อโจ๊กก็กำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย...ช่างไม่เห็นใจคนป่วยซะบ้างเลย

                “ ฉันก็กินมาจากข้างนอกแล้วน่ะสิ ฉันไม่ใช่คนป่วยนะที่จะมานั่งกินโจ๊กแบบแกน่ะ

”  พูดจบก็ลอยหน้าลอยตากินขนมต่อ  “ เออนี่ วันนี้ฉันเจออีตาบ้าคนหนึ่งนิสัยแย่มากๆเลยล่ะ ”

ปากจิ้มลิ้มชวนคนป่วยคุยเสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งเมื่อนึกถึงผู้ชายตัวโตที่ทำตาดุๆ

ใส่เธอ 'คนอะไรนิสัยไม่ดี'

                “ แกไปเจอใครมาล่ะ ดูทำหน้าตาเข้า แกจีบเขาไม่ติดละสิถึงได้โมโหเขาอย่างนั้น ”

เพลงขลุ่ยถามออกไปพลางหัวเราะคิกคักให้กับท่าทีของเพื่อนเพราะรู้ๆกันอยู่ว่านางสาวมัชฌาวีร์ ผู้

มีใบหน้าจิ้มลิ้มคนนี้ยังไม่เคยเปิดใจรับใครสักคน ทำให้บรรดาชายหนุ่มที่เข้ามาจีบจึงได้แค่ผ่านมา

แล้วก็ผ่านไป เธอก็คงได้แต่หวังว่าสักวันคงจะมีใครสักคนที่เข้ามาทำให้เพื่อนของเธอเปิดใจและมี

ความสุขกับสิ่งที่เรียกว่าความรักดีๆสักที    

                 “ บ้าเหรอ อีตาบ้านั่นเนี่ยนะ” แล้วเธอก็เล่าให้เพลงขลุ่ยฟังด้วยท่าทางฮึดฮัดก่อนจะจบลงด้วยประโยค “ เพลงขลุ่ย แกคิดดูนะ อะไรมันจะซวยได้ขนาดนั้น ” จึงทำให้คนฟังต้อง

หัวเราะร่วนอีกครั้ง

                “ ฌาส์ม แกเชื่อในพรหมลิขิตไหม ”  ประโยคนั้นของเพื่อนทำให้ใบหน้าหวานตาโต

ขึ้นมาก่อนจะเอามือมาอังที่หน้าผากของเพื่อนเบาๆอย่างหยอกล้อพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ

               “ พูดอะไรของแก ฉันว่าแกไข้ขึ้นแล้วนะ มานอนๆ ”  พูดจบก็ดึงเพื่อนรักที่ทานยา

เสร็จเรียบร้อยแล้วลงมานอนก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่เตียงของตนเองปล่อยให้เพื่อนอย่างเธอได้แต่

ส่ายหัวน้อยๆอย่างจนใจกับท่าทางหลบเลี่ยงของเธอ พร้อมเสียงที่ลอยมาเข้าหูเบาๆว่า “ขออย่า

ได้เจอะได้เจอกันอีกเลย”

               

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา