10 Events เหตุลึกลับ

-

เขียนโดย Penandnote

วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18.24 น.

  2 chapter
  1 วิจารณ์
  4,051 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558 18.38 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) แอบถ่าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แอบถ่าย

                เสียงเพลงจากวิทยุในรถของพวกเขา  ปลายทางมุ่งหน้าหาที่พักผ่อนหย่tอนใจจากความเหนื่อยล้าที่พวกได้ไปเที่ยวเตร่ตามภาษาวัยรุ่น  กันต์ เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เป็นผู้ช่วยแผนกถ่ายภาพ  ผมตรงตามธรรมชาติ  ไม่มีการแต่งเติมทรงผมใดๆ  หน้าคมคาย  จมูกโด่ง ปากสีชมพู ผิวสีขาวชมพูแต่ก็ยังมีรอยถูกแดดเผาทำให้เรือนร่างกลายเป็นคนผิวสีแทน  เขากำลังประคองพวงมาลัย  และใส่เสื้อผ้าลายสก็อตสีแดงขาวฟ้าสลับกันไปมา  กางเกงยีนส์ขาสามส่วน รองเท้าผ้าใสสีเหลืองแสบตา  แว่นตาสีชาป้องกันแดด  เขาโยกตัวไปมาตามจังหวะเพลง  แจมที่นั่งข้างคนขับรถอย่างกันต์  เธอไว้ผมทรงบ๊อบ  หน้าตาจิ้มลิ้มแต่แฝงไปด้วยความลึกลับโดยที่เขาเป็นแอดมินของเด็กดูผีทางโลกโซเชียล  และประธานชมรมถ่ายภาพ  เขาชื่อนัท  แต่กับไม่ถูกกับแจมเพราะความไม่เข้าใจกัน  มีปัญหาเรื่องกิจกรรมทางโรงเรียนตลอด  เดินหน้าไม่พร้อมกัน

                “พวกเราไปพักที่ไหนกันครับ?”  ปลื้มถาม  ปลื้มเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปี แต่เรียนก่อนเกณฑ์ทำให้เขามาอยู่มัธยมสี่ด้วย

                “ตอนนี้หนูกำลังหาอยู่ค่ะ”  เดียร์เด็กสาวที่หน้าตาน่ารักและมีความสามารถที่หลายๆคนคาดไม่ถึง  ทั้งหน้าตาและความสามารถทำให้เขาเหมือนเป็นบุคคลที่โด่งดังในโลกโซเชียลและในโรงเรียน  เพราะเธอคือพิธีกรเด็กดูผี  ก่อนเดียร์จะทำตาลุกวาว  “เจอแล้วค่ะ  ดูตามพีจีเอสเลยนะคะ”

 

                เบื้องหน้าของทุกคนคือรีสอร์ทที่เดียร์เป็นคนเลือกไว้ เพราะมีราคาถูกแถมพอจ่ายกับทริปที่ทางโรงเรียนตอบแทนให้และสามารถซื้อของเยอะแยะได้ตามสบาย  ริมทางถนนเป็นไปด้วยป่าเขา  หมอกอากาศเย็นเริ่มลงหนา  พระอาทิตย์กำลังจะลับจากขอบฟ้าผ่านภูเขา  และมีศาลเจ้าแม่เพียงตาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับค่าย  ที่ทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรมเข้าค่าย

                กันต์เหมือนรู้สึกว่ามีหญิงสาวท่ามกลางสายหมอกอากาศเย็นยืนอยู่กลางถนนที่สายเส้นทางเบื้องหน้าของเขาและทุกคน  มองดูลางๆ  เป็นหญิงสาวผมยาว ใส่ชุดพื้นบ้านตามชาวพื้นเมือง  ผมยาวสีดำ  หน้าตาของเธอดูมองไม่ค่อยชัดเท่าไร  กันต์ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก  เธอคงจะหลีกเลี่ยงเมื่อเห็นรถเขาไปเอง  จนเมื่อเขาขับไปเรื่อยๆ   สองข้างทางคือเหว  ราวกับว่านี้คือถนนเส้นเดียวที่อยู่บนภูเขา  กันต์ขับรถไปเรื่อยๆก็ไม่เจอหญิงสาวที่กล่าวถึงอีก  เธอคงไปแล้ว...

                เมื่อมองรถที่กันต์กำลังขับไปจากบนฟ้า  กำลังมีหญิงสาวที่ถูกกล่าวถึง  กำลังไต่ขึ้นไปบนหลังคารถ!

 

                เสียงถ่ายภาพดัง  แช๊ะ  แช๊ะ  สายตาจ้องมองมาที่จอกล้องถ่ายรูป  ว่ามีสิ่งใดที่ยังไม่พอหรือไม่  แสง เอฟเฟกต์  หรือการวางแนวรูป  ชายหนุ่มผู้มีความฝันอยากจะเป็นช่างถ่ายภาพไว้ตั้งแต่เด็กๆ  ภาพสิ่งนั้นอาจมีบางสิ่งที่เร้นลับอยู่  ชายหนุ่มถ่ายภาพตอนช่วงพระอาทิตย์กำลังอัสดงใกล้ลับขอบฟ้า  มีภูเขาสุดลูกหูลูกตา  และมีหมอกบางส่วนที่กระจายในชั้นอากาศบนยอดภูเขา  ในท่าที่เขากำลังนั่งชันเข่าถ่ายภาพ

                เสียงเท้าเดินของอีกบุคคลมุ่งหน้าเดินมาทางเขาก่อนจะนั่งชันเข้าตาม  แล้วมองพระอาทิตย์อัสดง  หนวดเคราเยิ้มแต่หน้าตาของเขากลับใสดูแปลกจาหนวดเคราที่มีอยู่  บรรยากาศใกล้ค่ำเริ่มหนาวลงทุกที  การจัดทริปครั้งนี้อาจจะพอทำให้นักเรียนชมรมถ่ายภาพมีความสุขและได้รับค่าตอบแทน   ที่อุตส่าห์ช่วยงานโรงเรียนมาเกือบหนึ่งเทอมการศึกษาแบบไม่ได้หยุดพักกัน

                “ไอ้นัท พระอาทิตย์สวยเนอะว่าไหม?”  เขาทำสีเพ้อเหมือนกำลังมีความสุขที่บันทึกความทรงจำไว้ในรูปถ่ายรูปนี้  มันสามารถระลึกถึงความหลังโดยไม่ต้องเสียเวลา  แค่ถ่ายแล้วเก็บช่วงเวลานั้นเอาแล้วเปิดดูก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศนั้นนั้นได้อย่างถี่ถ้วน

                “อย่ามาเพ้อ  รีบออกจากตรงนี้ด่วนเลย  เดี๋ยวก็ตกเขาตายพอดี”  นัทตบไหล่ของกันต์เบาๆ  พร้อมพูดคำที่ไม่เป็นคำมงคลเสียเลย

                ทั้งสองคนนั่งคุยจนถึงใกล้สางค่ำ จนเพื่อนพ้องและรุ่นน้องในชมรมต่างเดินตามหากันแทบทั่ว  “พี่กันต์  พี่นัท  ใกล้ถึงเวลากิจกรรมถ่ายรูปที่ระทึกแล้วครับ”  น้องในกลุ่ม เขาอายุเพียงสิบห้าปี  แต่เขากลับมาเรียนในชั้นมัธยมสี่ได้เพราะเรียนก่อนเกณฑ์นั่นเอง

                “ขอบใจนะบอส” นัทกล่าวกลับ

 

                รีสอร์ทแห่งนี้ มีตำนานที่ว่าเคยทำสงครามขนาดเล็กเป็นก๊กเล็กๆ  และมีสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ว่าที่รีสอร์ทแห่งนี้มีสุสานหลุมฝังศพของบรรดาผู้เสียสละ  เจ้าของรีสอร์ทนี้ก็มีการทำพิธีศาลศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาทุกวันเสาร์  นี่คงเป็นความบังเอิญหรือไม่ว่า   พรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์

                ทั้งเดียร์และปลื้ม  เด็กชายหญิงที่มักชอบเรื่องลี้ลับเหมือนกัน  เมื่อได้เดินทางจากตัวเมืองมาชนบทเป็นจังหวัดที่ไกลมากในจังหวัดหนึ่งนะแต่ละอำเภอจึงให้เวลาในการเดินทางถึงหนึ่งชั่วโมงเศษ  ทั้งสองคนเพื่อนพ้องต่างถืออุปการณ์การถ่ายทำวิดีโอขึ้นมา  ในมือของปลื้มเตรียมถือกล้องในท่าเรียบร้อย  ส่วนเดียร์จะเป็นเหมือนพิธีกรสาธยายภาพของต่างๆนาๆ

                “พร้อมยัง... หนึ่ง... สอง... สาม...  เริ่ม!”  ปลื้มเป็นคนออกสัญญาณ

                “สวัสดีค่ะ  กลับมาอีกแล้วในช่วง เด็กดูผีค่ะ  วันนี้พวกเราชมรมถ่ายภาพจะพามาดู  ตำนานอันเลืองชื่อว่าที่นี่เคยเป็นสนามรบมาก่อนนะคะ”  เดียร์สาธยายพร้อมทั้งแนะนำและผายมือมายังสถานที่ทางด้านหลัง  ในสถานที่นี้มีทั้งเครื่องเซ่นที่ชาวบ้านระแวกใกล้เคียงต่างพามาสักการะเพราะความศรัทธา  ทั้งสองยืนอยู่ตรงทางเข้าของศาลที่เจ้าของรีสอร์ทจัดทำไว้เป็นที่สิงสถิตของเหล่าดวงวิญญาณของนักรบ  ประตูทางเข้าทำจากดินป่าช้าและมีเสือคาบดาบและยันต์แปดทิศติดไว้ตรงผนังศาลที่ทำจากดินป่าช้า ประกอบกับบรรยากาศในตอนนี้ดูมืดมน  ลมหนาวพัดมาปะทะร่างกายทั้งสองจนทำให้สถานที่นี้ดูขนลุกสุด ๆ ไปเลย

                “เดี๋ยวพวกเราเข้าไปกันนะคะ”  เดียร์พูดต่อ

                ทั้งสองวางมือจากการเป็นตากล้องและพิธีกร  เดียร์ออกจากบทบาทพิธีกรอย่างฉับไว  แต่ตอนนี้เธอกลับเกาะแกะต้นแขนของปลื้มที่ก็ถือไฟฉายสอดส่องเข้าไปตามทางเดิน  ที่มีการทับถมโครงกระดูกที่ทำพิธีตามศาสนามีอยู่มากมาย

                “น่ากลัว”  เดียร์กล่าว

                “ถ้ากลัวแล้วจะมาทำไมเนี่ย?  ถ่ายทำพรุ่งนี้ก็ได้”  ปลื้มกล่าวด้วยความรำคาญ

                สภาพตอนนี้ของสุสานเต็มไปด้วยความหดหู่และดูขลังจนทำให้คนที่จิตอ่อนถึงกับไม่กล้าอย่างกรายเข้ามา  ทั้งสองต้องเล่นบทบาทตากล้องและพิธีกรอีกครั้ง  “หนึ่ง  สอง สาม เริ่ม”  ปลื้มกล่าวคงจะรู้จังหวะมากขึ้น

                “ตอนนี้พวกเราเข้ามาในสถานที่นี้แล้วนะคะ  ดูจากสภาพก็ไม่อยากจะมาสักเท่าไหร่  มากันต่อค่ะ  ที่นี่เคยมีคนล้มตายเพราะโรคระบาดที่มาคร่าชีวิตคนนับร้อย  จนหมู่บ้านนี้ต้องร้างไป  บางคนก็หนีไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น  จนเมื่อมีชนพื้นเมืองที่หนีมาจากสงครามของจีนมาตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านนี้  ก็ต่างเจอเรื่องลี้ลับต่าง ๆ นา ๆ  จนชาวบ้านกลัว  เลยใช้วิธีการล้างหมู่บ้าน  ทุกคนจึงนำสิ่งอัปมงคลมาไว้ที่นี่  ทำให้ที่นี่จึงเป็นสถานที่เฮี้ยนของจังหวัดนี้  จนเมื่อมีบุคคลในประวัติศาสตร์ค้นพบ จึงมีพิธีกรรมตามศาสนาให้ดวงวิญญาณไปสู่ภพภูมิที่ดี  แต่บางส่วนก็ยังรักถิ่นฐานบ้านเกิดจึงไม่ยอมไปไหนจนถึงทุกวันนี้ค่ะ”    พอเดียร์พูดจบ  เธอรู้สึกถึงเหมือนมีบางสิ่งมารัดแน่นไว้ที่ข้อเท้าของเธอ  แต่เธอไม่ได้สนใจมาก

                “ที่นี่นะคะมีงูที่รวบรวมเหล่าวิญญาณไว้ในงูตัวเดียวด้วยนะคะ น่ากลัวมากค่ะ”  ปลื้มร้องตกใจอย่างสุดขีดจนทำให้เดียร์ตกใจตามไปด้วย  “อะไร  เป็นอะไร?!”

                “ที่ขาเธอ!”  ปลื้มพูดได้เพียงคำนี้คำเดียว  เดียร์จึงค่อยๆใช้ไฟฉายส่องที่พกติดตัวมาส่องไปที่ข้อเท้าของเธอ  ก็พบว่ามีเพียงความว่างเปล่า  แต่เมื่อถึงละสายตาจากข้อเท้าของเธอ  กลับกลายเป็นว่าปลื้มถูกรัดตัวจนแน่นจนหน้ากลายเป็นสีม่วงในมือของปลื้มก็ทำกล้องหลุดจากมือ  ทั้งที่กล้องทำงานอยู่

                “ช่วยด้วย...” 

                เดียร์วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงโดยไม่หันกลับมาช่วยปลื้มเลยด้วยซ้ำไป  ดินที่ปะปนไปด้วยเศษเนื้อที่สลายกลายเป็นดินถูกเหยียบย่ำ ฟุ้งกระจายเป็นฝุ่นละออง  ท่ามกลางความกดดันกลัวตาย  และเมื่อความกลัวครอบงำจึงทำให้เธอควบคุมสติสตางค์ไม่อยู่  ในบรรยากาศชวนขนลุกขนพอง   เดียร์พอจะมองเห็นทางอยู่แต่ ก็ไม่สามารถความกลัวให้อยู่ในการควบคุมได้

                สายตาของเดียร์มองเห็นร่างของผู้หญิงดูๆน่าจะเป็นรุ่นพี่  เดียร์หยุดวิ่งเพียงเดี๋ยวเดียว  เมื่อมองย้อนกลับไปจากจุดที่เธอวิ่งหนีมา แต่ก็ไกลเอาการอยู่เหมือนกัน  เสียงเพลงแว่วๆดังมาจากรุ่นพี่ของเธอ  แสงบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของรุ่นพี่คนนั้นสาดส่องให้เห็นใบหน้าที่ฉาบไปความกังวลร้อนใจ  เดียร์จึงตัดสินใจตะโกนเรียกรุ่นพี่ของเธอเอาๆ

                “พี่แจม พี่แจม”

                รุ่นพี่ของเดียร์หันตามความเรียกร้อง  แล้วทำสีหน้าคุ้นคิด และสงสัย

                “พี่แจม หนูกลัว  ที่นี่แรงจริงๆพี่  ไอ้ปลื้มมันถูกงูใหญ่กินไปแล้ว”  เดียร์บอกกล่าว  เพราะแจมคือประธานชมรมแผนกภาพเคลื่อนไหว  ที่ถูกส่งมาเหมือนกับถ่ายภาพแบบไม่เต็มใจแต่มันเป็นทริปฟรีที่ทางโรงเรียนจัดการไว้ให้ชมรมนี้ก็เต็มใจรับ  สองคนชมรมนี้มักจะไม่ค่อยถูกชะตาสักเท่าไหร่  จนครั้งนั้นเกิดการทะเลาะวิวาทกัน แจมจึงขอแยกชมรมกับชมรมถ่ายภาพ แต่ก็ถูกปฏิเสธ และไม่อนุมัติ

                “มันจะเป็นจริงที่ไหนกันเล่า  ก็ในเมื่อปลื้มมันอยู่กับพี่ตลอดเวลา” แจมแย้ง  ไม่ไกลจากตัวของแจม  ก็พบว่าปลื้มนั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ที่ม้าหินอ่อนใกล้ๆสุสาน  เดียร์เห็นกับตาจริงๆว่าปลื้มถูกงูขนาดใหญ่รัดแน่นจนหน้ากลายเป็นสีม่วงคล้ำ!  เผลอเพียงเดี๋ยวเดียวปลื้มก็เดินมาหาแล้ว

                “ไปกันยัง?”  ปลื้มถาม  ทุกคนจึงพยักหน้าพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย  เพราะว่าสุสานที่รีสอร์ทนี้แรงของจริง 

 

                เสียงเพลงคึกครื้นเล็ดออกมาจากห้องคาราโอเกะของรีสอร์ท   สมาชิกจากแผนกภาพเคลื่อนไหว  ยืนอยู่หน้าห้องคาราโอเกะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  แต่เหมือนปลื้มเริ่มมีอาการผิดปกติตั้งแต่พ้นเขตสุสาน  ทั้งสามคนมองไปรอบๆ ไม่มีแม้แต่เพียงพนักงานสักคน  มันเงียบจนผิดหูผิดตา  อาจจะเพราะเพิ่งผ่านเขตสุสานมาจึงอาจจะทำให้มีอาการหลอนๆอยู่บ้าง   เดียร์สังเกตไปที่ต้นคอที่มีผมระราย มีจุดช้ำสีออกม่วงๆ ที่สะท้อนกับไฟฟลูออเรสเซนท์  จึงทำให้เห็นได้ง่ายขึ้น 

                “แกไปโดนอะไรมา?”  เดียร์ทักและค่อยๆใช้มือลูบไปที่บริเวณที่บอบช้ำ  “เจ็บมากปะเนี่ย?” 

                “ไม่นะ”  เด็กหนุ่มตอบเพียงคำสั้นๆ

                “เดียร์  พี่ขอไปพักก่อนนะ  ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง”  แจมกล่าวออกไปเพราะเธออึดอัดเมื่ออยู่กับคู่อริ  แจมมักจะเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย จนสมาชิกทุกคนจะรู้ดีว่านัทและแจมเป็นยังไง  เดียร์พยักหน้าแล้วแจมก็ปลีกตัวกลับที่พักอย่างเรียบเฉย

 

                แจมเดินไปแล้วมองไปกับสภาพรีสอร์ทรอบตัว มันดูน่ากลัวพิลึกเมื่อเธอได้เดินอยู่เพียงลำพัง  ความระทึกสั่นทำให้ไม่หายที่จะถูกกดดันจากบรรยากาศรอบตัว  เธอเดินตามหินที่วางไว้เป็นทางเท้าเป็นระยะๆ  และมีเศษใบไม้แห้งที่ไม่ได้ถูกกวาดกองรวมกันอย่างเรียบร้อย   ระหว่างการเดินจึงมีเสียงใบไม้ที่ถูกเธอเหยียบไปด้วยท่ามกลางแสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์  เธอไม่เคยเจอรีสอร์ทที่ดูหน้ากลัวมากกว่าแห่งนี้เลย

                ตรงทางข้างหน้านี้ก็เป็นห้องพักของฝ่ายหญิงที่แจมและเดียร์ได้อยู่ด้วยกัน  แสงไฟฟลูออเรสเซนต์สาดแสงเผยให้ประตูห้องพักสีขาวสะอาดตาและเป็นตำแหน่งของหน้าต่างที่อยู่ถัดไปทางขวาจากประตู  พื้นกระเบื้องลายไม้สีน้ำตาลอมแดงก็มีรองเท้าก่อนเข้าห้องนอนด้วย  แจมเดินไปแล้วล้วงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่งของของเธอ แล้วไข จนได้ยินเสียงไกลูกบิดประตูดังแก๊ก แสดงว่าไขออกแล้ว  ก่อนจะผลักประตู้เข้าไปในห้องแล้วปิดประตูไว้เหมือนเดิมเพื่อต้องการความเป็นส่วนตัว

 

                ปลื้มมึนหัวจากการถูกรัดแน่นแทบจะหายใจไม่ออก เกือบสิ้นลมหายใจ  และเขาก็รู้สึกหิวกระหายน้ำเป็นอย่างมาก  ปลื้มเดินเท้าเปล่าอย่างสะเปะสะปะ  ด้วยอาการมึนหัว  แต่เขาก็ยังพอเดินไหว  ท่ามกลางบรรยากาศอันหนาวเหน็บและมืดมิด  รู้ตัวอีกทีจำความได้เขาก็รู้สึกว่าถูกรัดแน่น  สายตาพร่าเลือน  ภาพวินาทีสุดท้ายที่เขาจำได้คือ อาการตกใจของเดียร์  ชายหนุ่มสัมผัสไปที่กระเป๋ากางเกงก็พบว่า มือถือของเขาได้หายไป  เขาต้องรีบออกไปจากเขตสุสานนี้  เพราะว่าน่ากลัวสมคำล่ำลือจริงๆ

 

                เดียร์ บอส ปลื้มและกันต์ต่างกำลังลิ้มรสอาหารที่จัดจ้านเป็นอย่างมาก  ทั้งหมดดูการแสดงของนัทที่ถือไมโครโฟนและเผยเสียงการร้องเพลงออกไป  ทำให้บรรยากาศดูคึกครื้นมากขึ้น  ทุกคนในวงอาหารต่างมีความสุข  และก็ต้องมีอาการมึนเมาด้วยน้ำเมา  แต่ยังไม่ถึงขั้นหนัก  มีเพียงกันต์เท่านั้นที่ไม่ชอบดื่มสุรา  เพราะทางบ้านเขาสอนให้เขาเป็นอย่างนี้แต่เด็ก   อาหารบนโต๊ะอาหารใกล้หมดแล้ว เผลอกินไปจนไม่รู้ตัว   ทุกคนต่างหิวหนักโดยเฉพาะปลื้มที่ดูท่าทางเหมือนอดอาหารมาเป็นปี เดียร์สังเกตท่าทางการกินของปลื้มดูแปลกๆไป  เพราะเขาใช้มือแทนช้อน

                “มีใครหิวอะไรอีกไหม?”  กันต์ถาม

                “เอาผัดกะเพาเนื้อหมูจานหนึ่ง  แกงจืดอีกหนึ่ง  แล้วก็คั่วกลิ้งอีกหนึ่งจาน”  นัทที่กำลังร้องเพลงก็สั่งผ่านไมโครโฟน  พนักงานที่นั่งคอยอาหารเมนูก็รับคำสั่ง และจดรายการอาหารเอาไว้ก่อนจะผลักเปิดประตูออกไป

 

                ปลื้มเดินมาทางห้องครัวที่ใกล้กับห้องคาราโอเกะ  เขากะว่าจะไปขอน้ำแก้วหนึ่งเพื่อดับกระหาย  เขาทนไม่ไหวจริงๆ  แสงสว่างจากหลอดไฟของห้องครัวเล็ดลอดออกมาจากผนังลูกกรง  แต่ก็ยังมีประตูทางเข้าเล็กๆเอาไว้สำหรับการเดินไปเสิร์ฟอย่างสะดวก  ปลื้มตัดสินใจเดินไปห้องครัวอย่างไม่ลังเล 

                ปลื้มเดินเข้าไปภายในห้องครัว  ตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากแม่ครัวแก่ๆ ที่ใส่แว่นตาหนาเตอะกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ในระดับปิดหน้า  ในนั้นก็มีหมูตัวใหญ่ๆ  เลือกแดงฉานที่ถูกเฉือนด้วยมีดที่แหลมคม หัวของหมูมีรอยจามจากขวาน เมื่อปลื้มมองไปที่เก็บมีดก็กับขวานและมีดที่เปื้อนเลือดข้นมีหยดเลือดไหวติงหยดลงเบื้องล่าง

                “ยายครับ  ผมขอน้ำหน่อย” 

                แม่ครัวยกหนังสือพิมพ์ลงเพื่อหาว่าต้นเสียงมาจากไหน  แล้วก็เห็นปลื้มยืนพิงพนาดประตูอยู่ส่วนนอกของห้องครัว  รอยผิวหน้าตามเวลาเลิกคิ้ว  เสียงกริ่งดังเตือนว่ามีรายการอาหารสั่งเพิ่ม  ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหลังห้องครัว ไม่นานก็พบกับน้ำดื่มที่หยดอุทัยทิพย์ลงไปหนึ่งหยอดพร้อมกับใบรายการอาหารของเหล่าเพื่อนพ้องชมรมของปลื้ม  ปลื้มไม่สงสัยเลยว่าสายตาของแม่ครัวจะเป็นเช่นไร  รู้เพียงแต่ว่าเขากระหายน้ำมากที่สุดในเวลานี้

                “เข้ามาพักก่อนสิ”  แม่ครัวชักชวน  แล้วแม่ก็ยื่นแก้วน้ำให้

                เด็กหนุ่มดื่มน้ำจนหมดแก้วเพราะความชื่นใจจากอุทัยทิพย์เพียงหยดเดียวเท่านั้น  ก่อนจะตอบ “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”

                “อุทัยทิพย์บำรุงหัวใจ  ดื่มทุกวัน หวานหอมชื่นใจ จะเอาอีกไหมล่ะ?”  แม่ครัวถามอีกรอบ  สำหรับปลื้ม น้ำแก้วเดียวคงไม่พอ  เขาจึงขอเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว  แล้วก็เช่นเคย แม่ครัวหยดน้ำอุทัพทิพย์ลงไปอีกสองหยด ก่อนจะยื่นให้ปลื้ม  ปลื้มไหว้ตามมารยาทแล้วรับแก้วน้ำจากมือของแม่ครัวแก่เฒ่า คราวนี้เขากระดกเอื้อกใหญ่ก่อนจะคืนแก้วน้ำให้

                “ขอบคุณครับ”  แล้วปลื้มก็หันหลังกลับ  ไม่นานเท่านั้น แม่ครัวแก่ก็ใช้ขวานจามเข้าไปที่ศีรษะของปลื้มอย่างไม่ทันระวังตัว น้ำเหนียวข้นไหลทะลักออกจากบาดแผล ก่อนที่แม่ครัวแก่จะค่อยๆวางร่างของปลื้มที่ในขณะนั้นอ้าปากค้าง ตายังไม่ปิด เหมือนหุ้นตุ๊กตาที่เคยมีชีวิต แล้วลากร่างของปลื้มเข้าไปในครัวและถึงขั้นตอนในการชำแหละ  ซึ่งไม่ต่างอะไรจากซากของหมูที่นอนตายใกล้เคียง เลือดหมูและเลือดของปลื้มที่ไหลจากการชำแหละมาบรรจบกัน

                “เนื้อหมูหมด เอาเนื้อคนไปกินก่อนละกันนะ”  

                เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางเสียงร้องของนัท ทุกคนไม่ได้ยินแม้แต่เจ้าของโทรศัพท์  ถึงเวลาตื่นจากในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของกันต์  ทุกคนตอนนี้ดูจะมึนเมาไปเสียมากกว่า  จานอาหารเสิร์ฟมาจนเย็นชืดด้วยเครื่องปรับอากาศภายในห้องคาราโอเกะ  ถึงจะไม่ได้ยินเสียงริงโทนจากโทรศัพท์  แต่มันก็ยังสั่นให้เจ้าตัวรู้ตัว  กันต์พอรู้สึกตัว เขาก็รีบวิ่งออกจากห้องคาราโอเกะเพื่อให้คุยกันได้สะดวก   ตอนนี้เขาได้ออกมานอกห้องคาราโอเกะ ก่อนจะมองดูสายที่โทร. เข้ามา นั่นคือคุณครูที่ปรึกษาชมรมของเขาเอง

                “สวัสดีครับครู  มีอะไรรึเปล่าครับ?” 

                “อืม...  กันต์  พวกคุณพักอยู่รีสอร์ทไหน?”   พอกันต์ถูกโดนถาม  เขากลับจำชื่อรีสอร์ทที่มาพักไม่ได้หลังจากเที่ยวเตร่กันจนหนำใจ  แล้วเขาก็มองไปที่ป้ายหินแกะสลักเป็นชื่อรีสอร์ทที่พวกเขามาพักกัน

                “อ๋อ... เกรฟ แสนสุขครับ”  เขาตอบและสายตาก็เหม่อมองไปทางห้องครัวที่อยู่ไม่ไกลด้วย

                “พรุ่งนี้รีบออกจากรีสอร์ทนี้เลยนะ...” จู่เสียงปลายทางก็คาดการติดต่อไป  แล้วกันต์ก็กดวางสาย ก่อนจะดูคลื่นความถี่ของสัญญาณโทรศัพท์กลับบอกว่า “ไม่มีบริการ”

                ชายหนุ่มสบถด้วยคำหยาบไปอีกหนึ่งคำ  ก่อนจะได้ยินเสียงถ่ายรูปจากกล้องมืออาชีพที่อยู่ไม่ไกล   กันต์หันไปตามเสียง  ก็พบว่า แจมกำลังถ่ายรูปดอกไม้ บัดนี้ก็ดึกดื่นมากแล้ว  จึงมีแสงสปอร์ตไลท์สีขาวส่องแหงนหน้าขึ้นให้เห็นป้ายแกะฉลากชื่อรีสอร์ท แล้วตรงนั้นก็มีดอกไม้งามอยู่หลายชนิดเสียด้วย  ชายหนุ่มจึงเดินไปทักทายตามภาษาเพื่อนในชมรม 

                “มาทำอะไรตอนดึกๆแบบนี้ล่ะเนี่ย?”  กันต์ถามพร้อมเดินมาแล้วกอดอกเดินมาหา แล้วเหยียดยิ้มให้แจมที่กำลังถ่ายรูปดอกไม้ต่างๆนาๆชนิด

                “ไม่รู้จะทำอะไร? นอนก็แล้ว เล่นเกมก็แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเบื่ออยู่”  แจมกล่าวไปแล้วถ่ายรูปดอกไม้ต่างๆนาๆชนิดต่อ

                กันต์จึงเหยียดมุมปากอีกครั้ง ครั้งนี้เขาสังหรณ์อะไรแปลก  จู่ๆไฟในห้องคาราโอเกะก็ดับพรึบลงอย่างกะทันหัน  รวมถึงทุกที่ทุกส่วนที่กำลังจ่ายไฟให้แสงสว่างอยู่ด้วย  บรรยากาศอันเลวร้ายได้มาถึงแล้วในตอนนี้  เด็กหนุ่มเปิดไฟฉายผ่านทางโทรศัพท์หลังจากไฟหยุดมาไม่กี่วินาที  มันสว่างจ้าแต่ก็พอมองเห็น  แจมที่กำลังถ่ายรูปดอกไม้อยู่เพลินๆ  เธอก็ต้องหยุดชะงักหลังจากไม่มีแสงเงาจากหลอดไฟสปอร์ตไลท์  แจมจึงเดินจ้ำอ้าวเท้ามาหากันต์อย่างไม่ใจรอตกใจจนกลัว 

                “รีสอร์ทศูนย์ดาว  ไม่มีอะไรดีซักอย่าง”  แจมบ่นขึ้นมา  ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการ

                “ฉันว่าต้องมีใครไปลบหลู่ที่สุสานนั้นแน่นอน”  กันต์โพล่งออกมาจนเธอเผลอชัตเตอร์ภาพอย่างไม่รู้ตัว  แฟลชถูกเปิดทำงานอย่างอัตโนมัติ  แจมก้มมองกล้องมืออาชีพที่มีสายคล้องคอไว้ดูเคียงกายเด็กหนุ่ม  เธอร้องเสียงหลงขึ้นมาจนทำให้กันต์ต้องเหลียวตามามองตาม ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่แล้วมีขวานที่จามจนมิดด้ามค้างไว้ที่ศีรษะ  ท้องไส้เป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ ข้างในแทบไม่ได้มีอวัยวะใดหลงเหลือนอกจากเห็นกระดูกสันหลังเท่านั้น  เสียงแก้วแตกภายในห้องคาราโอเกะกระทบมาถึงหูของทั้งสอง  ก่อนที่กันต์จะรีบเปิดประตูโดยการผลักประตูเข้าไป

                ภายในมีเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่ ตามทั่วพื้นห้อง  ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของเดียร์ตามมาเพราะความเจ็บปวดจากเศษแก้วที่ปักเสียบมือของเธอ  กันต์ฉายไปฉายไปก็พบเพียงบอสกับเดียร์เท่านั้น...  นัทหายไปไหน?

                บอสที่นั่งสะลึมสะลืออยู่โต๊ะอาหารได้ถูกปลูกเรียกสติกลับมาโดยกันต์  ก่อนที่กันต์จะใช้มือออกแรงดันตัวบอสให้ลุกออกจากเก้าอี้  ส่วนเดียร์ก็ยังมีแจมที่ช่วยประคองเดียร์ที่นั่งสะเปะสะปะร้องไห้ใกล้กับกลุ่มแก้วที่ได้ปักมือของเธอจนเลือดสีแดงคล้ำไหลหยดไหวติงลงสู่พื้นกระเบื้องสีขาว  แสงไฟจากโทรศัพท์ของกันต์ทำให้บอสสามารถมองเห็นอะไรได้ชัดแจ่มแจ้งมากขึ้ใ

                สายตาที่พร่าเลือนของบอสทำให้มองเห็นสิ่งรอบตัวไม่ค่อยชัด  เหมือนเขาเห็นใครบางคนนอนแน่นิ่งอยู่ใกล้ๆตัวเขา แต่บอสก็ไม่ได้บอกกล่าวอะไรก่อนที่ กันต์จะช่วยประคองตัวของเขาและพาดคอพยุงร่างของเขาให้เดินต่อไปได้  ไฟฉายส่ายสอดส่องไปตามพื้นกระเบื้องและสิ่งของที่ขวางหน้า  เดียร์เริ่มได้สติกลับคืนมาก็เมื่อออกจากห้องคาราโอเกะ  ก่อนที่เธอจะล้วงใช้มือที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  แล้วกดไปที่กล้องเพื่อบันทึกเหตุการณ์เอาไว้  เดียร์ชูโทรศัพท์ที่อยู่ในมือสูงเหนือศีรษะของเธอไปหลายคืบ  และกดบันทึกวีดิโอ

                “นี่คือบรรยากาศของที่รีสอร์ทนี้นะคะ   ตอนนี้คนในชมรมหายไปถึงสองคน “  เดียร์กล่าวในขณะที่ทรงตัวอยู่ได้แล้ว  แจมเห็นอีกฝ่ายอัดวีดิโอ ก็ต้องคว้าแขนที่มือเจ็บอยู่อย่างกะทันหัน 

                “นี่มันใช่เวลาถ่ายไหมเดียร์?”  แจมตวาดใส่เดียร์  ด้วยความโมโหไม่รู้จักล่ำเวลา  แล้วดึงแขนเดียร์ตามไปที่ห้องพักของเธอ  เดียร์จนทำหน้าบึ้งตึงใส่ฝ่ายตรงข้ามแล้วถกดึงแขนตามไป  ส่วนกันต์และบอสก็ยังประคับประคองกันอยู่อย่างทุลักทุเล   ระหว่างทางเขาก็สลับกันไปมาว่าได้รับบาดเจ็บอะไรหรือเปล่า  แต่บอสก็ยังให้คำตอบเดิมว่า... ไม่

 

                สวิตซ์ไฟถูกเปิดด้วยมือของแจม  บัดนี้ห้องพักจากความมืดกลับเข้าสู้โหมดความสว่างอีกครั้ง  ห้องดูเรียบร้อยเหมือนเพิ่งย่างกรายเข้ามา  ทั้งๆที่มีเดียร์เองที่สามารถเป็นพยานรับรู้ได้ว่าแจมได้เข้าห้องไปแล้ว  กันต์ประคองบอสที่เหมือนจะเริ่มดีเพราะสติเขาได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม  เดียร์นั่งลงที่เตียงนอนอันแสนนุ่มพร้อมหลับตาพริ้มไหว  แจมรีบปิดประตูเหมือนจะเจออะไรบางสิ่งอยู่ภายนอกห้องพัก  จึงปิดประตูดังจนทุกคนต้องหันมาหา

                “อะไร?” กันต์ถามแล้วเลิกคิ้วหน้าฉงนสงสัย

                “เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก” 

                “ถ้าบีมมาด้วยคงแก้ปัญหาทุกอย่างได้ดีกว่านี้  มันรอบคอบอย่างกะพ่อผมมาด้วยเลยล่ะ”  บอสพูดถึงพี่น้องฝาแฝด แต่ที่บีมไม่ได้มาด้วยเพราะติดงานที่ค่ายรับน้องที่ทางโรงเรียนได้จัดไว้

                “เนื่องจากที่พี่เป็นรองประธานชมรม  พี่ขออกคำสั่งว่า...  พรุ่งนี้เราค่อยหาตัวนัทกับปลื้มกัน  พี่ว่าพวกเขาคงอยู่ไม่ไกล”  แจมออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด  ตามที่แจมบอกถึงกันต์จะเป็นเพียงผู้ช่วยประธานชมรม  แต่ก็ไม่สามารถที่จะขัดใจได้  มันสมเหตุสมผลพอที่จะบอกกล่าว  เพราะตอนนี้ก็มืดและอากาศหนาวเย็นเนื่องจากรีสอร์ทนี้ตั้งอยู่บนดอย  ถ้าหากันตอนนี้คงได้หากันเองแทนที่จะหาคนหาย  แต่คนหากลับหลงทางซะเอง

 

                อากาศหนาวเหน็บ  นาฬิกาที่ถอดจากการใช้งาน  เจ้าของได้งีบหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย  มันแสดงเวลาตอนนี้คือเที่ยงคืนกว่าแล้ว  แสงจันทร์ส่องกระทบทำให้ภายในห้องพักที่ทุกคนต่างนอนรวมห้องเดียวกัน  พอดีกับการนอนของทุกคน  ห้องพักนี้มีสองเตียงหนึ่งห้องน้ำ  แบ่งนอนได้หญิงชาย  เตียงเดียวสูงสุดนอนได้แค่สองคนเท่านั้น  ผ้าห่มที่หนาใหญ่ก็คลุมกันได้ถึงสองคนอย่างพอดิบพอดี ราวกับว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว  แสงจันทร์ทะลุเข้ามาสู่ภายในห้องตกเงาอยู่พื้นกระเบื้อง  ลมเอื่อยๆพัดมาทำให้ห้องนี้ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ 

                กันต์นอนพลิกตัวไปมา  เตียงที่เขานอนติดกับผนังห้องพักโดยมีบอสนอนชิดมุม  ส่วนตัวเขานอนกั้นบอสกันตกไว้  อีกเตียงก็ชิดกับอีกมุมห้องเช่นกันโดยมีเดียร์นอนกั้นแจมที่นอนอยู่ชิดกับผนัง  สายตาของกันต์ลืมเลิกลั่ก  พบความผิดปกติ  เหมือนว่าเขารู้สึกบางผิดปกติ  แต่ไม่รู้ว่ามันผิดที่สิ่งไหน   เสียงคนเดิน  เหมือนเดินมาทางห้องพักนี้ด้วย 

                กันต์นิ่งเงียบเพื่อฟังเสียงเพียงพักหนึ่ง  ก่อนจะพบเงาสะท้อนจากแสงจันทร์ส่องมาให้เห็นว่ามีคนมาซุ่มมองอยู่ทางหน้าต่าง  ก่อนจะได้ยินเสียงเท้าหนักเดินตามมาอีกหน  แล้วก็ปรากฏเป็นเงาอีกคนสะท้อนมายังผ้าม่าน  ตอนนี้มีเงาถึงสองคน  รู้สึกน่าจะเป็นผู้หญิงและผู้ชาย  แล้วเงานั้นก็เดินจากลับไป  กันต์ลุกจากเตียงนอน  ไปเปิดผ้าม่านอย่างช้าๆ  แผ่วเบาที่สุด  ก็พบว่า  ห้องถัดไปนั้นก็เห็นเหมือนแจมและนัท  เข้าห้องไปด้วยกัน 

                “สองคนนี้มันไม่ถูกกันนี่หว่า”  กันต์มองไปที่เตียงฝั่งผู้หญิงกลับเป็นว่า  แจมยังนอนหลับอยู่!

 

                เช้าวันรุ่งขึ้น  อากาศดูเย็นยะเยือกเสียงนกเจี๊ยวแจ๊วอยู่ภายนอกตัวห้องพัก  ทุกคนอยู่ในสภาพจากการเหนื่อยล้าไม่ยอมลุกตื่นจากเตียงนอนเพราะอากาศหนาวและน่างีบหลับที่สุด  เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาสองถึงสามครั้ง  เด็กหนุ่มบอสตื่นจากนิทรา  ลุกจากเตียงนอนและเดินโซซัดโซเซไปยังประตูห้อง  ในสภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่  ก่อนจะเปิดประตู ก็พบว่าแม่บ้านของรีสอร์ทนี้ถืออาหารเช้าไว้อยู่

                “ทุกคนอาหารเช้ามาแล้ว”  บอสเรียกทุกคนที่กำลังหลับใหล  แต่ดูทีท่าว่าไม่ตื่นเลยสักคน

                “อาหารนี้เป็นของหนูหมดเลยจ๊ะ  เดี๋ยวของคนอื่นป้าจะทำมาให้ทีหลัง”  แม่บ้านสาวแก่ตามเวลาใบหน้าเหี่ยวย่น  ดูเป็นคนอ่อนโยน

                “ขอบคุณครับ”  บอสกล่าวก่อนจะรับถาดอาหารจากมือของแม่บ้าน แกงที่อยู่ในถาดอหารดูน่ารับประทานเป็นอย่างมาก   แม่บ้านก็ปิดประตูให้  บอสจึงเอามาวางไว้ที่โต๊ะภายในห้อง  ก่อนจะเริ่มลงมือถูมือไปมา   มันดูเหมือนอาหารพื้นบ้าน  กลิ่มหอมโชยกระตุ้นต่อมรับรส  ท้องไส้พร้อมย่อยอาหารเหล่านี้  บอสหยิบช้อนขึ้นมาจะตักแกงสีแดงข้นที่มีเนื้อเปื่อยยุ่ย  บอสกำลังจะซดแกง  แต่ดูเหมือนกำลังโดนจับตามอง  ทางหน้าต่างปลื้มมองเขาอย่างสีหน้าหดหู่  เศร้าหมอง  บอสเริ่มรู้สึกตัวตอนกำลังตักแกงเข้าปาก  ก่อนจะให้ไปตามสัญชาตญาณ  ก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า  ผ้าม่านปลิวละล่องไร้เงาคน  แล้วบอสก็ตักน้ำแกงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย  บอสเริ่มทานอาหารอร่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

                “สวรรค์ชัดๆ”

 

                ครูที่ปรึกษาประจำชมรมภาพถ่ายเร่งเครื่องอย่างด่วน  สีหน้าครูที่ปรึกษาดูเคร่งเครียดอย่างหนัก  เข็มปัดหน้ารถเขาเหยียบปาไปที่ร้อยแปดสิบ  ทุกคนในชมรมต่างเรียกเขาว่าครูดิษ  ภาคหน้าเขามีแต่อันตรายมากมาย  เพียงครู่เดียวเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  เขาขอให้เป็นลูกศิษย์ที่โทรกลับมา  เขาติดต่อใครในชมรมไม่ได้สักคน นอกจากบีมที่ต้องมาช่วยเป็นผู้ติดตามมือกล้องของโรงเรียนแทนทุกคนในชมรม  ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในช่องด้านคนขับขึ้นมา

                “ฮัลโหล”   

                “ครูดิษกำลังมาที่นี่ค่ายใช่หรือเปล่าค่ะ?”  เสียงจากปลายทางถาม  ดูใสแต่เรียบด่วนมาก

                “เปล่าหรอกครับครูอ้อย  ผมกำลังไปรับนักเรียนในชมรมน่ะครับ”  เขาตอบด้วยเสียงเรียบเฉยสุภาพ

                “ค่ะ  รีบมานะคะ”  ครูอ้อยผู้ดูแลค่ายตอบเสียงอ่อนโยน   ดิษกดวางสายก่อนจะเก็บไว้ที่เดิม  คราวนี้รถของเขากลับไปเหยียบหินที่อยู่ทางถนน  ทำให้รถยกตัวขึ้นและก็ทำโทรศัพท์มือถือหล่นลงที่วางเท้าคนขับ  ดิษมองดูเส้นทาง  ตอนนี้ดูไม่ค่อยจะมีหมอกแล้ว  ทว่าทิวทัศน์โดยรอบก็พอที่จะมองเห็นได้ไม่ชัด   ดิษก้มๆเงยมองดูเส้นทางและเก็บโทรศัพท์มือถือขึ้นมาในขณะขับรถ   แล้วบุคคลอันไร้ความระมัดระวัง เป็นเด็กชายสวมใส่เสื้อสีเหลืองกางเกงสามส่วนสีเทา วิ่งลงมาจากเนินริมทาง  ชนเข้ากับรถยนต์ของดิษอย่างจัง  ครูหนุ่มก็เหยียบเบรกด้วยความตกใจในขณะก้มเก็บโทรศัพท์  ศีรษะของครูหนุ่มก็ชนกับพวงมาลัยรถจนเกิดเป็นบาดแผล  น้ำสีแดงข้นไหลออกจากปากแผลหยดใส่เสื้อจนเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว 

                ครูดิษพยายามประคองตัวเองออกมาจากรถ  เพื่อเดินไปดูเด็กชายที่วิ่งตัดหน้ารถเขา  หน้าครูหนุ่มมืดมัวไปเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง  เบื้องหน้าของเขาพบวาร่างเด็กชายวัยสิบห้าปีน่าจะเป็นเด็กจากค่ายโรงเรียนที่ครูหนุ่มทำงานอยู่  ตอนนี้เลือดไหลข้นไปตามพื้นถนนลาดยาง  เด็กชายหลับตาสลบไปแล้ว  เด็กคนนั้นนอนตะแคงข้างมีบาดแผลตามลำตัว  เนื้อกายบอบช้ำเหมือนหนีภัยจากในค่าย  ในค่าย? ครูหนุ่มคิด

 

                บอสนอนน้ำลายฟูมปาก  ทุกคนยังอยู่ในห้วงนิทรา  ไม่นานนักแม่บ้านคนเก่าก็ใช้กุญแจไขประเข้ามาภายในห้อง  สีหน้าแม่บ้านคนเดิมตอนนี้ดูปกติ  ไร้พิษภัย  แต่พอได้มองเห็นสภาพบอสที่นอนน้ำลายฟูปาก  สีหน้าแม่บ้านอันเป็นมิตรกลับดูน่ากลัว  น่ากลัวเหมือนคนเคียดแค้นใครมานาน  แม่บ้านเดินย่างกรายเข้ามาพร้อมกับเก็บอาหารที่บอสได้ทานไว้กลับไป  ก่อนออกจากห้อง  แม่บ้านก็ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

                เจ้าของรีสอร์ทเดินเข้ามาเหมือนมีท่าทีว่าจะถามกับพนักเหมือนปกติ  แน่น้ำเสียงที่แหบแห้งก็ไม่สามารถที่จะมองว่าเป็นพวกผีวิญญาณได้  เจ้าของรีสอร์ทร่างกายดูเปราะบาง  แต่เธอก็คงความอ่อนเยาว์ไว้

                “พวกนั่นเป็นอิหยังบ้างก็?”  (พวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?)  เสียงเจ้าของรีสอร์ทดูอ่อนหวานแต่เสียงอันแหบแห้งกลับปิดความอ่อนหวานไว้อยู่จนดูน่ากลัว

                “มีปู้นึ่งเขาน้ำลายฟูมปากไปแล้วกะเจ้า” (มีคนหนึ่งน้ำลายฟูมปากไปแล้วค่ะ)  แม่บ้านตอบด้วยความเคารพ

                “เอ๋าเต๊อะ  เดี๋ยวเฮาสิบ่มีเครื่องเซ่นไหว้  เขาให้ไวล่ะ” (เอาเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะไม่มี  รีบๆเข้าล่ะ) 

                “เจ้า”

 

                เสียงสนทนาของเจ้าของรีสอร์ททำให้แจมสะดุ้งตื่น  เพียงแจมได้ชันตัวขึ้นจากเตียงนอนบทสนทนาก็เงียบเป็นเป่าสากไป  ทำให้เดียร์ที่นอนข้างๆตัวเธอก็พลันตื่นขึ้นมาด้วย  แจมเงียหูฟังข้างหน้าต่างเสียงนั้นก็เงียบไปแล้ว  มีเดียร์เพิ่งได้สังเกต  มองไปก็เห็นบอสนอนน้ำลายฟูมปาก  สายตาของบอสอ้อนวอนมาหาเดียร์ซึ่งเป็นคนเห็นก่อนที่แจมจะหันมาสังเกตตาม

                “บอส!”  แจมลุกจากเตียงนอนวิ่งเข้ามาหาบอสที่ตอนนี้ดูเพลียเหมือนหมดแรงก่อนจะโลกทั้งโลกจะมืดลง

                “บอสๆ ใจเย็นๆอย่างเพิ่งหลับนะ!”  แจมตะโกนสุดเสียง

                “ค่อยยังชั่วแล้ว  แค่เหนื่อย อยากนอนต่อ”  บอสพูดออกด้วยคำพูดดูเหน็ดเหนื่อย   เพราะเนื่องจากอาหารเป็นพิษ  แจมและเดียร์ได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยโล่งอกไป นึกว่าบอสจะตายไปจริงๆเสียอีก

 

                กันต์ตื่นขึ้นมาก็พบว่าเด็กหนุ่มตัวระบมเกือบหมดตัว  ตามร่างกายของเขามีแต่รอยฟกช้ำเต็มไปหมด  เพียงครู่เดียว  ภายในห้องนี้เขาไม่เห็นใครเลย  เตียงนอนนั้นดูไม่เป็นระเบียบเพราะเหมือนถูกรื้อ  สายตาของกันต์มองไปเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดขาว  หน้าตาสะสวย  ยืนมองเขาอยู่หน้าต่างใกล้เตียงนอน  

                “ออกไป”  เสียงนั้นแว่วมาที่หูของกันต์  หมายความว่าไง ให้ออกไป  ในเมื่อคนในชมรมอยู่ไม่ครบคน  เขาต้องตามหาทุกคนให้เจอเสียก่อน  เพราะอีกไม่นานครูที่ปรึกษาก็จะมารับพวกเขาแล้ว

 

                กันต์กระพริบตาแค่ครั้งเดียว ภาพทุกอย่างก็กลับคืนมา  เบื้องหน้าเขาคือเดียร์และแจมต่างเช็ดตัวให้กับบอส  สีหน้าของทั้งคู่ดูเป็นห่วงเป็นใยบอสเหลือเกิน  กันต์เห็นอย่างนั้นจึงรีบปัดเป่าความงัวเงียให้สลายหายไป  กันต์ชั้นตัวขึ้นมาก่อนจะไปดูสภาพบอสที่ตอนนี้ดูหน้าเป็นห่วง

                “บอสเป็นไร?”

                “อาหารเป็นพิษ”  แจมตอบพร้อมกับใช้ผ้าชุบน้ำหมาดเช็ดตัวบอสที่ตอนนี้ดูไร้สติอยู่

                “มาเดี๋ยวฉันช่วย  แจมไปเอาซองผงเกลือแร่มาเถอะ  ตรงนี้เดี๋ยวเราดูและเอง  ผู้หญิงเช็ดให้ผู้ชาย  ผู้ชายเขาก็เขินแย่  ผู้ชายกับผู้ชายเขารู้กันอยู่แล้ว”  กันต์พูด  เห็นแจมดูหัวรั้นแต่จริงก็ทำตามคำสั่งอย่างไม่ขัดขืน เธอรีบไปเอายาที่อยู่ในกระเป๋าที่เตรียมมาด้วย   ไม่นานแจมก็เดินกลับมาด้วยความสับสน

                “กระเป๋า  อยู่ไหน?” 

                “ก็อยู่ในรถไง”  กันต์ตอบ

                “ไม่มีเลยนะรวมถึงรถด้วย”  แจมตอบแล้วทำสีหน้าดูกังวล

                กันต์พยายามนึกแต่ก็ไม่ออกสักที  กันต์จึงต้องการเห็นกับตาตัวเองว่ารถไม่อยได้อยู่ที่นี่จริงๆ  จำได้ว่าเขาก็จอดในรีสอร์ทอยู่ไม่ใช่หรือ   รถมันจะหายไปได้ยังไง  ถ้าไม่ใช่... นัทกับปลื้มจะเอาไป  เพราะพวกเขาไม่เห็นทั้งสองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว  ทว่ากันต์ยังจำได้  เมื่อตอนกลางคืนรถก็ยังอยู่

                กันต์กลับมายังห้องพักอีกครั้งหลังจากไปหารถที่เขาได้จอดไว้  ตอนนี้บอสถูกย้ายไปนอนราบอยู่บนเตียง  กันต์ก็ยังกังวลกับเรื่องรถอยู่เหมือนเดิม  ไม่นานครูดิษอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมของกันต์ก็ติดต่อมาได้

                “ฮัลโหลครับครู”

                “กันต์...  ครูอาจจะมารับช้าหน่อยนะ  พอดีที่ค่ายเกิดเรื่องนิดหน่อยครูเลยต้องไปช่วย”  เสียงครูดิษดูรีบร้อนและเสียงดูกังวลมากเมื่อฟังจากสำเนียง

                “ไม่เป็นไรครับ   พวกผมรอครูได้  ครูรีบไปทำธุระเถอะครับ”  กันต์ตอบด้วยเสียงที่นุ่มนวล

                “มีอะไรก็โทรบอกครูได้นะ”  ครูดิษทิ้งท้ายไว้

                “ครับ”  กันต์กดวางสาย

 

                ครูดิษวางสายจากกันต์  รอบตัวเขาเต็มไปด้วยคนเจ็บคนป่วย มีคนแก่คนเฒ่า เด็ก ผู้ใหญ่ และหมอพยาบาลเต็มไปหมด ครูหนุ่มและครูสาวต่างนั่งอยู่ข้างกัน  หน้าห้องฉุกเฉิน  ทั้งสองดูจะกังวลมากเพราะเด็กในค่ายถูกปะทะชนกัน  ฝีมือของครูหนุ่มเองที่เขาสับเพร่าเกินไปจนไม่สามารถยั้งรถไว้ได้ 

                ตำรวจที่อยู่ ณ โรงพยาบาลก็ดูเหมือนจะมาคอยภรรยาที่กำลังทำคลอด  นายตำรวจนั่งอยู่ข้างกายครูหนุ่มดูนายตำรวจจะดีใจไม่น้อยที่จะได้เป็นพ่อคน  มันสลับกันจริง  ครูหนุ่มต้องมาเสียใจแต่นายตำรวจต้องดีใจ  โรงพยาบาลนี่มีแต่ทุกข์และสุขอย่างคนอื่นเขาว่ากันจริงๆ 

                “ตำรวจ ว2* ครับ”  เสียงจากวิทยุสื่อสารของนายตำรวจที่นั่งข้างครูหนุ่มดังขึ้น

                “ว2 ว8** ครับ” นายตำรวจที่นั่งเคียงกับครูหนุ่มตอบ    

                “มีรถเก๋งเชฟโรเลตสีบลอนเงิน  ป้ายทะเบียน กง 4546 ประสบอุบัติเหตุ”  เสียงแจ้งข่าวร้ายก็เงียบไปก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง “ใครสามารถช่วยได้ ว15*  ถนนสายเจ้าแม่ชุดขาว”  เหตุแจ้งข่าวร้ายหยุดอีกครั้งก่อนจะมีต่อ “ใกล้กับโรงพยาบาลช่วยแจ้งให้ด้วย ว 61”

                ครูหนุ่มได้ยินอย่างนั้น ก็สะดุ้งไป ถนนที่ครูหนุ่มรถชนเด็กที่อยู่ในค่ายก็เป็นถนนสายเดียวกัน  ครูหนุ่มทำอะไรไม่ถูก  ร้อนๆหนาวๆ  ความกลัวและความกังวลผุดขึ้นภายใต้จิตใจของครูหนุ่ม  ครูอ้อยซึ่งนั่งอยู่ข้างกันก็สังเกตความผิดปกติกับครูหนุ่มได้  ลางสังหรณ์ครูหนุ่มเชื่อ  ถ้าเขาไม่รีบไปช่วยตอนนี้ไม่งั้นทุกคนจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา

                “ครูอ้อย  เฝ้าดูอาการนักเรียนไปก่อนนะครับ  เดี๋ยวผมขออนุญาตไปทำธุระก่อน” ครูดิษพูดด้วยเสียงดูอ้อยอิ่งเพราะกลัวว่าลางสังหรณ์นั้นจะเป็นความจริง

                “ได้ค่ะ”  ครูสาวตอบ  ครูหนุ่มก็รีบวิ่งออกไปทันที

 

                กันต์มองดูทุกคนที่อยู่ในห้อง ตอนนี้สถานการณ์พอจะทุเลาลงบ้างแล้ว  แต่กันต์รู้สึกว่ามันมีสิ่งผิดปกติ  ทุกคนดูซีดจางไปหมดเมื่อมองดูจากตานัยน์  ทว่าตาเนื้อเขากลับมองทุกคนเหมือนปกติดีทุกประการ  แจมตอนนี้เธอเหมือนกำลังจะหาอะไรบางอย่าง เดียร์ร่วมมือช่วยกันหา  ตอนนี้ดูว่าความวุ่นวายจะยังไม่จบลงง่ายๆ

                “กล้องถ่ายรายการหายไปไหน?”  แจมบ่น

                “จำได้ว่า...” เดียร์พูดขึ้นมาพร้อมนึกคิดไปด้วย “สุสาน”  ทั้งสองแจมและเดียร์พูดขึ้นพร้อมกันและมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย

                “อย่าบอกนะ ว่าจะไปหากล้องที่นั่น”  กันต์พูดในสิ่งที่เขาคิด  “แล้ววันนี้เป็นวันบวงสรวงด้วย  วิญญาณจะเฮี้ยนมากด้วย”  กันต์อธิบายต่อ

                “แล้วจะทำยังไง  เดี๋ยวพวกฉันไปหาที่สุสานสองคน  กันต์ก็ดูแลบอสไปก็แล้วกัน”  แจมเสนอ  กันต์ไม่ทันจะแย้ง  ทั้งเดียร์และแจมก็ออกไปจากห้องพักเรียบร้อย  เรียกอย่างไรก็ไม่ทัน

 

                สองข้างทางที่เดินมามีแต่ป่ารกทึบ  ถนนภายในรีสอร์ทเป็นดินแดงทั้งหมด  ตั้งแต่เช้าอากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ  ทั้งสองใส่เสื้อกันหนาวอยู่ตลอดเวลา  ความน่ากลัวและสถานที่รวมถึงคำพูดของกันต์ก็ทำให้ทั้งสองอดนึกถึงไม่ได้  วิญญาณเฮี้ยน  วันบวงสรวง  ทำให้ทั้งสองต้องจับไม้จับมือกัน  เวลาเจออะไรจะได้ไปพร้อมกัน

                ไม่นานสองสาวก็เดินมาถึงสุสานสิ่งที่ ปลื้มทำตกไว้  ทั้งสองเดินเข้ามาในสุสานโดยรอบดูวังเวง  ไม่รู้ว่าพื้นดินตรงไหนเป็นที่ฝังศพของชนเผ่าในสมัยนั้น  ประกอบกับท้องฟ้าดูท่าทางเป็นสีเทาอมความหมองเอาไว้บดบังแสงอาทิตย์  อากาศรอบตัวมีกลิ่นดินอ่อนๆ  พร้องกับอากาศที่ดูหนาวเพราะสุสานตั้งอยู่บนเขา  กินเนื้อที่ไปเกือบครึ่งหนึ่งของภูเขาหนึ่งลูก  ความน่ากลัวมันยิ่งทวีความขนลุกขนพองขึ้นเรื่อยๆ  

                เมื่อเดียร์พยายามควบความกลัวภายในจิตใจ  เดียร์ก็สามารถตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว  ไม่นานสิ่งที่เธอหาก็อยู่ตรงเบื้องหน้าเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น  เดียร์เดินนำหน้าแจม ดูแจมจะคอยระแวงอยู่หลังของเดียร์  ทั้งสองรีบย้ำเท้าเดินไปตามเนินหญ้าสีเหลืองอ่อนที่ขาดความชื้น  จนเดินมาถึงกล้องที่ปลื้มทำตกไว้แล้วค่อยๆหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

 

                กันต์นั่งดูอาการรุ่นน้องที่หมดสติพล่อยหลับไปอยู่   เด็กหนุ่มนั่งลงกับเตียงฝั่งตรงข้ามบอสที่หลับใหล เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ แต่ครูดิษกลับโทร.  มาเสียก่อน  กันต์จึงกดรับทันที

                “กันต์อยู่ไหน?”  ปลายสายเสียงดูรีบร้อน

                “ผมก็อยู่ที่รีสอร์ทไงครับ”  กันต์ตอบอย่างใจเย็น

                “แน่ใจเหรอ?  คือตอนนี้กันต์อยู่กับใคร?”  ครูดิษถามมาด้วยเหมือนจะเร้าให้กันต์ตอบคำถามมาให้ได้ทันใจครูหนึ่มที่สุด

                “ผมอยู่กับบบอส  ส่วนอีกสองไปหากล้องที่...  ห้องคาราโอเกะ  อีกสองคน... ไปเดินเล่นครับ”  กันต์พยายามปิดเรื่องที่กำลังเกิดเหตุอยู่อย่างมิดชิด

                ขณะที่กันต์กำลังสนทนาระหว่างครูดิษ  ในห้องพักเขากับได้ยินเสียง... กดชักโครกในห้องน้ำ  กันต์เหลียวมามองเตียงที่บอสนอนอยู่ บอสนอนอยู่  ใครใช้ห้องน้ำ?    

                “กันต์...”  เสียงจากปลายทางเรียก  เพราะเขาเงียบไปเพราะเสียงอะไรบางอย่างที่อยู่ในห้องน้ำ

                “ครับ”

                “คือ  รถของกันต์เกิดอุบัติเหตุนะ  ครูก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องเหลือเชื่อหรอกนะ”  ครูดิษทำเสียงอัดอั้น  กับความจริงที่รับไม่ได้  ก่อนจะพูดกล่าวกับกันต์ต่อ  “ห้าคนในกลุ่มเราตายจากการล้อรถกันต์เสียสมดุล”  กันได้ยินอย่างนั้นก็กำลังจะแย้ง ทว่าครูพูดเสียก่อน “ครูติดต่อใครไม่ได้นอกจากกันต์”  เสียงถอนหายใจดังมาถึงหูของกันต์ “มีปลื้ม  นัท เดียร์ แจมและบอส”  เมื่อกันต์ได้ยินคนสุดท้าย ว่าเป็นบอส  กันต์จึงรีบเพ่งมองไปเตียงที่บอสนอนอยู่  คราวนี้ไม่เห็นใคร  “กันต์ คุณยังไม่ตายนะ  แต่คุณมาขอความช่วยเหลือที่รีสอร์ทนี้  เกรฟ แสนสุข ตำนานของคนบนดอยที่ตำบลนี้  ผมจะไปรับคุณที่นั่น  รีบออกมาเดี๋ยวนี้เลย!” 

                “ครูครับ  ผมขับรถมาจริงๆนะครับ  ผมไม่ได้เกิดอุบัติเหตุเลย  ครูดิษพูดซี้ซั้ว  อย่ามาอำผมดีกว่า”  กันต์ดูจะไม่เชื่อฝีปากครูหนุ่มแม้แต่น้อย

                “ไปหาเจ้าแม่ชุดขาว  ครูรู้จากคนท้องถิ่น  เชื่อเถอะรีบออกมาจากรีสอร์ทนั้นเดี๋ยวนี้  วันนี้เป็นวันบวงสรวง  คนที่รีสอร์ทนั้นจะเอาคุณไปด้วย  เพราะตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพห้าศพ  สถานที่เกิดเหตุไม่ไกลจากรีสอร์ทมาก  เดี๋ยวผมจะรีบไป  ออกมาจากที่นั่นให้เร็วที่สุด  ถ้าเจออะไรขวาง  ก็อย่าไปแลมัน  ออกจากที่รีสอร์ทอย่างเดียว  กันต์จะรอดปลอดภัย”  ครูหนุ่มวางสายจากกันต์อย่างเร็วไวจนกันต์ไม่ทันได้แย้งอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

                สิ่งที่เด็กหนุ่มจำได้ค่อยๆปรากฏขึ้น  เห็นภาพต่างๆ สถานที่ที่ครูได้กล่าวมาก็เลือนรางเข้าไปในสายตา สมองแปรข้อมูลเป็นภาพทั้งหมด  มันกำลังแสดงให้เขาเห็น  ว่ารีสอร์ทนี้ไม่ได้แค่จะช่วย ทว่าจะเอาพวกเขาไปเป็นเครื่องเซ่นไหว้ต่างหาก   กันต์กลับจำอะไรมาไม่ได้ว่าพวกเขาทั้งหมดมาทำอะไรที่นี่ได้

                หญิงสาวชุดขาว หน้าตากลมเกลียวใสสะอาด  เดินข้ามถนนจากอีกฝั่งมาบรรจบกับเส้นทางที่กันต์กำลังจะขับผ่านไป  เพียงแค่ว่า  กันต์มองเบื้องหน้าไม่ทันระวัง  เหยียบเบรกจนเสียงดัง  รถพลิกคว่ำไปสองตลบ   ทุกคนภายในรถกลับหมดสติไปหมดยกเว้นแต่กันต์ที่ตอนนี้ยังพอมีสติอยู่  ไม่นานเผลอแค่เดี๋ยวเดียว  เขาก็หลับไปเสียแล้ว

                กันต์ตื่นขึ้นมาภายในห้องอับแสง  มองไปทางไหนก็มืดไปหมด  หญิงคนหนึ่งเดินไปเปิดผ้าม่านก็พบว่านี่ใกล้ค่ำแล้ว  เสียงหญิงดูเหมือนจะเป็นคนช่วยเรื่องที่เขารถพลิกคว่ำ  สภาพห้องสไตล์ดีลักซ์แต่กลับตั้งอยู่บนภูเขาได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ   ห้องนี้ดูขลังๆชอบกล  เหมือนพวกวิชาเวทย์คุณไสยมนตร์ดำ

                “ตื่นแล้วเหรอ?”   เสียงอันนุ่มนวลกล่าว หันหน้าให้แสงอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้า เหม่อมองที่หน้าต่างกระจกบานใหญ่

                “ที่นี่ที่ไหน?  แล้วคุณเป็นใคร?”  กันต์ตอบในสภาพที่ดูจะเหน็ดเหนื่อย

                “คุณน่าจะขอบใจฉัน  คุณเดินออกจากห้องนี้ไป คุณจะลืมทุกอย่างไปหมด  แต่เฉพาะเรื่องบางเรื่องคุณยังจำได้นะ”  สาววัยดูอ่อนเยาว์พูดเกริ่นขึ้นมา 

                “เพื่อนผมหายไปไหนหมด?” กันต์ชันตัวขึ้นพร้อมมองหาเพื่อนพ้องรอบกาย

                “ทุกคนปลอดภัยดี  เพื่อนของคุณอยู่ข้างนอก  ไปหากันสิ”  แล้วทุกอย่างก็หายไปจากสายตาของกันต์

               

                เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทุกอย่างสะดุดหยุดชะงัก  จนทำให้กันต์สะดุ้งโหยง   กันต์เหยียดตัวลุกจากเตียงนอน  เดินไปที่ประตูอย่างแผ่วเบา  ทว่าเสียงเคาะประตูก็ไม่หยุด  หัวใจเริ่มสั่นสะท้าน  ความกลัวซัดเข้าถาโถม  ล้มทั้งยืน  เมื่อคนนี่เคาะประตูก็คือ  นัท

                “เป็นอะไรไป  ตกใจอย่างกับคนเห็นผี”  นัทกล่าวพร้อมย่างกรายเข้ามาใกล้กับเพื่อนรัก

                มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาภายในสมองของกันต์  เป็นความคิดที่สามารถพิสูจน์ว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือไม่  กันต์เริ่มมีพิรุจ  ก่อนจะปรับสภาพร่างกายและความกลัวซุกไว้ภายใต้จิตใจ

                “เปล่าหรอก  คือ แกหายไปไหนมาทั้งคืน?  พวกฉันตามหากันแทบจะบ้าตาย เป็นห่วงก็เป็นห่วง”  กันต์จริงๆก็อยากจะรู้คำตอบจากปากของนัทเอง

                “ฉัน...  ฉัน... อ๋อ ฉันหลงทาง  ฉันก็ตามหานายเหมือนกัน  จู่ๆไฟในห้องคาราโอเกะก็ดับ  ฉันเลยวิ่งกระเจิงไปก่อน  เลยหลงทาง” 

                “แกเพิ่งเข้ามา  ไปล้างหน้าล้างตาก่อนดิ จะได้สดชื่น”  กันต์เสนอ  คำเสนอที่แฝงด้วยอะไรบางอย่าง

                นัทเดินโซซัดโซเซมุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำ  กันต์ค่อยล้วงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางออกมา  เปิดใช้แอพลิเคชั่นถ่ายรูป ลั่นชัตเตอร์ไปที่นัท  ตอนนี้กำลังเข้าห้องน้ำไปแล้ว  ภาพที่ออกมา ทำให้กันต์ใจหายใจคว่ำไป หายใจไม่ทั่วท้อง  ผลลัพธ์นั้นก็คือ...ความว่างเปล่า  ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงทั้งหมด  กันต์ใช้ช่วงนี้ออกจากห้องให้ได้เร็วที่สุด

               

                ตำรวจดูวุ่นชุลมุนไปหมด  สถานที่เกิดเหตุตอนนี้มีประชาชนคอยเพ่นพ่าน เสาะหาดูนักข่าวก็เริ่มเดินทางมาที่นี่เพื่อทำข่าวและสอบถามรายละเอียด  มีศพทั้งห้าเรียงรายอยู่ในสถานที่เกิดเหตุตอนนี้ถูกจัดเก็บไว้เรียบร้อยด้วยผ้าห่อศพ  เหลือเพียงแต่กันต์ที่ตอนนี้หายไปอยู่ที่รีสอร์ทอาถรรพ์ใกล้กับที่เกิดเหตุ   มีเทปเหลือดำแปะไว้ระโยงรยางค์ไม่ให้ชาวบ้านเข้ามากราย สิ่งที่ดีที่สุดคือเก็บศพไว้ให้มิดชิด  เจ้าหน้าที่เก็บศพนำของที่อยู่ในเสื้อผ้าของศพออกมา  ทั้งประเป๋าสตางค์  บัตรประชาชน  เพียงแค่เงยหน้ามอง ศพกลับหายไปหนึ่งศพ  เจ้าหน้าที่เก็บศพจึงรีบตามไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจนไม่มีใครเฝ้าดูศพ  จนศพหายไปจากสถานที่เหตุ

                เสียงโทรศัพท์ของกันต์ดังขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่กันต์หลีกจากห้องพัก  มองไปที่โทรศัพท์ก็เป็นเบอร์ที่แปลก  กันต์จึงตัดสินใจรับ ไม่นานเสียงที่ดูไม่ค่อยคุ้นก็เปล่งเสียงออกมา

                “สวัสดีครับ” กันต์ทัก

                “คุณคือคุณกันตกรใช่ไหมครับ?”  ตำรวจถาม กันต์จึงตอบตกลงไป

                “ตอนนี้คุณอยู่ไหนครับ?  ไม่ทราบว่าตอนเพื่อนของคุณเกิดเหตุ  คุณเป็นผู้ขับใช่หรือไม่ครับ?”  ตำรวจเสียงเร่งรัดถามเพื่ออยากจะรู้ความจริงตามสไตล์ของตำรวจ

                “ตอนนี้ผมกำลังตกอยู่ในอันตราย  ผมอยู่รีสอร์ทใกล้กับที่เกิดเหตุ  พวกมันจะฆ่าผม”   กันต์พยายามกลั่นความรู้สึกไม่ให้สติกระเจิงไปเมื่อได้รับความช่วยเหลือ  กันต์รีบกดวางสายไปอย่างกะทันหันเพราะเหมือนว่าจะมีอะไรอยู่แถวเดียวกับเขา  เสียงผู้หญิง...  กันต์ได้ยิน  และแล้วก็พบกันจนได้  กันต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดกล้องเช่นอย่างเคย  เขาจะถ่ายคนที่บงการเรื่องนี้ทั้งหมด  ทว่าเขากับลืมสนิทว่าครูบอกให้เขาไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าแม่ชุดขาว

                “จะหาได้ที่ไหนเนี่ย?”  กันต์สบถออกมา 

                “ออกไป... เดี๋ยวนี้...  ไม่มีอะไรแล้ว”  เสียงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของกันต์  กันต์รู้ได้เลยว่าเสียงนี้เป็นเสียงจากเจ้าแม่ชุดขาว  กันต์วางมือจากการถ่ายภาพ  ไม่นานเสียงรถที่กำลังเดินเครื่องก็เข้ามาจอด  พบว่านั่นคือ ครูดิษ

                “รีบขึ้นรถเร็ว”  ครูดิษตะโกน  กันต์รีบวิ่งไปขึ้นรถ  ก่อนจะเหมือนมีมนตร์สะกดทำให้เขาไม่ได้จำเรื่องแบบนี้อีกตลอดกาล       “ไม่มีวันลืม”  กันต์พูดออกมาอย่างแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

 

 

* ว2 คือ ได้ยินหรือไม่/รับทราบ

** ว2 ว8 คือ ได้ยินข้อความแล้ว

*** ว15 คือ มาพบกันที่/ให้มาพบที่

**** ว61 คือ ขอบคุณ

 

               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา