ปมลิขิตรัก

10.0

เขียนโดย ลันตนา

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.51 น.

  6 บท
  4 วิจารณ์
  8,812 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2562 19.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) พยาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

2/1

          “อยู่นี้เอง” เสียงทุ่มต่ำราบเรียบดังขึ้นทางด้านหลังของญาณิศา เธอเลิกสนใจคู่สนทนาแล้วหันหลังไปพบกับเจ้าของเสียงแต่เธอไม่ได้ใส่ใจ

          “นายรู้จักเธอเหรอ” หนุ่มยิ้มสวยตรึงใจเอ่ยทักชายหนุ่มที่มาใหม่ ทำให้หญิงสาวที่ยืนคั่นระหว่างกลางงวยงง มองซ้ายทีขวาที คาร์ลอสเพียงพยักหน้านิดหนึ่งอย่างเหนื่อยๆ

          “กลับบ้านได้แล้วฉันเหนื่อย” คาร์ลอเสมองและบอกชายหนุ่มอีกคน มือหนาจับต้นแขนหญิงสาวเดินติดมือมาด้วยจนถึงรถกระบะสีแดงเลือดหมูลักษณะคันกลางเก่ากลางใหม่

          ญาณิศาไม่พูดอะไรอีกจนกระทั้งรถแล่นออกนอกเมือง จากวิวทิวทัศที่มีตึกคอนกรีตสูงเปลี่ยนเป็นบ้านหลังเล็กๆและมีต้นไม้มากมาย ท้องฟ้าเริ่มสลัวเพราะย่ำค่ำแสงไฟข้างทางทำให้เธอพอมองเห็นวิวข้างนอก

          “เอ่อ คุณ...” เธอชะโงกหน้าไปทางสารถีที่เธอเห็นครั้งแรกรู้สึกประทับใจในร้อยยิ้มอันเป็นมิตรตั้งแต่ยังไม่รู้จักชื่อ ไม่เหมือนบางคน!

          “เดรโก้ครับ” สารถีบอกชื่อตัวเอง ญาณิศากดมุมปากสองข้างโชว์ฟัน

          “คุณเดรโก้ที่นี้ที่ไหนคะ”

          “ที่นี้คือจีเรสอยู่ทางตอนเหนือของบราซิลอาชีพส่วนใหญ่ที่ทำคือทำไร่กาแฟ”           คนที่เธอไม่ได้ถามตอบทั้งยังหลับตา สารถีมองพยานสาวผ่านกระจกหน้ารถแล้วยิ้มให้แต่ญาณิศาทำหน้าบึ้งใส่คนที่นั่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับ

          “อีกไกลไหมคะ” เธอทำเป็นไม่สนใจเสียงผู้คุ้มครอง พยานสาวถามสารถี

          “อีกสิบเจ็ดกิโลเมตร” คนที่เธอไม่ได้ถามตอบแทน ครานี้ญาณิศาแยกเขี้ยวใส่คนหลับตา

          “ใครถามนายยะ” ญาณิศาลั่นเสียงใส่หูคนนอนหลับตาคนหลับตานิ่งเฉย ญาณิศาถอนหายใจแล้วกระแทกหลังกับพนักพิง ตามองออกนอกหน้าต่าง

          เธอไม่ปริปากอะไรอีกจนกระทั้งรถเลี้ยวเข้ามาในที่แห่งหนึ่งเสียงสารถีบอกให้ทราบว่าถึงที่หมายแล้ว ญาณิศาจึงลงจากรถ ร่างเล็กบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนทอดสายตามองสถานที่ใหม่ ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มเป็นสีดำสนิท ตรงหน้าของเธอคือบ้านที่สร้างจากไม้สักทั้งหลังสูงสองชั้น ในตอนนั้นสาวใช้สองคนเดินออกมาจากบ้านเดินตรงมาทางรถ เธอสองคนมองหญิงสาวแปลกหน้าคล้ายมีคำถาม

          “ขอโทษที่ไม่ได้โทร.บอกเตรียมห้องให้เธอด้วย” คาร์ลอสออกคำสั่งสาวใช้สองคนขานรับคำสั่ง แล้วทั้งหมดเดินเข้าไปในบ้าน

          “กลับค่ำจังเลยนะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยทักคาร์ลอสหญิงสาวบนโซฟาเงยหน้าขึ้นจากนิตยาสารชายหนุ่มหันไปมองยักคิ้วให้นิดหน่อย ส่วนญาณิศายืนเก้กังยิ้มน้อยๆให้กับหญิงสาวบนโซฟา เธอใช้การทักทายที่ชาวต่างชาติเห็นต้องรู้แน่ว่าเป็นคนชาติไหน ญาณิศารู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งคนนี้มากแต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เดรโก้ยิ้มทักทายให้หญิงสาวเจ้าของสีผิวน้ำผึ้ง

          “นั้นใครเหรอ” เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งเล็งสายตาไปทางหญิงสาวแปลกหน้าที่ยืนหันซ้ายหันขวา ญาณิศารู้ตัวว่ากำลังถูกมองจึงหันไปทางคนมองแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

          “เธอเป็นพยาน” คาร์ลอสตอบ สาวหน้าหวานยิ้มบางๆ ให้สาวเจ้าของสีผิวน้ำผึ้งเพราะไม่เข้าใจประโยคที่พวกเขาพูด และสายตาสามคู่มองมาที่แขกคนใหม่ของบ้าน เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งคล้ายจะมีคำถามอีกข้อแต่สาวใช้คนเดิมสองคนเดินลงมาจากชั้นสองบอกว่าเตรียมห้องให้หญิงสาวมาใหม่เสร็จเรียบร้อย จากนั้นสาวใช้ทั้งสองเดินนำญาณิศาขึ้นไปยังห้องพักชั้นสอง โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งลอบจับจ้องร่างอรชอนจนสุดสายตา

          “พยาน...!” เดรโก้อุทาน “นายหมายความว่ายังไง” เดรโก้ถามอย่างใคร่รู้ซึ่งไม่ต่างจากหญิงสาวที่นั่งอยู่ก่อนกำลังรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ

          คาร์ลอสเล่าเรื่องราวที่เขาฟังจากปากคำของญาณิศาที่ให้การกับตำรวจว่า เธอเดินท่องเที่ยวไปเรื่องๆจนมาถึงบริเวณอาคารรัฐสภาและยืนดูการให้สัมภาษณ์ของนักการเมืองแก่นักข่าว ในตอนนั้นเธอเห็นชายฉกรรย์สองคนหลบอยู่หลังต้นไม้ คนหนึ่งถือปืนอีกคนถือโทรศัพท์ เมื่อชายที่ถือโทรศัพท์จบบทสนทนาจากปลายสายชายผู้ซึ่งถือปืนได้ลั่นไก ตำรวจคาดว่ากระสุนพลาดเป้าจึงทำให้ไม่โดนจุดที่เล็งเดวิดจึงไม่ได้รับบาดเจ็บจนถึงชีวิต พยานยังเล่าต่ออีกว่าคนร้ายพยายามยิงเธอแต่มีหน่วยรักษาความปลอดภัยได้ไล่ล่าตามคนร้าย เธอจึงปลอดภัย จากนั้นมีตำรวจเข้ามาในที่เกิดเหตุ ผู้ต้องการทราบเรื่องราวทั้งสองคนได้ฟังแล้วอดใจหายไม่ได้เพราะผู้ที่ประสบเหตุเป็นผู้ใหญ่ที่ตนรักและเคารพ

          “เควิน พ่อถูกยิงได้ยังไง” หญิงสาวถามอย่างร้อนใจจนเดรโก้เอ่ยปลอบหญิงสาวรุ่นพี่

          มาเซลล่า มาร์วิลสัน พี่สาวท้องเดียวกับคาร์ลอส มาร์วิลสัน นางแบบยอดนิยมของบราซิล เธอติดตามข่าวสารของบิดามาโดยตลอดแต่ไม่ละเอียดมาก การรับตำแหน่งรัฐมลตรีกระทรวงพาณิชย์ของพ่อในปีนี้ได้ช่วยเหลือชาวไร่กาแฟที่ถูกกดราคากาแฟจนทำให้ชาวไร่กาแฟได้รับความเป็นธรรมทางการค้า แต่ชีวิตหลังจากนั้นถูกปองร้ายมาโดยตลอด

          “ต้องเป็นพวกกดราคากาแฟแน่ๆ” เดรโก้สันนิฐาน เขาเองติดตามข่าวสารของเดวิดเช่นกัน เขาทราบดีว่าเดวิดไม่เคยมีศัตรู สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

          “ตอนนี้พ่อเป็นยังไงบ้าง” มาเซลล่าถาม ได้รับคำตอบจากปากน้องชายว่าแค่โดนกระสุนฝังเข้าในจุดที่ไม่อันตรายถึงชีวิต ตอนนี้ท่านพ้นขีดอันตรายแล้ว และในอีกไม่กี่ชั่วโมงท่านจะมาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของจีเรส

          “ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” คาร์ลอสพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ชายหนุ่มหญิงสาวสองคนพยักหน้ารับ

          “ผู้หญิงคนนั้นชื่อญาณิศาเป็นพยานในคดีของพ่อ เรื่องนี้ขอให้เรารู้กันแค่สามคน” เดรโก้และมาเซลล่าขานรับข้อตกลง ความปลอดภัยของเดวิดคือสิ่งสำคัญเรื่องนี้คนรู้น้อยยิ่งดี

          ความปลอดภัยของบิดาว่าสำคัญแล้วแต่ความปลอดภัยของพยานสาวก็สำคัญไม่แพ้กัน มีคนสำคัญพร้อมกันถึงสองคนและใครกันที่สำคัญที่สุด หลังจากที่คาร์ลอสรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองญาณิศาเขาครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา

          คาร์ลอสเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองเลี้ยวขวาตรงไปยังห้องนอนตัวเองมือจับลูกบิดเตรียมจะบิดคลายประตูแต่นึกขึ้นได้ว่ามีสมาชิกคนใหม่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

          ‘ไปเยี่ยมดีไหม’ เขาถามตัวเองในใจ เขาไม่ต้องคิดทบทวนมากเจ้าของมือใหญ่ละจากลูกบิดประตูเมื่อได้คำตอบขาเพรียวยาวหันขวาหันเดินไปหาห้องเป้าหมาย

สองห้องทางซ้ายมือต้องมีห้องใดห้องหนึ่งที่เธอพัก ลูกบิดห้องแรกถูกล็อกเขาเอาหูแนบบานประตูไม่ได้ยินเสียงใดแสดงว่าไม่มีคนอยู่ ชายหนุ่มเดินเหมือนแมวย่องมาห้องสุดท้ายมือหนาบิดลูกบิด

          “ว๊าย!” ญาณิศาร้องลั่นเมื่อมีคนถือวิสาสะกระชากประตูทั้งที่เธอยังอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ

          “ร้องซะเหมือนผู้หญิงเชียว” คาร์ลอสยืนพิงขอบประตูกอดอกมุมปากกดยิ้มเย้ย สายตาสองข้างแอบลอบมองร่างอรชอนที่ถูกชุดคลุมอาบน้ำบดบัง

          “นายเนี่ยเสียมารยาท ทำไมไม่เคาะประตูก่อนได้รับอนุญาต” สองมือน้อยกระชับเสื้อคลุมเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกแอบมอง

          “เสียมารยาทแล้วไงที่นี่บ้านผมและที่เข้ามาเพราะจะบอกว่าคุณต้องไปโรงพยาบาลเยี่ยมคุณพ่อกับผม” ชายหนุ่มพูดพร้อมเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พยานสาวพยักหน้าหงึกหงักทำว่าเข้าใจ

          “อื้อๆ นายออกไปได้แล้วฉันจะอาบน้ำแต่งตัว” เธอยืนเท้าสะเอวออกคำสั่งกับคนที่นอนเหยียดยาวบนเตียงที่กำลังจะเป็นที่นอนของเธอ ญาณิศารู้ดีว่าควรให้เกียรติแก่เจ้าบ้านแต่เจ้าบ้านก็ควรให้เกียรติผู้อาศัยด้วยเช่นกัน

          “เชิญคุณอาน้ำแต่งตัวตามสบายและคุณไม่ต้องห่วงว่าผมคิดสั้นแอบดูของๆคุณ” คาร์ลอสเน้นคำว่าของ เขาตอบทั้งที่หลับตาพริ้มร่างสูงนอนเหยียดกายศีรษะหนุนบนแขน พยานสาวถลึงตาใส่คนนอนเอนกายอยู่บนเตียงก่อนกลับหลังหันเดินไปห้องน้ำ

          เสียงปิดประตูเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเธอเข้าห้องน้ำแล้วไม่นานเสียงน้ำไหลจากฝักบัวดังซ่าๆ สายน้ำไหลผ่านร่างกายล้างชำระจากใบหน้าลงสู่ลำคอเรียวและไหลลงสู่ส่วนล่างของร่างกายนำพาความสะอาดสดชื่นสู่เรือนกาย  ตามด้วยฟองสบู่ฟูนุ่มและน้ำรดล้างผิวกาย มือขาวเนียนชโลมเบบี้ออยทั่วเรือนร่างหลังอาบน้ำจากนั้นซับร่างกายเปือกชื้นด้วยผ้าขนหนู

          เสียงน้ำเงียบหายตามมาด้วยเสียงลูกบิดเปิดประตูช่วยปิดต่อมจินตนาการที่กำลังทำงานเตลิดไปไกลของชายหนุ่ม คาร์ลอสลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนมองหญิงสาวที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินเลี้ยวไปที่ตู้เสื้อผ้า ดวงตาคมมองเศษผมท้ายทอยของหญิงสาวที่ยังมีหยดน้ำเกาะเรื่อยลงมาจนถึงเรียวขาขาวเนียนที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ประปราย

          ‘อึก’ คนมองกลืนน้ำลายเหนียวลงคอช้าๆ ก่อนสะบัดศีรษะได้รูปไล่ความคิดบ้าๆ ที่ผุดขึ้นมา คาร์ลอสสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

          “เก็บเสื้อผ้าซะแล้วเปลี่ยนห้อง” ผู้คุ้มครองสั่งเสียงเรียบพยานสาวชะงักมือจากการหยิบเสื้อผ้าและหันมามองผู้คุ้มครอง

          “ทำไมฉันต้องเปลี่ยนห้อง” เธอเท้าสะเอวถามเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังสื่อ ห้องนี้สะดวกสบายดีไม่มีปัญหาอะไร

          “คุณมีหน้าที่แค่ทำตามไม่จำเป็นต้องถาม” เขามองหญิงสาวนิ่งก่อนเดินออกไปจากห้อง ญาณิศามองตามเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่เดินหายออกไปข้างนอก

          ‘ไอ้คนบ้าเผด็จการ!’ หญิงสาวได้แค่กรีดร้องในใจ “นายไม่ให้ฉันถามงั้นฉันไม่ทำ” เธอพึมพำกับตัวเองตามองบานประตูที่ปิดสนิท

 

 

 2/2

 

          นาฬิกาบอกเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกาเป็นเวลาที่โรงพยาบาลในบราซิเลียส่งตัวเดวิดมาถึงจีเรส มาเซลล่าเห็นร่างของบิดาที่นอนสงบอยู่บนเตียงหัวใจหล่นวูบ แม้ว่าเดวิดพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ใบหน้าไร้สีเลือดของผู้ป่วยยังทำให้ผู้มาเยี่ยมรู้สึกเป็นกังวล ญาณิศามองผู้สูงวัยบนเตียงแล้วภาวนาให้ท่านหายในเร็ววันและจับตัวคนร้ายได้ในไม่ช้านี้

          เสร็จจากเยี่ยมผู้ป่วยทั้งหมดจึงพากันกลับบ้าน คาร์ลอสเปิดห้องพักผู้ป่วยวีไอพีที่เป็นส่วนตัวมากที่สุดให้บิดาและขอกำลังตำรวมมาเฝ้ายามเพราะยังไม่ไว้ใจในสถานการณ์และคนร้ายยังลอยนวล

          “ดึกแล้วนายไม่นอนที่นี่เหรอ” คาร์ลอสถามลูกพี่ลูกน้องคนนั้นคือเดรโก้

          “ฉันมีบ้าน นอนบ้านนายทำไม” เดรโก้บอกลามาเซลล่า คาร์ลอสและสุดท้ายญาณิศา ญาณิศาก็ไม่ลืมบอกกู๊ดไนท์กับเดรโก้และมาเซลล่า

          “คืนนี้พี่จะนอนที่นี้หรือเปล่า” ชายหนุ่มถามพี่สาว เธอส่ายหน้าปฏิเสธเพราะต้องการกลับไปนอนที่หลังบ้านเก่า

          บ้านหลังนั้นเป็นความทรงจำที่อบอุ่นของครอบครัวมาร์วิลสัน แต่พอมารดาขอแยกทางไปมีครอบครัวใหม่ด้วยเหตุผลที่ว่าเดวิดเป็นนักการเมืองไร้อนาคต  หลังจากภรรยาแยกทางเดวิดทำงานหนักทุกวัน

          กระทั้งลูกสาวและลูกชายโตพอจนช่วยเหลือตัวเองได้และมีอาชีพการงานเป็นของตัวเองจึงแยกย้ายกันออกไป เดวิดต้องไปเป็นนักการเมืองในบราซิเลีย มาเซลล่าได้ถูกทาบทามจากเซเล็บคนหนึ่งให้ไปช่วยเดินแบบต่อมาเธอได้รับงานมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่รู้จักและได้เป็นนางแบบมืออาชีพในเวลาต่อมา ส่วนลูกคนเล็กอย่างคาร์ลอสได้รับราชการเป็นตำรวจแต่ทำงานราชการได้สักพักเขาจึงลาออกและหันมาทำไร่กาแฟซึงเป็นงานที่เขารัก คาร์ลอสใช่เงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองซื้อที่ดินเพียงเล็กน้อยจากนั้นเขาก็ค่อยๆ ขยับขยายกิจการด้วยตัวเองในเวลาอันรวดเร็ว

          มาเซลล่ารู้สึกคิดถึงมารดาที่แยกทางไปมีครอบครัวใหม่เมื่อครั้งเธอกับคาร์ลอสยังเด็ก ไร้กาแฟแห่งนี้คาร์ลอสยึดเป็นที่หลักในการอยู่อาศัยและทำงาน เขาไม่เคยทอดทิ้งหรือขายบ้านหลังเก่าแต่จะเข้าไปนอนหรือทำความสะอาดเป็นครั้งคราวเท่านั้น บ่อยครั้งที่คาร์ลอสถูกพี่สาวถามว่าไม่คิดถึงแม่บ้างหรือ เขาตอบปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดหนักผู้หญิงที่ทิ้งครอบครัวเพราะอยากสบาย ทำไมเขาต้องคิดถึงคนเห็นแก่ตัว มาเซลล่าและเดวิดทราบดีถึงสาเหตุที่แท้จริงของการจากไปของมารดาเพียงแต่ไม่ต้องการให้คาร์ลอสรู้เพราะทั้งสองทราบดีว่าเขาต้องทำใจและรับไม่ได้

 

          คาร์ลอสกลับมาจากส่งพี่สาวที่บ้านหลังเก่า เขาเดินขึ้นบันใดเข้ามาในตัวบ้านพบกับป้าโซเฟีย

          “ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” ชายหนุ่มทักทายหญิงวัยหกสิบ

          ป้าโซเฟียเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลมาเซลล่าและคาร์ลอสตั้งแต่แบเบาะเรื่อยมาจนกระทั้งมารดาของทั้งสองแยกทางไปมีครอบครัวใหม่ นางไม่มีลูกจึงรักและเอ็นดูเด็กทั้งสองเหมือนลูกหลาน

          “รอคุณเควินไงคะ จะรับชาหรือกาแฟมั้ยคะ” ป้าโซเฟียถามเสียงอ่อนโยน

          เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ “ดึกแล้วผมไม่รบกวนป้าดีกว่า ฝันดีครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้นางแล้วหมุนตัวเดินขึ้นบันใด ป้าโซเฟียนึกอะไรได้บางอย่างจึงถาม

          “คุณเควินคะ...” เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียก ป้าโซเฟียมองชายหนุ่มรุ่นหลานแล้วนิ่งคิดก่อนตัดสินใจโพล่งประโยคในลำคอ “ผู้หญิงที่มากับคุณคือใครคะ” นางถามอย่างสงสัยเพราะไม่เคยเห็นชายหนุ่มพาผู้หญิงมาที่นี่นานมากตั้งแต่เรื่องวันนั้น

          คาร์ลอสนิ่งคิด “เอาไว้ทำความรู้จักเธอพรุ่งนี้นะครับ” เขาอยากเล่าให้ป้าโซเฟียฟังแต่สัญญากับมาเซลล่าและเดรโก้ไว้แล้วว่าความเป็นมาที่แท้จริงของญาณิศาต้องมีคนรู้แค่เพียงสามคนเท่านั้น นางยิ้มอย่างเข้าใจและบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจนพ้นประตู

          ป้าโซฟียก้าวยังไม่พ้นธรณีประตูหญิงสูงวัยได้ยินชายหนุ่มเรียก นางหันไปตามเสียงนั้นเห็นชายหนุ่มเดินลงมาจากบันได

          “ป้าครับพ่อถูกยิง” นางได้ยินเช่นนั้นแล้วยกมือขึ้นทาบอก ใครหนอช่างใจร้ายกับคุณผู้ชายได้ลงคอ

          ป้าโซเฟียถามต่อว่าปลอดภัยดีหรือไม่ ชายหนุ่มบอกว่าท่านพ้นขีดอันตรายแล้วถ้าอยากเยี่ยมพรุ่งนี้ไปเยี่ยมได้ที่โรงพยาบาล นางค่อยเบาใจแล้วจึงขอตัวกลับห้องพัก

          คาร์ลอสเดินขึ้นบันไดเลี้ยวขวาเดินตรงไปห้องนอน มือแตะลูกบิดแล้วแต่นึกได้ว่าเขาสั่งให้พยานสาวเปลี่ยนห้อง ‘ตอนนี้เธอทำตามคำสั่งหรือยัง’ คาร์ลอสคิดในใจก่อนซ้ายหันไปทางห้องของพยานสาว

          ชายหนุ่มเปิดประตูห้องของเธอพบว่าห้องมืดสนิทจึงคลำหาสวิสไฟข้างผนัง พอไฟในห้องสว่างเห็นร่างของหญิงสาวนอนห่อตัวอยู่ในผ้าห่มเพราะอากาศหนาว พอตกดึกอากาศของที่นี่จะลดต่ำลงเป็นธรรมดาเพราะอยู่ติดภูเขา ร่างสูงเดินมาหยุดที่ขอบเตียงแล้วย่อตัวลงนั่ง

          เศษผมปิดใบหน้ารูปไข่ขาวเนียนทำให้มองเห็นเจ้าของใบหน้าได้ไม่ชัดเจน นิ้วเรียวยาวไล่เกลี่ยเศษผมสีช็อกโกแลตให้พ้นตา เรียวคิ้วสวยได้รูปรับกับดวงหน้ารูปไข่ แพขนตาหนาดำปิดสนิทรองลงมาคือจมูกเล็กโด่งเป็นสันเรื่อยมาคือเรียวปากสวยเป็นกระจับสีดอกบัวใสน่าสัมผัส ชายหนุ่มรู้สึกตัวหลุดออกจากมนต์สะกดเมื่อญาณิศาพลิกตัวไปอีกด้าน

          ชายหนุ่มขยี้ศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงไม่ได้โมโหคนนอนบนเตียงแม้แต่น้อยแต่โมโหตัวเองมากกว่าที่ใจง่าย คาร์ลอสดึงผ้าห่มออกจากร่างของญาณิศา ปล่อยให้ร่างเล็กสัมผัสกับอากาศเย็นจนร่างคุดคู้หนีความหนาว

          “ตื่น” เสียงทุ่มออกคำสั่งพร้อมเขย่าร่างเล็กที่คุดคู้ เสียงอู้อี้บนอุบอิบในลำคอเมื่อถูกก่อกวน ผู้คุ้มครองหนุ่มออกคำสั่งเหมือนเดิมอีกครั้งเสียงดังขึ้นเล็กน้อยผลลัพธ์ที่ได้รับคือเงียบเชียบ

          คาร์ลอสไม่ต้องการให้เสียเวลามากกว่านี้เขาเองก็ง่วงนอนเหมือนกัน มองซ้ายมองขวาเห็นเหยือกน้ำกับแก้วตั้งอยู่บนหัวเตียงจึงตัดสินใจหยิบเหยือกน้ำขึ้นมาน้ำทั้งเหยือกพุ่งเข้าหน้าหญิงสาวดัง

          ซ่า!!...

          “ว้าย ฝนตก” ญาณิศาตกใจตื่นลืมตาโพล่งดีดตัวขึ้นนั่งตัวตรง หญิงสาวเอามือลูบหน้าที่เปียกโชกและมองหาที่มาของน้ำ มันมาได้อย่างไรในเมื่อที่นี่เป็นห้องนอนฝนมาจากที่ไหน

          คนบอกว่าฝนตกหันรีหันขวางสายตาเจอะกับขาคู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยตื่นเต็มตาไล่สายตาจากเท้าเรื่อยมาถึงแขนกำยำที่กอดอกในมือข้างหนึ่งถือเหยือกน้ำแต่เธอยังนึกไม่ออก มองเรื่อยขึ้นอีกจนถึงใบหน้า

          “นายสาดน้ำใส่หน้าฉันเหรอ” เธอแหวเสียงดัง ขายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเต็มใจ

           “ผมปลุกคุณดีๆ แต่คุณไม่ตื่นผมเลยต้องใช้วิธีนี้” เขาโชว์เหยือกในมือตีสีหน้าไม่รู้สึกผิดแล้วกอดอกมองเธอนิ่ง “ผมสั่งให้คุณเก็บของย้ายห้องทำหรือยัง”

           “ยัง” ญาณิศาตอบโดยไม่ต้องคิดมาก ในเมื่อไม่มีเหตุผลที่ต้องย้ายเธอจึงไม่เหตุผลที่ทำตาม

           “งั้นผมเก็บให้” เขาไม่ได้แค่พูดให้ลมลอยหายไปในอากาศ ชายหนุ่มก้าวไม่กี่ก้าวถึงตู้เสื้อผ้าเขาหยิบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาจัดการรวบเสื้อผ้าทั้งราวเข้าไว้ในมือเดียวแล้วยัดลงกระเป๋า ไม่เว้นแม้แต่ของใช้ส่วนตัวของหญิงสาว

            ญาณิศางงเป็นไก่ตาแตกกับคำพูดของเขาแต่แล้วความงงหายไปภายในพริบตาเมื่อเห็นผู้คุ้มครองกำลังจัดเก็บสัมภาระของเธอลงกระเป๋าอย่างรวดเร็วจนเธอทำตั้งตัวไม่ทัน

            “นายจะพากระเป๋าฉันไปไหน” สติของญาณิศากลับมาเข้าที่เหมือนเดิมเมื่อคาร์ลอสพากระเป๋าออกนอกห้อง เธอลุกขึ้นวิ่งตาม

            “พาไปห้องใหม่” เขาตอบเสียงเรียบแล้วเดินดุ่มๆ ไปที่ห้องใหม่พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ติดมือมาด้วย ญาณิศาอยากให้กระเป๋ามีขาเหลือเกินมันจะได้แตะคนลักพาตัวและวิ่งกลับมาหาเธอ

             เมื่อเดินมาถึงห้องใหม่คาร์ลอสวางกระเป๋าเดินทางลงบนพื้นแล้วบอกให้เธอจัดของเข้าที่ พยานสาวยืนสำรวจห้องใหม่มีเตียงนอนวางไว้ข้างหน้าต่างและคลุมด้วยผ้าปูที่นอนสีเทาเข้ม มีของใช้จัดวางอยู่ก่อนราวกับว่าห้องนี้มีคนอยู่ และเธอพบว่าห้องนี้มีคนที่ใช้ห้องอยู่ก่อนจริงเพราะกรอบรูปของเจ้าของห้องตั้งไว้บนชั้นตั้งโทรทัศน์

 

 

2/3

          “นี้มันห้องนาย” เธอหันไปมองเจ้าของห้อง “ทำไมฉันต้องนอนห้องนี้” พยานสาวถลึงตาใส่คนตัวสูงที่ยืนพิงกรอบประตูซึ่งทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว

          “คุณไม่มีหน้าที่ถามหน้าที่ของคุณคือแค่ทำตามที่ผมสั่ง” คนตัวสูงย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาว “เข้าใจไหม...เก็บของซะ” นิ้วชี้เรียวยาวจิ้มลงบนหน้าผากมน คาร์ลอสยืดตัวขึ้นหมุนตัวเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวบนราวตากผ้าแล้วเลี้ยวเข้าห้องน้ำ ญาณิศามองร่างผู้คุ้มครองจนเขาปิดประตูสนิท

          สั่งให้เธอเข้าใจหรือ...ไม่มีทาง ปากสั่งเธอได้แต่ให้เธอทำตามไม่มีวัน ญาณิศามองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทก่อนตัดสินใจจูงหูกระเป๋าลากไปที่ประตู มือเล็กแตะลูกบิดแต่ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินว่า

          “เก็บของให้เรียบร้อยก่อนผมอาบน้ำเสร็จ ถ้าคิดหนีละก็...” คาร์ลอสพูดค้างไว้ก่อนหลุบหายไปเมื่อพูดเสร็จ

          พยานสาวทำปากขมุบขมิบล้อเลียนสิ่งที่เขาพูดแล้วแลบลิ้นใส่บานประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทเป็นการบอกลา มือเล็กบิดลูกบิดเปิดประตูเดินออกจากห้องพร้อมกระเป๋าเดินทางกลับมาห้องเดิม พอถึงห้องเธอตั้งกระเป๋าไว้ข้างประตูและไม่ลืมกดล็อกลูกบิดจากนั้นเดินมาล้มตัวนอนบนเตียง

          คาร์ลอสอาบน้ำเช็ดตัวเสร็จแล้วพันผ้าเช็ดตัวไว้ท่อนล่างพอออกจากห้องน้ำพบว่าในโซนห้องนอนว่างเปล่าไร้ซึ่งร่างของพยานสาวเคลื่อนไหว

          ‘เธอขัดคำสั่ง’ เขากัดฟันกรอดและถอนหายใจแรงๆ หนึ่งครั้งก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินไปห้องเดิมของญาณิศา

          เขาพยายามบิดลูกบิดประตูห้องของหญิงสาวอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีท่าทีว่าลูกบิดคลายตัวจึงรู้ว่าเธอล็อกประตู เขาเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหากุญแจไขห้อง เมื่อเจอเขายืนหาดอกกุญแจที่อยู่ในพวงใหญ่ที่ตรงกับลูกบิดครู่ใหญ่จนพบและไขเข้าไป ภายในห้องมืดสนิทคาร์ลอสคลำหาสวิสไฟบนผนังแล้วกดเปิดร่างสูงย่างสามขุมเข้ามาข้างเตียง

          “ตื่นเดี๋ยวนี้” เขาเขย่าร่างเธอแรงๆ จนเธอรู้สึกตัวตื่น ญาณิศามองคนก่อกวนเล็กน้อยก่อนปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง

เขาไม่อยากสนทนามากมายคาร์ลอสดึงแขนข้างหนึ่งให้ร่างเธอนั่งตรงก่อนจะตวัดคนตัวเล็กขึ้นพาดไว้บนบ่าข้างเดียวแล้วออกเดิน ครานี้ญาณิศาตื่นเต็มตาอีกครั้ง

          “ปล่อยช้านนน” ญาณิศาดิ้นสุดกำลัง สองมือน้อยทุบและข่วนหลังของชายหนุ่ม

          ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเกิดขึ้นที่หลังแต่เขายังกัดฟันทนปวดเดินต่อไปจนถึงห้องนอน คาร์ลอสทุ่มร่างที่อยู่บนไหล่ลงบนเตียงดังตุ้บ! ใบหน้ารูปไข่เหยเก

          “ทำไมฉันต้องนอนห้องนาย” ญาณิศาตะคอกถามคำถามที่คนตอบยังไม่สามารถหาคำตอบได้

          “ถ้าอยากรู้คำตอบคุณต้องนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าคุณรู้แน่”

          “ค่อยบอกพรุ่งนี้ก็ได้” ญาณิศาง่วงจะแย่นี้ต้องเดินไปมาเพราะเปลี่ยนห้อง เขาไม่เหนื่อยบ้างหรือ

          “นอนซะพรุ่งนี้ผมจะบอก” เขาล็อกประตูและเอื้อมมือกดปิดสวิสไฟก่อนเดินมาล้มตัวลงนอน คาร์ลอสเห็นพยานสาวยังนั่งตัวตรงเขาจึงกดศีรษะเธอให้นอนลงบนหมอน

          “เอาผ้าห่มของนายออกไป” ญาณิศาสะบัดผืนผ้าที่มาโปะบนร่างออกราวกับรังเกียจ เธอพลิกตัวหันหน้าไปอีกทาง

          “ตกดึกอากาศหนาวห่มซะ” เขายื่นชายผ้านวมให้เธอ

          “ฉันชอบอากาศหนาว” เธอว่าอย่างยโสก่อนบัดผืนผ้านวมพ้นจากร่าง

          ผู้คุ้มครองดึงผ้านวมกลับ ตามด้วยคลี่ผ้านวมคลุมร่างตัวเองเขามองแผ่นหลังเล็กของคนที่นอนหันหลังให้เล็กน้อย ‘ไม่อยากห่มก็ไม่ต้องห่ม’ ชายหนุ่มบ่นในใจแล้วเปลือกตาค่อยๆ ปิดลงเพราะอาการหนักเปลือกตาเข้าคลอบคลุมบวกกับเวลานี้เป็นเวลาดึกสงัดและพรุ่งนี้เขามีงานแต่เช้า

          อาการหลับไหลใกล้จมลงสู่ภวังค์แต่มีแรงดึงบางอย่างดึงให้เขาออกจากการจมลงสู่ภวังค์ แรงดึงทางขวามือถี่ขึ้นเขารั้งผ้าห่มไว้แต่อีกฝ่ายออกแรงเพิ่มขึ้นอีกเป็นสองเท่า เขาออกแรงดึงผ้าห่มกลับมาเข้าหาตัวและรวบผ้าห่มทั้งผืนไว้กับตัวเอง คนนอนทางขวามือมีเพียงชุดนอนบางๆเท่านั้นที่ปกคลุมร่างกาย

          ‘แกล้งหรือเปล่า’ เขาคิดในใจและคอยสังเกตพฤติกรรม

          สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจากอากาศหนาวของเธอทำงานเพราะอุณหภูมิลดต่ำลงทุกนาที เท้าคู่เล็กชอนไชเข้าใต้กองผ้าเพื่อหาที่อุ่นพอได้ที่อุ่นแขนสองข้างเหวี่ยงซ้ายทีขวาทีทั้งที่ยังหลับตา คาร์ลอสดึงผ้าที่คลุมเท้าเธอออกปล่อยให้เท้าคู่เล็กสัมผัสกับอากาศหนาว เขาลุกออกจากเตียงเพื่อเปลี่ยนไปนอนบนโซฟา

          ‘อยากรู้จริงว่าจะเก่งอย่างที่พูดหรือเปล่า’ คาร์ลอสยกผ้านวมขึ้นคลุมร่างก่อนปิดเปลือกตา ตาปิดแล้วแต่สมองยังทำงานมันบอกเขาว่า

          ...ไม่เป็นห่วงเธอบ้างเหรออากาศหนาวขนาดนี้เดี๋ยวเธอไม่สบายนะ

          เขาปัดสิ่งที่สมองกำลังตะโกนบอกโดยการนับหนึ่งสองสามไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ผลเมื่อเสียงสมองมันดังกว่าคาร์ลอสเลิกผืนผ้านวมออกจากร่างแล้วเดินมาที่เตียงพร้อมผ้าห่ม  มือหนาสัมผัสแขนเธอพบว่าร่างเล็กสั่นเทาผิวเนื้อเย็นเฉียบจนน่ากลัวคาร์ลอสคลี่ผ้านวมคลุมร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาจากความหนาว

 

          อีกซีกหนึ่งของดาวโลกในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน ประเทศไทย ในบ้านหนังหนึ่งมีคนกำลังนั่งคุยกันในห้องรับแขก

          “เรื่องที่เราตกลงกันไว้เป็นยังไงบ้างครับ” ผู้มาเยือนส่งยิ้มเป็นไมตรีให้แก่เจ้าของบ้านและเปิดประเด็นในสิ่งที่ตนอยากทราบทันที รอยยิ้มที่ส่งให้ดูว่าเป็นมิตรแต่เจ้าของบ้านทราบดีว่าเป็นมิตรแค่เพียงเรื่องเงินทองเท่านั้น

ชายอายุหกสิบตอนต้นยิ้มบางๆ ให้ผู้มาเยือน

          “เรียบร้อยดีครับสิ้นเดือนนี้ครบแน่นอนครับเสี่ย” คุณฐิติพันธ์ พิพัฒนาเมธีเอ่ยอย่างนอบน้อมกับเสี่ย

          “แล้วผมจะคอยดู” เสี่ยชัยโรจน์ถอนหายใจก่อนกดมุมปาก

          คุณคุณฐิติพันธ์พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวอีกสามคนยิ้มรับก่อนลุกขึ้นเดินไปส่งเสี่ยหน้าบ้าน  เจ้าของบ้านทั้งสี่คนมองรถซีดานสันชาติยุโรปสีน้ำดำวาวแล่นพ้นประตูรั้วบ้านไปจนลับสายตาและทั้งหมดจึงเดินกลับเข้ามาในบ้าน

          ชัยโรจน์ ฉัตตราพัตรหรือเสี่ยที่ทุกคนรู้คือเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอดีตนักการเมืองท้องถิ่น

          “ติดต่อยัยสาได้บ้างไหม” คุณฐิติพันธ์เดินมาหยุดที่โซฟาตัวใหญ่ก่อนทรุดร่างลงนั่ง น้ำเสียงร้อนรนของผู้ปกครองครอบครัวทำให้สมาชิกอีกสามชีวิตไม่กล้าเอ่ยปากพูดทำได้เพียงนั่งมองมือตัวเอง ผู้ปกครองกวาดสายตามองดูสมาชิก

          “ผมยังติดต่อเจ๊ใหญ่ไม่ได้เลยครับป๊า” อาทิตย์ พิพัฒนาเมธีลูกชายคนเล็กของบ้านตอบไม่ค่อยเต็มเสียง คุณฐิติพันธ์ผละสายตาจากลูกชายมามองภรรยา

          “ลูกไม่ได้ติดต่อมาเลยค่ะเฮีย” คุณชมนาด พิพัฒนาเมธีผู้เป็นภรรยาตอบเสร็จก้มมองมือตัวเองอีกครั้ง

          หัวหน้าครอบครัวหันหน้ามาทางลูกสาวฝาแฝดผู้น้อง ส่งสายตาตั้งคำถาม

          “ทรายไม่รู้และไม่เคยติดต่อเจ๊ใหญ่” หญิงสาวรูปหน้าแบบเดียวกับเจ๊ใหญ่หรือญาณิศาตอบอย่างไม่ยี่หระกับความเป็นไปของพี่สาวที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันหายตัวไปจากบ้าน

          หากมารดาไม่เตือนเธอว่าให้เรียกญาณิศาว่าเจ๊ใหญ่เธอไม่มีวันจะปริปากเรียกเด็ดขาดเพราะญาณิศาเกิดวันเดือนปีเดียวกับเธอแต่เกิดก่อนเธอเพียงสิบนาที

          “ยัยทราย” มารดาขึ้นเสียงปรามลูกสาวฝาแฝดผู้น้อง สาวน้อยแบะปากอย่างไม่ใส่ใจเสียงมารดา

          “ป๊าเป็นห่วงที่เจ๊ใหญ่หายไปเพราะไม่มีอะไรไปใช่คืนเสี่ยแทนเงินละสิ” ญาศิตา พิพัฒาเมธีผู้เป็นลูกสาวคนที่สองมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งการเวลาอย่างไม่เกรง คุณคุณฐิติพันธ์มองลูกสาวนิ่งเฉยแต่ในส่วนลึกรู้สึกจุกอกกับคำพูดของลูกสาวคนรอง

          “ถ้าป๊าไม่มีเงินจ่ายเสี่ยป๊าต้องให้เจ๊ใหญ่ใช้หนี้แทนใช้มั้ย” หญิงสาวกดมุมปากยิ้มพราว

          เรื่องหนี้สินของครอบครัวพิพัฒนาเมธีสมาชิกทุกคนรู้เห็นความจริงทั้งหมดยกเว้นเพียงญาณิศาที่ไม่ทราบความจริงเรื่องนี้ เมื่อผู้เป็นบิดาต้องการให้ลูกสาวคนโตชดใช้หนี้สินโดยการแต่งงานกับเสี่ยชัยโรจน์ ฉัตตราพัตรเธอจึงหนีออกจากบ้าน

           “มันสมควรแล้วละค่ะที่เจ๊ใหญ่ต้องชดใช้เพราะเจ๊ใหญ่ทำให้ครอบครัวต้องเป็นหนี้” ญาศิตายืดแผ่นหลังตั้งตรงก่อนยันร่างขึ้นตรงก่อนเดินออกไป

          “เจ๊เล็กจะไปไหนครับ” น้องชายคนสุดท้องทักพี่สาวคนกลางเมื่อเห็นเธอเดินเกือบพ้นประตูห้องนั่งเล่น

“ไปเที่ยวสิ” ญาศิตาเอ่ยเสียงห้วนจัด

          ทุกคนมองตามแผ่นหลังเล็กของลูกสาวคนรองของบ้านที่เดินหายออกไปจากห้องนั่งเล่น แม้ว่าญาณิศาและญาศิตาเป็นพี่น้องฝาแฝดแท้ที่คลานตามกันออกมาจากท้องมารดาคนเดียวกันแต่ญาศิตามีลักษณะนิสัยที่แตกต่างไปจากญาณิศาโดยสิ้นเชิง ทั้งบิดาและมารดารักลูกทั้งสามคนเท่ากันแต่สำหรับญาศิตาเธอรู้สึกว่ายังน้อยเกินไป

           

          ไออุ่นยามเช้าของดวงอาทิตย์ในวันใหม่เข้ามาแทนที่อากาศเย็นเยือกของเมื่อคืนจนหมดสิ้น แสงสีส้มเจิดจ้าปลุกคนนอนคุดร่างอยู่ใต้ผ่านวมให้เบิกตาตื่น ญาณิศาเท้ามือบนเตียงนอนเตรียมลุกขึ้นแต่รู้มีบางอย่างพาดร่าของเธอตรงช่วงสะเอว

          “นี่นายปล่อยฉัน” เสียงแหลมแว้ดเสียงใส่หน้าชายหนุ่มจนเขาต้องเบิกตาตื่น เขาผละแขนออกจากเอวเล็กของเธอแล้วพลิกตัวไปอีกข้าง

          “เหอะ กระเทยอย่างคุณหวงตัวเป็นด้วยเหรอ” เขาพูดทั้งหลับตาและเรียวปากยิ้มเย้ย

          ผัวะ!

          “โอ๊ย!”

          กำปั้นเล็กฟาดลงบนแผ่นหลังหนากว้างเต็มแรงจนเจ้าของแผ่นหลังร้องโอดโอย ญาณิศารีบลุกพรวดขึ้นจากเตียงนอนเกรงว่าจะถูกเอาคืน

          “เดี๋ยว”

          ร่างเล็กสะดุ้งโหยงเพราะน้ำเสียงต่ำของชายหนุ่มเอ่ยเย็นเยือกจนเธอเกรงว่าเขาคิดแค้นใจที่ถูกทำร้าย ญาณิศาสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วกลับหลังหัน

          “อะไร” ญาณิศายืดอกพูด ร่างสูงขึ้นจากเตียงนอนเดินตรงมาทางหญิงสาว

          “ผมมีเรื่องต้องพูดกับคุณ” ร่างสูงเดินมาใกล้ร่างเล็ก หญิงสาวขยับตัวออกห่างเล็กน้อย

         “เมื่อคุณมาอยู่ที่นี้ห้ามให้ใครรู้สถานะที่แท้จริงของคุณเป็นอันขาด” คาร์ลอสเอ่ยน้ำเสียงและแววตาจริงจังจนคนฟังเริ่มหวั่นใจ ในแววตาของเธอมีแต่คำถามว่าทำไม

         “สถานะของคุณตอนนี้ไม่ได้เป็นผู้หญิงธรรมดา ดังนั้นเรื่องที่คุณเป็นพยานควรเป็นความลับ...”  หญิงสาวตั้งใจฟังในสิ่งที่ผู้คุ้มครองกำลังบอก

 

 

*************************************************

นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการผู้เขียน เพื่อทำความฝันของ นัก(อยาก)เขียน

ให้สำเร็จ ด้วยการลงมือเขียน เขียนแล้วอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ นักอ่าน

เพื่อสร้างความสนุก ความบันเทิงให้กับนักอ่านที่น่ารักทุกคน

ทั้งนี้...มิได้มีเจตนาพาดพิงผู้ใดโดยมิได้ตั้งใจ ตัวละครมิได้มีตัวตนอยู่จริงๆ

และบุคคลในภาพก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานเขียนชิ้นนี้

หากชื่อตัวละครชื่อพ้องกับชื่อผู้ใด ทางผู้เขียนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

 

ขอขอบพระคุณในการติดตาม ^^

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา