Eternal Night The second of heartbeat.

7.7

เขียนโดย Rafael

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 02.50 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.12K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) HEART BEAT second 01

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

HEART BEAT second 01

Raf Rafael

 

           “ลุคกำลังจะกลับอังกฤษแล้วหรอ...ปีนึงเนี่ย ไวจังน้า” เสียงเรย์บ่นพึมพำขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร นัยน์ตาสีมรกตกำลังทอดมองออกไปไกล มองแล้วเหมือนตาลุงที่กำลังรำพึงรำพันถึงเรื่องเก่าๆในอดีต

“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ” โอ๊ะ! ยูถึงกับเอ่ยปากขึ้นมาเองเชียวนะ ปกติแล้ววันๆหนึ่งยูพูดน้อยจนแทบนับคำได้เลย

“ขอบคุณครับ พี่ยู” หลังจากกลืนอาหารลงคอแล้วเรียบร้อย ลูคัสเหยียดริมฝีปากอย่างเต็มที่ ใบหน้าแต้มไปด้วยความปิติยินดี

“ที่พวกพี่ดูแลผมมาตลอด ขอบคุณมากครับ”

“ไม่ต้องเป็นพิธีรีตองก็ได้ ว่างๆก็มาเยี่ยมกันบ้างนะ” เรย์หันไปต่อบทสนทนากับลุคทันทีโดยไม่ลืมคว้าซาชิมิชิ้นสวยเข้าปากไปด้วย

“ใจหายเลยน้า จะไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วยกันแล้วสิ” นี่ก็อีกคน...เคลนพูดเหมือนจะจากกันชั่วชีวิตอย่างนั้นละ

“ติดต่อมาบ้างนะ” เคลนพูดเสริมพลางขยับจานซาชิมิเข้าไปใกล้ลูคัสอีกหน่อย ทั้งๆที่ในจานแบ่งของลุคมีอาหารมากหน้าหลายตาเรียงรายอยู่บนนั้น จานของผมยังว่างแท้ๆ เคลนกลับไม่แยแสพี่ชายเลยสักนิด

“กลับไปคงคิดถึงกับข้าวฝีมือพี่เคลน แย่เลยครับ” พอลูคัสเอ่ยปากชม ใบหน้าของเคลนก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเปี่ยมไปด้วยความสุขจนน่าหมั่นไส้

“พวกพี่ก็พยายามเข้านะครับ ผมจะติดตามผลงานพวกพี่ แน่นอน!” ผมนั่งท้าวคางกวาดนัยน์ตาสีแดงมองสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารพลางคลี่ยิ้มให้กับภาพเบื้องหน้า แลดูเหมือนเหล่าพี่ชายที่กำลังประคบประหงมน้องเล็กอยู่ก็ไม่ปาน

“บลัดเหงาแย่เลยดิ ไม่มีลุคมาช่วยตีคอร์ดกีตาร์” ผมส่งเสียงหัวเราะให้กับคำของเรย์เบาๆ ทอดสายตามองลูคัสอย่างเงียบๆ แก้มทั้งสองข้างกำลังเคี้ยวตุ้ยด้วยใบหน้ามีความสุขแค่เห็นก็อิ่มใจ

“พี่บลัดเก่งจะตายไปครับ” น้ำเสียงของลุคเต็มไปด้วยความชื่นชมจนตัวแทบลอย ผมเพียงแค่คลี่ยิ้มกว้างขึ้นตอบลุคไปเท่านั้น ถ้าหากแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้าเกรงว่าเรย์คงเอ่ยปากแซวไม่หยุดเป็นแน่

“เก็บของเรียบร้อยรึยัง ขาดอะไรอีกมั้ย” ลุคพยักหน้าตอบทั้งๆที่ริมฝีปากยังขยับเคี้ยวหยุบหยับไม่หยุด

“น่าเสียดายที่เอาขนมฝีมือพี่บลัดกลับไปด้วยไม่ไหว ไม่งั้นลอเรนคงดีใจน่าดู” ลุคนี่...ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะคิดถึงพี่สาวของเขาอยู่ตลอด กลายเป็นชื่อติดปากที่พวกเราได้ยินจนชินหู

“งั้น!! เดินทางดีๆนะ ลูคัส! คัมปาย!” เรย์โพล่งขึ้นกลางโต๊ะอาหารพลางยกแก้วเครื่องดื่มของตนเองขึ้น เรียกให้ทุกคนยกแก้วขึ้นตามก่อนจะกระทบปากแก้วเข้าด้วยกันจนเสียงดัง ‘เคร้ง!’ แทนเสียงการอวยพรจากพี่ชายต่างสายเลือดทั้งสี่คน

 

หลังจากปล่อยให้เรย์กับยูร่ำลาลุคอยู่พักใหญ่ ทั้งสองคนก็แยกย้ายกลับคอนโดไปเรียบร้อย ผมกับเคลนถึงได้จัดการล้างจานชามอันมหาศาลที่กองรวมกันอยู่ในซิงค์ล้างจานสีเงินยวง

“พี่บลัด! พี่เคลน!” ลูคัสส่งเสียงนำเข้ามาในครัวก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามา ผมหันไปส่งเสียงตอบรับลุคเบาๆ ระหว่างรับจานที่ล้านจนหมดจดจากเคลน มาเช็ดน้ำที่เกาะพราวออกอย่างเบามือ

“คืนนี้ผมขอนอนนี่ได้มั้ยครับ”

“มาดิ ปูฟูกกลางห้องรับแขกเนี่ยละ” ผมเอ่ยรับคำ เคลนส่งยิ้มไปให้ลุคด้วยอีกคนแทนคำอนุญาต พรุ่งนี้ลุคจะกลับอังกฤษแล้ว ห้อง 801 ของเราสองคนคงเหงากันน่าดู

“งั้นผมกลับไปอาบน้ำที่ห้องก่อน แล้วจะยกฟูกมานะครับ” ลุคอยู่ห้อง 802 ข้างห้องเรานี่เอง ส่วนผมกับน้องชายเป็นเจ้าของห้อง 801 ห้องแรกชิดติดริมโถงทางเดินจึงมีเพื่อนข้างห้องแค่ห้องของลุคเพียงห้องเดียว

บ้านเราเป็นคอนโดหรูชานเมืองโตเกียว ครั้งแรกที่เห็นราคาค่าห้อง ผมหันไปจ้องพ่อกับแม่อยู่นานเพราะราคาไม่น่ารักเลยสักนิด แต่พวกท่านกลับบอกว่าแลกกับสวัสดิการของลูกบ้านที่ดีเยี่ยม มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยทันสมัยพวกท่านเลยตัดสินจ่ายค่าห้องแพงหูฉี่ให้ผม ก่อนที่เคลนจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยในปีต่อมา

พวกเราทั้งหมดเป็นนักเรียนมัธยมโรงเรียนเดียวกันกับที่รับลูคัสเป็นนักเรียกแลกเปลี่ยน

ลุคสนใจดนตรีเป็นพิเศษ ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องชมรมดนตรีของพวกเราอย่างกระตือรือร้น สุดท้ายลูคัสก็ได้รับความเอ็นดูจากรุ่นพี่ทั้งสี่จนยกระดับจากรุ่นพี่กลายเป็นพี่ชายต่างสายเลือดไป

ผมถึงได้รู้จักคำว่า ‘โลกกลม’ เมื่อรับรู้ว่านักเรียนแลกเปลี่ยนจากอังกฤษกลายเป็นเพื่อนข้างห้องที่เพิ่งย้ายเข้ามาก่อนเปิดเทอมไม่นานนัก

ถือซะว่าคืนนี้มานอนรวมกันแทนคำอำลาจากพี่ชายข้างห้องทั้งสองคนเลยแล้วกัน

 

“ผมจะมาเรียนต่อที่นี่ให้ได้เลยครับ” ลูคัสเอ่ยปากเจื้อยแจ้วมาตลอดทางจนกระทั่งพวกเราเดินทางมาถึงสนามบิน เขายังส่งรอยยิ้มสดใสมาให้เหมือนเคย ผมเอื้อมมือไปขยี้เรือนผมสีวอลนัทของลูคัสเบาๆแทนคำกล่าวลา

            “เอาไว้เดี๋ยวก็ได้เจอกันเนอะ” เคลนน้องชายของผมรับคำ ถึงแม้พวกเราจะไม่มีความเกี่ยวดองกันทางสายเลือด แต่ผมกับเคลนรู้สึกเหมือนมีน้องชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน ผมมักจะกลับบ้านดึกเพราะมีงานที่ร้านเบเกอรี่

ไม่เหมือนเคลนกับลูคัส สองคนนี้มีเวลาเล่นด้วยกันจนสนิทกันน่าดู เคลนเอ็นดูเด็กคนนี้มาก เพียงแค่มองดูก็เข้าใจพาลให้ผู้เฝ้ามองเศร้าใจกับการจากลาครั้งนี้ไปด้วย

            “เดินทางดีๆ” ผมแทรกบทสนทนาอำลาล้านแปดของเคลนขึ้นมา ลูคัสหันมายิ้มให้พลางพยักหน้าน้อยๆ  ใจหายเหมือนกันนะ

            สุดท้ายผมกับเคลนได้แต่ยืนโบกมือให้น้องชายจากอังกฤษไกลๆจากด้านนอกเกท ลูคัสหันมาโบกมือให้อยู่นาน ก่อนจะหมุนตัวรีบวิ่งเข้าไปด้านใน เคลนทอดสายตาจ้องมองเกทสนามบินพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูเป็นกังวลน่าดู ราวกับคุณพ่อที่โดนพรากลูกน้อยออกจากอก เหอะ! ถ้าฉันไม่อยู่บ้าง มันจะกังวลขนาดนี้ไหมวะ... ก็แค่คิดละนะ

            “กลับกันได้ละ...ปะ!” ผมวางมือลงบนเรือนผมสีขาวประกายฟ้าของเคลน ก่อนจะจับกะโหลกน้อยๆของน้องชายหันขวับไปที่ทางออก เคลนหันมาร้องโอดโอยเป็นการใหญ่ คอเคล็ดรึเปล่าไม่มั่นใจ

            “จำไว้เลย เดี๋ยวเย็นนี้ไม่ต้องกินข้าว” เคลนใช้นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนนั่นจ้องมองอย่างคาดโทษ

            “ไม่ให้กิน อาทิตย์หน้าไม่ให้เงินเดือน!”

            เท่านั้นละ...มันกลายเป็นฝ่ายต้องตามง้อพี่ชายจนถึงบ้านแทน

 

 

แสงแดดยามเช้ายังไม่ทันเฉิดฉายขึ้นบนท้องนภา ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่อยู่เต็มท้องถนน ตึกสูงเสียดฟ้าเบียดตัวกันแน่นบนถนนสายยาว เสียงโฆษณาจากทีวีจอยักษ์ท่ามกลางสี่แยกขนาดใหญ่กำลังส่งเสียงแข่งกับเสียงของผู้คนเบื้องล่าง แม้ว่าเสียงจากจอทีวีจะดังสักแค่ไหนกลับไม่มีใคร ใคร่สนใจจะแหงนหน้าขึ้นมอง เมื่อเวลานี้ทุกคนต่างรีบเร่งสาวเท้าเพื่อเริ่มต้นกิจวัตรประจำวัน

มหานครอันยิ่งใหญ่ที่เติบโตท่ามกลางวัฒนธรรมอันเก่าแก่...มหานครโตเกียว

            แม้ว่าวันเวลาจะล่วงเลยมาถึงสองปีเต็ม มหานครนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เวลาเป็นสิ่งที่ผ่านไปเร็วราวกับโกหก ยังรู้สึกราวกับเพิ่งจะส่งลูคัสกลับอังกฤษไปเมื่อวาน

            วันนี้ผมตื่นเช้ามากกว่าปกติ จริงๆแทบจะนอนไม่หลับเลยมากกว่า เพราะมัวแต่กังวลว่าจะสอบติดมหาวิทยาลัยที่หวังไว้หรือเปล่า ถึงได้มานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้าเพื่อรอลุ้นรายชื่อนักศึกษาที่ได้รับสิทธิ์เข้าศึกษาต่อ ภายในอกเต้นตึกตักอย่างลุ้นระทึกจนไม่อาจหยุดมือที่กำลังกดรีเฟสหน้าเว็บไซต์มหา’ลัยได้เลย กดต่ออีกสักสิบรอบน่าจะครบร้อย ตื่นเต้นจนแทบนั่งไม่ติดที่... เพราะถ้าสอบไม่ติดละก็ มีหวังแม่เรียกตัวกลับบ้านนอก ชัวร์!

            “กินไรปะ พี่” เสียงเคลนดังมาจากห้องรับแขกด้านนอก มันคงได้ยินเสียงว่าผมตื่นแล้วมั้ง

            “อะไรก็ได้” ผมตอบเคลนกลับไป ก่อนจะได้ยินเสียง ‘ก๊อกแก๊ก’ ในครัว ผมไม่ได้สนใจน้องเท่าไหร่ ได้แต่จ้องหน้าเว็บเขม็ง จนมีกระทู้ใหม่บนหน้าเว็บขึ้นมาจนได้ ประกาศผลแล้ว!!

            ผมไล่สายตามองรายชื่อทีละชื่อ ไม่อยากหาจากเลขประจำตัวเท่าไหร่ กลัวรู้ผลเร็วแล้วจะช็อก สายตาสะดุดกับชื่อหนึ่งเข้าอย่างจัง

            ‘ครอว์ฟอร์ด ลอเรน’

            ไม่ใช่คนญี่ปุ่นแน่นอน ดูแล้วน่าจะชาวต่างชาติ แต่ในห้องสอบของเรามีชาวต่างชาติด้วยหรอ หรือวันนั้นผมไม่ทันได้สังเกตรอบข้าง วันสอบคิดว่าใครๆก็คงเครียดจนไม่มีเวลาไปสนคนรอบตัวหรอก...ละมั้งนะ

            ผมไล่ดูรายชื่อต่อไปอีกหน่อย จึงได้เห็นชื่อตัวเองเข้า โล่งอก!! ในที่สุดก็เป็นนักศึกษาเต็มตัว ผมเสยเรือนผมสีขาวเงินของตัวเองขึ้น พลางหลุบนัยน์ตาสีแดงสดลงอย่างโล่งใจ

            เอาละ...ลากเคลนไปซื้อเสื้อผ้ากันดีกว่า

 

            หลังจากพวกเราขับรถไปพลาง เคลนเอ่ยขึ้นมาว่า ลูคัสกำลังจะกลับมาเรียนต่อที่นี่ ผมตกใจระคนดีใจ เป็นข่าวที่คาดไม่ถึงจริงๆ ลูคัสหรอ...ป่านนี้น้องชายของพวกเราคงโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ

ลุคเด็กกว่าเคลนหนึ่งปี เคลนอยู่มอปลายปีสามแล้ว ลุคคงอยู่มอปลายปีสอง ผมอดเหลือบมองน้องชายตัวเองไม่ได้ เดี๋ยวนี้เคลนไว้ผมยาวจนผมด้านหลังเริ่มยาวลงมาถึงปกเสื้อ ผมหน้าข้างหนึ่งทัดใบหูไว้หลวมๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งปล่อยยาวลงมาขับให้ใบหน้าดูหวานขึ้นเยอะ มันดูเป็นหนุ่มมากกว่าแต่ก่อนขึ้นจมแถมดังในโรงเรียนน่าดู

เพราะเคลนเนี่ยแหละ เอาพี่ชายตัวเองไปขายในโรงเรียนจนผมก็มีแฟนคลับอยู่บ้าง วันจบการศึกษาเป็นวันที่เหนื่อยมากจริงๆ เสื้อแทบจะโดนทึ้งถอดออกไปทั้งตัวแม้แต่เนคไทยังไม่เว้น สาวๆเนี่ยน่ากลัวมาก ไหนจะเหล่าสาวน้อยที่มาสารภาพรักกันวันสุดท้าย เพราะรุ่นพี่เรียนจบแล้ว มันชวนปวดขมับจนยาแก้ปวดหัวทั้งแผงก็เอาไม่อยู่

เพียงแค่คิดถึงก็ขยาดสาวๆไปอีกนาน

“ขอตัวนี้สองตัวครับ แล้วก็ขอดูตัวสีน้ำเงินตรงนั้นหน่อยครับ” เคลนกำลังจัดการเลือกเสื้อเชิ้ตให้พี่ชายอย่างช่ำชอง แม้แต่ไซส์ก็ไม่จำเป็นต้องถาม ผมเคยซื้อเสื้อผ้าเองที่ไหนกันละ...ก็เคลนนี่ละเป็นคนจัดการให้ล้วนๆ เสมือนมีคุณแม่ในร่างน้องชายตามมาดูแลถึงเมืองหลวง

ผมเหล่นัยน์ตาสีแดงจ้องมองนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่กำลังจับจ้องเลือกสีเสื้ออย่างตั้งอกตั้งใจ

เคลนยังโตขึ้นขนาดนี้ ลุคคงเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วสินะ

 

            หลังจากนั้นสองสัปดาห์  พรุ่งนี้เป็นวันปฐมนิเทศของมหาลัยมหาวิทยาลัย ผมตื่นเต้นอยู่ในอกที่ต้องออกไปพบเจอผู้คนที่ไม่รู้จักเลยสักคน คิดไปพลางอบขนมไปพลาง ระหว่างที่กำลังตั้งใจควบคุมอุณหภูมิในเตาอบขนม เถ้าแก่ก็เข้ามาเรียกตรงประตูทางเข้าครัว

            “สึกิฮิโตะคุง ออกมาประจำเคาน์เตอร์ แทนยายแกแป๊บนึงสิ”

ผมนิ่งค้างไปนานเพราะงานรับลูกค้าเป็นอะไรที่ไม่ถนัดเลยแม้แต่นิดเดียว ปกติคุณซาโยะ ภรรยาเถ้าแก่จะเป็นคนรับผิดชอบงานหน้าร้าน ส่วนผมกับเถ้าแก่จะเป็นคนคอยอบขนมอยู่หลังร้าน แต่เถ้าแก่ว่ามางั้น ลูกจ้างมีสิทธิ์เรียกร้องรึ

            ผมออกมานั่งตรงเคาน์เตอร์คิดเงินแทนคุณซาโยะ พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพราะลูกค้าในร้านมีไม่มาก ผมเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง ป่านนี้เคลนน่าจะกลับมาถึงห้องแล้วละมั้ง วันนี้เขาอาสาออกไปรับลุคที่สนามบิน แต่ผมไม่อยากทิ้งสองตายาย ทำงานอยู่ในร้านเบเกอรี่เล็กๆนี่แค่สองคน ยิ่งช่วงนี้เถ้าแก่ ก็แก่ตัวลง หยิบจับอะไรก็มีเสียงกระดูกลั่นเปรี๊ยะไปทั่วร่าง ผมเลยมานั่งอยู่ในร้านที่ทำงานพิเศษแทนที่จะไปรับลุค

            “How much?” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดึงสติกลับมา แต่ที่ทำให้รู้สึกฉงนคือเธอไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่น ในประเทศญี่ปุ่น ผมมองเธออยู่พักหนึ่งเพราะเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนแบบนี้ทำให้นึกถึงลุค แถมนัยน์ตาฟ้าน้ำทะเลที่สดใสแวววาวราวกับทะเลที่ต้องแสงอาทิตย์ ผิวขาวละเอียดราวกับไม่เคยต้องแสงตะวันมาก่อน องค์รวมทั้งหมดของเธอทำให้ละสายตาออกไปไม่ได้ จนเธอย้ำถามราคาอีกครั้ง ผมถึงได้รู้สึกตัว

            “1240 Yen” ผมตอบเธอกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ เธอหยิบเงินวางบนถาดพลางยิ้มให้ รอยยิ้มสดใสนั่นทำให้นิ่งค้างไปสองสามวิ ก่อนจะทอนเงินให้เธอพลางพูดถึงวิธีรักษาขนมปังให้เธอฟังเป็นภาษาอังกฤษ

            เธอกล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกจากร้านไปเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณยายซาโยะเดินกลับเข้ามาในร้าน คุณซาโยะส่งน้ำอัดลมให้ผมขวดหนึ่งแทนคำขอบคุณ

“พักสักหน่อยนะจ้ะ บลัดคุง” ผมยิ้มรับก่อนยื่นมือออกไปรับขวดน้ำอัดลมพลางค้อมตัวลงขอบคุณ ก่อนมุดหายเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว

 

            กว่าจะกลับมาถึงคอนโดก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม ปกติไม่ได้เลิกงานดึกขนาดนี้ แต่วันนี้ต้องทำความสะอาดร้านกันครั้งใหญ่ จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่น เหนื่อยสายตัวแทบขาด ผมเดินตามทางเดินมาจนถึงห้อง 802 ห้องของลูคัส เขาน่าจะมาถึงแล้วกำลังจัดของอยู่รึเปล่านะ

ผมยืนครุ่นคิดอยู่หน้าประตูห้องของลุคสักพักว่าควรจะเคาะดีรึเปล่า ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เขาเพิ่งเดินทางมาถึงคงเมื่อยล้าและเพลียไม่น้อย ผมจึงตัดสินใจเดินเลยไปเข้าห้อง 801 แทน

            “กลับมาแล้ว” ผมพูดขึ้นตอนเปิดประตูห้อง เคลนขานรับมาจากห้องรับแขกพร้อมกับอีกเสียงหนึ่ง ผมจำเสียงนั้นได้แทบจะทันที เสียงของลุค กลับมาถึงก็ย้อนความหลังนั่งเล่นเกมกับเคลนเลยนะ

            ลุคส่งยิ้มมาให้ทันทีที่ผมเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องรับแขก เขาดูโตขึ้นจากลูคัสในความทรงจำของผมจริงๆ ผมด้านหลังยาวลงมาถึงปกเสื้อ ผมด้านหน้าปล่อยละข้างแก้ม ผมหยักศกเล็กน้อยดูเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลที่เต็มไปด้วยประกายความซุกซน

เคลนกับลุคนั่งเล่นเกมด้วยกันอย่างออกรส ท่าทางคืนนี้กะโต้รุ่นกันให้หายคิดถึง ผมเหลือบไปเห็นกับข้าวที่วางไว้บนโต๊ะ วันนี้เคลนลงทุนทุ่มฝีมือปรุงสุกี้หม้อใหญ่ มีเนื้อและผักบางส่วนที่ยังไม่ได้ลวกวางไว้ข้างๆหม้อต้ม ด้วยความหิวจนท้องไส้เรียกร้อง ผมนั่งลงเปิดสวิตซ์เตาไฟฟ้าทันที พลางลวกเนื้อไปด้วยพร้อมมองเกมที่สองคนนั้นเล่นไปด้วย

            “พรุ่งนี้เป็นวันปฐมนิเทศใช่มั้ยครับ พี่บลัด”

            มาถึงตรงนี้แล้วยังไม่แนะนำตัวเลยสินะ ผม...สึกิฮิโตะบลัดเทีย ส่วนน้องชาย เคลนลิเอล พวกเราเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น โรมาเนียแต่โตมาที่ญี่ปุ่นเนี่ยละ เรียกกันย่อๆก็อย่างที่ลุคเรียกมา

            ผมส่งเสียงในลำคอไปให้ลุคเพราะตอนนี้ปากไม่ว่าง ไม่สะดวกตอบเท่าไหร่นัก

            “พี่เคลนบอกว่าพี่เข้าคณะศิลปะศาสตร์เอกภาษาญี่ปุ่น ที่มหา’ลัยในเมืองใช่มั้ยครับ”

            “อื้อ” ผมส่งเสียงจากลำคอออกไปอีกครั้ง

            “งั้นพรุ่งนี้ผมฝากพี่สาวไปมหา’ลัยด้วยคนนะครับ พี่เขาอยู่คณะเดียวกันกับพี่บลัด”

            ผมกลืนเนื้อลงคอก่อนจะหันไปตอบลุคว่า

            “พรุ่งนี้ต้องไปซื้อของเข้าร้านตั้งแต่เช้า คงแวะไปที่ร้านก่อน พี่ถึงจะไปมหา’ลัย”

            “พรุ่งนี้ผมต้องรอรับของที่จะมาส่งที่ห้อง คงออกไปไม่ได้ ทำยังไงดี” เหมือนลุคจะกลุ้มใจเป็นการใหญ่

            “ให้เคลนไปส่งสิ” ผมโยนปัญหาใส่หัวน้องชาย มันหันมาเบ้หน้าใส่ทีหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

            “พี่ก็มีเรียนนะ”

            ลุคขมวดคิ้วแน่น ถึงแม้พี่สาวของเขาจะเพิ่งมาอยู่ที่นี่ แต่ผมมั่นใจว่ามหาวิทยาลัยของเราเดินทางไม่ยากเพราะมันอยู่แทบจะติดกับสถานีรถไฟ เดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว

“ไปรถไฟอยู่แล้ว ไม่น่ามีปัญหาหรอกมั้ง ขึ้นให้ถูกสายก็พอ”

ลุคได้แต่พยักหน้ารับพลางถอนหายใจเบาๆ ผมส่งกระดาษแผ่นเล็กๆที่จดเบอร์โทรศัพท์ของผมให้ลุคไป เผื่อว่าพี่สาวของเขาจะมีปัญหา ตอนแรกก็ว่าจะไปทำความรู้จักไว้ซะหน่อย แต่ลุคบอกว่าเธอหลับไปแล้ว เดินทางมาตั้งไกลคงเหนื่อยน่าดู

 

            ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงในห้อง หางตาเหลือบไปเห็นเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินกับกางเกงสแลคสีดำที่รีดจบเรียบกริบแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้า เป็นเรื่องปกติ...เคลนจะเป็นคนจัดการเรื่องในบ้าน ตั้งแต่ทำกับข้าวยันทำความสะอาด วันนี้เหมือนดวงตาจะหนักมากกว่าปกติ ผมจึงหลุบนัยน์ตาสีแดงลง ซ่อนมันไว้ใต้แพขนตา ก่อนหลับไปอย่างรวดเร็ว

 

            จะสายไหมวะเนี่ย ผมคิดอยู่ในใจพลางวิ่งอย่างรีบร้อนตรงไปสถานีรถไฟ เพราะอยู่ช่วยเถ้าแก่ยกข้าวของเข้าร้านจนเวลาล่วงเลยมาป่านนี้แล้ว ผมจ้องนาฬิกาข้อมือและวิ่งเข้าสถานีรถไฟไปด้วยความเร็วสูงสุด

            เยี่ยม! ลืม ICการ์ดไว้ที่บ้าน คงเป็นตอนที่จัดกระเป๋าสะพายเมื่อเช้านี้ ผมเลยจำใจก้าวเท้าไปต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วรถไฟจากตู้หยอดเหรียญ แต่แถวมันไม่ขยับเลยเนี่ยสิ

ผมชะเง้อมองไปที่ด้านหน้าแถว มีคนยืนรอก่อนหน้าผมอยู่สามสี่คน ซึ่งตอนนี้มีสองคนตัดสินใจเดินออกจากแถวไปต่อแถวอื่น จนเหลือแค่ผมคนเดียวที่ยืนอยู่แถวเดิม ถึงได้สังเกตเห็นสาวน้อยคนหนึ่งกำลังเงยหน้ามองแผนผังสถานีรถไฟ เมื่อเห็นสีผมของเธอเต็มตาก็จำได้ในทันที คนที่มาที่ร้านเบเกอรี่เมื่อวานนี้

            ผมเรียกเธออยู่สองสามคำ จนเธอหันกลับมา เหมือนเธอจะจำผมได้เช่นกันถึงได้คลี่ยิ้มส่งมาให้ เธอบอกว่า เธอต้องการไปมหาวิทยาลัยที่เป็นเป้าหมายของผม ผมจึงอาสาพาเธอไปด้วยเพื่อตัดปัญหา หากต้องมานั่งอธิบายเกรงว่างานปฐมนิเทศอาจจะจบไปซะก่อน ร้อนใจจะแย่แล้วจะสายอยู่รอมร่อ ยังต้องพ่วงสาวที่ไหนไม่รู้ไปด้วยอีกคน

            วันแรกที่เดินเข้ามหา’ลัยก็มีแต่คนหันมองกันเป็นตาเดียว ไม่รีบกันรึไงวะ ผมสบถอยู่ในใจ จะบ่นออกมาก็เกรงใจเพราะวันนี้มีคนเดินมากับผมด้วย

ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเป้าสายตา เหมือนจะเราทั้งคู่นั่นละ ด้วยความที่ผมตัวสูงบวกกับสีผมแปลกๆจึงเป็นจุดสังเกตได้ไม่ยาก กับคนข้างตัวที่เรียกได้ว่าสวยไม่เบา เอาเถอะตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมากบ้าบอ ผมไม่อยากเดินเข้าห้องประชุมอย่างโดดเดี่ยวให้เป็นจุดสนใจมากไปกว่านี้หรอกนะ

            คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มก้าวเท้าเร็วขึ้นจนกลายเป็นเริ่มวิ่ง ถึงจะไม่ได้วิ่งอย่างเต็มกำลังแต่ก็ถือว่าเร็วพอสมควร จนมาถึงหน้าห้องประชุมถึงได้รู้ตัวว่า...

ลืมคนที่พามาด้วยซะสนิท ทันทีที่ตัดสินใจจะกลับไปตามเธอ ผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อเธอมายืนทอดสายตาอย่างฉงนสงสัยอยู่ด้านหลังนี่เอง เธอวิ่งตามมาทันด้วยแถมเหมือนจะไม่เหนื่อยเท่าไหร่

ออกแรงวิ่งขนาดนี้แต่กลับไม่มีเหงื่อสักเม็ด ท่าทางสาวคนนี้คงดูถูกไม่ได้ซะแล้วละ

            ยังดีที่เรามาถึงตอนที่เขากำลังจะปิดห้องประชุม จึงไม่ถือว่ามาสายแค่ฉิวเฉียดเท่านั้น ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับสาวน้อยคนนี้

 

            เวลาช่างช้ามาก มาก มาก มากกก ตอนเช้าต้องมานั่งฟังเทศนาฉบับพิเศษจากผู้อำนวยการมหาวิทยาลัย  ยังต้องมานั่งฟังบรรดาบุคลากรแต่ละคณะ ไหนจะประธานนักศึกษา กรรมการบ้าบอ ไม่เอารุ่นพี่ทุกคนมาพูดซะเลยล่ะ ผมประชดเงียบๆในใจ

หลังจากเดินออกมาจากห้องประชุมแล้ว ความเมื่อยล้าเกาะกุมไปทั้งสรรพางค์กายจนต้องหามุมยืนยืดเส้นยืดสายอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นสาวคนเดิมที่เดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับสาวอีกคน เหมือนพวกเธอจะสนิทกันจากที่นั่งประชุมข้างกันตั้งแต่เช้า ผมเพิ่งรู้ตอนนั้นละว่าเธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้ รู้สึกสมเพชตัวเองที่พูดภาษาอังกฤษกับเธอมาตั้งนาน

ผมสบสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่สวย เธอคลี่ริมฝีปากแย้มยิ้มให้ครั้งหนึ่ง ก่อนโบกมือลาเพื่อนใหม่พลางเดินตรงมาทางนี้ ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ

            “นายจะกลับเลยมั้ย” เธอเปลี่ยนมาพูดภาษาญี่ปุ่นกับผมแล้ว ยิ่งรู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาจับใจ

            “อืม เดี๋ยวต้องไปทำงานต่อ” ผมตอบเธอไปตามความจริง ป่านนี้เถ้าแก่คงรอนานแล้ว

            “ขอกลับด้วยคนนะ คิดว่ากลับเองไม่น่ารอด” เธอเกาหัวเบาๆ พลางยิ้มให้อย่างเคอะเขิน ไม่ต่างจากเด็กที่กลับบ้านเองไม่ถูกจริงๆ ผมถอนหายใจเหนื่อยอ่อน ก่อนจะพยักหน้ารับคำอย่างไร้ทางเลือก

           

            ระหว่างที่เราอยู่บนรถไฟบรรยากาศค่อนข้างตึง ผมไม่ค่อยชอบหรอกนะ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี จนเมื่อมาถึงสถานี จึงลาเธอด้านหน้าสถานีพลางรีบออกวิ่งเพื่อจะไปที่ร้านเบเกอรี่ เธอสะดุ้งเมื่อเห็นผมเริ่มก้าวออกไป เสียงใสตะโกนเรียก ผมหยุดเท้าหันขวับไปทางเธอด้วยสายตาเอาเรื่อง แถมมีอีกหลายคนที่หันไปมองเธอเพราะเสียงมันเบาที่ไหนกันล่ะ

            “ขอบคุณนะ” เธอส่งยิ้มมาให้พร้อมคำขอบคุณ รอยยิ้มสดใสเจิดจ้าแข่งกับแสงตะวัน จนรู้สึกว่าใบหน้าของเธอเปล่งแสงรุนแรงยิ่งกว่ารัศมีจากดวงอาทิตย์ ขาที่กำลังจะขยับออกวิ่งค้างไปชั่วขณะ เบิ่งตาค้างมองเธออย่างตะลึงงัน รีบพยักหน้ารับก่อนเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง

ผมยิ้มออกมาเหมือนคนบ้า ยิ้มคนเดียวอีกแหนะ รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนๆขึ้นมา นี่ผม...กำลังเขินหรอ เขินอะไรวะ ผมคิดกับตัวเองพลางสาวเท้าวิ่ง ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในหัวคืออะไรกันนะ

            หลังจากวิ่งมาสักพัก ผมหันกลับไปมองที่ด้านหน้าสถานี ณ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะหันกลับไปทำไม คนรู้จักกันก็ไม่ใช่ สถานีก็อยู่ไกลจนแทบลับตา

            เธอคงเดินไปไกลแล้ว แต่ทว่า... เธอยังยืนเงอะงะอยู่แถวหน้าสถานีไม่ได้ขยับไปจากจุดที่ร่ำลากันเลย จะรอดไหมเนี่ย

 

            แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือสาวน้อยคนนั้น ไม่รู้ป่านนี้เธอจะถึงบ้านรึยัง

            ในตอนดึกผมเดินกลับมาตามทางเดินในคอนโดเช่นเคย วันนี้ถือถุงขนมปังกลับมาด้วย คิดว่าลุคที่เพิ่งกลับมาที่นี่อาจจะยังไม่ชินกับอาหารญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะพี่สาวของเขาเพิ่งมาครั้งแรกด้วยนี่นะ

            ผมตัดสินใจกดกริ่งที่ห้อง 802 ได้ยินเสียงผู้หญิงขานรับมาลอดบานประตูออกมาเบาๆ พี่สาวของลุคหรอ ผมตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย พลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยสักหน่อย อ๊ะ!...เพิ่งทำงานมาด้วยจะมีกลิ่นแปลกๆไหมนะ ก็ได้แค่คิดละไม่ทันการแล้ว ประตูห้องเปิดออกแล้ว

            เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเปิดประตูชัดๆเท่านั้น ผมต้องตะลึงไปหลายวินาที แม้แต่เธอที่มาเปิดประตูก็เหมือนจะทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่งเช่นกัน อยู่ๆก็สัมผัสได้ถึงปริมาณเลือดที่สูบฉีดขึ้นมามากกว่าปกติ

            เรือนผมสีวอลนัทเป็นคลื่นสวอนเล็กน้อย ผมหน้าม้ายาวลงมาปรกคิ้ว จอนผมทั้งสองข้างปล่อยยาวคละใบหน้า นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นจ้องมองอย่างสับสน ชุดที่เธอกำลังใส่เป็นชุดลำลองเสื้อคอกว้างและกางเกงขาสั้นดูแปลกตา แต่ว่าผมก็จำได้ดี เป็นเธอคนเดิม ที่มาวนเวียนอยู่รอบตัวผมตั้งแต่เมื่อวันก่อน คนนั้นนั่นละ

คืนนั้นถึงได้รู้ เธอคือเจ้าของชื่อที่ผมไปสะดุดตาเข้าตอนประกาศผล ‘ครอว์ฟอร์ด ลอเรน’ แถมเพิ่งจะรู้นามสกุลของลุคเช่นกัน

            ลอเรนเข้ามานั่งเล่นในห้อง 801 พลางมองลุคที่กำลังเล่นเกมอยู่กับเคลน เธอหัวเราะคิกคักกับสองคนนั้นไปด้วย

ผมนั่งมองทั้งสามจากโต๊ะกินข้าวด้านหลังโซฟาที่พวกเขานั่งอยู่ พลางเพ่งสายตาสังเกตลอเรนชัดๆ เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวนิดเดียว สาวน้อยลูกครึ่งอังกฤษ เกาหลี ผมสวอนยาวรับกับรูปหน้าของเธอได้อย่างดีทีเดียว ผมจ้องเธออยู่นาน จนเหมือนเรนจะรู้สึกตัว เธอหันกลับมามองผมที่นั่งกินข้าวอยู่ด้านหลัง พลางส่งยิ้มมาให้ ผมรีบหลบสายตาเธอ พลางก้มลงกินข้าวต่อไป

            รู้สึกว่า หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาด้วยละ

 


 

เนื่องจากเรื่องนี้ พื้นหลังของเรื่องอยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ  

- ซาชิมิ = ในบ้านเราเรียกว่า “ปลาดิบ” นั่นเองครับ โดนทั่วไปแล้วซาชิมิมักจะมาจากเนื้อปลาดิบแล่สดๆ รับประทานคู่กับ โซยุ และเครื่องเคียง พูดแล้วก็หิวขึ้นมาเลย

- คัมปาย! = แปลว่า “ชนแก้ว” หรือ “ไชโย” ในบ้านเราครับ โดยปกติมักเป็นคำที่ใช้พูดต่อท้ายคำอวยพร เหมือนงานมงคลสมรสบ้านเราครับ (ฮ่า)

- IC การ์ด = คล้ายบัตรแรบบิทบ้านเราครับ เป็นบัตรเติมเงินที่ใช้โดยสารได้ทั้งรถไฟ รถไฟใต้ดิน และเรือ

- วัฒนธรรมการมอบเม็ดกระดุมหลังจบการศึกษา = ค่อนข้างมีหลายความเชื่อนะครับ รวมๆแล้วหากใส่กักคุรันจะมีกระดุมทั้งหมดห้าเม็ด

เม็ดที่หนึ่ง หมายถึงตัวเอง เม็ดที่สอง หมายถึงคนที่สำคัญที่สุด เม็ดที่สาม หมายถึงเพื่อน เม็ดที่สี่ หมายถึงครอบครัว และเม็ดที่ห้า หมายถึง คนอื่นๆ สาวๆจึงอยากได้กระดุมเม็ดที่สองของหนุ่มๆเพราะอยากเป็นคนสำคัญที่สุดครับ

ถ้าหากหนุ่มๆใส่สูททำยังไง... สาวๆจะขอเนคไท หรือเสื้อคาดิแกนแทนครับ

 

ขอบคุณข้อมูลเรื่องเม็ดกระดุมจาก : https://wasedaclub.wordpress.com/

ถ้าหากหลงรัก Etermal Night อย่าลืมคอมเมนท์ให้กำลังใจราฟนะครับ!!

อยากตะโกนดังๆให้ทุกคนฟังว่า "ขอบคุณครับ!!"

Raf Rafael

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา