Eternal Night The second of heartbeat.

7.7

เขียนโดย Rafael

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 02.50 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) HEART BEAT second 03

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

HEART BEAT second 03

Raf Rafael

 

           และแล้ววันเปิดภาคเรียนก็มาถึง วันแรกของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างเต็มตัว ฉันค่อนข้างตื่นเต้นไม่เบา จะเข้ากับทุกคนได้ไหมนะ แม้จะพูดภาษาญี่ปุ่นได้แต่เรื่องวัฒนธรรมของที่นี่ ฉันไม่มั่นใจเอาซะเลย มันเยอะแยะงงงวยจนน่ากังวลไม่น้อย

            ระหว่างแต่งตัวพลางคิดไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าบลัดแต่งตัวเสร็จรึยังนะ หลังจากนี้ต้องรบกวนเขา ฝากเนื้อฝากตัวให้บลัดเป็นคนรับส่ง แถมฉันไม่รู้ว่าควรจะลงทะเบียนเรียนยังไง ไหนจะภาษาเขียนพวกนั้นที่มีหลายแบบอีก ฉันยังอ่านออกแค่งูๆปลาๆ บลัดเลยต้องเป็นคนลงทะเบียนให้ เราเลยลงเหมือนกันเด๊ะ

มาถึงก็ต้องรบกวนเพื่อนข้างห้องที่แสนใจดีที่ลุคเคยเล่าให้ฟัง จนรู้สึกสนิทกับพวกเขาตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้ากัน พอได้พบกัน พวกเขาก็ใจดีจริงๆ เคลนเป็นผู้ชายแท้ๆแต่เขาทำอาหารเก่งมาก แถมห้องของพวกเขาก็สะอาดเรียบร้อยจนฉันยังอายนิดๆที่ห้องตัวเองยังสะอาดได้ไม่เท่า

            ฉันรีบแต่งตัวให้เสร็จเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นนาฬิกา เคลนบอกว่าแต่งตัวเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวเช้าที่ห้องเขาก่อนค่อยออกไปกับบลัดก็ได้

            ฉันรบกวนพวกเขามาประมาณหนึ่งเดือนแล้ว แรกๆก็เกรงใจอยู่หรอก บลัดน่ะดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ เขาชอบทำหน้าตาเหมือนโกรธใครมาเป็นเดือน แต่ตอนนี้เริ่มชินขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะเขาค่อนข้างสุภาพมากทีเดียวรู้สึกได้ถึงความใส่ใจที่มาจากการกระทำของเขาถึงแม้หน้าตาจะดูไม่เต็มใจสักนิดก็เถอะ

 

            หลังจากฉันคว้ากระเป๋าสะพายและเดินออกมาจากห้อง ก่อนเดินตรงไปเคาะประตูห้องของหนุ่มๆ ได้ยินเสียงบลัดขานรับ จากนั้นไม่นานประตูห้อง 801 ก็เปิดออก ฉันตั้งสติไม่ทันไปพักหนึ่งเมื่อเห็นว่าเขาออกมาเปิดประตูทั้งที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลย เสื้อเชิ้ตสีขาวที่คลุมตัวเขาไว้ มันยังไม่ได้ติดกระดุมสักเม็ดแถมใต้เสื้อเชิ้ตตัวนั้นก็ไม่ได้ใส่อะไรไว้ สายตาสบเข้ากับสร้อยกางเขนรูปร่างแปลกตาที่ทิ้งตัวอยู่บนหน้าอกของเขา

บลัดหาวหวอดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนเดินนำเข้าไปด้านใน ฉันเดินตามเขาเข้ามาพลางปิดประตูห้องไปในตัว

            “นั่งรอที่โต๊ะก่อนละกัน” บลัดบอกไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเข้าห้องตัวเองไป ฉันปรายตาจ้องมองแผ่นหลังของเขาจนลับตา เป็นบุคคลที่หุ่นดีจนน่าอิจฉา มองเหล่าพี่ชายมาก็นานปี มั่นใจไม่เบาว่าเหล่าพี่ชายถือเป็นหนุ่มหล่อเพอร์เฟคหาตัวจับยาก ไม่น่าเชื่อว่า...จะเจอคนมาชิงแชมป์กับเหล่าพี่ชายเข้าแล้ว

            “ผมไปก่อนนะครับ” เสียงของลูคัสดึงสายตาฉันกลับมา เขามานั่งกินข้าวก่อนนานแล้วเพราะเขาเข้าเรียนก่อนพวกเรา ลุครีบลุกขึ้นจากโต๊ะ คว้ากระเป๋าตัวเองและออกจากห้องไป ก่อนจะเดินออกไปลุคหันมายิ้มให้ฉันพร้อมบอกว่า เดินตามพี่บลัดดีๆนะ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะลูคัส ถึงแม้จะแก้โรคหลงทิศไม่ได้ก็เถอะ

 

            “ฉันช่วยนะเคลน” ฉันส่งเสียงนำเข้าไปในครัวก่อนพาตัวเองตามเสียงเข้าไป เคลนส่งยิ้มมาให้ วันนี้อาหารเช้าเป็นไข่ดาว แฮมและไส้กรอก ฉันตาลุกวาวเมื่อพวกมันกำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นมาแตะเข้าที่ปลายจมูก

            “ยกออกไปทีละกันนะ” เคลนกล่าวโดยที่มือไม้ยังคงทอดอะไรต่อมิอะไรต่อไปอีก ฉันจึงเลือกยกอาหารบางจานที่จัดเอาไว้แล้ว ก่อนเดินออกมาจากครัวพร้อมกับจานใบใหญ่สองใบในมือ บลัดเดินออกมาจากห้องพอดี เขาเหลือบสายตามองฉันแว๊บหนึ่ง ก่อนลดสายตาลงมองอาหารที่ฉันยกมาแทน

            “หอมเชียว” บลัดพูดขณะเดินเข้ามาใกล้ เขาเข้ามาช่วยฉันยกจานทั้งสองไปวางที่โต๊ะ พอจานทั้งสองใบถูกยกออกไปจากมือ ฉันก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ได้แต่ยืนมองบลัดกับห้องครัวสลับกันไปมา

            “เคลนน้ำล่ะน้ำ หิวแล้ว” บลัดตะโกนเข้าไปเร่งน้องชายในครัวพลางทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำของเขา

            “มาเอาเองดิ! จะสายแล้ว” เคลนตอบมาแบบนั้น ฉันเห็นหางตาเขาตวัดมาทางนี้... นัยน์ตาสีแดงหรี่ลงด้วยความไม่พอใจ จริงๆเขาคงมองไปที่ห้องครัวแต่ฉันดันเสียวสันหลังขึ้นมาแทน ฉันจึงอาสาออกตัวไปหยิบให้เขาแทน

            เมื่อเดินกลับเข้าไปในครัว อาหารทุกอย่างพร้อมแล้ว ส่วนเคลน เขารีบวิ่งเข้าไปในห้องตัวเอง คงต้องรีบออกไปเรียนแล้ว ปกติเขาจะออกไปพร้อมกับลูคัส แต่วันนี้เคลนออกซะสายโด่งเลย

            ฉันมองไปบนชั้นที่วางใบชา ผงชา กาแฟ โกโก้ เครื่องดื่มสารพัดชนิดเรียงรายอยู่บนนั้นจนลายตา เช้าๆแบบนี้กาแฟก็ไม่เลว ฉันชะโงกหน้าออกไปถามบลัดที่ยังนั่งหาวหวอดอยู่บนโต๊ะกินข้าว

            “บลัด กาแฟหน่อยมั้ย” ฉันเอ่ยปากถามเขาออกไป พลางหันมาจัดการเสียบปลั๊กกาต้มน้ำ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาสักที ฉันจึงตั้งใจจะผละจากกาน้ำออกมาเพื่อจะไปถามเขาอีกครั้ง

เมื่อหมุนตัวกลับไป กลับต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเขาเดินเข้ามาอยู่ใกล้มาก แถมก้มลงมองมือของฉันที่กำลังหยิบแก้วน้ำออกมาวาง เขาก้มตัวลงมาจนใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน หากฉันขยับเข้าไปใกล้อีกเพียงนิด ใบหน้าของเราอาจจะชนกันก็เป็นได้ เขาเดินเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนนะ

            “ฉันไม่ดื่มกาแฟ” บลัดพูดเรียบๆพลางจะเดินเข้าไปบริเวณที่เคลนวางอาหารเช้าไว้ ก่อนยกมันทั้งหมดออกไปที่โต๊ะอาหาร

            “ขอโกโก้ละกันนะ”

            “อะ...อื้อ” ฉันรีบรับคำแล้วหันกลับมาง่วนอยู่กับกาต้มน้ำ จริงๆมันก็ไม่ต้องทำอะไรนอกจากรอให้น้ำเดือด แค่รู้สึกว่าเสียงหัวใจเต้นดังกว่าปกติ แรงจนหน้าอกสั่นไหว ฉันพยายามควบคุมจังหวะหายใจ พลางสงบสติให้กลับมาเป็นปกติ เมื่อกี้ฉันได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของเขาด้วย มันยิ่งทำให้หัวใจฉันแทบจะลืมจังหวะการเต้น

            เขาไม่ดื่มกาแฟ เขาไม่ดื่มกาแฟ เขา... แล้วจะท่องไปทำไมนะ

            เรากลับมานั่งรับประทานอาหารกันที่โต๊ะ โต๊ะตัวนี้ตั้งอยู่ในห้องรับแขกทางฝั่งที่ติดกับครัว โดยมีทีวีตั้งอยู่อีกฝากหนึ่งและมีโซฟาตัวยาวกั้นอยู่ตรงกลาง

            ตอนนี้บลัดเปลี่ยนมานั่งที่เก้าอี้ประจำของเคลนแทน ส่วนฉันนั่งที่ประจำของตัวเอง เท่ากับว่าตอนนี้เรานั่งเยื้องกันอยู่

เขาเคี้ยวอาหารไปด้วย พร้อมกับกดรีโมทเปลี่ยนช่องในทีวีไปด้วย ฉันไม่รู้ว่าเขาเปิดดูอะไรเพราะฝั่งที่ฉันนั่งมันหันหลังให้ทีวีพอดี เคลนวิ่งออกมาจากห้องหลังจากนั้นไม่นาน ก่อนจะพูดออกมาอย่างเร่งรีบ

            “ไปละนะ”

            บลัดเพียงพยักหน้าน้อยๆรับคำเท่านั้น แต่ว่า...เท่านี้ในห้องก็เหลือแค่ฉันกับเขาแค่สองคน

            ฉันเฝ้ามองริมฝีปากของเขาที่กำลังจรดลงกับขอบแก้ว โกโก้จะถูกปากไหมนะ

เขากลับนิ่วหน้าหลังจิบไปอึกหนึ่งแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรออกมา ฉันกลับรู้สึกไม่สบายใจที่ไม่ถูกปากเขา แม้จะเป็นเพียงโกโก้แก้วเดียวก็เถอะ

 

            วันนี้เขาซื้อ ICการ์ดให้ฉันด้วย ทำให้เราสะดวกขึ้นเยอะที่ไม่ต้องไปนั่งต่อแถวเพื่อซื้อตั๋ว บลัดบอกว่ามันสามารถใช้ขึ้นรถไฟ หรือรถประจำทางได้ด้วย อธิบายเหมือนฉันจะไปเที่ยวไหนได้เลย...ก็อยากไปอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่า มีความสามารถในการหลงทางเข้าขั้นแก่นแท้

ฉันแอบลอบมองเขาอยู่ตลอดตั้งแต่เราเดินออกมาจากห้องด้วยกันจนตอนนี้เรากำลังยืนอยู่บนรถไฟ เวลานี้ค่อนข้างสายแล้ว ผู้คนภายในขบวนจึงไม่ค่อยหนาแน่นนัก

            “นี่...บลัด” ฉันเรียกเขาออกไปจนได้ บลัดละสายตาจากวิวด้านนอกหน้าต่างหันมองฉัน เขาเอียงคอให้น้อยๆเป็นเชิงถาม

            “เมื่อเช้า โกโก้ไม่ถูกปากหรอ”

            บลัดเอียงคอมองฉันหนักกว่าเดิม คงไม่คิดว่าฉันจะเก็บเรื่องเล็กน้อยมาคิดมาก ก็รบกวนพวกเขาไว้เยอะ ไหนจะต้องให้เขาคอยรับส่งอีก เรื่องแค่นี้ก็อยากทำให้พวกเขาบ้าง

            “ฉันไม่ชอบขมๆ ใส่นมข้นสักสองช้อนชากำลังดี ไม่ค่อยชอบใส่น้ำตาลแต่ถ้าไม่มีนมข้นก็กินได้”

            เขาตอบฉันด้วย! ฉันลอบยิ้มอยู่คนเดียว พลางเมมโมรี่ของชอบเขาไปด้วย

           

            เราเดินออกมาจากสถานีรถไฟ เดินต่อไปอีกไม่ไกลก็เจอรั้วมหา’ลัยแล้ว ผู้คนรอบข้างหันมองมาทางนี้เป็นตาเดียว ฉันเดินตามหลังบลัดพยายามสาวเท้าเดินตามเขาให้ทัน เขาก้าวเท้าไวมากจริงๆยิ่งเห็นว่ามีคนมองมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งก้าวเท้าไวขึ้นเท่านั้น แทบจะต้องวิ่งเหยาะๆเพื่อเดินตามเขาให้ทัน

            บลัดหันกลับมามองหลังจากเดินไปพักใหญ่ เขาทำหน้าแปลกใจพลางขมวดคิ้วมุ่นที่เห็นฉันเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม เขาจึงหยุดฝีเท้าลงก่อนหันกลับมาเดินซ้อนหลังฉันแทน ฉันตกใจกับการกระทำที่ไม่คาดคิด เขาเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งจริงๆ จนบางทีฉันแอบอิจฉาตัวเองไม่น้อยเลย

            เราเดินด้วยกันมาเรื่อยๆจนมาถึงหน้าห้องเรียน น่าจะที่นี่ล่ะมั้ง ฉันก็ไม่มั่นใจ...  บลัดยืนมองเลขห้องด้านบนประตูก่อนหยิบตารางเรียนมาเทียบกัน น่าจะมาถูกแล้วละ! เขาเปิดประตูออกก้าวนำฉันเข้าไปในห้อง

            ฉันสอดส่องหาที่นั่งทันที วันนี้มีคนมาเรียนไม่มากเท่าไหร่ อาจจะเพราะเพิ่งเปิดเทอม ทำให้สังเกตเห็นเด็กสาวคนหนึ่งได้ไม่ยาก เธอโบกไม้โบกมือมาทางนี้ ฉันจึงวิ่งเหยาะๆเข้าไปนั่งข้างๆเธอ

            บลัดมองตามหลังแต่เขากลับไม่ได้ก้าวขาตามมา สุดท้ายเขาแยกตัวขึ้นไปนั่งที่โต๊ะด้านบน ห้องเรียนที่นี่ราวกับโรงละคร เป็นสโลปจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง และกึ่งกลางสโลปนั่นคือแท่นเตี้ยๆที่มีไว้สำหรับให้อาจารย์ยืนสอน คาบเรียนแรกของฉันกำลังจะเริ่มแล้ว!

            “แฟนเรนจังหรอ” คำแรกที่เธอทัก หลังจากฉันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเธอ ทำเอาฉันพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ก่อนจะอ้าปากตอบเพื่อนใหม่คนนี้ออกไป

            “ใครหรอ?” ฉันจำไม่ได้จริงๆว่าตัวเองมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่

            “คนนั้นไง ที่เดินมาด้วยกัน” เธอพยักพเยิดหน้าขึ้นไปตรงที่นั่งด้านบนที่อยู่เยื้องกับเราไปไม่ไกล แต่อยู่ห่างกับเราห้าชั้นเลยทีเดียว และฉันมองหาคนคนนั้นได้ไม่ยากเพราะมีบลัดนั่งอยู่แค่คนเดียว

            “ไม่ใช่นะ เราอยู่ห้องข้างๆกัน” โซระทำตาโตใส่ฉันทันทีที่จบประโยค

            “นี่พวกเธออยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้วสิ!! มิน่าวันปฐมนิเทศก็มาด้วยกัน ไม่ต้องเขินหรอกน่าเรนจัง!” โซระดูตื่นเต้นยกใหญ่ เธอเรียกชื่อฉันด้วยเสียงสูงพลางใช้ข้อศอกสะกิดฉันเบาๆ ทำไมเธอถึงรู้น่ะหรอ เธอคือผู้หญิงที่นั่งข้างฉันวันที่เรามาปฐมนิเทศ เป็นคนที่ฉันเดินออกมาพร้อมกันตอนออกมาจากห้องประชุม ส่วน บลัดมีคนนั่งคั่นระหว่างเขากับฉันอยู่สองคน

            “เขาไม่ใช่แฟนฉันจริงๆนะ โซระ” เหมือนเธอจะไม่เชื่อคำฉันเท่าไหร่ แถมยังยักคิ้วหลิ่วตาให้ด้วย

            “ไม่ให้เขามานั่งเรียนด้วยล่ะ” โซระถามขึ้นพลางหัวเราะคิกคัก จนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเธอ หยี๋เป็นสระอิผมบ๊อบสีดำสนิทของเธอไหวเล็กน้อย ไม่ได้ฟังฉันเลย... ฉันถอนหายใจกับตัวเองก่อนหันหลังไปมองหนุ่มเรือนผมสีเงิน เขาไม่ได้สนใจรอบข้างกำลังจัดเตรียมข้าวของสำหรับเรียนออกมาจากกระเป๋าดูท่าจะเป็นคนตั้งอกตั้งใจเรียนน่าดู

            “ทำไมต้องให้มานั่งด้วยกันด้วยล่ะ” ฉันย้อนคำเธอพลางขมวดคิ้ว เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ โซระรับคำพลางหยอกต่ออีกพักใหญ่ แต่ก็ต้องหยุดไปเมื่ออาจารย์เข้ามายืนหน้าคลาส

            มาถึงคาบแรกเราก็เรียนเป็นเรื่องเป็นราว ฉันกางสมุดออกและจดเลคเชอร์เป็นภาษาอังกฤษ เพราะยังเขียนอ่านภาษาญี่ปุ่นได้ไม่คล่อง โซระตื่นตาตื่นใจน่าดูที่เห็นว่าสมุดเลคเชอร์ของฉันถูกเขียนลงไปด้วยภาษาอังกฤษ บางครั้งพออาจารย์เบรกการสอนไปชั่วครู่ สายตาของฉันก็เหลือบขึ้นไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างบนโดยอัตโนมัติ

            เหมือนบลัดจะจดเลคเชอร์อยู่เหมือนกัน ท่าทางขะมักเขม้นน่าดู เพราะเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดเลยแม้ว่าอาจารย์จะพักการอธิบาย เขาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ขยันขันแข็ง จริงจังในการเรียน แลดูน่านับถือ

            หลังจากนั้นเรามีเวลาพักเบรกกันประมาณสิบนาที ฉันลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ก่อนที่สายตาจะหันไปมองที่โต๊ะด้านบนอีกครั้ง โซระหัวเราะออกมาแทบจะทันทีเมื่อเห็นฉันหันไปมองบลัด ตอนนี้เขาได้รับยศแต่งตั้งเป็นแฟนฉันในใจโซระแล้วเรียบร้อย ฉันค้อนให้เธอวงใหญ่แต่ก็อดเหลือบมองเขาไม่ได้

            บลัดฟุบลงไปกับโต๊ะ ทำให้ไม่เห็นสีหน้าของเขา ท่าทางจะจดจนเหนื่อย ฉันลอบยิ้มกับตัวเอง ต้องตั้งใจเรียนบ้างแล้ว!

            หลังจากจบคาบเรียนฉันถึงได้เข้าใจ เพราะต้องกลับกับเขาเนี่ยแหละ ถึงได้จำใจก้าวขึ้นมาสะกิดเขาที่กำลังฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ แถมสมุดเลคเชอร์ของเขา มันเต็มไปด้วยความรู้ที่ถูกจดลงมาเป็นภาพตัวการ์ตูนเต็มไปหมด เยี่ยม...นี่นายเตรียมสมุดมาเขียนเล่นฆ่าเวลายังไม่พอ ยังมาหลับในห้องซะหน้าตาเฉย แล้วตัวเองไม่เด่นเลยนะ คาบแรกก็สำแดงเดชซะแล้ว บลัดเทีย ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

            ขอโทษที่ชมว่านายตั้งใจเรียนนะ

            โซระเดินตามฉันขึ้นมา เธอมองบลัดอย่างสนอกสนใจในเรือนผมสีขาวเงินของเขา มันสะท้อนอยู่ในแววตาของเธออย่างไม่ปิดบัง

            “ผมจริงหรอ เรนจัง” เธอถามขึ้น ราวกับอยากจะลองสัมผัสเส้นผมของเขาดู แต่ดูเหมือนเธอจะไม่กล้ายื่นมือออกไป

            “เหมือนจะผมจริงนะ” ฉันพูดออกไปโดยไม่ได้คิดพลางยื่นมือไปลูบผมเขาอย่างเบามือ อืม...มันนุ่มมากเลยละ ไม่เหมือนผมที่ผ่านการย้อมหรือทำสีมาเลย แปลว่าเป็นสีธรรมชาติของเขาสินะ งั้นผมของเคลนก็เป็นสีธรรมชาติรึเปล่านะ

            ฉันคิดไปเพลินๆ พลางลูบผมเขาเบาๆ แต่โซระกลับมองหน้าฉันนิ่ง ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมาจนฉันขนพองสยองเกล้า

            “ไหนบอกไม่ได้เป็นอะไรกันไง จับผมเขาเล่นได้หรอ” โซระพูดกลั้วหัวเราะ ทำไมหรอ...แค่จับผมเองไม่ได้ถอนผมเขาออกมาจากหัวซะหน่อย มันทำไมกันนักหนา

            “เรนจัง เพิ่งมาอยู่ที่นี่สินะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะอีกครั้ง

            “ลองถามเขาดูสิ ที่กำลังสงสัยน่ะ” เธอยิ้มออกมาอย่างน่ารักทีเดียว ฉันยังทำท่างงงวยต่อไป อาจจะเป็นวัฒนธรรมอะไรสักอย่างสินะ หรือที่ฉันทำเนี่ยมันหยาบคายมากเลยหรอ ฉันเอียงคอสงสัยกับตัวเอง

            “เลิกแล้วหรอ...”

            ตื่นขึ้นมาจนได้คุณชายขี้เซา ฉันชักมือกลับพร้อมกับที่เขาเหยียดร่างขึ้น ยังมีหน้ามาบิดขี้เกียจอีกแหนะ

            “จะกลับเลยมั้ย” บลัดถามฉันระหว่างที่เขาเก็บของลงกระเป๋า ทำท่าเหมือนตั้งใจมาเรียนสุดๆ

            แล้วจะไปไหนได้นอกจากกลับบ้านล่ะ ฉันโบกมือร่ำลากับโซระอยู่พักหนึ่ง บลัดก็ยังใจดียืนรอฉันอยู่ไม่ไกล พอออกเดินไปหาเขา บลัดถึงเริ่มออกเดิน เราเหมือนแฟนกัน...เหมือนกันนะ เอ๊ะ!หรือนายเห็นฉันเป็นลูกนายกันแน่นะ บลัดเทีย

 

            เรานั่งรถไฟกลับมากันเงียบๆ จริงๆก็เรียกว่านั่งไม่ได้เพราะคนค่อนข้างเยอะ บลัดกับฉันเลยมายืนอยู่ที่มุมหนึ่งในขบวนรถไฟ ตอนแรกเขาเป็นคนเดินนำเข้าไปในขบวนรถก่อน จนเมื่อขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวผ่านหลายสถานีเข้าคนก็เริ่มเยอะ เราทั้งสองก็ยิ่งโดนผลักเข้าไปด้านในขบวนรถจนหลังของบลัดติดกับผนังของขบวน

            ฉันได้ยินเสียงสะบัดอย่างไม่พอใจของบลัดหลังจากเขาโดนเบียดจนแทบขยับตัวไม่ได้ ก่อนที่อยู่ๆ เขากลับพลิกตัวทำให้ฉันเองที่เป็นคนที่ยืนพิงผนังรถไฟ ส่วนบลัดก็ยืนอยู่ตรงหน้าท้าวแขนทั้งสองลงกับกำแพง พลางกันคนที่เบียดเข้ามาไปในตัว ฉันเงยหน้ามองเขา ในหัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา รู้สึกดีอย่างปิดไม่มิด บลัดใจดีจริงๆแหละ

            “นี่...บลัด” ฉันเรียกเขาด้วยเสียงกระซิบ เราอยู่ใกล้กันซะจนศีรษะของฉันแทบจะแนบไปกับอกของเขา

“หื้อ”

“ฉันไม่ควรจับผมของคนอื่นหรอ”

บลัดก้มลงมองฉันพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง และแล้วฉันก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนขึ้นมา เพราะอยู่ๆเขาก็จับปลายผมฉันขึ้นมาปอยหนึ่งพลางใช้นิ้วมือเรียวยาวของเขาลูบมันไปมา

บลัดช้อนสายตาที่กำลังจ้องมองปอยผมของฉัน ขึ้นมาจ้องดวงตาของฉันแทน เขายิ้มออกมาน้อยๆ แล้วใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าวเมื่อเขายกมือข้างนั้นขึ้นมาจรดริมฝีปาก เขาจูบผมของฉันเฉยเลย!!

ฉันได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของบลัด ก่อนเขาจะปล่อยเส้นผมของฉันให้สยายลงตามเดิม เขาเบนสายตาหลบนัยน์ตาของฉันไปแต่ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้าง ฉันไม่กล้าถามอะไรอีกเลย เขาจะสาธิตชัดเจนเกินไปแล้ว

เมื่อใกล้ถึงสถานีที่เราต้องลง บลัดขยับตัวไปทางประตูเพื่อที่จะแทรกเหล่าผู้คนออกไปจากขบวนรถ ฉันอยากอยู่แบบนี้ต่ออีกสักหน่อยนะ แค่คิด...ฉันก็หน้าแดงอีกรอบกับความคิดของตัวเอง

เมื่อประตูรถไฟเปิดออก บลัดพยายามแทรกตัวออกไปจากขบวนรถ เขาก้าวไวมากจนแทบจะหายไปกลางฝูงชน ฉันพยายามแทรกตัวตามเขามา แต่อยู่ๆก็รู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อฉันมองไม่เห็นร่างของเขา บลัดถูกฝูงชนดูดกลืนจนหายไปไหนแล้ว บลัด...

จนฉันรู้สึกว่ามีแรงน้อยๆมาจับแขนของฉันไว้ แล้วลากร่างของฉันออกมาทันก่อนที่ประตูรถไฟจะหนีบร่างเล็กๆของฉันจนกลายเป็นเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ถูกหนีบจบบี้แบน

ฉันเซไปเล็กน้อยตามแรงดึง จนชนกับเจ้าของมือที่ดึงร่างของฉันออกมา เสียงบลัดถอนหายใจยาว ก่อนฉันจะต้องเขินอีกรอบเมื่อกลิ่นน้ำหอมของเขาลอยมาแตะปลายจมูกจางๆ แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ก็รับรู้ได้ว่าเป็นเขา

ตอนนี้เขากำลังทำหน้ายังไงนะ เป็นห่วงฉันไหม หรือกำลังเหนื่อยที่ต้องดูแลฉัน... ร่างของเขาอบอุ่น อุ่นจนพาลให้หัวใจเต้นแรง

เราแยกกันตรงหน้าสถานี เขาต้องเดินไปอีกทางหนึ่งเพื่อตรงไปที่ร้านที่เขาทำงานพิเศษอยู่ บลัดบอกให้ฉันเดินตรงกลับบ้านทันทีห้ามแวะที่ไหน ถ้าหลงทางก็ให้โทรหาใครสักคนห้ามมั่วเดินเองเป็นอันขาด... เขารู้แล้วหรอว่าฉันเป็นโรคหลงทิศ...บลัดยังไม่เลิกกำชับอีกสองสามคำจนฉันต้องพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้

เอาเถอะ...ฉันจะไปแวะที่ไหนรอด

 

ฉันเดินกลับคอนโดถูกด้วยล่ะ รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สุด เมื่อขึ้นไปถึงห้อง ลูคัสกำลังตั้งอกตั้งใจทำการบ้านอยู่บนโต๊ะในห้องรับแขก เขาลงไปนั่งกับพื้นเพื่อที่จะเขียนบนโต๊ะตัวเตี้ยๆได้ถนัด ฉันเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยถามว่า

“นั่งตรงนี้ไม่เมื่อยหรอลุค”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ลุคตอบฉันโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง

“วันแรกเป็นไงบ้าง” ฉันได้ยินลุคถามตอนที่ฉันกำลังหยิบน้ำขวดหนึ่งออกมาจากตู้เย็นพลางยกขึ้นดื่มดับกระหาย

“มาวันแรกก็เรียนเลย เหนื่อยจะแย่แล้วเนี่ย” ฉันทำเสียงกระเง้าหระงอดพลางอิดออดกับน้องชาย ลุคหัวเราะขึ้นมาก่อนจะเปลี่ยนคำถามว่า

“ไปเรียนกับพี่บลัดวันแรกเป็นยังไงบ้างต่างหาก”

ฉันแทบจะสำลักน้ำกับคำถามของลูคัส ทำไมต้องมีชื่อของคนข้างห้องมาอยู่ในคำถามด้วยล่ะ

“ก็ไม่ไงนี่” ฉันตอบตัดบทลุคไป

“ไม่มีอะไรจริงๆหร๊อ” ฉันได้ยินลุคถามกลั้วหัวเราะพลางดึงเสียงขึ้นสูง ก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรหรอก... มันมีอะไรจนไม่รู้จะเล่าตรงไหน ราวกับว่าสมองของฉันได้เมมโมรี่กลิ่นของบลัดไว้แล้ว ยิ่งได้ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆตัวเขา ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นชิน และปลอดภัย จนเผลอคิดถึงรอยยิ้มของเขาขึ้นมา

“ทำการบ้านไปเลยไป!”

ทีนี้ลูคัสหัวเราะร่าเลย อย่ายัดเยียดเขาเข้ามาในสมองฉันมากกว่านี้เลยนะ

 


 

 เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ

- เวลาเร่งด่วนในโตเกียว = ช่วงเวลาเร่งด่วนหรือ “Rush Hour” ในโตเกียวนั้นรถไฟจะหนาแน่นมากๆครับ ตอนเช้าเวลาที่เป็นปลากระป๋องที่สุดคือช่วง 07.00 – 09.00 น. ในตอนเย็นจะแน่นช่วง 18.00 – 20.00 น. ครับ อาจจะมีรถไฟบางสายแน่นยิ่งกว่านี้อีกถ้าหากเป็นสายที่พนักงานบริษัทใช้กันเยอะ แม้แต่ชินคันเซนก็แน่นสุดๆครับ อีกช่วงเวลาที่แน่นไม่แพ้กันคือ รถไฟเที่ยวสุดท้ายของวันครับ

  1.  เวลาเร่งด่วนแบบนี้ในสถานีรถไฟเราจะเห็นเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดันคนเข้าไปในรถไฟด้วยละครับ

- วัฒนธรรมการจับผม = เคยเห็นกันบ่อยๆใช่มั้ยครับว่าเวลาผู้หญิงอกหักแล้วจะตัดผม เขาถือว่าการตัดผมตอนอกหักเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ครับ ถือว่าผมส่วนไหนที่เคยโดนแฟนเก่าสัมผัสได้หายไปแล้ว เป็นการปลอบใจตัวเองทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้สาวๆอกหักได้ไม่น้อยเลยครับ

            การจูบผม ให้ความหมายไม่ต่างจากการจูบริมฝีปากเท่าไหร่ครับ ถือว่าเขาเป็นคนสำคัญของเราไม่ได้ด้อยกว่าจูบริมฝีปากกันเลยละ (ฟิน)

 

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านครับ

Raf Rafael

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา